เป็นคนดี..ยังไม่พ้นนรก

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย titapoonyo, 18 กรกฎาคม 2010.

  1. titapoonyo

    titapoonyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,133
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +12,769
    การที่คิดว่าเราเองก็เป็นคนดีคนหนึ่งนั้น ยังไม่ขึ้นชื่อว่าพ้นนรก

    เรื่องนี้มีประเด็นให้เรา พิจารณาดังนี้ครับ

    1. บุคคลที่ถือว่าพ้นนรกแน่แล้ว มีเพียงพระอริยบุคคลตั้งแต่พระโสดาบันเป็นต้นไปเท่านั้นครับ ไม่ว่าท่านเหล่านั้นจะเคยทำบาปกรรมอะไรไว้มากแค่ไหนบาปกรรมเหล่านั้นก็ไม่ สามารถดึงลงนรกได้ และพระโสดาบันนี้จะเกิดได้เฉพาะในภูมิมนุษย์ สวรรค์ พรหม อีกไม่เกิน 7 ชาติก็จะถึงซึ่งพระนิพพานครับ ส่วนจะกี่ชาตินั้นก็แล้วแต่ประเภทของพระโสดาบันด้วยครับ ดังนั้น ทางที่เราจะปิดอบายภูมิได้ 100% คือบรรลุโสดาบันให้ได้ก่อนตายครับ
    2. ตัวอย่างบุคคลที่พ้นนรกได้แม้จะทำ ชั่วไว้มาก ที่เห็นได้ชัดคือ เรื่องเพชรฆาตเคราแดง ที่ผมเคยนำมาเล่าให้ฟัง และอีกตัวอย่างคือ องคุลีมาล ที่ท่านฆ่าคนมาถึง 999 คนแต่ก็พ้นนรกได้เพราะสำเร็จอรหันต์ สำหรับตัวอย่างเรื่องคนดีที่ต้องลงนรกที่เห็นได้ชัดเจนคือ พระนาง มัลลิกาเทวี พระมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล ที่พระนางทำดีตลอดชีวิต เรียกได้ว่าเป็นผ้าขาวที่บริสุทธิ์ ในชีวิตไม่เคยทำกรรมชั่วเลย แต่พระนางมีเรื่องที่เป็นเหมือนรอยด่างพร้อยในชีวิตพระนางเรื่องเดียว คือ พระนางทรงยินดีในสันถวะกับสุนัขและโกหกพระสวามีแค่ครั้งเดียวในชีวิต (อ่านรายละเอียดเรื่องพระนางมัลลิกา) ด้วยเหตุนี้เองเมื่อพระนางเสียชีวิต พระนางทรงคิดว่าตัวเองเลวนักที่ได้ทำความชั่วนั้นไว้ จิตใจเป็นทุกข์ก่อนตาย ด้วยเหตุนี้จึงตกอเวจีมหานรก เป็นเวลานาน 7 วันแล้วค่อยได้ไปอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต ทั้งๆ ที่พระนางควรจะได้ไปสวรรค์ตั้งแต่แรก เพราะได้ทำบุญใหญ่อย่าง อสติ สทาน ซึ่งเป็นทานใหญ่ที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแต่ละพระองค์จะมีคนทำทานนี้ได้แค่ หนึ่งครั้งเท่านั้น
    3. ทีนี้ก็คงมีบางท่านอาจสงสัยว่า การบรรลุธรรมเป็นอริยบุคคลนี่ สามารถปิดกรรมชั่วได้ทุกอย่างเลยมั้ย แล้วคนที่ทำบาปหนักที่เรียกว่า อนันตริยกรรม (ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงห้อพระโลหิต และทำสังฆเภทคือ ทำสงฆ์ให้แตกแยก) จะปิดอบายได้มั้ย… ก็คงต้องตอบว่า กรรมหนักพวกนี้จะเป็นตัวปิดกั้นมรรคผลครับ คือ คนที่ทำอนันตริยกรรม จะไม่สามารถบรรลุธรรมได้แม้แต่เป็นพระโสดาบันก็ไม่ได้ และไม่ว่าจะกลับตัวมาทำดีแค่ไหนก็ต้องลงนรก 100% ครับ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ พระเจ้าอชาตศัตรู บุตรของพระเจ้าพิมพิสาร ที่ถูกพระเทวทัตหลอกให้เป็นมิจฉาทิฏฐิ จนทำ อนันตริยกรรม คือ ฆ่าพ่อตัวเอง… เรื่องพระเจ้าอชาตศัตรูนี้ พระพุทธองค์เคยทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า ถ้าพระเจ้าอชาตศัตรูไม่ได้ทำอนันตริยกรรมแล้ว หากได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าจะบรรลุอรหันต์ทันที แต่ก็สายไป แต่เมื่อพระองค์สำนึกผิดก็ได้เร่งทำกรรมดี ทรงเป็นศาสนูปถัมภก ค้ำจุนพระพุทธศาสนา ทั้งยังเป็นประธานในการทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 1 ด้วย ด้วยกรรมดีเหล่านี้ส่งผลให้พระองค์ไม่ต้องไปอยู่อเวจีมหานรก แต่ก็ต้องเสวยผลแห่ง อนันตริยกรรม ไปบังเกิดในพื้นเบื้องล่างของนรกขุมบริวารชื่อ โลหกุมภี (ซึ่งเป็นนรกที่โทษเบา ที่สุดแล้ว) ถึง ๓ หมื่นปีนรก แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์ไว้ว่า เมื่อพ้นทัณฑกรรมในเบื้องล่างของโลหกุมภีนั้นแล้ว พระเจ้าอชาตศัตรูจะไปบังเกิดในพื้นเบื้องบนของโลหกุมภี <sup> </sup>อีก ๓ หมื่นปีนรก หลังจากนั้นแล้วจะได้ตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า พระนามว่า “ชีวิต วิเสส” แล้วบรรลุนิพพานในที่สุด นี่ละครับคือตัวอย่างบุคคล ในสมัยพุทธกาลที่สอนให้เรารู้ว่าชีวิตไม่แน่ไม่นอน คนชั่วก็ไปสวรรค์ได้หากกลับตัวทันแม้ช่วงเสี้ยวเวลาสุดท้ายของชีวิต ส่วนคนที่ดีมากๆ ก็ใช่ว่าจะพ้นนรกได้
    4. ว่าด้วยเรื่องการให้ผลของกรรม กฎ แห่งกรรม ก็คือ บุคคลทำกรรมอันใดไว้(กรรมต้องเกิดจากเจตนา ดังนั้นแม้คิดชั่วก็ถือว่าเป็นกรรมชั่วแล้ว) ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว ย่อมได้รับผลแห่งกรรมนั้น แต่ลำดับแห่งการให้ผลของกรรมนั้น เราไม่อาจรู้ได้ และไม่อาจใช้หลักตรรกะมาอธิบายได้ว่า กรรมใดจะให้ผลก่อนหลัง สำหรับปุถุชนธรรมดา การพยายามทำความเข้าใจเรื่องกรรมให้เข้าใจทั้งหมด อาจทำให้บ้าได้ เพราะพระพุทธองค์ตรัสว่า เรื่องกรรม เป็นหนึ่งในสี่ อจินไตย คือ เรื่องที่ไม่ควรไปทำความเข้าใจเพราะเกินปัญญาของปุถุชน
      อจินไตย ประกอบไปด้วย
      1. พุทธวิสัย วิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
      2. ฌาน วิสัย วิสัยแห่ง อิทธิฤทธิ์ของฌาน
      3. โลกวิสั วิสัยการมีอยู่ ของโลก
      4. กรรมวิสัย วิสัยของกฎแห่งกรรม ที่สามารถติดตามไปได้ทุกชาติ รวมถึงการให้ผล และการรับวิบากกรรม อ่านเพิ่มเติมเรื่องของกรรมประเภทต่างๆ

      เรื่องลำดับของการให้ผลของกรรม
      มีคนอุปมาอุปไมยไว้ เข้าใจได้ง่ายดีมากครับ ผมเลยอยากนำมาเล่าสู่ทุกท่านฟังครับ
      ท่านให้เปรียบว่า ตัวเรานี้เปรียบเสมือนคอกวัวขนาดใหญ่ ข้างในบรรจุวัวคือกรรมไว้ โดยกรรมดีเปรียบเสมือนวัวขาว ส่วนกรรมชั่วเปรียบเสมือนวัวดำ เวลาทำกรรมดีก็คือเรามีวัวขาวเพิ่มมากขึ้น จะมากน้อยก็แล้วแต่อานิสงส์ของบุญนั้น ส่วนเวลาทำชั่วก็เหมือนเป็นการเติมวัวดำเพิ่มเข้าไปในคอกวัว ทีนี้คนเราก็มีทั้งทำดีทำชั่ว ในคอกวัวก็มีทั้งวัวดำวัวขาวปนกันมั่วไปหมด ไม่เพียงเท่านั้น เราเวียนตายเวียนเกิดกันมานับชาติไม่ถ้วน ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้หรอกครับว่า วัวดำมีเท่าไหร่ วัวขาวมีเท่าไหร่ ทีนี้คอกวัวนี้มีลักษณะพิเศษอย่างนี้ครับ คือว่า ทางออกจะมีทางเดียว และเวลาจะออกวัวจะสามารถออกได้ทีละตัวครับเพราะทางออกแคบมาก และวัวที่อยากออกมาจะเข้าคิวได้ครั้งละไม่กี่ตัว วัวที่อยู่ใกล้ทางออกมากที่สุด ก็มีโอกาสได้ออกก่อน การที่วัวออกมาจากคอกก็คือ การที่กรรมส่งผลนั่นเองครับ ถ้าเป็นวัวขาวหรือกรรมดี ก็ทำให้เราได้รับสุขเวทนา แต่ถ้าเป็นวัวดำหรือกรรมชั่วออกมาเราก็ได้รับทุกขเวทนาตามแต่ผลกรรมนั้นๆจะ ให้ผล
      จากตัวอย่างที่กล่าวไปแล้ว ก็คือ เราไม่รู้หรอกครับว่าลำดับต่อไปวัวดำหรือวัวขาวจะออกมาจากคอกกันแน่ วิธีที่เราพอทำได้ คือเติมวัวขาวเข้าไปให้มากๆๆๆ โดยการทำความดีให้มากๆ และเลิกใส่วัวดำหรือเลิกทำความชั่ว เพื่อเพิ่มโอกาสที่วัวขาวจะออกจากคอกมากกว่าวัวดำนั่นเอง หรือที่นิยมเรียกกันว่า การทำบุญหนีบาป หรือ การแก้กรรม ฯลฯ จะเรียกอะไรก็แล้วแต่ กรรมชั่วมันก็ไม่ได้หายไปหรอกครับ เพียงแต่กรรมดีเราทำไว้มาก กรรมชั่วเลยยังไม่มีโอกาสได้เล่นงานเรา จนสุดท้าย เราก็หนีไปนิพพานซะก่อน กรรมทั้งหลายที่เหลืออยู่และยังไม่ได้แสดงผล (วัวที่เหลืออยู่ในคอก) ก็ถือเป็น อโหสิกรรม คือ กรรมไม่ต้องให้ผลอีก เพราะเจ้าตัวไม่อยู่แล้ว…
    5. บทสรุปนะครับ การเป็นคนดียังไม่พ้นนรก เว้นเสียแต่เราสามารถบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันให้ได้ หลวงพ่อท่านบอกว่าการเป็นพระโสดาบันไม่ใช่เรื่องยาก ใครอยากเป็นก็ลองไปอ่านหัวข้อนี้นะครับทาง ไปนิพพานที่ตรงและลัดสั้นที่สุด
     
  2. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,166
    อนุโมทนาครับ
    และเห็นด้วย เมื่อครั้งตอนยังเด็กๆเคยอ่านประวัติของพระเตมีย์ใบ้ ท่านระลึกได้ว่าท่านเคยเกิดเป็นกษัตย์ ได้จับโจรมาฆ่าเพื่อประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ เมื่อตายไปได้เสวยผลบุญแล้วก็ต้องรับผลกรรมจากการจับโจรฆ่านั้น ทำให้ท่านไม่อยากเป็นกษัตย์อีก
    โอ้ ผมต้องคิดอย่างนี้เลยครับว่า ขนาดอดีตชาติแห่งองค์พระสัมมายังต้องรับกรรมแล้วเราเป็นใครจะรอดจากกรรมได้หรือนี่ จึงกระเตื้องในการระวังบาปของตนมากขึ้นครับ
     
  3. titapoonyo

    titapoonyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,133
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +12,769
    เอาบุพกรรมที่พระพุทธองค์ทรงเคยได้รับมาเล่าสู่กันฟังครับ

    บุพกรรมของพระพุทธเจ้า

    พระไตรปิฎก : พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๔ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑
    อัมพฏผลวรรคที่ ๓๙ พุทธาปทานชื่อปุพพกรรมปิโลติที่ ๑๐


    ว่าด้วยบุพจริยาของพระองค์เอง

    [๓๙๒] พระผู้มีพระภาคผู้เป็นนายกของโลก แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์เป็นอันมาก ประทับนั่งอยู่ที่พื้นหินอันเป็นรัมณียสถาน โชติช่วงด้วยแก้วต่างๆ ในละแวกป่าอันมีกลิ่นหอมต่างๆ ใกล้สระอโนดาต ตรัสชี้แจงบุรพกรรมทั้งหลายของพระองค์ ณ ที่นั้นว่า

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังกรรมที่เราทำแล้วของเรา เราเห็นภิกษุผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตรรูปหนึ่งแล้วได้ถวายผ้าเก่า (คงเพราะมีแต่ผ้าเก่า คงไม่ใช่มีผ้าใหม่แต่ถวายผ้าเก่านะครับ - ธัมมโชติ) เราปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า ในกาลนั้น ผลแห่งกรรม คือ การถวายผ้าเก่า ย่อมอำนวยผลให้เป็นพระพุทธเจ้า

    ในกาลก่อน เราเป็นนายโคบาล ต้อนโคไปเลี้ยง เห็นแม่โคกำลังดื่มน้ำขุ่นมัว จึงห้ามมัน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้ (แม้) เราจะกระหายน้ำ ก็ไม่ได้ดื่มน้ำตามความปรารถนา (ในคราวที่พระอานนท์คิดว่าน้ำในแม่น้ำยังขุ่นอยู่ เลยยังไม่ไปตักถวาย - ธัมมโชติ)

    ในชาติอื่นในกาลก่อน เราเป็นนักเลงชื่อปุนาลิ ได้กล่าวตู่พระปัจเจกพุทธเจ้าชื่อว่าสุรภี ผู้ไม่ประทุษร้าย (ตอบ) ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานาน ได้เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัส หลายพันปีเป็นอันมาก ด้วยผลกรรมอันเหลือนั้น ในภพหลังสุดนี้ เราจึงได้คำกล่าวตู่เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา


    [​IMG]



    เพราะการกล่าวตู่พระเถระนามว่านันทะ สาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ครอบงำอันตรายทั้งปวง เราจึงท่องเที่ยวอยู่ในนรกสิ้นกาลนาน เราท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานานถึงหมื่นปี ได้ความเป็นมนุษย์แล้ว ได้การกล่าวตู่เป็นอันมาก ด้วยผลกรรมที่เหลือนั้น นางจิญจมานวิกามากับหมู่ชน ได้กล่าวตู่เราด้วยคำอันไม่เป็นจริง

    เมื่อก่อน เราเป็นพราหมณ์ชื่อสุตวา อันชนทั้งหลายสักการะบูชา สอนมนต์ให้กับมาณพประมาณ ๕๐๐ คนในป่าใหญ่ ก็เราได้เห็นฤาษีผู้น่ากลัว ได้อภิญญา ๕ มีฤทธิ์มาก มาในสำนักของเรา เราจึงกล่าวตู่ฤาษีผู้ไม่ประทุษร้าย โดยได้บอกกะพวกศิษย์ของเราว่า ฤาษีพวกนี้มักบริโภคกาม แม้เมื่อเราบอก (เท่านั้น) พวกมาณพก็เชื่อฟัง ครั้งนั้น มาณพทั้งปวงเที่ยวไปภิกษาในสกุลๆ พากันบอกแก่มหาชนว่า ฤาษีพวกนี้มักบริโภคกาม ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ภิกษุ ๕๐๐ เหล่านี้ ได้คำกล่าวตู่ทั้งหมด เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา

    ในกาลก่อน เราได้ฆ่าพี่น้องชายต่างมารดา เพราะเหตุแห่งทรัพย์ จับใส่ลงในซอกเขา และบด (ทับ) ด้วยหิน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น พระเทวทัตจึงผลักก้อนหิน ก้อนหินกลิ้งลงมากระทบนิ้วแม่เท้าของเราจนห้อเลือด

    ในกาลก่อน เราเป็นเด็กเล่นอยู่ที่หนทางใหญ่ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ใส่ไฟเผา (ดัก) ไว้ทั่วหนทาง ด้วยวิบากกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้ พระเทวทัตจึงชักชวนนายขมังธนู ผู้ฆ่าคนตายมาก เพื่อให้ฆ่าเรา

    ในกาลก่อน เราเป็นนายควาญช้าง ได้ไสช้างให้จับมัดพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้อุดมมุนี แม้กำลังเที่ยวบิณฑบาต ด้วยวิบากกรรมนั้น ช้างนาฬาคิรีอันดุร้าย วิ่งแล่นเข้าไปในคอก (ท้อง) เขา (วงกต) เบื้องหน้าผู้ประเสริฐ


    [​IMG]



    ในกาลก่อน เราเป็นนายทหารราบ (เป็นแม่ทัพ) ฆ่าบุรุษเป็นอันมากด้วยหอก ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราถูกไฟไหม้อย่างเผ็ดร้อนอยู่ในนรก ด้วยผลอันเหลือแห่งกรรมนั้น บัดนี้ ไฟนั้นยังมาไหม้ผิวหนังที่เท้าของเราทั้งสิ้น (อีก) เพราะว่ากรรมยังไม่พินาศไป

    ในกาลก่อน เราเป็นเด็ก (ลูก) ของชาวประมง อยู่ในบ้านเกวัฏฏคาม เห็นคนทั้งหลายฆ่าปลาแล้ว เกิดความโสมนัส ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ความทุกข์ที่ศีรษะ (ปวดศีรษะ) ได้มีแล้วแก่เราในเมื่อเจ้าศากยะทั้งหลายถูกเบียดเบียน พระเจ้าวิฏฏุภะฆ่าแล้ว (โปรดสังเกตว่า เพียงแค่มีความยินดีในการทำบาปของผู้อื่น ก็เป็นบาปกรรมแล้ว - ธัมมโชติ)

    เราได้บริภาษพระสาวกทั้งหลาย ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่าผุสสะ ว่าท่านทั้งหลายจงเคี้ยว จงกินแต่ข้าวแดง แต่อย่ากินข้าวสาลีเลย ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราอันพราหมณ์นิมนต์แล้ว อยู่ในเมืองเวรัญชา บริโภคข้าวแดงตลอด ๓ เดือน

    ในกาลนั้น เมื่อนักมวยกำลังชกกัน เราได้ห้ามบุตรนักมวยปล้ำ (ในพระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย ใช้คำว่า "เราได้เบียดเบียนบุตรนักมวยปล้ำ" - ธัมมโชติ) ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ความทุกข์ที่หลัง (ปวดหลัง) ได้มีแล้วแก่เรา

    เมื่อก่อนเราเป็นหมอรักษาโรค ได้ถ่ายยาให้เศรษฐีบุตร (ตาย) ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น โรคปักขันทิกาพาธ (โรคท้องร่วง - พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ โดย พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)) จึงมีแก่เรา

    เราชื่อว่าโชติปาละ ได้กล่าวกะพระสุคตเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ในกาลนั้นว่า จักมีโพธิมณฑลแต่ที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง (คือกล่าวตู่พระกัสสปพุทธเจ้าว่า ไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าจริงๆ - ธัมมโชติ) ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราได้ประพฤติกรรมที่ทำได้ยากมาก (ทุกกรกิริยา) ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมตลอด ๖ ปี แต่นั้นจึงได้บรรลุโพธิญาณ แต่เราก็มิได้บรรลุโพธิญาณอันสูงสุดด้วยหนทางนี้ (คือด้วยทุกกรกิริยาอันยากลำบากนั้น - ธัมมโชติ) เราอันบุรพกรรมตักเตือนแล้ว จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางที่ผิด


    [​IMG]



    (บัดนี้) เราเป็นผู้สิ้นบาปและบุญ (คือไม่ทำกรรมใหม่ใดๆ แล้ว ทั้งบาปและบุญ เป็นสักแต่ว่าทำสิ่งที่ควรทำไปเท่านั้น แต่ก็ยังไม่พ้นจากผลของกรรมเก่าจนกว่าจะปรินิพพานไปแล้ว - ธัมมโชติ) เว้นจากความเร่าร้อนทั้งปวง ไม่มีความเศร้าโศก ไม่คับแค้น เป็นผู้ไม่มีอาสวะ (กิเลสที่นอนเนื่องในขันธสันดาน - ธัมมโชติ) จักนิพพาน

    พระชินเจ้าทรงบรรลุกำลังแห่งอภิญญาทั้งปวงแล้ว ทรงพยากรณ์โดยทรงหวังประโยชน์แก่ภิกษุสงฆ์ ที่สระใหญ่อโนดาต ด้วยประการฉะนี้แล.



    ผู้รวบรวม
    ธัมมโชติ
    25 มกราคม 2546​
     
  4. titapoonyo

    titapoonyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,133
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +12,769
    เอาวิธีหนีนรกแบบต่างๆ มาฝากครับ

    หนีนรกแบบต่างๆ

    ผิดถูกประการใดท่านผู้รู้แนะนำด้วยนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...