เมืองมนุษย์

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย อรชร, 10 กันยายน 2010.

  1. อรชร

    อรชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +11,465
    [​IMG]



    ท่านสาธุชนทั้งหลาย อาตมาปล่อยให้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทนอนอยู่กลางลานเมืองมนุษย์มา ๗ วัน นั่งดูคนพอใจหรือยัง ความจริงท่านอยู่บ้าน ท่านก็เห็นคนอยู่แล้ว แต่ท่านอาจจะไม่ได้ถึงกฎของความเป็นจริงว่าทำไมคนถึงได้มีความสุข ทำไมคนถึงได้มีความทุกข์ อันนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทก็คงจะพอใจหรือว่าเข้าใจบ้าง เรื่องเข้าใจหรือไม่เข้าใจนี่อีกเหมือนกัน วันนี้มาดูผลของคนกัน สิ้นเวลาเพียง ๒๕ นาทีเศษๆ จะว่ากันถึง ๓๐ นาทีก็ดูเหมือนว่าจะเกินเวลาไปนิด เพราะเคยล่วงเวลาเขามาบ่อยๆ มานั่งดูคนกันว่าคนที่เขาสวยจริงๆ นั้นเขาทำกันยังไง คนสวยชั้นยอดนะ มีคนชอบเรียกว่าสวยชั้นยอด เรื่องความไม่สวยไม่มี นี่เอากันแค่ร่างกายนะ (อย่าล้วงเข้าไปถึงในกระเพาะตับไตไส้ปอดไม่เอากัน) ร่างที่มีรูปร่างไม่เปลี่ยนแปลง หมายความว่าถ้าคลอดบุตรคนแรกสวยขนาดไหนก็ยังเป็นสาวขนาดนั้น เราจะสวยต่อไปจนกระทั่งถึงวันตายไม่มีการแก่ ตัวอย่างก็คือ นางวิสาขามหาอุบาสิกา

    [​IMG]

    นางวิสาขานี้ทำงานเป็นตัวอย่างไว้มากคือเรียกว่าเธอสวยด้วยอำนาจเบญจกัลยาณี ตามที่เขากล่าวเป็นคำพังเพยไว้อย่างนี้ ว่าหนึ่งงามผมสมพักตร์ลักขณา งามโอษฐาจิ้มลิ้มดูพริ้มเพรา งามทนต์ยลปลั่งดังสังข์ขัด ผิวทัดกณิการ์งามราศี คลอดบุตรสักเท่าใดวัยยังดี หญิงเช่นนี้ใครได้มางามหน้าเอย นี่เจ้าคุณ<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]ราชเมธี วัดประยุรวงศาวาส</st1:personName> ท่านแต่งเป็นคำกลอนไว้ คำว่างามผมสมพักตร์ลักขณา ก็เพราะว่าผมนี่น่ะ จะเรียบอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราต้องการให้เป็นคลื่นก็จะเป็น แล้วก็เรียบสนิท ไม่ต้องหวี ไม่ต้องแต่ง แล้วก็จะยาวไม่มาก ถ้ายาวไปถึงเอวก็จะช้อนงอนขึ้น ไม่ลากดิน แล้วผมก็ไม่เหม็นสาบเหม็นสาง ไม่ต้องสระไม่ต้องล้าง ไม่ต้องฟอก ดีไหม? เรียกว่าช่วยค่าครองชีพได้มาก สองโอษฐาจิ้มลิ้มดูพริ้มเพรา ริมฝีปากแดงระเรื่อ ไม่แดงมากนัก แล้วเรียบ ไม่มีริ้ว ไม่รอย ปากสวย ข้อสามงามทนต์ยลปลั่งดังสังข์ขัด ฟันนี่ไม่ต้องใช้แปรงสีฟัน ไม่ต้องตัดไม่ต้องแต่ง เรียบแล้วแลดูเป็นเงาเหมือนมุกน่าชมน่ารัก ผิวทัดกณิการ์งามราศี ขึ้นชื่อว่าผิวนี่ไม่มีไฝไม่มีฝ้า ถ้าขาวก็ขาวเนื้อละเอียดดี ถ้าดำก็ดำนวลๆ เรียกว่าพอสวยสำหรับในสมัยที่เขาต้องการ ข้อที่ห้าว่าคลอดบุตรสักเท่าไร วัยยังดี หมายความว่าเวลาที่คลอดบุตรคนแรกอายุเท่าไร นางวิสาขาคลอดบุตรคนแรกอายุ ๑๖ ปี แล้วนางก็เลยเป็นสาวแค่ ๑๖ อยู่แบบนั้น ร่างกายไม่เปลี่ยนแปลงอีกต่อไปจนกระทั่ง ๑๒๐ ปี ระหว่างนั้นนาง<st1:personName w:st="on" ProductID="วิสาขามีบุตรหญิง ๑๒๐">วิสาขามีบุตรหญิง ๑๒๐</st1:personName> คน แล้วก็มีบุตรหญิงของนางวิสาขาคลอดบุตรมาอีกคนละ ๒๐ คน

    [​IMG]


    ระหว่างที่บรรดาหลานๆ เป็นสาวคราว ๑๕๑๖ นางวิสาขานั่งอยู่ในระหว่างท่ามกลางหลาน ท่านชีวกโกมารภัจ เรียกว่าเธอสาวเท่าอายุ ๑๖ ตลอดกาล

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท นางวิสาขาทำบุญอะไรไว้จึงได้สวยขนาดนี้ สาวขนาดนี้ แล้วความสาวความสวยไม่เปลี่ยนแปลง ท่านกล่าวถึงอานิสงส์ไว้ว่า ในชาติก่อนนางวิสาขาซ่อมพระพุทธรูปที่ปรักหักพัง ทรุดโทรม ที่มีเนื้อแตกหนังแตก คือมีผิวแตกทองลอกไปเสียแล้ว นางวิสาขาซ่อมพระพุทธรูปด้วยกุศลเจตนาจริงๆ

    เกิดมาชาตินี้จึงกลายเป็นคนสวย แล้วนางวิสาขามีเครื่องประดับ ประกอบไปด้วยแก้วเพชรนิลจินดาและทองคำ เสื้อคลุมตั้งแต่ศีรษะถึงเท้า มีนกยูงรำแพน มีแก้วมณีตั้ง ๒๐ ทะนาน แล้วมีแก้วประพาฬ แก้วอินทนิลอะไรต่อมิอะไรอีก เสื้อตัวนั้นไม่มีด้ายเลย ที่เขาทำเป็นด้ายก็ทำด้วยเงินหรือเป็นทองคำ ทั้งนี้ เพราะอาศัยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนา นี่แหละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า ชมกันเสียให้ดี ดูกันเสียให้ดีว่า นี่เขาทำความดีประเภทไหน ทำไมเขาถึงสวยอย่างนี้ ต้องการไหม?


    [​IMG]

    ถ้าต้องการก็ทำตามเขา ตานี้ จะพาไปดูคนอีก ๒ ประเภท ถ้าเวลาพอ หรือว่ามากกว่านั้นก็ได้ ชมกันแค่ ๒๐ นาทีเศษๆ ไม่เต็ม ๓๐ นาทีนัก ไปดูคนอีกประเภทหนึ่ง คนประเภทนี้ บรรลุอรหัตผลได้ง่ายดายเหลือเกิน เพียงฟังเทศน์ครั้งแรก ก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล พระพุทธเจ้า เทศน์ให้ฟังสั้นๆ เรียกว่า อนุปุพพิกถา ฟังง่ายๆ สั้นๆ ให้เวลาเพียง ๑๐ นาที เขาก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล พอฟังเทศน์เดียวกันอีกครั้งหนึ่งได้เป็นอรหันต์เลย ง่ายจริงๆ เขาทำยังไง จะเล่าให้ฟัง

    ท่านผู้นี้ มีนามว่าพระยส ภาษาบาลีเรียกว่า ยะสะ อ่านเป็นภาษาไทยเรียกว่าพระยส เกิดมาในชาตินี้มีบ้าน ๓ หลัง หลังละ ๗ ชั้น เป็นลูกมหาเศรษฐีหลังหนึ่งอยู่ในฤดูร้อน อีกหลังหนึ่งสำหรับอยู่ในฤดูฝน อีกหลังหนึ่งสำหรับฤดูหนาว แล้วก็ในบ้านที่อยู่นั้นบริบูรณ์สมบูรณ์ไปด้วยทรัพย์สินทุกอย่างมีหญิงสไหรับบำเรอเพื่อความสุขเยอะแยะนับไม่ถ้วน เพราะไม่ได้นับมา ความจริงถ้าจะนับก็นับถ้วนแต่มองไม่เห็น เลยไม่ได้นับ เรียกว่านับไม่ถ้วน เพราะไม่ได้นับนี่ แล้วก็ทุกวันมีสตรีขับประโคมเครื่องดนตรีตลอดเวลา นี่เรียกว่าได้ความสุขในด้านกามารมณ์ ท่านพระยสนี่มีความสุขสมบูรณ์ทุกอย่าง แต่ว่าอาศัยอานิสงส์เก่าเข้าบันดาลใจ

    [​IMG]

    วันหนึ่งท่านกลับเห็นบรรดาสตรีสาวสวยทั้งหลายเป็นซากศพไป จึงได้ออกจากบ้าน คิดว่าที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ เราไม่เอาแล้ว เปิดดีกว่า ออกจากบ้านสวมรองเท้าได้ก็เดินเข้าป่าไป ไปพบองค์สมเด็จพระจอมไตรเดินจงกรมดักหน้าอยู่ เสียงแกประกาศเรื่อยไปว่า ที่นี่ขัดข้อง ที่นี่วุ่นวายองค์สมเด็จพระจอมไตรจึงทรงเรียกว่า เธอจงมาที่นี่ยส เธอจงมาที่นี่ ที่นี่ไม่ขัดข้อง ที่นี่ไม่วุ่นวาย

    ท่านเข้าไปใกล้ ถอดรองเท้าแล้วก็ถวายนมัสการ องค์สมเด็จพระพิชิตมาร จึงทรงเทศน์อนุปุพพิกถาง่ายๆ ๕ ข้อ พอฟังจบก็เป็นพระโสดาบัน ตอนเช้าพ่อออกไปตาม ไปพบพระพุทธเจ้าเข้า ก็ไปถามพระพุทธเจ้าว่าเห็นลูกชายเดินมาทางนี้ไหม

    พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า เรื่องลูกชายไม่สำคัญ ฟังเทศน์ก่อนซิ แหม พระพุทธเจ้า นี่ท่านเทศน์ง่ายนะ ไม่ต้องรอเครื่องกัณฑ์ ไม่เหมือนอาตมาเทศน์ อาตมาเทศน์ ญาติโยมต้องหาเครื่องกัณฑ์มาติด แต่ความจริงก็ไม่ได้ติด เขาติดเครื่องกัณฑ์หรือไม่ติดน่ะ ไม่ใช่เรื่องของพระ ไม่ใช่ไปนับเครื่องกัณฑ์ว่า บ้านนี้รวย เขาถวายเครื่องกัณฑ์มาก จะไปเทศน์ บ้านนี้จน ไม่ยอมไปเทศน์ ไม่ใช่ยังงั้น ไม่เคยคิดอย่างงั้น หรือว่าพระองค์ไหน ท่านจะคิดบ้าง ก็เป็นเรื่องของท่าน ไม่ใช่เรื่องของอาตมาจะไปคิดด้วย

    [​IMG]

    พระพุทธเจ้า เทศน์กัณฑ์เดียวกันคืออนุปุพพิกถา
    ท่านพ่อของพระยสก็เป็นโสดาปัตติผล พระยสนั่งอยู่ข้างหลังฟังอีกทีเดียวเป็นอรหัตผล ง่ายจัง ตานี้ เรามาดูประวัติเดิมว่าเขาทำบุญอะไรมา ถอยหลังลงไปอีกชาติหนึ่ง พระยสนี่มาจากสวรรค์ ถอยจากสวรรค์ลงไปหามนุษย์ พระยสนี่ทำบุญไม่มาก คือว่าสมัยที่เป็นมนุษย์ท่านเป็นสัปเหร่อสาธารณะ หมายความว่าใครเขาตายกัน ถ้าไม่มีสัปเหร่อ หรือไม่มีเงินจ้างสัปเหร่อก็เป็นให้


    มาวันหนึ่งท่านกับเพื่อนและบรรดามารดาบิดาทั้งหลายอยู่ที่บ้าน วันนั้นมีคนเขามาส่งข่าวบอกว่ามีหญิงมีท้อง ตั้งครรภ์นะไอ้ท้องน่ะมีด้วยกันทุกคน เขาตั้งครรภ์มีบุตรในท้องตายลอยน้ำมา มาพักอยู่ที่ตลิ่งใกล้ๆบ้าน ขอให้พระยสกับเพื่อนของท่านพากันเป็นสัปเหร่อนำไปเผา ท่านทั้งหลายเหล่านี้รวมกัน ๕๕ คน เป็นสัปเหร่อสาธารณะได้ทราบข่าวก็ไม่รังเกียจ รีบไปจัดการเอาศพไปวางบนเชิงตะกอน เอาฟืนเข้ามาใส่แล้วก็เผา แต่อีตอนเผานั่นเขาจะนิมนต์พระมามาติกาบังสุกุลหรือเปล่าไม่ทราบ เกิดไม่ทัน

    ตอนนี้ไม่รู้ รู้แต่ว่าท่านทำด้วยจิตเมตตาด้วยความสงเคราะห์จริงๆ ไม่หวังค่าจ้างรางวัล เวลาใส่เชิงตะกอนใส่ไฟลุกแล้วก็กลับมาบ้าน ปรากฏว่าศพไม่ไหม้ตามที่ต้องการ มีคนเขามาแจ้งบอกว่าศพนี้เผาไม่ไหม้ ท่านกับเพื่อนก็ไปใหม่ เอาไม้แหลมแทงลงไปให้น้ำในร่างกายของสตรีที่ตายนั้นตกลงมา ไอ้เยื่อมันทั้งหลายสิ่งโสโครกก็ไหลออกมา

    [​IMG]

    เกิดนิพพิทาญาณ พิจารณาเห็นว่าร่างกายของคนและสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ ที่เราเห็นว่าสวยสดงดงาม ความจริงภายในเต็มไปด้วยของโสโครก มีอุจจาระ มีปัสสาวะ มีน้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง ไขมันต่างๆ ที่เรารังเกียจ มันมีอยู่ในร่างกายของคน ทุกคนพิจารณาเห็นสภาพเป็นอย่างนั้นแล้วมานึกอยู่เสมอ เออ ร่างกายของคนมันมีอยู่แค่นี้นะ มันดีอยู่แค่หนังกำพร้าภายนอกเท่านั้น ส่วนข้างในนี่ซีดูไม่ได้เลย

    นี่เรามานั่งรักซากศพกันแท้ๆ เรามานั่งรักสิ่งโสโครกกันแท้ๆ เรามานั่งรักสิ่งโสโครกกันแท้ๆ ความจริงสมัยนั้นท่านก็คิดเป็นบางขณะ ไม่ใช่ละภรรยาเสียเลย ยังอยู่เป็นคู่ครองกันต่อไป แต่อานิสงส์ที่มีนิพพิทาญาณชั่วขณะเดียวเท่านั้นไซร้ นะ (นี่จะว่าเป็นทำนองนักเทศน์ไปเสียแล้ว) เพราะอาศัยที่ท่านมีนิพพิทาญาณชั่วขณะ มีจิตน้อมไปในกุศล มีจิตเมตตาเป็นสาธารณะ คือหมายความว่าไม่จำกัดบุคคล ฉะนั้นเมื่อตายจากชาตินั้นแล้ว

    อานิสงส์เมตตาที่เป็นสัปเหร่อสาธารณะบันดาลให้ท่านไปเกิดเป็นเทวดาพร้อมด้วยพวก คือ บิดา มารดา ภรรยา แล้วก็เพื่อนอีก ๕๕ คน ที่ร่วมมือกัน ไปเกิดอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก

    เมื่อเวลากาลที่พระพุทธเจ้าลงมาเกิดจากชั้นดุสิต ท่านก็มาบ้าง เมื่อมาแล้วปรากฏว่ามีทรัพย์สมบัติมากเป็นลูกมหาเศรษฐี เพราะอำนาจความดีที่มีเมตตาเป็นสาธารณประโยชน์ แล้วก็ได้มีโอกาสฟังเทศน์ครั้งเดียว เป็นพระโสดาบัน แล้วก็อีกครั้งหนึ่งเป็นอรหัตผล

    [​IMG]

    นี่แหละ บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน การเป็นพระอรหันต์เห็นของไม่ยาก ถ้าเราฉลาด นี่เวลานี้ ถ้าเราฉลาดเองไม่พอ พระพุทธเจ้า ก็บอกแนวของความฉลาดไว้แล้ว ถ้าเราพอใจธรรมปฏิบัติที่เป็นกุศลส่วนใดส่วนหนึ่งเข้าไว้ เรารับผลของความดีส่วนนั้นบนสวรรค์ แล้วอีกชาติเดียว เราไปพบพระพุทธเจ้าเข้า

    คืออีกไม่นานพระศรีอาริย์ก็ทรงตรัสเราฟังเทศน์แบบนั้น พระพุทธเจ้า ท่านรู้อัธยาศัยของคนว่า เรามีอัธยาศัยเป็นแบบไหนท่านก็เทศน์ตามอัธยาศัย ไม่ช้าไม่นานเท่าไหร่ก็ได้อรหัตผลไปนิพพาน นี่เรื่องของการเป็นพระอรหันต์เป็นไม่ยาก ถ้ารู้จักเหตุนะ ทีนี้ จะพูดให้ฟังอีกสักเรื่องหนึ่ง หรือปรากฏว่ามีค้างคาว ๕๐๐ ตัว เรื่องนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทก็ฟังมามากแล้ว แต่ว่าเรื่องนี้เขาจะบันทึกไว้เป็นตัวหนังสือ จะนำไว้เป็นตัวอย่างว่าวิธีเข้านิพพานแบบลัดๆ ไม่ต้องไปนั่งไล่เบี้ยกันกี่ชาติกี่กัป

    เพราะเราไม่ได้ปรารถนาพุทธภูมิเอากันแบบลัดๆ สบายๆ หากันกันแบบสบายๆ ค้างคาว ๕๐๐ ตัวนี่อยู่ในถ้ำ ในสมัยพระพุทธกัสสป เวลานั้นพระสงฆ์ทั้งหลายท่องปกรณ์ ๗ ประการ คือพระอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์

    [​IMG]

    เมื่อท่องแล้วก็ไปซ้อมเพื่อความคล่องแคล่วสำหรับไว้เจริญไม่ใช่ว่าสำหรับสวดผี สำหรับไว้พิจารณาและสำหรับไว้ปฏิบัติ บรรดาค้างคาวทั้งหลายเหล่านั้นเวลากลางวันนอน เอาเท้าจับหัวห้อยไม่ทราบว่าเป็นเพราะกรรมอะไร (อย่าไปถามเข้านะ ถามเข้านะ ถามแล้วก็ตอบไม่ได้)

    เมื่อฟังเสียงพระท่านสวดพระอภิธรรม เสียงท่านว่าพร้อมๆ กัน ทำเสียงให้สม่ำเสมอกันฟังแล้วก็เพลิน ไม่รู้หรอกว่าเขาสวดเพราะเป็นสัตว์เดียรัจฉาน เพลินในเสียง ชอบใจในเสียง เพลินไปเพลินมาขาก็เลยหล่น หล่นจากที่เกาะ ลงมาตายพร้อมกันทั้ง ๕๐๐ ตัว อาศัยที่จิตเป็นกุศล ฟังเสียงพระอภิธรรมชอบใจ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าคนที่เขาว่านั้นเป็นพระหรือเป็นใคร เสียงนั้นจะเป็นเสียงพระอภิธรรมหรืออะไรไม่รู้เรื่อง แต่ว่าพอใจในธรรม

    เมื่อหล่นลงมาตายทั้ง ๕๐๐ ตัว ก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลกหมดด้วยกันเป็นเทพบุตร สมัยที่พระพุทธเจ้าลงมาตรัส บรรดาเทวดาพวกนั้นก็จุติ คือตายจากเทวดามาเกิดในตระกูลของชาวประมง หากินด้วยการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ชาวประมงนี่ก็รู้อยู่แล้ว อาชีพของพวกเขาก็คือการหาสัตว์น้ำ เรียกว่าทำบาปกันตลอดเวลา ต่อมาเมื่อพบพระสารีบุตรเข้า เขาทั้ง ๕๐๐ คนมีความเลื่อมใสในพระสารีบุตร ขอบวชในสำนักของพระสารีบุตร อยู่กับพระสารีบุตรมาตลอดพรรษาไม่ได้อะไรเลย แม้แต่ฌานโลกีย์ก็ยังไม่ได้ เรียกว่าอยู่ด้วยความดี ปฏิบัติตามโอวาทด้วยดี วันหนึ่งองค์สมเด็จพระชินสีห์พบพระสารีบุตรที่ขอบสระโบกขรณี จึงเรียกพระสารีบุตรเข้ามาหาบอกว่า

    สารีบุตร ดูก่อน สารีบุตร บริวารของเธอทั้ง ๕๐๐ รูปนี่นะในชาติก่อนเขาเป็นค้างคาวเคยฟังเสียอภิธรรม พอใจในเสียงนั้นแล้วก็พากันหล่นลงมาตายพร้อมกัน แล้วไปเกิดเป็นเทวดา ฉะนั้น สารีบุตรจงเรียนอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์ไปจากตถาคต เมื่อกลับไปจากบิณฑบาตแล้วฉันข้าวเสร็จ ก็เรียกพระทั้ง ๕๐๐ องค์เข้ามาประชุมกันแล้วก็เทศน์อภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์ไห้ฟัง

    [​IMG]

    พอเทศน์จบ บรรดาท่านพุทธบริษัทเพราะอาศัยปัจจัยเดิมขอบเขาเคยฟังอภิธรรมมา ทั้ง ๕๐๐ รูปปรากฏว่าเป็นพระอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนาขั้นสูงทั้งหมด นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องราวอย่างนี้ยังมีอีกมาก อาตมานำมาเล่าให้บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังตามสมควรแก่เวลา เพื่อให้เป็นตัวอย่าง จะได้ทราบว่าคนที่จะเข้าถึงพระนิพพานน่ะ เข้าไม่ยาก พระนิพพานอยู่ที่ไหน สูญหรือไม่สูญอย่าเพิ่งพูดกันนะ อย่าเพิ่งเถียงกันเรื่องนิพพานสูญนี่

    อาตมาเรียนมาตั้งแต่สมัยเป็นนักธรรมโท เจอะตำราบอกว่านิพพานสูญ แล้วก็ไปอีกหน่อยหนึ่ง ถ้าเราไปอ่านเรื่องราวของพระนิพพานจริงๆ คิดว่า น่าจะไม่สูญ แต่พระนิพพานก็ดี สวรรค์ก็ดี นรกก็ดี พรหมโลกก็ดี หรือว่าเรื่องเปรตเรื่องอสุรกายทั้งหลายก็ดี

    ท่านพุทธบริษัท ถ้าเรายังเห็นเองไม่ได้ละก็อย่าเถียงกัน อย่าตีความหมายเอาเองมันจะผิด สมมติว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทอยู่บ้านของท่านแล้วท่านลองคิดดูทีซิว่า เวลานี้ที่กุฏิอาตมามีอะไรอยู่บ้าง มีคนอยู่กี่คน มีพระกี่องค์ มีเครื่องใช้ไม้สอย มีอะไรบ้าง ในเมื่อท่านทั้งหลายไม่เคยมากุฏิของอาตมาเลย แล้วท่านจะบอกถูกไหม ว่ามีอะไรอยู่บ้าง ในที่นี้ว่ากันแต่เมืองมนุษย์นะ แล้วก็เป็นสิ่งที่เราจะพึ่งเห็นกันได้โดยง่าย

    ท่านจะลองเขียนมาได้ไหมว่าอาตมามีอะไรกี่ชิ้น แล้วมีสภาวะความเป็นอยู่เป็นประการใด แล้วคนในวัดนี้ที่อาตมาปกครองมีกี่คน เป็นพระเท่าไร เป็นฆราวาสเท่าไร เป็นเด็กเท่าไร ทรัพย์สินต่างๆ ที่เป็นของส่วนตัวและเป็นของสงฆ์ที่อยู่ในปกครองมีเท่าไหร่ ท่านทั้งหลายจะบอกได้ไหม ถ้าไม่กล้าจะบอกเพราะบอกไม่ได้ เพราะไม่รู้ความเป็นจริง

    [​IMG]

    แค่เมืองมนุษย์นี่ยังบอกไม่ได้ทั้งที่เป็นสิ่งที่เราสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าละก็ เราก็อย่าเพิ่งพูดเรื่องผี เรื่องเปรต เรื่องอสุรกาย เรื่องนรก เรื่องสวรรค์ เรื่องพรหม เรื่องนิพพาน เพราะอะไร เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเกินวิสัยที่ตาคนจะมองเห็น แม้แต่เพียงกล้องจุลทรรศน์ที่ขยายออกจากภาพเดิมได้หลายๆ แสนเท่าก็ไม่สามารถจะขยายไห้เห็นผีเห็นเทวดาได้

    จึงเป็นการเกินวิสัยที่เราจะพึงเดา ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายไม่สามารถจะมีทิพยจักขุญาณ ไม่มีทิพยจักขุญาณอยู่ในใจของตนแล้ว ท่านพูดเรื่องผีเท่าไรก็ตาม ผิดหมดไม่มีถูก ทั้งนี้เพราะอะไร ทั้งนี้เพราะว่าท่านไม่ได้เห็นจริงๆ ผีก็ดี เปรตก็ดี มีสภาพหยาบมาก หยาบกว่าเทวดา เมื่อพูดผีผิด พูดเรื่องเทวดาก็ผิดใหญ่

    เพราะเทวดามีสภาพละเอียดกว่าผี เห็นยากกว่า เมื่อพูดเรื่องเทวดาผิด พูดเรื่องพรหมก็ผิด ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าพรหมมีสภาพละเอียดกว่าเทวดา ถ้าพูดเรื่องพรหมผิด ไปพูดเรื่องนิพพานก็ยิ่งผิดเป็นการใหญ่ ทำไมล่ะ เพราะว่านิพพานมีสภาพละเอียดกว่าพรหมมาก ตามแนวที่พระคณาจารย์ทั้งหลายพูดไว้

    ท่านกล่าวว่าพระอรหันต์ที่เข้านิพพานแล้ว มีกายละเอียดมากท่านไม่ให้พรหมเห็น พรหมก็จะเห็นไม่ได้ พรหมมีกายละเอียดกว่าเทวดา ถ้าพรหมไม่ต้องการให้เทวดาเห็น เทวดาก็เห็นพรหมไม่ได้ เทวดามีกายละเอียดกว่าเปรต ถ้าท่านไม่ต้องการให้ผีหรือเปรตเห็น ผีหรือเปรตก็ไม่สามารถจะเห็นเทวดาได้ ตานี้ผีและเปรตมีกายหยาบมาก ไม่ต้องการให้คนเห็น คนก็ไม่สามารถเห็นผีหรือเปรตได้ฉันนั้น

    [​IMG]

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เรื่องผี เรื่องเทวดา เรื่องพรหม เรื่องพระนิพพาน หากว่าท่านไม่ได้ทิพยจักขุญาณท่านพูดไม่ถูก ก็แม้แต่ในกุฏิของอาตมาเองซึ่งเป็นคนธรรมดา มีเนื้อมีหนังมีวัตถุ ข้าวของทั้งหลายมีอะไรเป็นวัตถุที่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ท่านทั้งหลายก็ยังไม่สามารถจะทายได้ว่ามีอะไรอยู่บ้างตั้งอยู่ที่ไหน แล้วท่านจะไปเดาเรื่องผีเรื่องเปรตกันได้ยังไง

    แล้วก็โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเรื่องพระนิพพานแล้ว ก็ยิ่งไปกันใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่ได้ทิพยจักขุญาณ ถ้าเป็นฌานโลกีย์ท่านก็ยังไม่สามารถจะรู้เรื่องราวของพระนิพพานได้อีก ถ้าเป็นฌานโลกีย์ถึงฌาน ๔ หรือฌาน ๘ ท่านจะรู้เรื่องของพรหมได้ ทั้งรูปพรหม และอรูปพรหม คือพรหมที่มีรูป และพรหมที่ไม่มีรูป

    แต่ว่าท่านก็จะรู้เรื่องราวของพระนิพพานไม่ได้ ต่อว่าเมื่อไรท่านปฏิบัติวิปัสสนาญาณ อารมณ์ของท่านสามารถตัดสังโยชน์ ๓ ประการ คือ สักกายทิฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพัตตปรามาส สามข้อนี้ละเอียดลงไป เข้าถึงโคตรภูญาณเมื่อไร เมื่อนั้นแหละ


    ท่านจะใช้ทิพยจักขุญาณของท่านเห็นพระนิพพานได้อย่างชัดเจนแล้วก็ไม่มีการสงสัย จะพูดอย่างไรก็ไม่ผิด เอาละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ว่ากันถึงเรื่องของมนุษย์มา ๒ วันพุธแล้ว วันนี้ก็ต้องขอเอวังกันเสียที นี่เวลามันก็หมดแล้วนี่

    ขอให้ท่านบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายนอนพักอยู่ในลานเมืองมนุษย์นี่ก่อนอีก ๗ วัน วันพุธหน้าอาตมาจะพาท่านพุทธบริษัททุกท่านไปชม ภุมเทวดา รุกขเทวดา และอากาศเทวดา ตามจังหวะเวลาที่จะอำนวยให้สำหรับวันนี้เวลาหมดแล้ว ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้ติดตามและรับฟังทุกท่าน สวัสดี. .


    <O:p[​IMG]</O:p
    [/QUOTE]
     
  2. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    [​IMG]

    .. จึงเป็นการเกินวิสัยที่เราจะพึงเดา ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายไม่สามารถจะมีทิพยจักขุญาณ ไม่มีทิพยจักขุญาณอยู่ในใจของตนแล้ว ท่านพูดเรื่องผีเท่าไรก็ตาม ผิดหมดไม่มีถูก ทั้งนี้เพราะอะไร ทั้งนี้เพราะว่าท่านไม่ได้เห็นจริงๆ ผีก็ดี เปรตก็ดี มีสภาพหยาบมาก หยาบกว่าเทวดา เมื่อพูดผีผิด พูดเรื่องเทวดาก็ผิดใหญ่ ..
    ****************

    อนุโมทนา สา..ธุ ครับ น้องน่าน
     

แชร์หน้านี้

Loading...