เมื่อผมรู้จักพลังจิต

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย raquaz, 20 สิงหาคม 2007.

  1. raquaz

    raquaz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +3,831
    เกือบสามสัปดาห์แล้วที่ผมได้รู้จัก" พลังจิต"

    แต่สิ่งที่ผมรู้สึกว่า ผมได้รู้จักนั้น
    มันอาจจะเป็นสิ่งที่ผมได้ทำความรู้จักกับมัน อีกครั้ง ก็เป็นได้
    เด็กๆ ผมคิดว่า ผมไม่เคยเห็นผี แต่นั่นก็เพราะแค่ผมคิด
    แต่ในขณะนั้น ผมเองก็ยังอาจจะเป็นเด็กเกินไปที่จะแบ่งแยกว่า
    สิ่งที่ผมเห็นคือสิ่งธรรมดาที่คนอื่นก็เห็นหรือเป็นสิ่งที่ผมเห็นเพียงคนเดียว
    แต่เชื่อถอะ ผมไม่อยากจะรู้คำตอบที่ถูกต้องหรอก

    เขาก็ว่ากันว่า เด็กๆมีจิตบริสุทธิ์น่ะ จะเห็นอะไรง่าย
    ผมเคยอ่านอะไรสักอย่าง ที่เขาบอกว่า ในขณะที่เด็กยังไม่ได้เรียนรู้อะไรมากนัก หากพวกเราสอนเขาว่า แท่งเหล็กน่ะ บีบง่ายเหมือนบีบม้วนกระดาษ
    เด็กคนนั้นก็จะทำได้ แต่ปัจจุบันคำสอนต่างๆถูกปลูกฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของเด็กทั่วๆไปว่า เหล็ก เป็นสิ่งที่แข็ง ไม่สามารถทำลายได้ง่ายๆ และคำสอนนั้น มันเหมือนกับการสะกดจิต เป็นการปิดกั้นความสามารถของตัวเราเองไป
    ผมว่า นั่นเป็นทฤษฏีที่ดีว่าทำไม มนุษย์ถึงยังไม่ได้เอาพลังที่อยู่ในตัวมาใช้ได้เต็มที่100% เพราะมนุษย์นั่นได้ทำการปิดกั้นตัวเองด้วยสิ่งที่เรียกว่า
    ความรู้ที่จำเป็นในการใช้ชีวิต ที่สอนตามโรงเรียนเองนั่นแหละ


    ตอนพี่สาวคลอดลูกชาย เคยคิดเล่นๆว่าจะสอนหลานตัวเองด้วยความรักบ้างว่า เออ ลูกเอ๊ย คอนกรีตนะเหมือนขนมปังกรอบ แท่งเหล็กนะเหมือนป๊อกกี้ ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ลูกจะหักมันไม่ได้หรอก
    แต่ก็ไม่ได้สอน ก็กลัวหลานมันหักบ้านตัวเองกินหมด..อิอิ
    แหม จะให้เอาชีวิตหลานตัวน้อยๆของเราไปกับทฤษฏีที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ได้อย่างไร จริงมะ ไม่อยากให้หลานเป็นตัวประหลาดหรอก ถึงแม้ตอนที่ผมอ่านทฤษฏีนี้ผมจะรู้สึกอยู่เต็มอกว่าผมเชื่อทฤษฏีนี้อ่ะนะ

    นั้นคือครั้งแรกกับการรู้จักสิ่งที่เรียกว่า พลังในตัวมนุษย์ ของผม

    ถ้าถามว่า ผมเชื่อมากแค่ไหนกับทฤษฏีนี้ ผมก็จะขอบอกว่า เชื่อมากทีเดียว
    เพราะมันทำให้ผมมองมนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกันไปหมด ผมไม่เคยนึกว่าตัวเองเก่งกว่าใครๆ ผมคิดว่าทุกคนก็จะทำได้ ถ้าเขาเชื่อ และ พยายาม
    พรสวรรค์ เป็นเพียงแค่ คำเรียกสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง พรแสวง
    ที่กระทำด้วยความพยายามอย่างมากมายมหาศาลนั่นเอง

    เมื่อโตขึ้นมาในยุคสมัยที่เริ่มมีอินเตอร์เนต ความเป็นตัวตนของผมได้ถูกถ่ายทอดออกมาในเกมออนไลน์รุ่นแรกที่เรียกว่า MUD ซึ่งถ้าให้อธิบายง่ายๆ มันเป็นเกมเช่นเดียวกับRagnarok ซึ่งใช้ text ภาษาอังกฤษล้วนๆในการดำเนินเรื่อง ทุกอย่างจะอธิบายด้วยText และการป้อนคำสั่งทุกอย่างก็ใช้พิมพ์เอา
    แน่นอนว่า ไม่ว่ากี่เกมที่มีให้เลือกอาชีพนั้น สิ่งที่ผมเล่นมาตลอกก็คือ
    "นักบวช" ผู้มีพลังในการรักษาพรรคพวกที่บาดเจ็บ อาชีพที่เล่นเดี่ยวยังไงก็ไม่ค่อยรุ่ง แต่ผมก็จะบ้าเล่น อยากเก่งเพื่อช่วยคนอื่น

    นิสัยผมจริงๆแล้วก็ชอบช่วยเหลือคนอื่น จนแม่ชอบว่าบ่อยๆเพราะว่าสังคมสมัยนี้มันอันตราย อย่าไปช่วยเลย ก็ไม่เคยทำได้ มันขัดนิสัยอย่างรุนแรง
    แต่ก็ยังนับว่าโชคยังดี ที่ไม่เคยเจอเหตุการณ์ช่วยแล้วซวย เหมือนอย่างที่แม่ผมเคยอ่านเจอมาจากหลายๆแหล่ง

    ชีวิตตั้งแต่ประถมถึงมัธยมนั้น10กว่าปีในโรงเรียนคริสต์นั้น ทำให้ผมได้สัมผัสถึงศาสนาคริสต์ได้บ้างพอสมควรและช่วงมัธยมปลายเป็นช่วงเวลาที่สับสนที่สุดของผม เครียดกับสังคมที่วุ่นวายในสมัยนั้น เพื่อค้นหาตัวตนของตัวเอง ผมได้ลองเปลี่ยนศาสนาเป็นคริสตเตียนโดยพลการ ไม่ได้ขออนุญาติใครทั้งสิ้น แน่นอนว่าครอบครัวผมแอนตี้ ผมก็ดิ้นสุดชีวิตเช่นกัน ช่วงนี้สิ่งแปลกๆทางจิตที่ผมได้พบเจอมี 2 อย่างคือ
    1 ฝันเห็นพระเยซูเจ้ามากล่าวกับผมว่า ตามเรามาเถิด แล้วเจ้าจะรอด และผมก็จับมือท่านขึ้นนกตัวใหญ่บินไปกับคนอีกหลายๆคน
    อย่าถามนะว่า ทำไมต้องเป็นนก ไม่รู้เหมือนกัน ฮ่าๆ
    2 เชื่อไหมว่าศาสนาคริสต์ก็มีงานทางจิตเหมือนกับวันที่ 5 สิงหา ที่จัดไป และวันที่ 9 กันยา ที่จะถึงนี่เช่นกัน และผมก็ไปดูมาแล้วด้วย นั่นเป็นการเห็นการรักษาคนด้วยพลังจิตครั้งแรก ตื่นตาตื่นใจมากมาย
    อ้อ แล้ว คริสต์เตียนก็มีการพูดภาษาพระเจ้า(เอ มันเรียกอย่างนี้รึเปล่า ลืมไปแล้ว) เป็นเหมือนประโยคเพียงประโยคเดียว(ส่วนมากจะพูดกันได้คนละประโยคนั่นแหละ) ซึ่งเขาว่ากันว่า เป็นภาษาที่จะสื่อกับพระเจ้าได้แทนข้อความที่อยากจะอธิษฐานกับพระเจ้าทั้งหมดได้ ในขณะอธิษฐาน ซึ่งจะเริ่มพูดได้ก็จากที่คนรอบข้างพร้อมใจกันอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้พูดได้
    ผมเคยผ่านพิธีนี้มา เขาจะนั่งล้อมวงให้ผมนั่งกลางและแต่ละคนจะเอามือชูขึ้นมาทางผม พร้อมกับอธิษฐานพร้อมๆกัน คำพูดมันจะค่อยๆออกมาเองน่ะ พร้อมๆกับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันรุนแรงที่ถูกถ่ายทอดมาจากรอบข้าง

    มานั่งคิดตอนนี้ก็ เอ มันก็คือพลังจิตอย่างหนึ่งซินะ
    นั่นแหละ ที่ผมได้รู้จักพลังจิตครั้งแรกเต็มตัว

    น่าเศร้า ที่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้ผมไม่อาจศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับศาสนาคริสต์ได้อีกและต้องออกมาจากตรงนั้นและกลับมานับถือพุทธดังเดิม จนกระทั่งปัจจุบันนั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2007
  2. raquaz

    raquaz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +3,831
    สมัยวัยรุ่นนี่เอง ที่ผมได้มีโอกาสบวชเณร
    คณะตำหนัก วัดบวร คณะที่เขาว่ากันว่า คนมากมายต้องจอง ต้องเล่นเส้น ถึงจะได้บวช เพราะเป็นคณะที่องค์ดาไลลามะ เคยมาพำนัก และถ้าจำไม่ผิดเป็นคณะที่ ร9ทรงพำนักขณะผนวชเช่นกัน
    แต่ผมแค่ไปถามหลวงพี่ ที่อยู่แถวนั้นว่า หากผมอยากจะบวชคณะนี้ จะต้องทำอย่างไรครับ...แค่นั้น
    ผมได้เรียนรู้การทำสมาธิอย่างจริงจังครั้งแรกที่นี่
    กำหนดลมหายใจ พุทโธๆ
    ถึงเป็นเณรแต่ก็ไม่หายซุ่มซ่ามเท่าไร ทำให้ผู้ศรัทธาที่ตักบาตรเราต้องบาปเนื่องจากปลาที่เขาตักบาตรมาให้นั้น ก้างติดคอผมขณะกิน ต้องโทรไปบอกโยมแม่กลางดึกว่า
    "โยมแม่ อาตามก้างปลาติดคออีกแล้ว ช่วยมาพาไปโรงพยาบาลทีครับ"
    เอ่อ โปรดสังเกตคำว่าอีกแล้ว แล้วจะรู้ว่าชีวิตผมซุ่มซ่ามมาตลอดน่ะแหละ ฮ่าๆ

    หลังจากสึก ผมก็ยังคงนั่งสมาธิอยู่ จนกระทั่งวันหนึ่งขณะที่นั่งสมาธิอยู่นั้น ได้สัมผัสถึงการตกของจิต ที่ลึกเหมือนหุบเหวไร้ก้น ความรู้สึกตอนนั้น คือ ตกลงไปตายแน่ๆ เกิดการกลัวอย่างบอกไม่ถูก จะได้ถอนออกจากสมาธิ

    น่าเสียดายที่จาก ความกลัววันนั้นทำให้นอนไม่หลับไป 3 วัน และไม่กล้านั่งสมาธิอีกเลย

    ช่วงหลังสึกนี่เองที่ได้รู้จักกับพลังจักรวาล จากการติดตามน้าผมไปร่วมงาน
    ได้รับการเปิดตาที่ 3 ในงาน แต่เนื่องจากผมไม่อยากทำสมาธิแล้ว จึงไม่ได้มีการสานต่อใดๆต่อมา

    และชีวิตผมก็ได้ดำเนินต่อไปแบบเจออะไรประหลาดๆมาเรื่อยๆ แต่ด้วยความทึ่ม..ล่ะมั้ง เลยไม่ค่อยได้ใส่ใจเท่าใด จึงอยู่รอดปลอดภัยดี

    แต่แล้วเรื่องทางจิตก็กลับมาหาผมได้ค้นคว้าอีกครั้ง
    วันนั้นผมค้นหาข้อมูลเรื่องพญานาค เพื่อใช้ประกอบในงานดีไซน์ของตัวเอง
    แล้วผมก็เจอเวปนี้
    ไม่รู้ว่าสาเหตุอันใด แม้อ่านเรื่องพญานาคจบแล้ว ผมก็บุคมาร์คเวปนี้เอาไว้

    วันที่ผมสมัครเวปนี้ คือวันที่ผมว่างจนเปิดเวปนี้ขึ้นมาอ่านอีกครั้งหนึ่ง ช่วงแรกๆอ่านแต่เรื่องผีน่ะแหละ จนไปถึงเรื่องทางจิต
    เพราะสนใจเรื่องทางจิตมาตั้งแต่เด็กๆอย่างที่กล่าวไปน่ะแหละ

    กระทู้แรกที่ผมตั้งก็คือ
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?p=614012#post614012
    แนวสอบถามถึงสิ่งที่ตัวเองเจอๆมา

    จากคำตอบที่ได้รับ ผมได้ยินถึงชื่ออาจารย์ตาที่ 3 เป็นครั้งแรก

    แต่ก็ยังเฉย ไปเรื่อง ใจคิดเพียงแค่ ไว้สักวันจะลองไปหาท่านดูๆ

    ก็ยังอยู่ในฐานะผู้ดูที่แสนดีเรื่อยมาจนกระทั่งวันนั้น ที่ผมเจอกระทู้การจัดงานวันที่ 5 สิงหาคม
    อ่านแล้วก็คิดเพียงว่า...ต้องไป
    ลงชื่อเรียบร้อย

    นั่นคือจุดเริ่มต้นอีกครั้งกับเรื่องของพลังจิตครับ
     
  3. raquaz

    raquaz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +3,831
    ผมมองเรื่องพลังจิตว่า มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนนะ
    ถ้าพูดถึงพลังจิตกับคนทั่วไปแล้ว ปฏิกิริยาของคนฟังมันจะมีแค่ 3อย่างแหละ
    1 เชื่อ
    2 ไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ลบหลู่
    3 ไม่เชื่อ แถมคิดว่างมงายหลอกลวง

    ผมคงเข้าข่ายข้อ 1 มั้ง ผมถึงเกิดความคิดหลังสมัครว่า เอ ผมน่าจะเรียนรู้เพิ่มเติมเสียก่อนนะ
    แล้วผมก็ได้อ่านกระทู้ฝึกดูออร่า
    อ่านๆๆ แล้วก็เห็นว่ามีแบบฝึกหัดให้ทำ
    แบบฝึกหัดที่1 จ้องจุดดำๆ ให้จนเห็นออร่า
    ก็จ้องอ่ะนะ ไม่ได้คิด ไม่ได้กลุ้มใจว่าจะจ้องยังไงวะ แต่เขาบอกให้จ้องก็จ้อง
    3นาทีผ่านไป เริ่มเห็นออร่าสีขาววิ่งหมุนรอบๆจุดสีดำนั้นๆ ก็อะโห ดีใจ เห็นละ

    แต่ อุปทานรึเปล่าหว่า

    เอาเป็นว่า คิดว่าอุปทานไว้ก่อน ไปแบบฝึกหัดที่ 2 ต่อ
    ใช้เวลาเกือบชั่วโมงในการมองรูปออกมาได้ และภาพไม่ค่อยเสถียรมากนัก
    เริ่มเข้าใจคอนเซปต์การมอง
    แบบฝึกหัดที่ 3 จึงทำได้ไม่ยากนัก

    แต่ถามว่า ผ่านทั้ง3 อันแล้วเป็นยังไงล่ะ
    ไม่มีอะไรหรอก แต่ระหว่างคิ้วน่ะ ปวดหนึบๆ เต้นตุบๆ
    จากคำของคุรุ นั่นคืออาการของตาที่3 เริ่มถูกใช้งาน

    ผ่านทั้ง 3 แบบฝึกหัด ผมใช้เวลา 2 ชม นิดๆ
    ฝึกดูพลังออกจากมือตัวเอง ก็ดูได้ แต่ยังสองจิตสองใจกับอาการอุปทาน

    ทีนี้ก็ถึงขึ้นตอน เลี้ยงดูพลังของตน
    การทำสมาธินั้นเป็นข้อที่ขาดมิได้
    อืม.......
    กลัวนะ กลัวตกแบบคราวที่แล้ว ผมก็เลยทำสมาธิแบบคร่าวๆ
    ไม่ได้เข้าลึกอะไรเท่าไร จนกระทั่งไปถึงวันงานนั่นแหละ

    งานวันที่5 นั้น ไปแบบพกความมั่นใจมาเต็มกระเป๋า แต่ดันไม่ได้เอากระเป๋าไปน่ะ รู้สึกตัวเองลีบเล็กมากๆ เพราะมีคุรุอย่างอาจารย์โคมฉายที่ทำให้ผมรู้สึกอย่างนั้น(ในหลายๆความหมาย)
    คนอื่นเขาว่ากันว่า เข้างานปุ๊ปขนลุก..ผมไม่ยักเป็น
    (ทั้งๆที่เวลาผ่านสุสานจะชอบขนลุก)
    แต่พอนั่งข้างในห้องประชุมผมรู้สึกปวดหัวมึนๆ (แต่ก็คิดไปว่าคงเป็นเพราะเนื่องจากจนวันก่อนหน้านั้น นอนไม่ค่อยหลับ)
    อาจารย์โคมฉายกางกำแพงแก้วให้ ก็ยังไม่รู้สึก อาจจะเพราะนอนไม่พอจริงๆ

    ถ้าให้พูดเล่นๆตอนนี้แล้วล่ะก็..ผมยังเด็กใหม่มากๆตอนนั้น
    เพราะคำที่อาจารย์ใช้ คำไหนที่เป็นภาษาบาลี ผมไม่เก็ททุกคำน่ะแหละ เนื่องจากห่างหายไปนาน (เพราะก่อนนอนก็สวดแค่คาถาชินบัญชรบทย่อ)
    แต่ก็อืม ได้รู้อะไรหลายๆอย่างดีมาก เสียดายอย่างเดียวเรื่องการทำสมาธิที่กะจะตั้งใจฟังมากที่สุดก็มาตกม้าตายตรงภาษาบาลีเยอะ จนไม่ค่อยรู้เรื่องเหมือนกัน ฮ่าๆ

    เครื่องหมายคำถามในใจอันแรก...เรื่องพลังของตน

    ในงาน อาจารย์อาชวิน(ซึ่งผมรู้วันนั้นเองแหละว่าคืออาจารย์ตาที่ 3 ที่ผมกะไปพบในตอนแรก) ท่านได้ตรวจออร่าให้กับผู้ร่วมงานทุกท่าน
    แต่ละคนมีกัน 100กว่าๆบ้าง 200บ้าง 300 บ้าง
    เอ แล้วตูจะมีเท่าไรหว่าเนี่ย...
    แล้วก็ถึงตาผมถูกวัด
    อาจารย์ท่านบอกว่าให้ยกแขนขึ้น2ช้าง แล้วลองดันดู
    แต่ผมฟังไม่ถนัด จับได้แค่คำสุดท้ายของอาจารย์ว่า หนักหน่อยนะ..หลับตาด้วย
    ผมก็รีบหลับตา ยืนเฉยๆ ไม่ได้ทำสมาธิอะไรเพราะใจเต้นตุ้มๆต่อมๆ
    ผลออกมาคือ 92 ออร่าสีฟ้า

    ทำไมตั้ง92หว่า?

    อาจารย์ว่าคนธรรมดาจะมีแค่ประมาณ 20-30 เอง คนที่เก่งๆหน่อย (ซึ่งผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นคนที่ทำสมาธิอะไรงั้น) ก็จะมีตั้งแต่ 50 ขึ้นไป
    แต่ เอ เราก็ไม่ได้ทำสมาธิมาเกือบ15ปีแล้ว ทำไมมันสูงจัง
    แต่ก็ไม่ได้สอบถามอะไร เพราะดูออกว่าอาจารย์เหนือ่ยมากจริงๆ
    กะจะไปถามอาจารย์ตอนไปเยี่ยมท่านที่บู๊ท
    ก็เลยไปถ่ายภาพออร่าเล่น 400บาท
    ว๊าก เงินสดไม่พอ ก็เลยรีบไปเบิกเงินกลับมาภายในช่วงพักกลางวัน
    เห็นแต่ละท่านออร่าสีสวยๆกัน ก็เริ่มตื่นเต้นบ้างแล้ว
    แต่ก็ทำใจว่าออร่าเราคงไม่สวยหรอก เพราะไม่ค่อยได้ทำสมาธิ
    แต่ก็ต้องตกใจเพราะ...
    [​IMG]

    เหอๆ จะสีอะไรกันนักหันหนานะน่ะ?
    อาจารย์ที่ถ่ายภาพท่านบอกว่า จิตวูปวาปดี เวลาทำสมาธิจะเข้าได้ดี
    อ้อ แล้วไอ้ขาวที่กระจายอยู่รอบๆน่ะเป็นฝุ่นของเครื่องแสกนครับ ไม่ใช่ปาติหารย์ใดๆ ฮ่่าๆ

    อืม ยิ่งคิดก็ยิ่งแปลก...แต่ว่างานวันที่ 5 นั้น ยังไม่ได้หมดความมหัศจรรย์เท่านั้นหรอก
     
  4. raquaz

    raquaz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +3,831
    กลับเข้าไปในตัวตึก ไปวัดเรื่องอาหารการกินที่คนน้อยที่สุด ฮ่าๆ
    สมแล้วที่เป็นเก๊าท์...แตงกวา ชะอม จับพลังปุ๊ป มันจี๊ตๆขึ้นมือทันที
    ส่วนอันอื่นนั้น จับพลังส่วนมากได้เย็นหมด ...แต่ตอนนั้นก็คิดแค่ว่าคงเป็นเพราะเป็นบริเวณที่ใกล้แอร์มากที่สุดมากกว่ามั้ง มันเลยเย็น
    (อยู่ในอารมณ์ที่ยังไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองมี เห็นและสัมผัสได้เต็มที่)

    จนกระทั่งได้ไปจับพลังพระเครื่องเป็นครั้งแรกน่ะแหละ
    อาจารย์ท่านให้จับพลังจากพระเครื่องว่าร้อนรึเย็น ผมได้องค์จตุคามมาทดสอบพลัง เอามือซ้ายจับดู รู้สึกเย็นๆ
    อาจารย์ท่านก็บอกอย่างติดตลกว่า ขนาดจตุคามยังเย็นเนี่ย อย่างคุณน่ะ
    ใส่พระอะไรก็ได้เลย

    และต่อมาก็ได้ทำการดูถึงลักษณะพุทธคุณขององค์พระ
    อาจจะเป็นเพราะถูกรายล้อมด้วยคุรุระดับพลังสูงๆกันทุกคนมั้ง เลยทำให้พลังถูกบีบให้ใช้ออกมาได้มากกว่าปกติ
    จากการจับพลังพระเครื่อง จึงสามารถเห็นได้ถึงสีม่วงจางๆ นอกจากสีขาวจางๆ
    ที่ได้เห็นตลอดมา ออกมาจากองค์จตุคามที่กำลังวัดอยู่... และนั่นคือสีที่ถูกต้องอีกด้วย
    แน่นอน ตอนแรกผมก็คิดว่าอุปทาน
    แต่เหตุการณ์เล็กๆอันหนึ่งทำให้ผมเชื่อว่าผมไม่ได้อุปทาน
    เพราะอาจารย์ขยับตัวเข้ามาบังแสงที่บริเวณที่ผมดูออร่าพระอยู่
    ผมเห็นองค์จตุคามกับกระดาษที่มืดลงเพราะเงาของอาจารย์กับกระดาษ
    แต่ออร่ารอบๆสีม่วงๆจางๆจนเกือบขาว นั้นหมุนรอบองค์จตุคามอย่างเด่นเป็นสง่า ไม่หายไปอย่างใด

    นั่นแหละที่ทำให้ผมเชื่ออย่างสนิทใจว่า เออ เราเห็นจริงๆ ไม่ใช่อุปทานแน่นอน

    เก็บอารมณ์ดีใจเข้ากระเป๋า แทนความมั่นใจที่ลืมเอามากลับบ้านได้แล้ว

    แต่ก่อนกลับ เวลายังเหลือเฟือ ก็เลยได้ไปมุมของคุรุท่านหนึ่งที่ใช้พลังในการรักษาโรด ได้มีโอกาสคุยกับพี่สาวแสนดี ที่ชื่อคุณปานโสม โดยไม่รู้จักพี่สาวคนนี้มาก่อน รู้แต่ว่าเธอทั้งสวย และมีราศีเหลือเกิน ได้เป็นที่ปรึกษาแทนเนื่องจากอาจารย์ยังง่วนอยู่กับการรักษาผู้อื่นอยู่

    หากเปรียบเทียบการรักษาผู้อื่นด้วยจิตแล้ว ในตอนที่ผมเป็นคริสต์เตียนนั้น เขาใช้คนเป็นกลุ่ม อธิษฐานหมู่ในการรักษาคนเพียงหนึ่งคน
    แต่ในวันนั้นที่ผมเห็นก็คือ คุรุรักษาคนมาปรึกษาด้วยตัวเพียงคนเดียว
    แน่นอนว่า เล่นเอาผมงงไปเลยง่า คุรุแต่ละท่านมีพลังขนาดนั้นกันเลยรึไง
    วันนั้นที่ผมได้เห็นก็เรียกว่าอัศจรรย์แล้ว งานนี้นี่แหละที่รู้สึกอัศจรรย์กว่าอีก
    ทำให้เกิดอาการหลงไหล และอยากเอาจริงเอาจังทางด้านนี้ขึ้นมาทันที

    อีกทั้งเกิดเหตุเล็กน้อย ที่มีองค์พยายามมาลงในร่างเด็กคนหนึ่ง แต่ด้วยความที่ความสามารถของเด็กยังไม่พอ จึงต้องให้คุรุมาช่วยดูให้จนในที่สุดคุรุก็สั่งให้คนที่มุงดูเปิดทางให้องค์ออกไปด้วยดี

    แต่บังเอิ๊ญบังเอิญ ที่ผมไปยื่นอยู่ในทางที่เปิดให้องค์ผ่านพอดี
    ผมเลยเหมือนได้ของแถมกลับมามากกว่าคนอื่นเขา คือ อาการปวดข้อศอกซ้ายที่ไปอยู่ผิดที่ผิดทางผิดเวลา

    เมื่องานนี้จบลง ต่างคนก็กลับบ้านกันด้วยอารมณ์อ่อนเพลียเต็มที่ ตามที่อาจารย์อาชวินกล่าวไว้ไม่มีผิด นั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2007
  5. CHAYA MARUTY

    CHAYA MARUTY เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2007
    โพสต์:
    1,005
    ค่าพลัง:
    +10,787
    หนุก ๆ ดี
     
  6. The Third Eyes

    The Third Eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +51,007
    ภาพ ถ่ายออร่า ของ คุณ Raquaz
    การดูออร่า ให้เริ่มจาก ด้านขวา มายังด้านซ้าย (ของตัวผู้ถูกถ่าย)
    หรือเป็นการบอกล่วงหน้า ของวงจร ชีวิต
    ว่า จาก ตั้งแต่เกิด ไปจนตาย ชีวิตจะเป็นเช่นไร

    แสงออร่า บอก อนาคตได้เหมือนการพยากรณ์ชีวิต

    เริ่มจาก ขวาสุด ช่วง อายุ 1-25 ปี มีสี เขียวปนเหลือง
    แปลว่า ชาติก่อน เป็นวิญญาณ ที่ มี ความเมตตา และ ค่อนข้างฉลาดมากๆๆ มาก่อน..มาเกิด และ แสดง เอกลักษณ์ อย่างนั้น

    ช่วง อายุ 25- 35 ปี ออร่าเป็นสีเหลือง ปนแดง อ่อน
    แปลว่า ยิ่งโต ยิ่งฉลาด และเมื่อเรียนรู้มากขึ้น
    ก็ เปลี่ยนบุคคลิคให้เป็นคนที่มีความมั่นใจสูงขึ้น

    เลย ช่วง 35 ไป ออร่า เปลี่ยนเป็น สีฟ้า
    สีฟ้า คือ สีของ ผู้ที่เข้าใจ ชีวิต แล้วก็จะกลายเป็นผู้สอน
    สอนให้คนรู้จัก ว่า ชีวิต คือ อะไร..การเป็นคนดี ทำอย่างไร

    ช่วงท้ายคือ สีม่วง
    สีม่วง คือ สี แห่ง การเข้าใจในหลัก ของ ธรรมะ/หรือ ปรัชญา ของชีวิต
    ถ้าเป็นพุทธมามกะ ก็แปลว่า จะเป้น ผู้สอน ธรรม
    ถ้าเป็น ศาสนาอื่น ก็แปลว่า..เป็นผู้ที่เข้าใจ ในหลัก ของ ศาสนา ที่ เขานับถือ

    นับว่า เป็น ออร่า ที่ ดี มาก อยู่ในเกรด A- หรือ 85 %

    นี่เป็นตัวอย่างออร่า ที่ แปลให้ฟัง และจะแปลเพียงออร่าเดียว
    ขอ ผู้อื่นอย่าได้ ขึ้นรูปออร่า มาบนเวปนี้ ให้แปล

    มิฉนั้น จะมีคนเอา รูปออร่า ขึ้นมาอีก มากมาย
    เวปนี้ ก็จะกลายเป็นเวป..แปลสีออร่า
    ผมคงไม่มีเวลาเข้ามา แปลให้
     
  7. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,086
    คุณraquaz<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_661634", true); </SCRIPT> มีพรสวรรค์ในทางการเขียนเล่าเรื่องได้น่าสนใจ
    อ่านแล้วเพลินจนไม่อยากให้เรื่องจบ

    เขียนให้อ่านบ่อยๆนะครับ
     
  8. raquaz

    raquaz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +3,831
    อาจารย์ชยา ขอบคุณที่เป็นทั้งคนลุ้นให้เขียน เป็นคนทวงต้นฉบับ
    และรออ่านจนจบทั้งๆที่ง่วงและต้องทำสมาธิด้วยครับ ฮ่าๆ

    อ่านเรื่องอาจารย์ปานโสมทีไร รู้สึกถึงเรื่องความมหัศจรรย์ได้ทุกทีเลยครับ
    แถมบางครั้งก็ได้ข้อคิดดีๆทุกทีอีกเช่นกันฮ่าๆ
    อ้อ และขอบคุณที่อุตส่าห์ติงให้ผมกรองคำพูดใหม่ครับ ถ้าเจอจุดไหนที่อ่านแล้วรู้สึกไม่ดีอีกก็กล่าวเตือนได้ครับผม
    ผมตั้งใจจะให้กระทู้นี้ให้เป็นกระทู้สำหรับคนที่พึ่งตื่นทางด้านพลังจิตอยู่แล้วครับ
    เล่าประสพการณ์ บอกแนวคิด Case Study ฯลฯ ที่ทำให้อ่านแล้วคนอ่านรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องใกล้ตัว ตนเองไม่ได้แปลกอะไร และพอจะรู้แนวทางการฝึกฝนต่อไปน่ะครับ เพราะฉะนั้น ถ้าใครอยากเขียนแนะนำอะไรก็เชิญได้เลยครับผม
    ผมจะยินดีถ้ามันมีประโยชน์กับทุกท่าน สมดังที่ตั้งใจไว้ ครับ

    รู้สึกเป็นเกียรติตั้งแต่ตอน6 โมงเช้าที่เข้ามาตอบข้อความคุณปานโสม เห็นอาจารย์เข้ามาอ่าน ก็รู้สึกเป็นเกียรติแล้ว
    นี่อาจารย์ท่านอุตส่าห์อธิบายถึงเรื่องออร่าให้ฟังอีก เป็นความกรุณาจริงๆครับ
    หวังว่าคงจะไม่ทำให้เหนื่อยแต่เช้านะครับ
    ขอขอบคุณมากๆครับ ได้ความมั่นใจมาอีกเพียบ
    อ่านแล้วตกใจ
    เพราะถูกต้องจริงๆครับ เพราะ
    ช่วงเด็กๆฉลาดจริงๆ ครับ แต่ฉลาดแบบแปลกเด็ก
    ป1 สอบครั้งแรกได้เกรด 4 ที่หนึ่งของห้อง ที่ 2 ของชั้น
    ได้ของเล่นเป็นรางวัลมากมาย ก็ดีใจที่ได้ของเล่นนะครับ
    แต่เชื่อไหมครับตั้งแต่ตอนนั้นมาไม่อยากได้อีกเลยรางวัลอีกเลย
    มีความรู้สึกตั้งแต่เด็กว่าถ้าอยู่สูงอย่างนั้น สักวัน เราจะติดลมบน
    และต้องใช้ชีวิตการเรียนด้วยความประมาทไม่ได้เลย
    เพราะเราตกลงมาจะเจ็บกว่าคนอื่น และคนอื่นรอบข้างก็จะเจ็บเหมือนกัน
    ว่าง่ายๆว่าอยากใช้ชีวิตธรรมดามากกว่าชีวิตที่สูงเกินไป
    สอบครั้งต่อมาก็ได้เกรด3 เสียเลย ฮ่าๆ
    จำได้ว่าหลายๆครั้งที่เข้าห้องสอบไปมั่ว ไม่ใช่ไม่รู้เรื่องนะครับ แต่ไม่อยากตอบถูกเดี๋ยวคะแนนจะดีเกินไป
    ไม่ใช่พูดให้คนหมั่นไส้ แค่แปลกเด็กน่ะครับ

    ส่วนเรื่องความมั่นใจน่ะครับ จะมั่นใจแค่เรื่องการใช้ชีวิตของตัวเองว่า
    เวลาเราตัดสินใจอะไรแล้วเราจะไม่ถอย ไม่ผิดหวัง มั่นใจในการเลือกทางเดินครับ แต่เวลาทำอะไรอย่างอื่นไม่ค่อยมั่นใจเลยครับ แฮะๆ

    อา..ตอนนี้เริ่มเป็นอาจารย์สอนภาษาญี่ปุ่นไปแล้ว ตามสีออร่าสีฟ้าจริงๆด้วยครับ

    ขอขอบคุณอาจารย์ทีทำให้เชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้นจริงๆครับ

    ข้าน้อยมิบังอาจๆ อาจารย์เมาท์เองก็เขียนสนุกจะบางทีทำให้ผมหมดเวลาเป็นวันๆ เพราะอ่านแล้วติดหนึบเหมือนกันครับ
    ผมมันแค่คนชอบเขียนอะไรแค่นี้เอง
    ตะก่อนอาจจะเก่งกว่านี้ครับ แต่พอเรียนภาษาญี่ปุ่นกลับมาแล้ว ภาษาไทยอ่อนแอมากมายเลยครับ ฮ่าๆ

    ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้คำติชม และกำลังใจ
    และขอบคุณทุกท่านที่อุตส่าห์เข้ามาอ่าน
    ขอบคุณที่ให้โอกาสผมครับ ถึงแม้จะเขียนไม่สนุก แต่ก็ไม่ได้ดุด่าใดๆ
    ยังไงแล้วจะพยายามรื้อฟื้นภาษาไทยตัวเองให้กลับมาเร็วที่สุดครับผม

    ขอบคุณมากๆครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2007
  9. raquaz

    raquaz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +3,831
    หลังจากกลับมาจากงานวันที่ 5 แล้ว ค่อนข้างจะยังสับสนอยู่นิดๆว่าเอาเราควรจะทำยังไงต่อดี
    แต่ค่อนข้างจะโชคดีพอสมควรเพราะว่าเดี๋ยวนี้อินเตอร์เนทนั้นมีข้อมูลมากมายให้เราค้นหา แต่ส่วนมากคำตอบที่ค้นเจอ ก็จะอยู่ในเวปพลังจิตเนี่ยแหละ ฮ่าๆ
    หรือไม่ก็ อ่านๆอะไรไปในเวปนี้ แล้วก็จะมีคนเขียนคอมเมนท์บางอย่างให้ ซึ่งตรงกับสิ่งที่เราอยากรู้พอดี เลยพอจะเข้าใจอะไรดีๆขึ้นบ้าง

    แต่ก็ยังติดๆขัดๆไปบ้างตามประสามือใหม่
    ไอ้จะเอาความรู้ตอนสมัยบวชเณร เราก็ดันคืนอาจารย์ไปหมดแล้วด้วยความที่กลัวว่าท่านจะไม่มีอะไรสอน ฮ่าๆ
    แต่ตอนนั้นรู้แล้วล่ะ ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการทำสมาธิ
    ก็นั่งสมาธิเรื่อยมา ใจก็คิดว่าถ้ามีคนรอบรู้มาคอยปรึกษาใกล้ๆก็คงจะดีนะ

    จนสัก2-3 วันผ่านไป
    ผมได้รับข้อความส่วนตัวจากสมาชิกท่านหนึ่งกล่าวขอขมาถึงสิ่งที่เขาอาจจะทำอะไรไม่ดีกับผมไป

    อืม.....






    ..............................ใครหว่า..เราเคยรู้จักกันด้วยรึน่ะ

    นึกไม่ออก แต่ใจผมตอนนั้นเหมือนจะรู้คำตอบก็เลยตอบข้อความไปว่า

    ผมไม่รู้ว่าท่านหมายถึงเรื่องอะไร
    อาจจะจำคนผิดหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่หากไม่ผิด
    ผมขออโหสิให้ครับ และขอให้ท่านอโหสิให้ผมในสิ่งที่ผมเคยทำไม่ดีกับท่านด้วยเช่นกัน
    แต่หากเป็นการส่งข้อความผิดคน
    ยินดีที่ได้รู้จักครับ ฮ่าๆ

    และผมก็ดูๆในเวปนี้แหละว่าคนๆนี้เป็นใคร เค้าเคยทำอะไรผมไว้รึเปล่า แต่ก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะผมเคยตอบกระทู้ก็แค่ไม่กี่กระทู้เอง แน่นอนว่าไม่พบอะไรที่ว่าเขาทำไม่ดีกับผม แต่พบกับความจริงอีกอย่างหนึ่งแทน

    เอ พี่เขาเป็นคุรุท่านที่สอนดูพระเครื่องที่เขามาบังแสงให้ผมเห็นออร่าได้ชัดเจนและรู้ถึงการมีอยู่ของออร่าจริงๆนั่นเอง

    และข้อความส่วนตัวของคุรุท่านนี้ก็มาอีกครั้ง
    ในหัวข้อ "ไม่บังเอิญครับ"

    การแลกเปลี่ยนข้อความส่วนตัวกับคุรุท่านนี้นั้น
    ทำให้ได้รับรู้เรื่องราวดีๆเกี่ยวกับตัวเอง
    แต่ ผมก็เลือกทางสายกลางคือ เลือกที่จะเชื่อมากกว่าไม่เชื่อ แต่ก็จะเก็บไว้พิสูจน์ภายหลังด้วย เพราะท่านเองก็เป็นคุรุ ก็ไม่น่าจะหลอกลวงอะไรให้บาปตัวเองหรอก แต่เรื่องที่เขาพูดออกมานั้น นอกเหนือการรับรู้ทางจิตของผมไปหลายขุมทีเดียว
    แต่น่าแปลกเช่นกัน ตอนที่ผมได้ไปวัดพลังพระเครื่องกับคุรุท่านนี้
    ผมก็รู้สึกคุ้นเคยกับคุรุท่านนี้อย่างแปลกประหลาด และอยากจะรู้จักมากขึ้น แต่เนื่องจากวันงาน คุรุทุกท่านวุ่นวายกันเต็มที ผมเลยไม่ได้คุยกับคุรุท่านนี้เป็นการส่วนตัวแต่อย่างใด จนกระทั่งข้อความจากคุรุท่านนี้ มาถึงผมเองนั่นแหละ

    โลกนี้ ไม่มีความบังเอิญ ทุกคนจะต้องเจอกับคนที่จะต้องเจอ ในสถานที่ที่ต้องเจอ ในระยะเวลาที่ต้องเจอ และในสถานการณ์ที่ต้องเจอ และสุดท้ายก็ต้องพลัดพรากจากกัน ในเวลา สถานที่ และสถานการณ์ที่ต้องพลัดพรากจากกันนั่นเอง วันเวลานั้น ไม่แน่นอน อาจจะเป้นพรุ่งนี้ หรือไวกว่านั้น หรืออาจจะไวเกินกว่าจะตั้งตัวก็ได้ เพราะฉะนั้น มีความรู้สึกดีๆอะไรก็พูดไป จะได้ผูกสัมพันธ์กันได้รวดเร็วขึ้น เก็บไว้ตายจากกันไปไม่ได้บอกกล่าว เสียดายเปล่า

    นั่นคือทฤษฏีการคบคนของผม ปล่อยวาง แต่ไม่ประมาท และผมยิ่งเชื่อว่ามันถูกต้อง เพราะสุดท้าย ผมก็ได้รู้จักคุรุท่านนั้นจนได้ เห็นไหมล่ะ อิอิ

    ที่แน่ๆ ผมได้คำตอบว่า ทำไมผมถึงมีออร่าตั้ง 92
    คุรุท่านนี้บอกว่า เขาขอขมาที่ได้แอบดูออร่าผมตอนที่ผมวัดพลังพระเครื่องกับเขาอยู่ เห็นถึงเรื่องราวในอดีตที่เกี่ยวข้องกับเขาอยู่ และเนื่องจากบารมีเก่าดีมากพอสมควร เขาจึงอยากมาให้เรียนรู้เรื่องจิต เรื่องออร่า และตาที่3 ให้ละเอียดมากขึ้น

    เห็นไหมล่ะ แล้วเรื่องทางจิตมันก็กลับมาหาผมจนได้
    คนที่กำลังอยากจะค้นคว้าเพิ่มเติมอย่างผม มีรึจะปฏิเสธ อิอิ
    ผมก็เลยตอบตกลงทันที

    ในขณะที่ถามตอบกันด้วยข้อความส่วนตัวอยู่นั้น
    มีอยู่ตอนหนึ่งที่ผมรู้สึกปวดหัวอย่างแรง มึนตึบ
    แถมรู้สึกถึงร่างคนสว่างๆที่ปลายๆตา
    เรียกว่าต้องหลับตาปี๋หน้าจอคอมเนี่ยแหละ เกือบ 1นาที
    ผมสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เลยแกล้งถามกลับไป ว่าส่งพลังอะไรมาหาผมรึเปล่่าเนี่ย หน้าจะมืดเลย แถมรู้สึกถึงร่างคนสว่างๆที่ปลายๆตา
    ท่านก็ส่งข้อความกลับมา หัวข้อ "อุ้ยขอโทษ"
    แน่ะ จับตัวการได้แล้ว

    เขาบอกว่าเผลอไป เพราะจิตเขาคิดถึงผมในขณะที่ตอบข้อความตาเขาเลยส่งพลังผ่านจอไปถึงผมเล่นโดยไม่ได้ตั้งใจ
    ผมได้เรียนรู้ว่า คำว่า โดนไปหนึ่งดอกน่ะคืออะไร พร้อมๆกับได้รู้ว่า
    ความรู้สึกของคนเป็นเสารับสัญญาณน่ะเป็นยังไง ฮ่าๆ

    ในขณะที่เขียนอยู่นี่ก็เช่นกัน ผมคุยกับคุรุท่านนี้อยู่ ท่านบอกเล่นๆว่านิสัยของท่านชอบสแกนออร่าคนอื่นดู ซุกซนไม่หาย
    แต่ผมขอบอกว่า ผมขอบคุณนิสัยซุกซนอันนั้นของท่านนะ
    ไม่งั้นผมคงได้ไม่เข้ามาศึกษาด้านนี้อย่างเต็มตัวตลอด 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา และหลังจากนี้ต่อไปหรอก
    อย่าแก้เลยครับ นิสัยนี้ เก็บไว้ค้นหาคนเก่งๆกว่าผมเถอะนะ อิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2007
  10. raquaz

    raquaz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +3,831
    คุรุท่านนั้นบอกว่า ต่อไปให้พยายามมาหาอาจารย์ตาที่ 3 บ่อยๆ เพื่อจะได้เรียนรู้อะไรๆได้เร็วขึ้น
    แหม การไปพบกับอาจารย์ตาที่3 เนี่ย ยิ่งตรงกับวัตถุประสงค์ผมไปใหญ่

    ผมก็เลยตอบตกลง

    ช่วงนี้การทำสมาธิของผมนั้น
    ถ้าให้สารภาพตรงๆอย่างไม่อาย ก็จะบอกว่า มันมีกิเลสแฝงอยู่ในการทำครับ
    ผมอยากที่จะได้ช่วยคนอื่นเร็วๆตามที่เคยตั้งใจไว้น่ะ
    ยิ่งมีคนเห็นแววว่าเราจะไปได้ดี ก็ยิ่งอยากจะให้มันเป็นเร็วๆ
    ตอนนี้ เวลาอธิษฐานอะไรก็จะขอแค่ ขอให้ผมเข้าถึงธรรมได้อย่างลึกซึ่งมากขึ้นๆไป แค่นั้นเองครับ

    แต่เวลาทำสมาธิก็พยายามตัดทั้งหมดทิ้งนะ เข้าใจว่ามันจะต้องตัด
    แต่อารมณ์ที่อยากจะทำสมาธิน่ะ มันแฝงด้วยกิเลสที่อยากช่วยคนอยู่เต็มที่ ไม่รู้ว่าจะเป็นผลดีหรือผลร้ายในภายหลังหรอก แต่สำหรับผมแล้ว การคิดอย่างนี้ มันทำให้มีกำลังใจและเพิ่มความอยากทำสมาธิน่ะครับ

    ช่วงนี้เองผมได้อ่านอะไรหลายๆอย่าง ถึงการสวดมนตร์ก่อนทำสมาธิ
    ผมได้รู้จักกับ บทสวดมหาจักรพรรดิ ของหลวงปู่ดู่ อ่านแล้วประทับใจยังไงบอกไม่ถูก ก็เลยสวดเรื่อยมา ตอนตี1 ซึ่งเป็นเวลาทำสมาธิประจำของผมได้สัก 2-3 วัน
    วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม
    วันแม่ คือวันที่ผมไปเยี่ยมบู๊ทของอาจารย์วันแรก
    ดูเหมือนว่าจะเป็นวันรวมตัวของคุรุพอดี ผมเลยได้พบกับคุรุในงานวันที่ 5 ที่ผ่านมาอีกเกือบทุกท่าน
    ด้วยความร้อนรนอยากเรียนเร็วๆ ก็เลยไปถึงบุ๊ทท่านตั้งแต่ 10 โมง
    ได้กล่าวทักทายอาจารย์อาชวิน และ อาจารย์วิวัฒน์ ที่เป็นหนึ่งในผู้ที่ใช้พลังรักษาคนในวันที่5 ที่ผมตั้งใจจะไปปรึกษาด้วย แต่ได้ปรึกษากับพี่ปานโสมแทนนั่นเอง ตอนนั้นอาจารย์มีลูกค้าอยู่ ผมเลยได้นั่งคุยกับอาจารย์วิวัฒน์ ท่านก็ได้ชวนคุยเรื่องต่างๆและสอนโน่นสอนนี่ และท่านยังทำน้ำมนตร์ให้ผมดื่มด้วย
    จนกระทั่งลูกค้ากลับไป อาจารย์อาชวินจึงว่าง อาจารย์วิวัฒน์จึงชวนผมเข้าไปคุยกับอาจารย์อาชวินต่อทันที อาจารย์ได้สอนให้ผมอาบน้ำกายทิพย์ให้
    ซึ่งตั้งแต่เกิดมาไม่เคยรู้วิธีทำเลย แต่พออาบแล้วรู้สึก...เอ่อ พูดไม่ถูก...
    รู้สึก สว่างมากๆน่ะครับ เบาตัวด้วย ท่านบอกให้ฝึกอาบน้ำกายทิพย์ไว้สักสัปดาห์ล่ะครั้ง และก็ได้สนทนากับอาจารย์อีกหลายอย่าง ท่านตรวจออร่าให้ผมใหม่อีกครัง ซึ่งผลออกมาค่อนข้างจะตลก ก็คือ
    ออร่าที่ผมวัดวันที่ 5 คือ 92
    ออร่าที่ผมวัดวันที่ 11 คือ 98
    ค่าต่างกันเพียง6 ซึ่งก็ตรงกับจำนวนวันตั้งแต่วันที่5 - วันที่ 11 เช่นกัน
    สรุปว่า ออร่าผมขึ้นมาเพิ่มวันละ 1 จากการทำสมาธิซินะเนี่ย เหอๆ
    ไม่ได้ผิดหวังหรอกนะครับ แต่ เข้าใจว่านี่คงเป็นเรื่องธรรมดาน่ะ แบบว่า
    อืม ก็คงประมาณนี้มั้ง ของมันต้องฝึกเป็นปีๆ แค่ผมเริ่มมาได้ที่92 ก็นับได้ว่าได้เปรียบกับคนอื่นมามากมายแล้ว
    คิดฮึดสู้ว่า เออ ถ้าออร่ามันขึ้นวันละ 1 ฝึกอย่างนี้อีกปีนึง มันก็ขึ้นมาอีก 395 ได้ล่ะวะ กลัวอะไร เลยทำใจได้ไปในที่สุด

    นั่งอยู่อีกสักครู่ ผมได้เจอคุณ A_wiwat ที่ภายหลังทราบว่าเขาได้ถูกคุรุท่านเดียวกับผมเรียกมาเรียนรู้เพิ่มเติมเหมือนกัน และ พี่ทานะบารมีผู้มีพลังออร่าสูงคนหนึ่ง (ผมรู้เพราะผมได้เจอพี่เขาในวันงานเพราะผมเข้าแถววัดออร่าใกล้ๆพี่เขาพอดี) ก็ได้พาเพื่อนเข้ามาหาอาจารย์ได้เปิดวงสนทนาเกี่ยวกับงานวันที่5 อย่างสนุกสนาน ปล่อยให้เพื่อนคุยกับอาจารย์ไปคนเดียว ฮ่าๆ ได้เห็นอาจารย์วิวัฒน์ทำน้ำทิพย์ให้กับคุณทานะบารมี เพื่อไล่ของที่ติดอยู่กับตัวจากการรักษาคนอื่นออกไป

    ต่อมา ได้มีสมาชิกท่านหนึ่งนำเอาดาบ เอาอะไรแปลกๆมาให้พวกเราดูพลังกัน น่ากลัวมาก โดยเฉพาะดาบอันที่เอามานั้น แค่ทุกครั้งที่ปลายดาบชี้เข้ามาหาผม ผมจะปวดหัวทุกครั้งไป ขนาดดาบยังอยู่แค่ในฝักนะน่ะ
    สมาชิกท่านนี้นี้เองที่เขาคงเห็นว่าผมยังใหม่มากๆสำหรับเรื่องธรรมะ ท่านจึงให้หนังสือธรรมมะมาให้ผมฟรีๆถึง3 เล่ม ขอขอบพระคุณมากๆครับ
    ว่าแต่พี่เขาไปได้ของแปลกๆแรงๆพวกนี้มาจากไหนกันนะเนี่ย ชวนให้นึกถึงร้านขายของเกี่ยวกับเวทย์มนตร์มากๆเลยครับ

    ช่วงบ่าย เมื่ออาจารย์ก็ค่อยๆทยอยกันมาเพิ่ม อาจารย์เมาท์มาพร้อมกับนำหินที่มีพลังต่างๆมาแจกให้กับพวกเราทุกคน โดนไม่เกี่ยงว่าจะเป็นเด็กใหม่รึไม่
    ผมเลยพลอยได้รับความกรุณาของท่านไปด้วย ผมเห็นท่านจับๆดูหินหลายๆก้อนก่อนจะเลือกส่งให้กับแต่ละคนๆ โดยหินที่ผมได้คือ มูนสโตน น่าบังเอิญเหลือเกินที่มันเป็นหินประจำเดือนเกิดผมพอดี อาจารย์เมาท์ท่านเลยบอกว่า หินมันเลือกเจ้าของ ที่อาจารย์สัมผัสหินดูตอนแรกก็เพื่อนจะรู้ว่า หินก้อนไหนเลือกเจ้าของคนที่กำลังต้องการจะให้ซินะครับ
    อาจารย์โคมฉาย มาพร้อมกับคุณแขก ช่วงนี้เองที่สมาชิกท่านอื่นก็เริ่มเข้ามาอีก 2-3 คน คนจึงเต็มบู๊ทอาจารย์อาชวินไปหมด อาจารย์ชยาก็ตามมาเช่นกัน

    วงสนทนาเริ่มแยกกันเป็น2 วง ใหญ่ๆ สมาชิกเริ่มสับเปลี่ยนกันไปๆมาๆบ้างตามเรื่องราวต่างๆที่สรทนา น่าเสียดายที่อาจารย์อาชวินจะต้องไปทำธุระข้างนอกจึงเหลือแต่เพียงพวกเรา หากวันนั้นอาจารย์อยู่ พวกผมก็อาจจะได้ดูอะไรดีๆเป็นบุญตาก็เป็นได้

    แต่ก็ได้พบอะไรดีๆเหมือนกันจากการมาครั้งนี้

    ด้วยความกรุณาของอาจารย์โคมฉายและคุณแขก
    ผมถึงได้มีโอกาสถามคำถามเกี่ยวกับตัวเอง

    เพราะผมอยากจะได้ความเชื่อมั่น ที่จะเดินทางสายนี้

    คำตอบที่ได้มาก้คือ ด้วยความที่ปีเกิดผม คือปีมะโรง ผมน่ะเป็นคนที่ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ แต่ในใจผมน่ะมีคำตอบให้กับตัวเองมาตั้งแต่ต้น ว่าเชื่อหรือไม่เชื่ออะไร
    แต่ต้องพิสูจน์จนพอใจก่อน ถึงจะตัดสินใจเชื่อจริงๆ และจะเชื่อได้มากกว่าคนอื่นๆอีกด้วย เพราะฉะนั้น จงไม่เชื่อต่อไปเถอะ แล้วในที่สุดก็จะเชื่ออะไรต่างๆเองแหละ

    โดนใจมากมาย ...เพราะถ้าพิจารณาดีๆแล้วมันไม่ใช่ผมไม่เชื่อมั่นในตัวเองหรอก ผมไม่เชื่อว่าตัวเองมีพลังจริงๆต่างหาก เกรงว่ามันจะเป็นเพียงอุปทาน และทำให้คนที่คนอื่นผิดหวังไปด้วย ผมจึงกำลังหาทางพิสูจน์ว่า ผมมีพลังจริงๆหรือเปล่าน่ะครับ แต่ท่านให้ผมพิสูจน์ตัวผมเอง โดยการแนะนำให้ผมไม่เชื่อตนเองต่อไป เพื่อที่จะเชื่อในตนเองได้สักวันในที่สุด

    เพราะถ้าพลังนั้น มันติดอยู่กับตัวผมแล้วล่ะก็ ผมก็หนีไปจากมันไม่ได้อยู่ดีน่ะแหละ

    แต่คงต้องขอขอบคุณทั้ง2ท่านอย่างมากอย่างมากที่ทำให้ผมได้รับคำตอบและพบหนทางในแบบตัวเอง หวังว่าสักวันผมคงมีโอกาสได้ตอบแทนพี่เขาบ้าง...

    หลังจากนั้นไม่นานประมาณ 5 โมงผมก็ต้องขอตัวกลับ ผมก็ต้องกลับไปสะสางงานที่บ้านต่อ ความรุ้สึกตอนกลับบ้านในวันนั้น เหมือนกับวันที่ 5 ไม่มีผิด คือเพลีย จากการรับพลังและใช้พลัง แต่ก็ยังกลับมานั่งทำสมาธิเหมือนเดิมตามที่ได้ตั้งใจไว้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2007
  11. raquaz

    raquaz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +3,831
    หลังจากกลับมาจากบู๊ทอาจารย์อาชวินตอนวันแม่ ได้ค้นพบว่า บทคาถามหาจักรพรรดิเนี่ย ถ้าจะสวดให้ได้อานิสงส์เยอะที่สุดก็ควรจะเป็นตอน 20.30 ก็เลยทำการเปลี่ยนแปลงโปรแกรมตัวเองนิดหน่อย โดยคร่าวๆที่ทำอยู่ในปัจจุบันนี้คือ เช้ามา สวดชินบัญชร นั่งสมาธิ 20นาที
    20.30 สวดมหาจักรพรรดิ นั่งสมาธิ 20นาที
    ก่อนนอน สวดสัมปจิตฉามิ ขณะนอนสมาธิ จนหลับไป

    ไม่รู้หรอกนะว่าดีหรือไม่ดี แต่ก็รู้สึกว่าก้าวหน้าขึ้น เริ่มรู้สึกวูปเหมือนจะตกๆ แขนและขา กระตุกบ้าง แต่ที่ตลกที่สุดก็คงจะเป็น ช่วงที่ทำสมาธิอยู่ จะรู้สึกเหมือนว่าจิตกับร่างแยกออกจากกันได้ จะรู้สึกตัวเบาๆ
    ในขณะที่สติผมยังกำหนดลมหายใจพุทโธๆอยู่ แต่ขณะเดียวกันผมได้ยินเสียง
    กรนของตัวเอง เพื่อนร่วมห้องก็ได้ยิน แล้วก็หาว่าเราทำสมาธิจนหลับ
    ไม่รู้เหตุผลว่าทำไมเหมือนกัน แต่ทุกครั้งที่เป็นอย่างนั้น พอออกจากสมาธิจะรู้สึกว่าสบายมากๆ และรู้สึกว่ายิ่งทำสมาธิเยอะๆ ยิ่งนอนหลับได้สบายมากขึ้น หลับแบบแป๊ปเดียวเช้าๆตลอด ท่านอนก็ไม่ค่อยเปลี่ยนอีกด้วย

    อ้อ ช่วงนี้นี่เองที่เริ่มเห็นอะไรแปลกๆจากการทำสมาธิ งวดล่าสุดได้เห็น องค์พ่อจตุคามรามเทพ ที่มารู้ภายหลังว่า เป็นรุ่น จันทรภาณุมหาราช สุวรรณภูมิ ลอยเด่นมาให้เห็นขณะนั่งสมาธิอยู่บนรถเมล์ ทั้งๆที่ผมไม่ค่อยชอบพุทธพาณิชย์ แต่เดิมก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องจตุคามมากเท่าไร ก็เลยเฉยๆ แต่วันที่เห็น ตอนนั้นกลับมาบ้านเพื่อนที่ชอบเรื่องพระเครื่องเอาโบร์ชัวร์ จตุคามรุ่นที่เห็นมาให้ดู แปลกใจมากๆ ลองปรึกษาคุรุดู แล้วก็เลยลองเช่ามาดู 1 องค์

    http://www.jantarapanu.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=516494 องค์ที่อยู่ทางขวาบนสุดคือที่เห็นในสมาธิน่ะครับ
    (ไม่ได้ผลประโยชน์อะไรกับการผลิตจตุคามรุ่นนี้จริงๆนะ แต่แค่เห็นน่ะครับ)

    ช่วงนี้นี่เองที่คุรุท่านที่เป็นแมวมองมาเรียกผมให้ไปฝึกนั้น ส่งแบบฝึกหัดมาให้
    คือการฝึกมองภาพ 3 มิติ เพื่อกระตุ้นต่อมพรูทิอารี ให้มาประมาณ 4-5 ภาพ
    โดยมีเงื่อนไขว่า ให้มองให้ออกภายใน 2 วินาที และมองให้ได้นาน 10 นาทีเป็นอย่างต่ำ
    ก่อนที่จะได้รับแบบฝึกหัดนี้ ก็ไม่ได้เป็นคนชอบดูภาพ 3 มิติอย่างไร แต่ก็ค้นพบเคล็ดลับทำให้ดูภาพนี้ออกได้ภายใน 2-3 วินาที และภาพยังคงจะเห็นได้ แม้กระพริบตา ก็พยายามมองให้เร็วขึ้นเรื่อยๆ จนได้ประมาณ 2 วินาทีต่อภาพ (ขึ้นอยู่กับลักษณะภาพด้วย) ก็เลยเปลี่ยนวิธีการฝึกใหม่ คือเปลี่ยนภาพไปเรื่อยๆระหว่างดู ให้เห็นภาพใหม่ได้เลยโดยไม่ต้องปรับสายตาใหม่ (คิดว่ามันน่าจะเป็นการฝึกความเร็วในการมองที่ดีกว่าน่ะครับ) ก็ทำได้อย่างไม่มีข้อติดขัดใดๆ ช่วงนี้ ยิ่งมองนานๆ หน้าผากก็จะยิ่งปวด และเต้นตุบๆไปตลอด
    อารารย์บอกว่าให้ฝึกไปเรื่อยๆ ถ้าได้แล้วก็น่าจะเปิดตาที่ 3 ได้
    ก็ฝึกตามคำสั่งไปเรื่อยๆไม่ได้คิดอะไร ก็เกิดความรู้สึกใหม่ ที่รู้สึกว่าทำได้เอง โดยไม่ได้รับการสอนแต่อย่างใด ก็คือ รู้สึกตัวว่าสามารถรวบรวมพลังให้มาอยู่ที่ตาที่3ได้ (ซึ่งตามคำบอกของอาจารย์แล้ว สามารถจะใช้พลังปลักให้ตาที่ 3 เปิดเองได้ แต่ผมไม่รู้วิธีผลัก อิอิ
    ก็เลยปล่อยผ่านไปต่อจนถึงวันอาทิตย์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2007
  12. raquaz

    raquaz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +3,831
    มาถึงวันอาทิตย์อีกครั้ง

    เช้าตื่นขึ้นมาก็ไม่ลืมอาบน้ำกายทิพย์ให้กับตัวเองก่อน เพราะครบ 1 สัปดาห์พอดีเลย หลังจากคราวที่แล้วที่อาจารย์ท่านสอนให้ทำ

    ครั้งที่แล้วไปหาอาจารย์อาชวินมือเปล่าๆ ซึ่งมาคิดอีกทีก็เป็นการเสียมารยาทมากมาย ครั้งนี้เลยซื้อน้ำไปร่วม 10 ขวด ตั้งใจว่าอย่างน้อยก็เพื่อช่วยๆให้ทั้งอาจารย์อาชวินและบรรดาคุรุทั้งหลายที่มาแถวนั้นได้ดับกระหายบ้างก็ยังดี

    แต่ดูเหมือนว่าคนที่คิดอย่างเดียวกันกับเราเต็มไปหมด อิอิ
    รอบตัวอาจารย์จึงเต็มไปด้วยขวดน้ำและกระป๋องน้ำ
    คราวหลังจะแสดงฝีมือทำของกินไปท่าจะเวิร์คกว่า อิอิ ได้ทั้งปริมาณและความอร่อย แต่รูปไม่สวยเท่านั้นเอง อิอิ

    ไปถึงตอนเกือบ 11 โมง ก็พบกับอาจารย์วิวัฒน์ ก่อน วันนี้ลูกค้าอาจารย์อาชวินค่อนข้างจะแน่นทีเดียว นับว่าเป้นเรื่องดี ทีมีผู้สนใจทางนี้มากขึ้นเช่นกัน
    อาจารย์วิวัฒน์ก็ได้กรุณาทำน้ำมนต์ให้ดื่มอีกเช่นเคย
    อาจารณ์เขาภาวนาและเป่าขวดน้ำให้ จนสามารถเห็นออร่าสีขาวๆออกมาจากขวดน้ำดื่มได้เลยทีเดียว
    หลังจากดื่มด้วยจิตอนุโมทนาแล้ว อาจารย์ One of JD และอาจารย์ชยาที่เป็นคนชวนผมให้มาหาอาจารย์อาชวินก็ตามมาแบบไม่ห่างกันมากนัก
    อาจารย์ก็เลยแนะนำผมให้ฝากเนื้อฝากตัวกับอาจารย์ One of JD ผู้ที่ผมอยากจะบอกว่า ได้สอนหล่ายๆอย่างแก่พวกเราซึ่งรูปแบบการพูดของท่านเรียบง่าย แต่แฝงด้วยความหมายและสามารถเข้าใจได้อย่างดีจริงๆ
    และท่านก็ได้นำพระเครื่องที่ท่านนำมาด้วยเอามาให้ฝึกจับพลัง
    เป็นครั้งแรกที่จับพลังพระเครืองแล้วรู้สึกอุ่นๆ เพราะส่วนมากจับพลังอะไรก็จะเย็นหมด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน
    หลังจากที่คุยกันได้ไปสักครู่หนึ่งแล้ว อาจารย์อาชวินก็พักรับประทานข้าวกลางวัน จึงได้มีโอกาสได้คุยกับท่าน เรื่องตาที่3 ของผม ดูเหมือนว่า ตาที่3 เริ่มเปิดบ้างแล้ว (กว่า 60 %) และพลังจะยังกระจายอยู่ ให้ไปทำสังฆทาน เพื่อช่วยให้การเปิดดวงตาที่3 ได้เลย และท่านอุตส่าห์ดูออร่าให้ผมอีกครั้งทั้งๆที่อยู่ในเวลาพักแท้ๆ ถ้าจำไม่ผิด เห็นว่าคราวนี้มีสีม่วงและทองเข้ามาด้วยเช่นกัน
    ต่อมา เมื่ออาจารย์ suwi มาถึง อาจารย์ชยาก็เริ่มทดสอบพลังของผม
    ทดสอบกันไปๆมาๆ เลยเหมือนกับเป็นการเปิดเกมวัดออร่าแต่ละคนไปเลย
    การวัดพลังออร่าของแต่ละท่านนั้น รู้สึกว่าจ่าจะต้องใช้พื้นที่เกือบๆจะเท่าสนามบอลได้ล่ะมั้ง เพราะไม่ว่าจะถอยไปเท่าไร พลังที่แต่ละส่งมาก็ยังจะสัมผัสได้อยู่
    นั่นแล
    อ้อ ท่ายืนของ อาจารย์suwi ตอนวัดออร่าเท่มากเลยครับ ถึงแม้จะไม่ได้เก๊กก็ตาม แต่เผอิญคนที่ทำงานเกี่ยวกับการวาดรูปอย่างผม ถ้าให้วาดท่าที่อาจารย์ยืนแบบตอนนั้น และมีออร่าฉายอยู่ข้างหลังจะเหมือนกับฮีโร่เท่ๆคนนึงนี่เลยทีเดียว(ขออภัยครับถ้าเสียมารยาท)

    มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมได้เข้ามาเป้นคนวัดระดับออร่าของอาจารย์ชยาเล่นๆ แล้วอยู่ดีๆอาจารย์อาชวินก็ยืนขึ้นมาเหมือนกับว่าจะดูอะไรให้ผม อาจารย์ชยาส่งสัญญาณบอกให้ดันออร่ามา แล้วอาจารย์ชวินก็บอกให้ผมได้ยินว่า 142

    เอ๋

    142?

    นั่นแปลว่าไอ้ที่สัปดาห์ที่แล้วที่วัดได้แค่ 98 นั่น
    ทฤษฎี 1 วัน 1 ออร่าของผมนั่น ก็ผิดแน่นอนแล้ว
    เพราะทำไมมันขึ้นมามากมายอย่างนี้ก็ไม่รู้

    แต่ไม่ว่าเพราะอะไร
    มันก็อาจจะพูดได้ว่า
    การสวดมนต์และการนั่งสมาธิที่ทำมานั้น เกิดผลก็เป็นได้
    ยิ้มแฉ่งเลยครับ ดีใจมากมายที่ได้มีความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น
    และยังเป็นกำลังใจที่ดีในการฝึกฝนอีกด้วย

    ลูกค้าของอาจารย์วันนี้ดูเหมือนว่าจะมีพวกมาวัดพลังพระเครื่องเสียเยอะ
    และมีอยู่คนหนึ่งที่เอาพระเครื่องที่อยากแขวนทั้ง5,6องค์ ให้ย้ายพลังเข้าใส่ตัวเองเลย จะได้ไม่ต้องห้อยให้หนักคอ

    เพิ่งจะรู้เนี่ยว่าทำได้ ฮ่าๆ

    แต่ก็มีข้อเสียคือห้ามทำผิดศีล อย่างเช่นไปเที่ยวตามหอนางโลม ปุ๊ป จะเสื่อมทันที หรือไม่ก็ ถ้าพระองค์ไหนมีคุณสมบัติทางด้านมหาอุด ก็จะมีผลต่อระบบขับถ่ายได้สมชื่อ หรือถ้าขึ้นชื่อด้านคงกระพันธ์ มีดหมอผ่าตัดก็จะกรีดไม่เข้า ทำให้อาจจะตายเนื่องจากไม่สามารถผ่าตัดได้ยามจะเป็น ฯลฯ

    และหนึ่งในพระที่มีลูกค้าเอามาวัดพลังนั้น ก็มีพระองค์หนึ่ง ที่อาจารย์ว่าจับพลังใกล้ๆไม่ได้ แต่จะจับพลังได้จากไกลๆ
    ไอ้เราก็เข้าใจว่า ใส่เอาไว้ปกป้องคนอื่น คนใส่นี่ช่างเมตตาต่อคนอื่นจริงๆ
    (เบ๊อะดีมะ ฮ่าๆ)
    เพราะไม่ปกป้องคนใส่ที่อยู่ในระยะใกล้ แต่จริงๆแล้วว่ากันว่าพระประเภทนี้คุ้มครองตัวจากอาวุธระยะไกลดีมาก คือพวกยิงไม่เข้า ก็เลยถึงบางอ้อ

    ฟังแล้วรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนดี น่าสนใจเรียนเหมือนกัน

    เหมือนเคย จนกระทั่งเกือบ 5 โมงก็ได้ขอลาอาจารย์กลับ โทรบอกน้าฝากซื้อชุดสังฆทานกับผ้าไตรอย่างดี เจ้าประจำ มาเพื่อจะนำไปทำสังฆทานเพื่อเปิดตาที่ 3 ต่อไป...ช่วงประมาณสัปดาห์หน้าครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2007
  13. raquaz

    raquaz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +3,831
    นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผม จากอดีตจนกระทั่งถึงตอนนี้ครับหลังจากนี่ไป หากมีอะไรน่าแบ่งปัน ผมก็จะนำเอามาลงให้ในกระทู้นี้ต่อๆไปครับ
    เช่นเดียวกัน หากทุกท่านมีอะไรที่อยากจะแบ่งปัน ก็ขอเชิญได้ครับผม
     
  14. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,086
    นับว่ากรณีของคุณraquaz เป็นตัวอย่างหนึ่ง
    ของผู้ที่มีความตั้งใจ ใฝ่ศึกษาอย่างต่อเนื่อง
    แม้เพียงระยะเวลาสั้นๆ ก็สามารถเห็นผลได้

    อย่างน้อยก็เป็นกำลังใจให้ ผู้ที่ยังไม่แน่ใจในสิ่งที่ตนมี
    ได้เกิดความมั่นใจขึ้นมา
    และจะได้เป็นแนวทางให้เขาเหล่านั้น ขวนขวาย
    ฝึกฝนตนเองอย่างไม่ย่อท้อต่อไป

    ขอแสดงความยินดีกับความก้าวหน้าของคุณraquaz ด้วยครับ
    (b-smile)
     
  15. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ขอแสดงความยินดีกับความก้าวหน้าของคุณ raquaz ด้วยครับ
    ได้อ่านประสบการณ์ตรงนี้ ต้องบอกว่าสนุกมากครับเหมือนไปอยู่ตรงนั้นด้วย
    คนที่มีหัวศิลปะแบบนี้ ชอบวาดรูป หรือใช้จินตนาการนี่ สมองซีกขวาจะทำงาน
    นำหน้าซีกซ้ายได้ง่ายมากครับ กลไกสมองส่วนกลางจะทำงานแบบเต็มระบบได้ในที่สุด
    ส่วนตาที่สามผลักอีกนิดก็เปิดกว้างแล้ว..ถ้าระบบกลไกเหล่านี้สัมพันธ์กันก็ยิ่งก้าวหน้าครับ
    ขอให้ฝึกให้สนุกเหมือนคุณ raquaz กันครับ
    ยังไปได้อีกไกล ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านคร๊าบ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 67700631.jpg
      67700631.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.4 KB
      เปิดดู:
      1,879
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2007
  16. yuui

    yuui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +435
    อาบน้ำกายทิพย์ ทำยังงัยอ่ะครับ
     
  17. The Third Eyes

    The Third Eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +51,007
    พระเครื่องที่แรงมากๆๆ รัศมี เกิน 20 เมตร
    ความที่แรงมากๆๆ และเป็น กลุ่ม คงกระพันแคล้วคลาด
    ที่ป้องกันจากระยะไกล รัศมี หวังผลของ ปืน

    กำแพงพลัง จึงอยู่ห่าง เหมือนวงแหวน
    ที่ตรงกลางใกล้องค์พระ...จะเป็นหลุม ที่เป็น สุญญากาศ
    ภาษา ช่าง เรียก Void หรือช่องว่าง

    รัศมี ของ วงแหวนที่ วนรอบ ตัว คนใส่ เหมือนแหวนดาวพระเสาร์
    ถ้าคนร้ายถือปืน อยู่ภายในรัศมี ความหนาของ แหวนนั้น
    พลังจะหยุด การ ปะทุของ ดินปืน

    การเหนี่ยวไก ปืน..จะแค่ แชะ..แชะ..แชะ

    ไม่แน่ใจว่า คุณ Raquaz อยู่ถึง 17.30น
    หรือเปล่า
    ถ้าไม่อยู่ก็เสียดาย
    ที่ไม่มีโอกาส พูดสนทนากับ Alien ที่ลงมาแล้ว มาร่วมวงสนทนา

    ขณะนั้นมี คนอยู่ ประมาณ 6-8 คน
    ที่ได้สนทนากับ มนุษยืต่างดาวคนนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2007
  18. raquaz

    raquaz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +3,831
    อาจารย์เมาท์ เอาแค่เป็น Case Study ก็พอครับ อย่ายกเป็นตัวอย่างเลย
    คิดว่ายังคงไม่ดีพอที่จะเป็นตัวอย่างได้หรอกครับ ฮ่าๆ
    เพราะผมมันเป็นแค่เคสที่ได้ของเก่ามาช่วยเยอะน่ะครับ ประกอบกับมีความสนใจด้วย มันเลยไปได้เรื่อยๆน่ะครับ

    ขอบคุณ คุณmeadครับ ดีใจครับที่ดูเหมือนว่าเขียนออกมาแล้วทุกคนจะอ่านกันได้อย่างสนุก ตัวผมเองห่างหายจากการเขียนด้วยภาษาไทยมานานพอสมควรทีเดียว หากเป็นภาษาญี่ปุ่นมั่นใจว่าจะเขียนได้ดีกว่านี้ครับ อิอิ

    ก่อนอื่นตั้งนะโม 3 จบครับผม
    แล้วจินตนาการให้มีลูกแตงโมสีทองอร่ามลูกใหญ่ให้ลอยอยู่เหนือหัวเรา
    โดยให้แตงโมลูกนั้นค่อยๆละลายรดลงมาที่ตัวเราโดยค่อยๆไล่ตั้งแต่หัว โดยจินตนาการให้ชำระล้างตั้งแต่ภายนอกจนถึงอวัยวะภายใน อย่างช้าๆ และเมื่อลงไปถึงปลายเท้าแล้วให้มันซึมหายลงไปในดิน ฝากกับแม่พระธรณีไปครับ
    จากนั้น จินตนาการแตงโมสีทองอร่ามลูกเล็กอีกลูกหนึ่ง ให้ละลายลงมาที่หัวเรา เคลือบรอบๆตัวเราด้วยน้ำสีทองเหมือนกับเคลือบไอติมด้วยช็อกโกแลตนั่นแหละครับ ไล่จากหัวไปจนถึงปลายเท้า ซึมหายลงไปในดินและฝากไปกับแม่พระธรญีเช่นกันครับ
    แค่นี้เองครับ เสร็จแล้ว
    ทำสักสัปดาห์ละครั้งเป็นอย่างน้อยนะครับ

    อาจารย์ครับ ไม่ได้อยู่ดูน่ะครับ...เผอิญกลับไปเคลียร์งานต่อที่บ้านด้วยครับ
    ฟังแล้วเสียดายมากมายๆ
    ไว้รอให้บ้านย้ายกลับมาใกล้ๆก่อนนะครับ ถ้าวันไหนได้มีโอกาสไป จะอยู่ศึกษาจนปิดร้านเลยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2007
  19. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    อิอิ ยินดีด้วยนนะครับ วันที่คุณกับคุรุชยายืนรับ-ส่งพลังกันผมก็อยู่ด้วย

    ผมคงต้องฝึกอีกเยอะเลย เด๋วก็ต้องเข้าค่ายทหารอีกแล้ว
     
  20. raquaz

    raquaz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +3,831
    เอ น้องคือคนที่ใส่ชุดทหารที่มาดูออร่ากับอาจารย์ ที่ใส่แว่นรึเปล่าครับ
    เข้าค่ายทหารแล้วอาจจะเหนื่อยบ้าง แต่พยายามอย่าขาดการทำสมาธินะครับ
    (พูดให้ตัวเองฟังเหมือนกันนะเนี่ย ฮ่าๆ)
     

แชร์หน้านี้

Loading...