เทศน์สิบสองนักษัตร

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 25 มกราคม 2007.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี ขณะนี้มีชนมายุ ๗๖ ยิ่งอายุมากความรู้ยิ่งบ่มแน่น สมเป็นปราชญ์รู้แจ้งแทงตลอดทั้งทางโลกทางธรรม พฤติกรรมของพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จ หลายครั้งหลายวาระชี้ให้เห็นว่าท่านเจ้าประคุณมีญาณวิเศษหยั่งรู้ถึงจิตใจของผู้คน

    ดังปรากฏในงานของท่านเจ้าคุณสมเด็จเจ้าพระยาประสาทซึ่งใช้ให้ทนายคนหนึ่งไปนิมนต์ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ (โต) มาเทศน์ที่บ้าน เรื่อง จตุราริยสัจ โดยมิได้เขียนฎีกาบอกชื่อ อริยสัจให้ทนายไป

    ทนายคนนั้นก็ตรงไปหาท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ที่วัดระฆังฯ โดยพนมมือกราบเรียนว่า "ท่านเจ้าคุณสมเด็จเจ้าพระยาประสาท ให้มาอาราธนาเจ้าประคุณสมเด็จ ไปแสดงธรรมที่บ้านในค่ำวันนี้"

    ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ จึงถามว่า "ท่านจะให้เทศน์เรื่องอะไรจ๊ะ?"

    ทนายของสมเด็จเจ้าพระยาลืมชื่อ อริยสัจ จำไม่ได้นึกไปนึกมา ก็พนมมือแต้ ตอบว่า "สิบสองนักษัตรขอรับกระผม" แล้วก็กราบลาไป

    พอเวลาค่ำ เจ้าประคุณสมเด็จ (โต) พร้อมลูกศิษย์ได้เข้าไปในบ้านสมเด็จเจ้าพระยาประสาท ขณะนั้นมีอุบาสกอุบาสิกานั่งพับเพียบเรียบร้อยคอยสดับฟังคำเทศน์อยู่แน่นเรือนของท่านเจ้าพระยา เจ้าประคุณสมเด็จ จึงขึ้นธรรมาสน์ให้ศีลบอกศักราช แลตั้งนะโม ๓ หนจบแล้ว จึงว่าจุณณียบทสิบสองนักษัตรว่า "มูสิโก อุสโภ พยัคโฆ สโส นาโค สัปโป อัสโส เอฬโก มักกโฎ ดุกกุโฏ สุนโข สูกโร" แล้วแปลเป็นภาษาไทยว่า มูสิโก หนู อุสโภ วัวผู้ พยัคโฆ เสือ สโส กระต่าย นาโค งูใหญ่ สัปโป งูเล็ก อัสโส ม้า เอฬโก แพะ มักกโฏ ลิง กุกกุโฏ ไก่ สุนโข สุนัข สูกโร สุกร ดังนี้"

    ฝ่ายท่านสมเด็จเจ้าพระยา พระยาเจ้าของกัณฑ์กับพวกสัปปุรุษทายก ก็มีความสงสัยว่าทำไมเจ้าประคุณสมเด็จจึงมาเทศน์สิบสองนักษัตรดังนี้เล่า แลสงสัยว่าทนายจะไปนิมนต์ท่านเรียกชื่อ อริยสัจผิดไปดอกกระมัง ท่านสมเด็จเจ้าพระยาจึงเรียกทนายคนนั้นเข้ามาถามว่า เจ้าไปนิมนต์เจ้าประคุณสมเด็จเทศน์เรื่องอะไร ทนายก็กราบเรียนว่านิมนต์เทศน์เรื่องสิบสองนักษัตรขอรับผม ท่านสมเด็จเจ้าพระยาว่านั่นประไรเล่า เจ้าลืมชื่ออริยสัจ ไปเสียแล้วไปคว้าเอาสิบสองนักษัตรเข้า ท่านจึงมาเทศน์ตามเจ้านิมนต์นั้นซิ

    ฝ่ายเจ้าประคุณสมเด็จ ทราบด้วยญาณวิถีว่าท่านเจ้าภาพต้องการให้เทศน์เรื่องอริยสัจ แต่คนนิมนต์บอกผิดเพื่อรักษาหน้าเจ้าภาพ และ เทศน์ให้ตรงตามความต้องการของเจ้าของงาน ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ (โต) ก็ขยายความต่อไปว่า อาตมภาพก็เห็นว่า สิบสองนักษัตรนี้เป็นต้นทางของอริยสัจที่แท้ทีเดียว ยากที่บุคคลจะได้ฟังธรรมเทศนาเรื่องสิบสองนักษัตรสักครั้ง สักหน เทศน์ที่ไหน ๆ ก็มีแต่เทศน์อริยสัจทั้งนั้น ไม่มีใครจะเทศน์สิบสองนักษัตรสู่กันฟังเลย ครั้งนี้เป็นบุญลาภของบพิตรเป็นมหัศจรรย์ เทพยเจ้าผู้รักษาพุทธศาสนาจึงได้ดลบันดาลให้ผู้รับใช้เคลิบเคลิ้มไป ให้บอกว่าเทศน์สิบสองนักษัตรดังนี้ อาตมภาพก็มาเทศน์ตามผู้นิมนต์ เพื่อจะให้สาธุชนแลบพิตรเจ้าของกัณฑ์ได้ฟังธรรมเทศนาเรื่องสิบสองนักษัตร อันเป็นต้นทางของอริสัจทั้งสี่ จะได้ธรรมสวนานิสงส์อันล้ำเลิศ ซึ่งจะได้ก่อให้เกิดปัจจเวกขณญาณในอริยสัจทั้งสี่

    แท้ที่จริงตามธรรมเนียมนับปี เดือน วัน คืน นี้ นักปราชญ์ผู้รู้โหราศาสตร์แต่ครั้งโบราณต้นปฐมกาลในชมพูทวีปบัญญัติตั้งแต่งขึ้นไว้คือ กำหนดหมายเอาชื่อดวงดาราในอากาศเวหามาตั้งเป็นชื่อ เดือน วัน ดังนี้คือ

    (๑) (๑) หมายเอาชื่อดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวอังคาร ดาวพุธ ดาวพฤหัสบดี ดาวศุกร์ ดาวเสาร์ รวม ๗ ดวง มาตั้งเป็นชื่อวันทั้ง ๗ วัน แลให้นับเวียนไปเวียนมาทุกเดือนทุกปี

    (๒) (๒) หมายเอาชื่อดวงดาวรูปสัตว์ แลดาวรูปสิ่งอื่น ๆ มาตั้งเป็นชื่อเดือนทั้ง ๑๒ เดือน ดังนี้คือ เดือนเมษายน ดาวรูปเนื้อ เดือนพฤษภาคม ดาวรูปวัวผู้ เดือนมิถุนายน ดาวรูปคนคู่หนึ่ง เดือนกรกฎาคม ดาวรูปปูป่าหรือปูทะเล เดือนสิงหาคม ดาวรูปราชสีห์ เดือนกันยายน ดาวรูปนางสาวที่น่ารักใคร่ เดือนตุลาคม ดาวรูปคันชั่ง เดือนพฤศจิกายน ดาวรูปแมลงป่อง เดือนธันวาคม ดาวรูปธนู เดือนมกราคม ดาวรูปมังกร เดือนกุมภาพันธ์ ดาวรูปหม้อ เดือนมีนาคม ดาวรูปปลา (ตะเพียน)

    (๓) (๓) หมายเอาดาวรูปสัตว์ ๑๒ ดาวที่ประจำอยู่ในท้องฟ้าอากาศเป็นชื่อปีทั้ง ๑๒ ปี ดังนี้คือ ปีชวด ดาวรูปหนู ปีฉลู ดาวรูปวัวผู้ ปีขาว ดาวรูปเสือ ปีเถาะ ดาวรูปกระต่าย ปีมะโรง ดาวรูปงูใหญ่ ปีมะเส็ง ดาวรูปงูเล็ก ปีมะเมีย ดาวรูปม้า ปีมะแม ดาวรูปแพะ ปีวอก ดาวรูปลิง ปีระกา ดาวรูปไก่ ปีจอ ดาวรูปสุนัข ปีกุน ดาวรูปสุกร

    รวมเป็นชื่อดาวรูปสัตว์ ๑๒ ดวง ตั้งเป็นชื่อ ๑๒ ปี ใช้เป็นธรรมเนียมเยี่ยงอย่างนับปีเดือนวันคืนนี้เป็นวิธีนับอายุกาลแห่งสรรพสิ่งสรรพสัตว์ในโลกทั่วไป ที่นับใหญ่ ๆ ก็คือนับอายุโลกธาตุ นับเป็นอันตรกัป มหากัป ภัทรกัป เป็นต้น และนับอายุชนเป็นร้อย ๆ คือ ๑๒ ปี เรียกว่ารอบหนึ่ง แล ๑๒ รอบเป็น ๑๔๔ ปี

    แต่มนุษย์เราเกิดมาในกลียุคครั้งนี้ กำหนดอายุเป็นขัยเพียง ๑๐๐ ปี แลในทุกวันนี้อายุมนุษย์ก็ลดถอยลงน้อยกว่า ๑๐๐ ปีก็มีมาก ที่มีอายุกว่า ๑๐๐ ปีขึ้นไปถึง ๑๕๐ ปี หรือ ๒๐๐ ปีก็มีบ้างในบางประเทศ ตามจดหมายเหตุของประเทศต่าง ๆ ได้กล่าวมาแต่มีเป็นพิเศษแห่งละ ๑ คน ๒ คน หรือ ๓ คน ๔ คนเท่านั้น หาเสมอทั่วกันไปไม่ แต่ที่อายุต่ำกว่า ๑๐๐ ปีลงมานั้นมีทั่วกันในทุกประเทศ

    จึงเป็นที่สังเกตได้ว่า คำเรียกว่ากลียุคนี้ เป็นภาษาพราหมณ์ชาวชมพูทวีปแปลว่า ความชั่วร้าย คือว่าสัตว์เกิดมาในภายหลัง อันเป็นครั้งคราวชั่วร้ายนี้ย่อมทำบาปอกุศลมาก จนถึงอายุสัตว์ลดน้อยถอยลงมากด้วยสัตว์ที่เกิดในต้นโลกต้นกัปนั้น เห็นจะมากไปด้วยเมตตากรุณาแก่กันและกัน ชักชวนกันทำบุญกุศลมาก อายุจึงยืนหลายหมื่นหลายพันปี แลยังจะต่อลงไปข้างปลายโลก บางทีสัตว์จะทำบาปอกุศลยิ่งกว่านี้ อายุสัตว์บางทีก็จะเรียวน้อยถอยลงไปจนถึง ๑๐ ปีเป็นขัย และสัตว์มีอายุเพียง ๕ ปี จะแต่งงานเป็นสามีภรรยาต่อกันก็อาจจะเป็นไปได้ แลในสมัยเช่นนั้น อาจจะเกิดมิคสัญญีขาดเมตตาต่อกันแลกันอย่างประหนึ่งว่านายพรานสำคัญในเนื้อ จะฆ่าฟันกันตายลงเกลื่อนกลาดดังมัจฉาชาติต้องยาพิษทั่วไปในโลก แต่สัตว์ที่เหลือตายนั้นจะบ่ายหน้าเข้าหาบุญก่อสร้างกุศล ฝูงคนในครั้งนั้นจะกลับมีอายุนานยิ่ง ๆ ขึ้นไป จนอายุตลอดอสงไขย ซึ่งแปลว่านับไม่ได้นับไม่ถ้วน ภายหลังสัตว์ทั้งปวงก็กลับตั้งอยู่ในความประมาทก่อสร้างบาปอกุศลครุ่น ๆ ไปอีกเล่า อายุสัตว์ก็ลดน้อยถอยลงมาอีก ตามธรรมดาของโลกเป็นไปดังนี้

    สมเด็จพระพุทธเจ้าของเรา ผู้เป็นพระสัพพัญญูตรัสรู้แจ้งในธรรมทั้งปวง พระองค์จึงทรงแสดงธรรมที่จริง ๔ ประการ ไว้ให้สัตว์ทั้งหลายรู้แจ้ง คือ
    ๑. ๑. ความทุกข์มีจริง
    ๒. ๒. สิ่งให้เกิดทุกข์มีจริง
    ๓. ๓. ธรรมเป็นที่ดับทุกข์มีจริง
    ๔. ๔. ข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมเป็นที่ดับทุกข์มีจริง
    นี่แลเรียกว่า อริยสัจ ๔ คือเป็นความจริง ๔ ประการ ซึ่งเพิ่มอริยเข้าไปอีกคำหนึ่งนั้น คือ อริย แปลว่า พระผู้ประเสริฐ อย่าง ๑ พระผู้ไกลจากกิเลสอย่าง ๑ รวม อริย สัจจะ สองคำเป็นนามเดียวกัน เรียกว่า อริยสัจ แลเติมจตุรสังขยานามเข้าอีกคำหนึ่ง แลแปลงตัว สระอะ เป็นตัว สระอา เพื่อจะให้เรียกเพราะสละสลวยแก่ลิ้นว่า จตุราริยสัจ แปลว่า ความจริงของพระอริยเจ้า ๔ อย่าง
    ซึ่งท่านอ้างว่าความจริง ๔ อย่างนี้เป็นของพระอริยสั้น อธิบายว่าต่อเป็นพระอริยเจ้าจึงจะเห็นจริง คือพระอริยเจ้าเห็นว่า ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ซึ่งสัตว์เวียนว่ายทนรับความลำบากอยู่ในวัฏสงสารนั้นให้เกิดความทุกข์จริง
    ตัณหา คือ ความอยากดิ้นรนของสัตว์นั้น ให้เกิดความทุกข์จริง
    พระอมตมหานิพพาน ไม่มีเกิดแก่เจ็บตาย เป็นที่ดับทุกข์จริง แลสุขจริง
    ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์จริง
    พระอริยมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ย่อมเห็นจริงแจ้งประจักษ์ในธรรม ๔ อย่าง ดังนี้ และสั่งสอนสัตว์ให้รู้ความจริง เพื่อจะให้ละทุกข์เข้าหาความสุขที่จริง

    แต่ฝ่ายปุถุชนนั้นเห็นจริงบ้างแต่เล็กน้อย ไม่เห็นความจริงแจ้งประจักษ์เหมือนอย่างพระอริยเจ้าทั้งปวง พวกปุถุชนเลยเห็นกลับไปว่าเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดก็ดี ไม่เป็นทุกข์อะไรนัก บ้างก็ว่าเจ็บก็เจ็บ สนุกก็สนุก ทุกข์ก็ทุกข์ สุขก็สุข จะกลัวทุกข์ทำไม

    บ้างก็ว่าถ้าตายแล้วเกิดใหม่ ได้เกิดที่ดี ๆ เป็นทาวพระยามหาเศรษฐีมั่งมี ทรัพย์สมบัติมากมายแล้ว ก็หากลัวทุกข์อะไรไม่ ขอแต่อย่าให้ยากจนเท่านั้น

    บ้างก็ว่าถ้าตายแล้วไปเกิดในสวรรค์ ได้เสวยทิพยสมบัติ มีนางฟ้านับพันแวดล้อมเป็นบริวาร เป็นสุขสำราญชื่นอกชื่นใจ ดังนั้นแล้ว ถึงจะตายบ่อย ๆ เกิดบ่อย ๆ ก็ไม่กลัวทุกข์กลัวร้อนอะไร

    บ้างก็ว่าไปอมตมหานิพพานไปนอนเป็นสุขอยู่นมนานแต่ผู้เดียว ไม่มีคู่เคียงเรียงหมอนจะนอนด้วยแล้ว เขาก็ไม่อยากจะไป เขาเห็นว่าอยู่เพียงเมืองมนุษย์ กับเมืองสวรรค์เท่านั้นดีกว่า เขาหาอยากไปหาสุขในนิพพานไม่ พวกปุถุชนที่เป็นโลกีย์ย่อมเห็นไปดังนี้

    นี่แลการฟังเทศน์อริยสัจ จะให้รู้ความจริง แลเห็นธรรมที่ดับทุกข์ เป็นสุขจริงของพระอริยเจ้าทั้ง ๔ อย่างนั้น ก็ควรฟังเทศน์เรื่อง ๑๒ นักษัตรเสียก่อน จะได้เห็นว่า วัน คืน เดือน ปี ซึ่งเป็นอายุของเราย่อมล่วงไปทุกเวลา ประเดี๋ยวก็เกิด ประเดี๋ยวก็แก่ ประเดี๋ยวก็เจ็บ ประเดี๋ยวก็ตาย เราเวียนวนทนทุกข์อยู่ด้วยความลำบาก ๔ อย่างนี้แลไม่รู้สิ้นรู้สุด เมื่อเราสลดใจเบื่อหน่ายต่อความเกิดแก่เจ็บตายในโลกแล้ว เราก็เลยรีบเร่งก่อสร้างบุญกุศลจนกว่าจะได้มีบารมีแก่กล้า จะได้ความสุขในสวรรค์ และสุขในอมตนิพพานในภายหน้า ซึ่งไม่มีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสุขที่เที่ยงแท้ถาวรอย่างเดียว ไม่มีทุกข์มาเจือปนเลย

    แลเรื่อง ๑๒ นักษตัร คือดาวชื่อเดือน ๑๒ ดาว แลดาวชื่อปี ๑๒ ปี แลดาวชื่อวันทั้ง ๗ วันนี้ เป็นที่นับอายุของเราไม่ให้ประมาท แลให้คิดพิจารณาเห็นความจริงในอริยสัจ ๔ ที่พระพุทธเจ้าแสดงสั่งสอนเราไว้ ให้รู้ตามนั้นทีเดียว

    สาธุชนทั้งหลายผู้มาได้ฟังพระธรรมเทศนาเรื่อง ๑๒ นักษัตร กับอริยสัจ ๔ ด้วยในเวลานี้ ไม่ควรจะโทมนัสเสียใจต่อผู้ไปนิมนต์ ควรจะชื่นชมโสมนัสต่อผู้รับใช้ไปนิมนต์อาตมภาพมาเทศน์ด้วย ถ้าไม่ได้อาศัยผู้นิมนต์เป็นต้นเหตุดังนี้แล้วที่ไหนจะได้ฟังธรรมเทศนาเรื่อง ๑๒ นักษัตรด้วย ควรจะโมทนาสาธุการอวยพรแก่ผู้ไปนิมนต์จงมาก เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้

    ฝ่ายท่านสมเด็จเจ้าพระยา เจ้าของกัณฑ์กับสัปปรุษทายกทั้งปวง ได้ฟังธรรมเทศนาเรื่อง ๑๒ นักษัตรกับอริยสัจทั้ง ๔ ของเจ้าประคุณสมเด็จแล้ว ต่างก็ชื่นชมยินดีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส บ้างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แทบทุกคน ท่านสมเด็จเจ้าพระยาเจ้าของกัณฑ์จึงว่า "ข้าขอบใจเจ้าคนไปนิมนต์ ขอให้เจ้าได้บุญมาก ๆ ด้วยกันเถิด"
     
  2. pannarai

    pannarai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2006
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +1,922
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มกราคม 2007

แชร์หน้านี้

Loading...