เมตตามหานิยม แลกเปลี่ยน ประสบการณ์เกี่ยวกับเมตตาได้

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย SpecDum, 11 พฤษภาคม 2010.

  1. SpecDum

    SpecDum เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +489
    เมตตามหานิยม

    [​IMG]</O:p


    หลายท่านเข้ามาแล้วคิดว่าเป็นคาถาหรือป่าว ผมบอกเลยว่าไม่ครับ เมตตามหานิยมที่ผมกล่าวต่อไปนี้คือเมตตามหานิยมที่ถูกวิธีคือ เมตตามหานิยมทางธรรม ซึ่งมันมีอานุภาพมากกว่าเมตตามหานิยมทางโลกเสียอีก มาเริ่มอ่านกันเลยครับ อยากให้ทุกคนอ่านให้จบนะครับ

    ผมจะอธิบายความหมายของ เมตตามหานิยม ก่อนนะครับ
    เมตตา = ความรักและเอ็นดู, ปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข
    มหา = ใหญ่, ยิ่งใหญ่
    นิยม = ชมชอบ, ยอมรับนับถือ, ชื่นชมยินดี

    แปลตามที่ผมเข้าใจนะครับ คือ การปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุขเพื่อให้เราเป็นที่รักที่ชอบแก่ทุกคน
    อันนี้ตามความเข้าใจผมนะครับ ถ้าผมแปลผิดแล้วก็ขอโทษด้วยครับ

    ในเมื่อแปลออกมาแล้ว บางคนก็ยังที่จะไป หาเมตตามหานิยมทางโลกบ้าง อย่างที่คุณพ่อของผมเล่าให้ฟังว่า มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง พอดีว่าสามีไปมีชู้ครับ ด้วยความที่ภรรยารักสามีมาก ก็ไปทำเสน่ห์ มาซะงั้น ทำมาแล้วก็หมดเงินไปมาก ภรรยาก็คิดว่า “เอ...สามีก็ไม่เห็นกลับมาหรือว่าที่เราไปทำ จะหรอกเอาเงินเรา กันแน่นะ.” ยังไม่พอครับ ไปทำมาอีก ทำมาก็เหมือนเดิม ไม่กลับมา ผมว่ามันน่าหัวเราะ นะครับ เพราะอะไรรู้ไหมครับ ทำไมสามีถึงไม่กลับมา เพราะว่าสามีไม่ดีนะครับ แต่ตัวภรรยาเองต่าง หากละครับที่ไม่ดี ไม่งั้นสามีไม่มีคนอื่นหรอกครับ
    นี่แหละครับแก้ที่ไหนไม่แก้ ดันไปแก้ที่ปลายเหตุ ซะเนี่ย แทนจะแก้ที่ตัวเองใช้ไหมครับ เรื่องอย่างนี้ผมมี วิธีครับ ถ้าคุณอ่านจบ แล้วนำเอาวิธี เมตตามหานิยมของผมไปใช้แล้ว คุณจะพบกับความ มหัศจรรย์ ครับ เอาละครับผมขอเริ่มเลย

    อันดับแรกผมขออ้างอิงครูบาอาจารย์ ที่ท่านเน้นสอนเรื่องเมตตาเอาไว้มากๆ
    ท่านคือพระครูโชติวัตรวิมล เจ้าอาวาสวัดคลองตาลองในปัจจุบัน ท่านจะสอนว่า
    “เวลาท่านเดินไปท่านต้องแผ่เมตตาให้ผู้ปฏิบัติธรรมที่อยู่ร่วมกับเรา มีความสุข
    หรืเวลาที่ท่านเดินผ่านใครก็ ขอให้เค้ามีความสุข หรือท่านจะภาวนาว่า
    พุท-โธ ให้คนนี้มีความสุข หรือ พุท-โธ ให้คนนั้นมีความสุข....”

    เป็นเวลากว่า 10 ปีแล้วที่ท่านจะเน้นสอนอย่านี้เป็น ประจำจนผม อดสงสัยไม่ได้ว่า เมตตามีอะไรดีหนอ ท่านสอนจนผมทนไม่ไหวจนผมต้อง ลองทำตามดูที่ท่านสอนมาบ้าง....ผ่านมา 4 ปี ผมจึงได้ปรับแนวทางเรื่องเมตตาที่ท่านสอน เป็นแบบวิธีของผมเอง ผมจำนำเรื่องเมตตามาบอกท่านบ้าง
    ครั้งแรกนั้นที่ผมแผ่เมตตา ให้กับตนเองก่อนครับ เพราะว่าเราต้องเมตตากับตนเองก่อนครับถึง
    จะแผ่ให้คนอื่น แผ่ตามบทความนี้ไดเลยครับ แตท่านต้องมองตัวเองด้วยสายตาที่เมตตาเหมือนพระพุทธรูป และยิ้มให้ตนเองเหมือนพระพุทธรูป ก่อนครับ และเริ่มแผ่ให้ตนเองเลย

    “ขอเราจงมีความสุขนะ ขอเราจงปราศจากเวร และภัยทั้งหลาย ขอเราอย่ามีทุกข์ ขอให้เรามีความสุข กาย สุขใจ เทอญ นะ”

    เมื่อแผ่เมตตา ให้ตัวเองแล้วผมก็กำหนดจิตนึกถึง

    ท่านผู้มีบุญคุณเช่น คุณพ่อ-คุณแม่ กำหนดจิตให้เห็นว่าท่านมายืนอยู่ข้างหน้าทั้งคู่ กำลังยิ้มให้เรา ให้แผ่เมตตาให้ท่านแบบไม่มีประมาณไปเลย
    “ขอให้คุณพ่อ คุณแม่ผู้ให้กำเนิดลูกและเลี้ยงดูลูกมาถึงทุกวันนี้ ลูกขอให้ท่านมีความสุขกาย สุขใจนะ”...

    แผ่ไปครับ แผ่ไปอีก แผ่ให้ท่านเยอะ ๆ แผ่ให้ท่านไปแล้วแผ่ให้ญาติใกล้ตัวของเราบ้างครับ
    “ขอให้คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย ลุง พี่ ป้า น้า อา ของลูกจงมีความสุขนะ”

    ต่อไปเป็นคุณครูและอาจารย์ของเราครับ ที่ท่านอบรมสั่งสอนเรามาให้มี วิชาความรู้ ถึงทุกวันนี้
    “ขอคุณครูที่ท่านเคยอบรมสั่งสอน เรามา ขอให้ท่านมีความสุขนะ”

    เมื่อมาถึงตรงนี้จะเป็นการแผ่เมตตาของผม คือผม จะแผ่ให้กับ เทวดาชั้นพรหม สวรรค์ ลงมาโลกมนุษย์ เดรัจฉาน จนอเวจีมหานรก และทั้งสิบทิศ ถ้าจะให้ผมพิมพ์ว่ามีอะไรบ้างตั้ง ชั้นพรหมลงมา ถึงอเวจี นั้นยาวมาครับ เพราะผมได้มา แบบว่าผม แผ่เมตตาไปเท่าที่ผมจะนึกได้ พอผมแผ่ไปเรื่อยๆ ก็เหมือนกับมาอะไรมา ทำให้ผมต้อง แผ่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ๆ เยอะมากขึ้น ๆ
    เพราะฉะนั้นผมขอให้คุณลองแผ่เมตตาตากันบ้าง แล้วคุณก็จะรู้ว่ามีอะไรตั้งแต่ชั้นพรหมลงมา อเวจีครับ เยอะมากเลยอดไม่ไหว ต้องแผ่ให้
    เมื่อผมแผ่เมตตา ครบสิบทิศแล้ว ผมก็ จะต้อง ทรงอารมณ์นั้นให้นานที่สุด แล้วผมก็จะเริ่มเดินออกไป ที่ๆ มีคน เยอะบ้าง ผมเรียกวิธีนี้ว่า โปรดสัตว์ ครับ โปรดสัตว์ อย่างไรคือระหว่างที่เราเดินไปเจอคนเราก็แผ่เมตตาให้เค้าอย่างนี้ครับ
    “ขอให้คนนี้มีความสุข ขอให้คนนั้นมีความสุข ขอให้..... ขอให้ ........”

    ไปเรื่อยๆ เลยครับ คือระหว่างที่เราแผ่ไปนี้ ให้เราทำสายตาที่เอ็นดูเหมือนมองเด็กทารกนะครับ
    คุณอย่าลืมนะครับว่าเมตตาที่แผ่ไปนั้น ต้องบริสุทธิ์โดยปราศจาก ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ พวก รัก โลภ โกรธ หลง ต่างๆ ครับ และต่อไปให้คุณผู้มีเมตตาจิตลองแผ่เมตตา เป็น รายๆ บุคคลอย่างนี้นะครับ
    ถ้าคุณเป็นลูกจ้างอยากให้เจ้านายรักแผ่เมตตาให้เจ้านายมีความสุข
    ถ้าคุณเป็นเจ้านาย อยากมีบริวาร(เพราะเมตตาเป็นบ่อเกิด แห่งบริวาร )หรือมีลูกน้องที่รักคุณหรือซื่อสัตย์ ต่อคุณ แผ่เมตตาให้บริวารและลูกน้องมีความสุข
    ถ้าคุณค้าขายไม่ต้องไปหาอะไรมาบูชา คุณบูชาคุณพ่อ คุณแม่ของคุณ ดีที่สุดครับ และแผ่เมตตาให้คนที่จะมาซื้อของในวันนี้ มีความสุข
    ถ้าคุณเป็นครูมีลูก ศิษย์ ไม่เชื่อฟัง แผ่เมตตาให้ลูกศิษย์ มีความสุข
    ถ้าคุณเป็นนักเรียน นักศึกษาให้คุณแผ่เมตตาให้ อาจารย์ แล้วอาจารย์ของเราจะเปลี่ยนไป
    ถ้าคุณมีลูกหลานที่ไม่เชื่อฟัง ให้คุณแผ่เมตตาให้ลูกหลานของคุณมีความสุข
    ถ้าคุณไปพูดตามงานต่างๆ ไม่มีคนฟัง คุณลองแผ่เมตตา ซิครับ ฟังคุณหมด
    ถ้าคุณมีญาติหรือคนรู้จัก กำลังนอนรักษาตัวที่ โรงพยาบาลแล้วลำพังกำเมตตาคุณ คงหายยาก ให้คุณกลับไปสวด พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ แล้วแผ่เมตตาให้คนที่อยู่ในโรงพยาบาล
    สถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ วุ่นวาย ให้ท่านร่อมกันแผ่เมตตาให้ประเทศชาติ กันมากๆ
    ให้ประเทศชาติมีความสุข
    พวกเราทุกคน รู้ว่าในหลวงของเรา ท่านเหนื่อยกายมามากแล้ว แล้วท่านต้องมาเหนื่อยใจอีก เราควรที่จะร่วมกันแผ่เมตตา ให้ท่านมากๆ ให้ท่านมีความสุขเถอะครับ
    วิธีการแผ่เมตตาโดยรวมแล้วครับ
    วิธีการเจริญเมตตานั้น เราสามารถกระทำได้โยการแผ่สติให้ครอบคลุมทั่วร่างกาย ทั่วตัวทั่วพร้อมเอาไว้ จากนั้นจึงน้อมระลึกถึงอารมณ์เมตตาความปรารถนาดีที่ต้องการให้ผู้อื่นเป็นสุข พ้นจากความทุกข์และสิ่งไม่ดีทั้งหลาย ให้บังเกิดขึ้นภายในร่างกายของเราก่อน ให้กายของเรานั้นคลุกเคล้าไปด้วยกระแสอารมณ์ของเมตตานั้น เมื่อจิตมีกำลัง มีสมาธิมากขึ้น กระแสเมตตาจิตนี้จะน้อมแผ่ซ่านกระจายออกไปทั่วทิศทั่วทาง ยิ่งจิตมั่นคงปล่อยวางจากความคิดและอารมณ์อื่นได้มากเท่าไหร่ กระแสของเมตตาจิตนี้ก็จะยิ่งมีกำลังและแผ่กระจายออกไปกว้างขวางมากเท่านั้น
    หรือบางครั้ง เพียงแค่เราทำจิตให้นิ่งสงบปราศจากความเศร้าหมองของใจ มีจิตที่ดำรงตั้งมั่นเป็นสมาธิอยู่ แล้วแผ่กระแสความสงบนั้นให้ครอบคลุมทั่วร่างกายทั่วตัวทั่วพร้อม ก็อาจสงเคราะห์เป็นเหมือนการแผ่เมตตาได้เช่นกัน
    (เพราะจิตที่ไม่มีความโกรธ ไม่มีความผูกโกรธเอาไว้)
    สำหรับกรณีที่จะแผ่เมตตาให้กับบุคคลนั้น ก็ให้กระทำหลังจากที่จิตดำรงตั้งมั่นเป็นสมาธิ มีกายคลุกเคล้าไปด้วยอารมณ์แห่งเมตตาได้แล้ว จึงค่อยน้อมแผ่ไปให้กับบุคคลนั้น โดยอาศัยการนึกถึงบุคคลนั้นแล้วน้อมอารมณ์ความรู้สึกจากกายให้ส่งต่อไปยังความคิดที่กำลังนึกถึงบุคคลนั้น (หากลืมตาเห็นบุคคลนั้นอยู่ก็ให้น้อมความรู้สึกออกไปทั้งทางกายและดวงตาด้วย หรือ อาจจะน้อมแค่เฉพาะความรู้สึกส่งไปให้โดยที่ตาเราไม่จำเป็นต้องมองไปทางบุคคลนั้นก็ได้)
    อานิสงส์ของการเจริญเมตตา(อัปปมัญญา)เช่นนี้ นอกจากจะทำให้เป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายแล้ว ยังส่งผลช่วยในการบรรเทาวิบากกรรมที่ไม่ดีให้เบาบางลง และทำให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้กับเราได้ง่ายขึ้น ทำให้ชีวิตประสบแต่สิ่งที่ดี เป็นทางมาแห่งโภคทรัพย์ ลาภยศทั้งหลาย คลาดแคล้วปลอดภัยจากอันตรายหรือสิ่งไม่ดีทั้งหลาย รวมทั้งเป็นวิหารธรรมที่เป็นเครื่องอยู่ของจิตอันทำให้มีความสุขในปัจจุบัน

    สุดท้ายนี้ผมขอฝาก อานิสงส์ เมตตา 11 ประการนี้ให้ ทุกท่านไปพิจารณาเรื่องเมตตาครับ
    ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงตรัสปรารภเมตตาสูตรว่า

    "ภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ของการแผ่เมตตามี ๑๑ ประการ คือ

    ๑. หลับเป็นสุข
    ๒. ตื่นเป็นสุข
    ๓. ไม่ฝันร้าย
    ๔. เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย
    ๕. เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย
    ๖. เทวดาย่อมรักษา
    ๗. ไฟ ยาพิษ ศัสตรา ไม่ล่วงเกิน
    ๘. จิตได้สมาธิเร็ว
    ๙. สีหน้าผ่องใส
    ๑๐. ไม่หลงตาย
    ๑๑. เมื่อยังไม่บรรลุ ธรรม ย่อมเข้าถึงพรหมโลกชั้นสูง

    ภิกษุทั้งหลาย พึงเจริญเมตตาไปในสัตว์ทุกชนิดโดยเจาะจงและไม่เจาะจง พึงเจริญ กรุณา มุทิตา อุเบกขา แม้ไม่ได้มรรคผลก็ยังเข้าถึงพรหมโลกได้" แล้วได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...

    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วพระโพธิสัตว์เกิดเป็นฤาษีชื่ออรกะ บำเพ็ญเพียรอยู่ป่าหิมพานต์ ได้เป็นอาจารย์สอนหมู่ฤาษี พร่ำสอนอานิสงส์เมตตาว่า
    "ธรรมดาพรรพชิตควรเจริญเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เพราะเมื่อจิตถึงความแน่วแน่แล้ว ย่อมบังเกิดในพรหมโลกได้" แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า
    "ผู้ใดอนุเคราะห์สัตว์โลกทั้งมวล ด้วยเมตตาจิตอันหาประมาณมิได้ ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำและเบื้องล่าง โดยประการทั้งปวง จิตเกื้อกูล หาประมาณมิได้ เป็นจิตบริบูรณ์อันผู้นั้นอบรมมาดีแล้ว กรรมใดที่เขาทำแล้วพอประมาณ กรรมนั้นจะไม่เหลืออยู่ในจิตของเขานั้น"
    เมื่อกล่าวคาถาจบ ได้พาหมู่ฤาษีบำเพ็ญเพียรไม่เสื่อมจากฌาน ได้ไปบังเกิดในพรหมโลก ไม่ได้กลับมาเกิดในโลกมนุษย์อีก เป็นเวลา ๗ สังวัฏฏกัป

    ขอขอบคุณผู้มีเมตตาจิตทุกท่านที่เสียสละเวลามาอ่านบทความนี้
    ผมหวังว่าทุกท่านจะนำเอาวิธีแผ่เมตตานี้ไป ใช้ในทางที่ถูกและเกิดประโยชน์ กับตนเอง และผู้อื่นนะครับ
    ขอท่านผู้มีเมตตาจิตทุกท่าน จงมีความสุข ความเจริญ เทอญ

    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโททามิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2010
  2. SpecDum

    SpecDum เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +489
    เดี๋ยว ประสบการณ์เมตตาของผมจะ นำมาเล่าใหม่นะครับ
     
  3. Jera

    Jera เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,001
    ค่าพลัง:
    +2,040
    เมตตา ทำให้ผมเกรดพุ่งครับ
     
  4. SpecDum

    SpecDum เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +489
    ประสบการณ์เกี่ยวกับเมตตา ของผม ขอตั้งชื่อเรื่องว่า


    ความโกรธ อย่างไงก็แพ้เมตตา


    เมื่อผมเรียนอยู่นั้น ผมมีอาจารย์ท่านหนึ่งท่านโหดมาก และท่านไม่ค่อยชอบผมเท่าไร่ ครับ
    เพราะท่าน นับถือ ศาสนาคริสต์ ท่านมักจะถือตัวเองเสมอครับว่า ตัวเราดี แต่ผมไม่ได้ประณาม
    อาจารย์ผมเองนะครับ แต่ท่านดีมากขึ้นเมื่อท่านได้ รับเมตตาจาก ผม
    ย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีกว่าผมเริมแผ่เมตตา อย่างจริงจัง
    โดยเริ่มแผ่ให้ตัวเองก่อนแล้วแผ่ให้ผู้อื่น
    แต่เมื่อแผ่ให้อาจารย์ท่านี้ทีไร ผมจะรู้สึกว่ามันสะดุดทุกครั้งไป
    จนผมต้องเกือบท้อที่ เกือบจะไม่แผ่เมตตาให้ท่านเสียแล้ว
    จนกระทั้งวันหนึ่งผม เริ่มสังเกตเห็นท่าน มีลักษณะที่เปลี่ยนไป
    คือท่านเริ่ม มีใจอ่อนลง ครับ โกรธน้อยลง สงบ ลง ผมเลยเริ่มเห็นโอกาสมาบ้างแล้ว
    ผมเลยแผ่ให้ท่าน มากขึ้นเพราะว่าท่านน่า จะมีอะไรเปลี่ยนไปมากกว่านี้

    จนกระทั้งวันหนึ่งทำให้ผมแน่ใจ กับเมตตาของผมขึ้นบ้างครับ
    คือวันนั้น ท่านโกรธใครมาไม่รู้ครับ ท่านเลยมาลงกับ พวกผม
    พวกเราก็งงครับ ว่าอะไร เนี่ยอยู่ๆ ก็ มาด่า ผมเห็นว่า
    ท่านโมโหมาก เลยไม่ไหวแล้วเดี๋ยวท่านไม่หยุด

    ผมเลยแผ่เมตตาให้ท่าน แผ่ไปได้ซักพัก ไม่เกิน 5 นาที่ครับ
    อาจารย์ผม หยุด ด่า ครับ อยู่ๆ ก็พูดดี ขึ้นมาเฉยๆ งง
    ทั้งหมด งง กันหมด
    ยกเว้นผมคนเดียวเพราะไม่ใช่อะไร อื่น เลยนอกจากเมตตาที่แผ่ให้ท่าน

    ก็เหมือนกับเรา "เอาน้ำไปรดไฟ อย่านั้น นะครับ "
    หลังจากนั้นมา อาจารย์ท่านนี้ เปลี่ยนไปมาก จนทุกคน ทั้น อาจารย์ที่รู้จักท่าน
    ถึงกับงง ว่าอะไรเกิดขึ้นทำไม ท่านเปลี่ยนไป
     
  5. saipote

    saipote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2009
    โพสต์:
    6,115
    ค่าพลัง:
    +9,778
    อนุโมทนาสาธุค่ะ เมื่อก่อนตอนเรียนก็เป็นเหมือนกันค่ะ ไม่ค่อยถูกกับ อ. คนนึง ท่านชอบว่าเรา บ่นเรา มีที่ไหน อ. เรียกเราไปเลือกเกรดเองเลย ว่าจะเอา D หรือ I มีด้วยเหรอในโลกนี้ เราก็ไม่เคยทำอะไรท่านนะ สงสัยหน้าเราคงไม่ถูกชะตาเค้ามั้ง น่าเสียดายที่เมื่อก่อนเรายังไม่ปฎิบัติธรรม ไม่งั้นคงได้แผ่เมตตาให้เค้าแล้ว คงได้เกรดดีกว่านี้ เฮ้อ
     
  6. SpecDum

    SpecDum เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +489
    ประสบการต่อไป เกี่ยวกันท่านที่คิดว่าเมตตามหานิยมอันใหนกันแน่ที่ เจ๋งกว่ากันครับ



    เมตตามหานิยม VS เมตตามหานิยม




    ผมทีเพื่อนคนหนึ่งเพื่อน นี้ปฏิบัติธรรมร่วมกับผม ตั้งแต่อยู่มัธยม แต่เริ่มปฏิบัติกันจริงๆจังเมื่ออยู่
    มัธยมปลาย เพื่อนผมคนนี้บุญมากครับ หลังจากที่แยกตัวออกมาจากกลุ่มเพื่อน เรา 2คน
    ก็เริ่มปฏิบัติ กันอย่าจริงจัง ผมและเพื่อนผม นั้นชอบลามะหนุ่มเนปาล อย่างมากเพราะว่า
    นั่งสมาธิได้เป็นปีโดยไม่กินอะไรเลย เลยทำให้
    เราทั้ง2คนเกิดเกิดอยาก ปฏิบัติธรรม อย่าง
    นั้นบ้าง ในตอนกลางคืน เราก็เลยไป แอบนั่งสมาธิใน หอประชุมกัน
    เรา นั่งสมาธิ และ สลับกันเดินจงกลม อย่างนี้ทั้งทั้งคืนจนสว่าง
    และ จิตก็สว่าง อย่างบอกไม่ถูก ครับ
    เรื่องของเพื่อนผมนั้นมีอยู่วัน หนึ่งมันมาเล่าให้ผมฟังว่า
    มีผู้หญิงคนหนึ่ง เดินมาแล้ว มาบอกเพื่อนผมว่า
    นี่!หนูนี่ดี มากเลยนะ ต่อไปนี้ หนูจะมีฤทธิ์ เหนือพญาครุฑ
    ผมก็ โห ดีจังว่ะ อนุโมทนา ๆ

    เรื่องของเพื่อนผมมีอีกครับ คือครอบครัว ของเพื่อนผม นั้นปฏิบัติธรรมกันหมด น้าของเพื่อน
    ผมนั้นสามารถ ระลึกชาติได้ ก็เลยบอก เพื่อนผมว่า เมื่อก่อน นะเองเคยเป็น เณรอุปัฏฐาก
    หลวงปู่โต (สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ) มาก่อน ตอนนั้นนิ เองยังพายเรือให้ท่าน อยู่เลย
    เพื่อนนั้นทำบุญและบารมีมามาก เมื่อมีบุญก็ ต้องมี บาป ครับ
    เรื่องมีอยู่ว่า เพื่อนนั้นมันไป สักยันต์มา ผมว่าเพื่อนผมมันเริ่ม เสื่อมก็ตอนนี้แหละ ครับ
    ไปสักมาครับแล้วครับ เมตตามหานิยมครับ ผมก็ เอ๋ มันทำไม มันแปลกๆ มีคนมาชอบมันเยอะวะ
    ส่วนผมก็ยังแผ่เมตตาอยู่ตลอดเวลาครับซึ่งไม่ต่างอะไรกับไป สักยันต์ ให้เสียตังเลย
    แต่ไปๆมาๆ ครับเพื่อนผมกลับ ผิดครู ศีลเสื่อม ยังไม่พอจิตใจเศร้าหมอง อย่างบอกไม่ถูก
    ผมก็ได้แต่แผ่เมตตาตา ให้มัน ทุกวัน ๆ
    ผมก็ได้แต่ โอ๊ย เมตตามหานิยมของ ของทางโลก เนี่ยวันเสื่อมเร็วแท้ สู้เมตตาทางธรรม ไม่ได้เลย
    หรือไง เนี่ย
    เพื่อนผมเลยเล่าให้ฟังว่า ได้ครู สักยันต์ที่ลงน้ำมันพราย มา มันไม่ดี ของอย่านี้อย่าไปสัก มันเลย
    เวลาที่มันเสื่อมมันจะทำให้จิตใจเศร้าหมอง ครับ
    หลังจากนันมาเพื่อนเลยบอกผมว่าไม่เอาแล้ว อวิชชา พอ ๆ ปฏิบัติให้มันสมกับคำทำนายดีกว่าว่ะ
    ผมได้แต่สงสารเพื่อนผม ที่มันเดินทางผิดแต่แรก เสียจริง
    เมตตาหนอ เมตตา เพียงคิดว่าเมตตา ทางโลกดี สินะ
    เราเอาเมตตาทางธรรมดีกว่ายืน

    นานได้นานกว่า 7 สังวัฏฏกัป

    เสียอีก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2010
  7. saipote

    saipote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2009
    โพสต์:
    6,115
    ค่าพลัง:
    +9,778
    อนุโมทนาสาธุค่ะ มันคงเป็นวิบากกรรมของเค้ามั้งค่ะ ถ้าผ่านตรงนี้ไปได้ คงจะเก่งแล้วหล่ะ 555
     

แชร์หน้านี้

Loading...