เมื่อคุณพ่อของข้าพเจ้าเป็นเปรต

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Lukhgai, 3 มิถุนายน 2009.

  1. Lukhgai

    Lukhgai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    3,000
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +8,240
    [​IMG]
    เรื่องจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ให้เรื่องเป็นอุทาหรณ์แก่คนทั้งหลาย เพื่อให้หยุดทำกรรม
    ดิฉันอ่านกรรมกำหนดมาหลายเล่มติดต่อกันและได้ส่งเรื่องจริงที่เกิดกับตัวดิฉันมาให้คุณพิจารณานำลงตีพิมพ์
    แม้ผู้ที่ได้รับกรรมจะเป็นคุณพ่อของดิฉันเอง แต่ดิฉันก็ยินดีให้เรื่องเป็นอุทาหรณ์แก่คนทั้งหลาย เพื่อให้หยุดทำกรรม
    กุศลนั้นจะได้ผ่อนกรรมของคุณพ่อดิฉัน ให้เบาลงไปบ้างไม่มากก็น้อยแต่ต้องสงวนชื่อและที่อยู่ไว้ ใช้นามแฝงลงแทน
    แต่ดิฉันรับรองว่าเป็นเรื่องจริงทุกตัวอักษร
    รกรากเดิมของดิฉันอยู่ติดกับ วัดตะเคียน หรือที่เรียกกันว่า วัดมหาพฤฒาราม ในปัจจุบันนี้เอง
    ดิฉันจำความได้ก็เห็นคุณแม่กับคุณพ่อช่วยกันลงไปหากุ้งและจับปลาในแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นประจำ
    รายได้นั้นก็เลี้ยงดูดิฉันกับน้อง ๆ ให้เจริญเติบโตขึ้นมาอย่างไม่อดไม่อยากและส่วนหนึ่งก็นำมาทำอาหาร
    ให้ดิฉันกับน้อง ๆ กินอย่างอิ่มหมีพีมัน
    คุณพ่อของดิฉันท่านไม่ชอบทำบุญสุนทาน ผิดกับคุณแม่ของดิฉันท่านทำบุญเป็นประจำ ท่านกล่าวกับดิฉันว่า
    “แม่ฆ่าปลาฆ่ากุ้งมามาก เพื่อเอามาเลี้ยงชีวิตแม่ต้องทำบุญอุทิศกุศลไปให้พวกมันบ้าง มันจะได้รับกุศลแล้ว
    จะได้ไปเกิดเป็นอย่างอื่น หรือเป็นคนได้บ้าง”
    ส่วนคุณพ่อของดิฉันท่านไม่ชอบทำบุญสุนทานและดิฉันก็พลอยเห็นดีกับคุณพ่อระยะหนึ่ง คือ ไม่ยอมไปวัด
    ไม่ยอมทำบุญเพราะเห็นว่ายุ่งยาก และไม่น่าจะใส่ใจ พอดิฉันอายุได้ประมาณ ๑๓ ขวบคุณพ่อก็เริ่มป่วย
    ดิฉันยังไม่เข้าใจอะไรมากนักและต้องคอยปรนนิบัติคุณพ่อเท่าที่จะทำได้
    คุณพ่อมีอาการป่วยประหลาดมีเลือดไหลออกมาทางช่องหูครั้งละนิดละหน่อย และบางครั้งก็มาก
    เมื่อเลือดออกมาก็ต้องช่วยกันล้างช่องหู เพราะเลือดจะกรังจุกรูหูเลือดออกมากเข้าก็มีอาการป้ำ ๆ เป๋อ ๆ
    พูดจาไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ตอนแรกก็กินข้าวได้บ้างแต่ตอนหลังไม่ยอมกิน พอเอาไปให้ก็นั่งดูเฉย ๆ
    พอเห็นว่าคนเผลอคุณพ่อก็จะหว่านลงไปบนดินจนหมด คุณแม่ก็ต้องคอยนั่งเฝ้า
    พอเผลอคุณพ่อก็เอาข้าวหว่านลงไปบนดินหมด หว่านแล้วก็นั่งยิ้มไปยิ้มมา
    วันหนึ่งดิฉันถามคุณพ่อด้วยความสงสัย เพราะเห็นท่านมีอาการดีขึ้น
    “คุณพ่อหว่านข้าวสุกลงไปบนดินทำไมคะคุณพ่อ” ท่านหันมามองดิฉันแวบหนึ่ง แล้วก็ฝืนตอบออกมาว่า
    “ให้อ้ายพวกกุ้งพวกปลามัน มันมาว่ายอยู่ใต้ถุนเต็มไปหมดมันหิว มันอ้าปากชูหนวดกันสลอนไปหมด
    พ่อกินไม่ลง ต้องแบ่งให้มันกินให้ทั่วในครัวยังมีข้าวไหมล่ะ เอามาหว่านอีก มา มันยังอยู่โน่นแน่ะ
    ไม่เชื่อก็ไปดูซีแต่ค่อย ๆ นะ มันจะดำน้ำหายไปหมด”
    ดิฉันไปดูที่คุณพ่อหว่านข้าว ก็เห็นเป็นพื้นดินธรรมดานี่แหละไม่เห็นจะมีปลามีกุ้งที่ตรงไหน ดิฉันก็แอบมาบอกคุณแม่
    คุณแม่ท่านทำตาแดง ๆกอดดิฉันไว้ แล้วก็บอกว่า
    “กรรมของพ่อเจ้าเขามาทวงหนี้กรรมแล้ว เข่นฆ่าเขามามากไม่ทำบุญอุทิศให้เขาบ้าง เขาก็เลยมาทวงเอา
    เฮ้อ เราคงจะลำบากกันหน่อยนะถ้าพ่อเกิดตายลงล่ะก็”
    อาการป่วยของคุณพ่อไม่ดีขึ้น แม้ไม่ได้กินข้าว แต่คุณพ่อก็ยังมีอาการทรง
    และคอยเอาข้าวไปโปรยให้ปลากุ้งกินอยู่เป็นประจำ ตอนหลังมานี่คุณพ่อก็มีอาการพิกลอีก
    กล่าวคือ มีมดมาคอยกัดท่านตรงโคนขา แม้จะคอยปัดคอยไล่ แต่มันก็ยังคงกัด
    และกัดอยู่ซ้ำกันตรงโคนขาเหมือนมันจงใจจะกัดตรงนั้น
    พอเผลอมันก็รวมกันกัดไล่ไปมันก็กัดอีก ผิวหนังถลอกเป็นแผล
    พอเกาเข้าก็เป็นน้ำเหลืองพุพองท่านทรมานมากขึ้นทุกวัน
    และในที่สุดท่านก็ถึงแก่ความตาย ตอนที่ท่านตาย เปิดผ้าห่มดูมดยังกัดติดอยู่เลยค่ะ
    ดิฉันยังจำภาพนั้นได้ พอคุณพ่อสิ้นใจแล้วมดมันก็พากันหลีกออกไป
    เหมือนมันจะมีสัมผัสวิเศษว่าเหยื่อของมันนั้นสิ้นลมหายใจแล้ว
    ศพของคุณพ่อได้รับการนำไปประกอบพิธีที่วัดปทุมคงคา
    โดยสวดเพียงสามคืนแล้วก็เผา เจ็ดวันหลังจากที่เผาศพคุณพ่อแล้ว
    ดิฉันกับคุณแม่ก็ได้ยินเสียงประหลาดดังอยู่ทุกคืนมันดังอย่างนี้ค่ะ
    “วีด วีด วี๊ดวี๊ด วิ๊ว.....”
    มันจะค่อย ๆ ดังขึ้น ๆจนถึงวี๊ดสุดท้าย จะดังก้องและบาดลึกเข้าไปในโสตประสาท
    มันไม่ใช่เสียงนกหวีดแต่แหลมเล็กกว่านกหวีดเสียอีกเจ็ดวันเจ็ดคืนเต็ม ๆ
    ที่ดิฉันกับคุณแม่ต้องทนฟังเสียงแหลมนั้นอยู่
    เช้าวันที่แปดคุณแม่จึงได้ไปกราบเรียนท่านสมภารวัดมหาพฤฒาราม
    พระองค์นั้นท่านทรงคุณทางวิปัสสนาท่านได้นั่งทางในสักครู่ ก็ลืมตาขึ้นแล้วกล่าวกับคุณแม่ของดิฉันว่า
    “โยมผู้ชายเขาติดกรรมที่เขาทำไว้เมื่อตอนมีชีวิต เขาอยู่เปรตภูมิ เป็นเปรตและอดอยากมาก
    เลยมาร้องของส่วนบุญจากโยม เขาทำได้ก็แค่ส่งเสียงเท่านั้นใครที่เขาต้องการจะให้ได้ยิน ก็จะได้ยิน”
    “ทำอย่างไรเล่าคะหลวงปู่”
    “ทำสังฆทานอุทิศให้เขาซีโยม ทำให้ถูกต้อง ยกกุศลให้เขาเขาจะได้ไปตามทางของเขาไม่มาเป็นเปรตขอส่วนบุญอีกต่อไป”
    คุณแม่ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่กำลังไหลออกมา แล้วบอกกับดิฉันว่ากรรมจริง ๆ พ่อของเจ้ายังไม่หมดกรรม ไปเป็นเปรตแล้ว
    คุณแม่ก็ทำสังฆทานอุทิศให้นั่นแหละ เสียงประหลาดจึงเงียบไปไม่กลับมาให้ได้ยินอีกเลย
    ดิฉันเชื่อแล้วว่ากรรมมีจริงและที่ว่าเปรตมาขอส่วนบุญนั้นจริงแท้แน่นอนแต่ทำไมจึงต้องเป็นคุณพ่อของดิฉันด้วยเล่าคะ
    ทุกวันนี้ดิฉันไม่ทำบาปเลยสัตว์เป็น ๆ ก็ไม่กิน ปลาก็ซื้อที่มันตายแล้ว กุ้งตามภัตตาคารที่มันสด ๆ เอามานึ่งปลาช่อนสด
    ปลาบู่สด เอามาทำแป๊ะซะไม่เคยสนใจ เพราะเห็นว่าเปรตคุณพ่อทรมานอย่างไร
    ครับเมื่อได้อ่านประสบการณ์ของคุณนก พระโขนง ไปแล้ว
    ผมก็เลยขอถือโอกาสพูดถึงเรื่องเปรตให้ได้เข้าใจกันไว้ว่า เปรต นั้นคืออะไร
    ในพระอภิธรรมปิฎกกล่าวถึงเปรตไว้ว่า “เปรตเป็นสัตว์อยู่ในภูมิที่เรียกว่าเปตภูมิมีความเดือดร้อนเพราะความหิวโหย
    ผิดกับสัตว์นรก ซึ่งเดือดร้อนเพราะถูกทรมาานจากกรรมที่ทำไว้ คำว่าเปตะหมายถึงผู้ห่างไกลจากความสุขทั้งปวง
    เปรตมีที่อยู่อาศัยทั่วไป เช่น ป่าเขา ภูเขา เหว เกาะแก่ง ทะเล มหาสมุทรป่าช้า เป็นอาทิ
    เปรตมีความสามารถเนรมิตกายได้หลายอย่าง อาทิ เป็นฝ่ายที่น่าพอใจเช่น แปลงเป็นเทวดา
    มนุษย์ชายหญิง ดาบส พระ เณร ชี เป็นอาทิ
    ถ้าเป็นฝ่ายน่าสยดสยอง ก็เนรมิตเป็น สัตว์ต่าง ๆหรือบิดเบือนให้มีรูปร่างอันน่าสะพรึงกลัวแก่ผู้พบเห็น
    บางครั้งก็ปรากฎเป็นแสงเป็นร่างเลือนลาง เป็นสีดำ
    เปรตเหล่านั้น เมื่อหิวหนักเข้าก็ไปกินเศษอาหารที่เขาทิ้งแล้ว กินของโสโครกต่าง ๆ
    เปรตบางจำพวก ไม่หิวเปล่าเสวยทุกขเวทนาเหมือนสัตว์นรกพร้อมกันไปด้วย
    เปรตยังแบ่งออกเป็น ๔ จำพวกได้แก่
    ๑.ปรทัตตูปชีวิกาเปรตเปรตพวกนี้เลี้ยงชีพด้วยส่วนบุญของผู้อื่น ให้ด้วยการเซ่นไหว้
    ๒.ขุปปีปาสิกเปรต เปรตพวกนี้ อดอยาก หิวโหย หิวข้าว หิวน้ำเป็นนิจ
    ๓.นิชฌามตัณหิกเปรตเปรตพวกนี้ถูกเผาไหม้ด้วยไฟตลอดเวลากาล
    ๔.กาลกัญจิกเปรตเป็นอสุรกาย หรือ พวกยักษ์บางจำพวกที่มาเป็นเปรต
    เมื่อมีปัญหาถามว่า เปรตทั้งสี่จำพวกนี้พวกไหนบ้างที่จะทำบุญอุทิศ หรือ เซ่นไหว้ท่านแก้ไว้ในพระบาลีว่า
    เปรตสี่จำพวกนั้นมีเพียง“ปรทัตตูปชีวิกาเปรต”เท่านั้นที่จะรับได้ เพราะอยู่ใกล้ภูมิมนุษย์มากที่สุด
    ถึงกระนั้นก็ต้องคอยเงี่ยโสตสดับการอุทิศกุศลอยู่เสมอ เพราะถ้าไม่คอยฟังไม่ได้ยินเขาอุทิศให้ก็อด
    เรียกว่า ถ้าเขาอนุโมทนาแล้วไม่ได้ยินก็ไม่ได้รับ
    เปรตดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นในบริเวณบ้านเรือนของบุคคลต่าง ๆ
    เช่น คนเราเมื่อใกล้ตายมีความห่วงอาลัยในทรัพย์สินเงินทอง ลูกเมีย ญาติสนิท มิตรสหายฯลฯ
    เมื่อตายแล้วก็อุบัติเป็นเปรตอยู่ในปริมณฑลของเคหะสถานนั้นและสามารถแสดงตนให้ปรากฎแก่ญาติ
    และคนอื่นได้ ส่วนใหญ่เรียกกันว่า“ผีเปรต”นั่นเอง
    ดังนั้นเปรตคุณพ่อของคุณนกก็เป็นปรทัตตูปชีวิกาเปรตและเมื่อได้รับกุศลไปแล้วก็สามารถออกจากบ้านเรือน
    และปริมณฑลในบ้านที่สิงสถิตอยู่ไปยังภพภูมิที่เรียกว่าเปตภูมิหรือไปยังภพภูมิอื่น เช่น เดรัจฉาน , นรก, สวรรค์ ฯลฯ
    หรือ มาเกิดใหม่เป็นมนุษย์สุดแท้แต่กรรมที่ตนได้ก่อไว้ เมื่อพ้นไปแล้ว ก็ไปลับและไม่กลับมาให้พบเห็นหรือส่งเสียงให้ได้ยินอีกต่อไป
    โดย..นก พระโขนงจากหนังสือ“กรรมกำหนด”เล่ม ๕
     
  2. สร้อยทอง

    สร้อยทอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +221
    ได้ยินเสียงเปรตเหมือนกัน

    ตอนที่หนูไปบวชที่วัด อัมพวัน ที่สิงห์บุรี หนูก็ได้ยินเสียงเปรตมาร้องขอส่วนบุญ
    ด้วยค่ะ ตอนตี 1 พระตีระฆังพอดีเลย แต่หนูก็แผ่เมตตาให้แล้วค่ะ
     
  3. Faithfully

    Faithfully เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    656
    ค่าพลัง:
    +2,459


    ขออนุโมทนา ได้ยินกันมาหลายคน บางคนก็เห็นเหมือนกัน ได้ไปปฏิบัติธรรมมาเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีอะไรนะคะ ห้องน้ำก็อยู่หลังเมรุ หน้าที่เก็บศพ ก็ปฏิบัติภาวนาแผ่เมตตาให้ดีที่สุดแล้วค่ะ


    ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ ใจนี้เป็นใหญ่ เป็นประธาน

    อัตตาหิ อัตโน นาโถ
     

แชร์หน้านี้

Loading...