เทวานุภาพ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย danetkung, 16 กันยายน 2013.

  1. danetkung

    danetkung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,063
    กระทู้เรื่องเด่น:
    5
    ค่าพลัง:
    +15,273
    เทวานุภาพ

    คำว่า “เทวดา” แปลว่า “ผู้ประเสริฐ” เทวดานั้นมีอยู่สามประเภทด้วยกัน คือ

    ๑. สมมติเทพ คล้ายเทวดา ซึ่งก็คือบุคคลที่มากไปด้วยวาสนาบารมี เป็นที่เคารพยกย่องจากหมู่ชน ให้เป็นผู้เยี่ยมไปด้วยยศและอำนาจ ได้แก่ พระมหากษัตริย์ พระเจ้าจักรพรรดิ เป็นต้น เรียกว่าเป็นเทวดาโดยสมมติแต่งตั้งขึ้นมา...

    ๒. อุปัตติเทพ เป็นเทวดาโดยกำเนิด ได้แก่ ผู้ที่ทำความดีไว้ เมื่อละจากโลกนี้ไป ก็ไปเกิดเป็นเทวดาในฉกามาพจร หรือเกิดเป็นพรหม เป็นอรูปพรหม ซึ่งเทวดา มาร พรหม นับเป็นอุปัตติเทพทั้งสิ้น...

    ๓. วิสุทธิเทพ เทวดาผู้บริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง คือผู้ที่สามารถตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน เข้าสู่แดนพระนิพพานได้ ประกอบด้วยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันตเจ้าทั้งหลายนั่นเอง...

    เทวดานั้นมีจริง อานุภาพของเทวดาก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ถ้าไม่เกินความสามารถของท่าน และไม่เกินกฎของกรรมแล้วไซร้ ท่านสามารถบันดาลให้ทุกอย่างจริง ๆ คนที่คิดอวดดีอยากลอง จงเลิกล้มความคิดเสียเถอะ ท่านยังมีความคิดเลว ๆ แบบนี้ เทวดาเขาไม่คบหาสมาคมด้วยหรอก...

    เทวดาประจำตัวนั้นมีจริง ส่วนใหญ่จะเป็นพ่อ – แม่ – ญาติ – พี่ – น้อง – สามีภรรยา – ครูบาอาจารย์ ที่ท่านสิ้นชีวิตไปแล้ว และยังผูกพันจดจำเราได้ คอยให้ความอนุเคราะห์สงเคราะห์แก่เรา ถ้าเราจะทำความดี ท่านทั้งหลายเหล่านี้จะช่วยหนุนเสริมทุกอย่าง และถ้าเราจะทำชั่ว ท่านก็พยายามขัดขวาง ถ้าเกินกฎของกรรม ท่านจึงจะปล่อยให้เลวไปตามกิเลสที่มาชักจูง แต่มีโอกาสเมื่อไร ท่านจะพยายามชักจูงเรากลับมาทางดีเมื่อนั้น...

    ในพระไตรปิฎก กล่าวถึงเทวดานับร้อยนับพันหน แต่ก็ยังมีบุคคลที่ “แสนรู้” พยายามบิดเบือนพระพุทธวจนะ ตีความเอาเองด้วยปัญญาแค่หางอึ่ง แต่คิดว่าฉลาดปราดเปรื่องกว่าองค์สมเด็จพระบรมสุคต พยายามปฏิเสธนรก – สวรรค์ ว่าเทวดาไม่มี พรหมไม่มี นิพพานสูญ แบบนี้จะบวชให้เป็นเสนียดแก่พระศาสนาทำไมก็ไม่รู้...!?

    อาตมาเองขอยืนยัน (นั่งยันและนอนยันด้วย) ว่าเทวดามีจริงแท้แน่นอน การที่ไปเที่ยวนรก – สวรรค์มาแล้วเอามาเล่าสู่กันฟังไม่ขอพูดถึง มันจะวิลิศมาหราเป็นที่ขัดหูขัดตาของท่าน “ปาดใหญ่” (จะใช้คำว่า “ปราชญ์” แบบคนอื่นเรียกท่านก็ให้เสียดายคำ) จนเกินไป ขอกล่าวแค่ประสบการณ์ที่คนทั่วไปจะพึงเจอก็แล้วกัน เอาไปตัดหัวคั่วแห้งที่ไหน อาตมาก็ขอยืนยันว่า “เทวดามีจริง” ใครจะว่าบ้าก็ยินดีบ้าไปคนเดียวนี่แหละ...!

    คราวหนึ่ง...กิ่งโพธิ์กิ่งใหญ่ได้กดทับสายไฟจนมีทีท่าว่าจะขาด อาตมาจะตัดทิ้ง “หลวงพ่อ” ท่านให้จุดธูปบอกเทวดาก่อนตัด อาตมาก็จัดการบอกกล่าวจนเรียบร้อย แถมท้ายด้วยคำขู่ว่า “ถ้าตกละก็...จะฟ้องหลวงพ่อ” แล้วก็ขัดเขมรเหน็บอีโต้ ปีนขึ้นไปแสดงวีรกรรมของตนทันที...!

    ตัดทางด้านปลายที่กดสายไฟจนหมด แล้วก็จัดการกับท่อนโคน เพื่อป้องกันมันแตกกิ่งออกไปถึงสายไฟอีก หวดฉับ...ฉับ...ไม่นานก็ขาด คมมีดจั่วลมซะวืดใหญ่ แต่...กิ่งโพธิ์ขนาดขาอ่อนยาวเมตรกว่านะซิ...มันลอยอยู่กลางอากาศ...! อาตมามองแล้วมองอีก มันก็เห็น ๆ ว่าขาดแล้ว แต่ไม่ยอมตก จึงค่อย ๆ ดันมันออกไป พอพ้นหลังคาหอฉันเก่าเท่านั้น ก็ร่วงกระทบพื้นตึงใหญ่...แฮะ...แฮะ...อาตมาหมายถึงว่า ถ้าตัวเองตกต้นไม้จะฟ้องหลวงพ่อ พ่อเทวดาช่วยสงเคราะห์ไม่ให้หลังคาพัง หรือกลัวหลวงพ่อก็ไม่รู้ กระทั่งกิ่งโพธิ์ก็ยังไม่ยอมให้ตกเลย...!

    เจอกับตัวเองแบบนั้น อาตมาก็ขอท่านเป็นที่พึ่ง เวลาเข้าเวรก็ขอท่านช่วยดูแลความเรียบร้อย ส่วนตัวเองนอนภาวนาลูกเดียว จนใคร ๆ เขาแปลกใจว่า อาตมาเข้าเวรภาษาอะไร มาทีไรเห็นหลับทุกที ก็เขามีนาฬิกาปลุกนี่นา... ขอท่านช่วยปลุกก่อนหลวงพ่อเรียก ๑๕ นาที และถ้าจะมีเหตุอะไรเกิดขึ้นในเขตรับผิดชอบ ขอให้ปลุกก่อนสามนาที ได้ผลทุกที ถึงเวลาท่านจะกระตุกเท้า เราก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นมาตรวจดูความเรียบร้อย บางทีนอนภาวนาลืมตั้งนาฬิกาปลุก ท่านก็ช่วยกระตุกขาให้ หรือนอนหลับแล้วท่านอนไม่เรียบร้อยท่านก็เตือน...

    ปกติประมาณบ่ายโมงครึ่ง “หลวงพ่อ” จะลงรับแขก วันนั้นอาตมาเป็นไข้แทบลุกไม่ไหว บอกเทวดาแล้วก็นอนภาวนา ได้ยินคนขับรถที่นั่งดูโทรทัศน์ เปิดรายการ “ท้าพิสูจน์” บอกว่ามีเรื่อง “หัวชนะขวด” คือ ตีหัวด้วยขวด หัวไม่แตกแต่ขวดแตก อาตมาอยากดูแต่ไข้จับจนลุกไม่ขึ้นลืมตาก็ไม่ได้...เวลาผ่านไปนานเท่าไรก็ไม่รู้ อยู่ ๆ อาตมาก็ลุกขึ้นได้เฉย ๆ อาการป่วยไม่มีแม้แต่นิดเดียว อาตมาบอกกับทุกคนว่า “อีก ๑๕ นาทีหลวงพ่อจะเรียก” และก็จริง ๆ ตรงเวลาเป๊ะ “หลวงพ่อ” โทรศัพท์มาบอกว่าจะไปรับแขก พอส่ง “หลวงพ่อ” ขึ้นรถเรียบร้อย อาตมาก็ถูกไข้จับหงิกเหมือนเดิม...

    ครั้งไปสถานีวิจัยเพื่อรักษาต้นน้ำแม่กลอง ที่ตำบลลิ่นถิ่น อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี พอไปถึงสรงน้ำเรียบร้อย อาตมาก็สวดมนต์ – ทำวัตรเย็น อยู่ ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาหา อาตมาถามว่า “อีหนู...มีธุระอะไร...?” พอถามเสร็จก็เพิ่งนึกได้ว่าอาตมาปิดประตูอยู่ แล้วเขาเข้ามาได้อย่างไร...? แม่เจ้าประคุณเดินทะลุประตูเข้ามานะซิ...!

    “เธอ” บอกว่าเป็นเจ้าที่ของที่นี่ ทั้งเธอและบริวารขอโมทนาในความดีที่อาตมาทำทั้งหมด และขอรับรองความปลอดภัยทุกอย่างตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ มีอะไรขัดข้องเรียกเธอได้ทุกเวลา คนที่นี่เรียกเธอว่า “เจ้าแม่เบิกไพร” อาตมาออกมาสอบถามว่า เจ้าที่ของที่นี่เป็นผู้หญิงหรือ...? ได้รับคำตอบว่า “ใช่” และชี้ให้ดูว่ามีศาลอยู่ทางด้านโน้น...แม้จะมืดค่ำแล้ว อาตมาก็เดินไปดูศาล วนเวียนจนอ่อนใจก็หาศาลไม่เจอ...พอรุ่งเช้าไปดูใหม่ เห็นศาลหลังเบ้อเร่อ มีแต่รอยเท้าอาตมาย่ำเปรอะไปหมด แต่...เมื่อคืนทำไมเราไม่เห็นอะไรเลยวะ...? แบบนี้ก็วิเศษ...จะค่ำมืดดึกดื่นขนาดไหน อาตมาเดินท่อม ๆ มันไปทั่ว ไม่ต้องกลัวเสือสางช้างกระทิงใด ๆ ทั้งสิ้น เวลาหลงทางก็มีเงาดำ ๆ มาโบกมือเรียก เดินไปเถอะไม่มีคำว่าหลงอีก เขามารับกันเป็นช่วง ๆ ไปเลย แรก ๆ ก็เย็นสันหลังเหมือนกัน พอบ่อย ๆ เข้าก็ชินไปเอง...

    พอไปทองผาภูมิครั้งที่สอง เลยทางแยกเข้าบ้านเก่าไปซัก ๕ – ๖ ก.ม. มีภูเขาลูกหนึ่ง ดูเผิน ๆ คล้ายคนนอนตะแคง อยู่ด้านขวามือของถนน พอนึกว่าคล้ายคนนอน เขาก็ลุกขึ้นยืนไหว้ ใส่ชุดเขียวลายทองพราวระยับ...! “ท่าน” บอกว่าเป็น “ตัวแทน” ของ “ขุนแผน” อาตมาเลยขอความสงเคราะห์ให้ทุกคนในคณะปลอดภัย และขอให้ถึงสถานีก่อนห้าโมงเย็น “ท่าน” บอกว่า “ได้” อาตมาเองก็หนักใจ เพราะผู้ช่วยนายสถานีคือ คุณสมชาย อ่อนอาษานั้น นอกจากจะมีนิสัยร่าเริงแล้ว ยังขับรถใจเย็นเป็นน้ำแข็งเลย... อาตมาแกล้งถามผู้ช่วยสมชายว่า “มีทางไปถึงสถานีก่อนห้าโมงเย็นไหม...?” “เป็นไปไม่ได้ครับ” แต่มันก็เป็นไปแล้ว รถไปถึงสถานีตามเวลาจริง ๆ อาตมารู้อยู่ว่าเทวดาเขาไม่โกหก แต่มันอด “ท้าพิสูจน์” ไม่ได้ พอ “ท่าน” ทำได้ เราก็จ๋อยไปตามระเบียบ...!

    ออกเดินธุดงค์ไปยังเมืองลับแลแม่สาน ตอนแรกจะไปกันหลายรูปอยู่หรอก แต่พอทราบถึงความลำบากของสถานที่ ก็พากันถอนตัวหมด เหลืออาตมาบินเดี่ยว ไม่ใช่เก่งกล้าอะไร หากแต่บอกเขาซะทั่วว่าจะไป ถึงเวลาไม่ไปก็อายเขานะซิ...!

    ไปกราบหลวงพ่อพระพุทธชินราชที่พิษณุโลกก่อน แล้วจึงเข้าสุโขทัย กราบขอพรแม่ย่าสุโขทัย ขอให้เข้าถึงแม่สานก่อนค่ำ ท่านบอกว่า “ได้” ออกจากสุโขทัยเข้าศรีสัชนาลัย จากศรีสัชนาลัยเป็นทางฝุ่นคดเคี้ยว ขึ้นเขาเข้าป่าเข้าดงไป ๔๙ ก.ม. มาถึงบ้านกะเหรี่ยงห้วยหยวก... ฉันเพลที่ห้วยหยวกก่อน ดูเวลาแล้วไปถึงก่อนค่ำแน่นอน เพราะหลวงลุงสุนทร (พระสุนทร สุธมฺมสุเมโธ) ท่านเคยเดิน บอกว่าระยะทางจากห้วยหยวกไปถึงแม่สาน ใช้เวลาเดิน ๖ ช.ม. อาตมาเริ่มออกเดิน ๑๑.๓๐ น....

    ออกไปได้หน่อยเดียวก็หลงทาง ต้องย้อนกลับมาตั้งหลักใหม่ คราวนี้เข้าป่าดงดิบดึกดำบรรพ์ ต้นไม้แต่ละต้นสูงเยี่ยมเทียมเมฆ บุกบั่นข้ามเขาข้ามห้วยไปเรื่อย ๆ หลงทางอีกตามเคย เลยอธิษฐานขอเทวดาชี้ทาง... เอาด้ามกลดปักพื้น อธิษฐานแล้วปล่อย มันชี้ข้ามเขาที่ไม่มีทางไป คิดว่าเหลวแน่ ๆ เดินหาทางจนพบรอยเท้าคน สาวรอยไปเรื่อย ๆ ข้ามเขาไปสองลูก ทะลุออกทางเดินเล็ก ๆ อธิษฐานถามทางใหม่... ด้ามกลดชี้ข้ามเขาไปทางที่เราเพิ่งลงมา ลองอีกทีก็ชี้ทางเดิม จึงเดินหาทางจนพบหนุ่มกะเหรี่ยง ถามทางไปแม่สาน แกชี้ข้ามเขาที่เราเพิ่งลงมาจริง ๆ ปรากฏว่าหลงเตลิดมาไกลลิบ ต้องเดินย้อนมาออกที่ห้วยหยวกใหม่...

    จะบ่ายสามอยู่แล้ว ขืนไปก็ค่ำกลางทาง แล้วไอ้ดงดิบดึกดำบรรพ์แบบนี้ ถ้าคิดจะฆ่าตัวตายละก็ค่อยไปค้างคืนกลางป่าเถอะ แต่แม่ย่าสุโขทัยท่านบอกว่าถึงก่อนค่ำ เทวดาเขาไม่เคยโกหก เอาวะ...ไปก็ไป... หาจนได้คนนำทาง เป็นกะเหรี่ยงเฒ่าที่เดินอย่างกับเหาะ พอข้ามห้วยครั้งที่สามสิบสาม แกเลี้ยวขวา อ้อ...เราหลงเพราะไปเลี้ยวซ้าย ตาเฒ่าขอตัวกลับ เขาพยายามตีใบ้ว่า กลับเถอะตะวันจะตกดินแล้ว ค้างคืนในป่านี้มีแต่ตายกับตาย...!

    ขอบใจในความหวังดีของแก พอตาเฒ่ากลับไป อาตมาก็ชุมนุมเทวดา ขอความสะดวกให้ไปถึงแม่สานก่อนค่ำ เจ้าที่ท่านชื่อ “ทรงเดช” รับรองแข็งขันว่าถึงก่อนค่ำแน่ แบบนี้ก็วิเศษ อาตมาลุยป่าไปเป็นพายุบุแคมเลย...! ตลอดทางแทบจะต้องอาศัยลุยไปตามลำห้วยล้วน ๆ จะมีขึ้นบกบ้างก็ไม่กี่ก้าว หกล้มหกลุกไปตลอดทาง เส้นขาพลิกปวดแทบขาดใจ แต่มาถึงจนขนาดนี้แล้ว ไอ้เรื่องถอยกลับน่ะเมินซะเถอะ ไม่มีทางยอมแพ้หรอก...! หนทางดูยาวไกลไม่สิ้นสุด มีเงาดำ ๆ คอยกวักมือเรียกเป็นระยะไป พอเข้าใกล้ก็เห็นเป็นก้อนหินบ้าง ตอไม้บ้าง...ขอบใจทุกท่านที่เมตตาสงเคราะห์ อ้อมเขาไปกี่ลูกจำไม่ได้ รู้แค่ว่าถ้ามืดแปลว่ากำลังอ้อมเขา สว่างแปลว่าพ้นไปหนึ่งละนะ...

    ทางช่วงสุดท้ายประมาณ ๒ ก.ม. เลียบไปกับขอบเหว เดินพลาดจะหล่นลงเหว เอามือค้ำถูกยอดเถาวัลย์ เชื่อหรือไม่...? ยอดเถาวัลย์นั้นแน่นหนาอย่างกับแผ่นหิน ค้ำติดรับน้ำหนักทั้งตัวของเราได้อย่างไรไม่รู้...!? รอดจากตกเหวตายลงสู่พื้นราบ ถึงแล้ว...แม่สานดินแดนลี้ลับ จัดการกางกลด สรงน้ำ ซักผ้า แล้วดูนาฬิกา...ห้าโมงเย็น...! เป็นไปไม่ได้แต่เป็นไปแล้ว ถึงก่อนค่ำอย่างเทวดาท่านว่าจริง ๆ ... อยู่ดินแดนลับแลก็ต้องระวังตัวหน่อย สวดมนต์ – ไหว้พระ อุทิศส่วนกุศลแก่เจ้าที่เจ้าทาง เราไม่ได้มาเบียดเบียนใคร ขอความเมตตาจากท่านทั้งหลาย ช่วยคุ้มครองให้ความปลอดภัยตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ด้วยเถิด

    คืนที่สองไปปักกลดในป่าช้ากะเหรี่ยง ไม่ใช่เก่งแต่เพราะไม่รู้จริง ๆ ...พวกมาซะหกตัว ท่าทางบอกว่าเอาตายแน่... แต่...ยังก่อนสหาย ฝ่ายเรามาซะสิบสอง...ผีก็ผีเถอะ ขืนอยู่โดนเทวดาอัดน่วมแน่ เปิดแน่บไม่เหลียวหลังเลย...

    วันที่สี่บุกขึ้นไปค้นหารอยพระพุทธบาท ตามคำเล่าลือของพวกกะเหรี่ยง ไปทั้งขาเจ็บ ๆ นั่นแหละ...ขอให้ท่านทรงเดชช่วย อยู่เขตศรีสัชนาลัย ต้องบุกป่าขึ้นเขาลงห้วยไปยังเขตลำปาง ฝ่าดงทากมหาภัย โดนรุมซะเลือดนองไปเลย... ปีนสวนน้ำตกเจ็ดชั้นขึ้นไป ผงะหงายหลังหลายหน มันเหมือนพิงติดผนังผา กำหนดจิตดูเห็นท่านทรงเดช และบริวารตัวโตเท่าภูเขายืนคุมหลังให้ ไม่อย่างนั้นคงลงไปแหลกอยู่กับวังน้ำข้างล่างนั่นแหละ ขอบคุณมากครับ...

    ด้วยการสงเคราะห์ของเทวดา ค้นหารอยพระพุทธบาทจนเจอ อยู่กึ่งกลางลำห้วยเลย ประทับอยู่บนหินก้อนยาววากว่า เป็นรอยชัดเหมือนเราเหยียบดินเหนียว ความยาวสองศอกกำกับอีก ๑ ฝ่ามือ...! กราบนมัสการด้วยความปลาบปลื้มใจ ขากลับหลงทางเหมือนกัน แถมหล่นน้ำตกลงมาหัวแม่เท้าเดาะ ข้อเท้าพลิก หัวเข่าพลิก แทบจะต้องคลานกลับ ระยะทางยาวไกลเท่าไรกำหนดไม่ได้ เท้าแตะพื้นแต่ละทีปวดแทบน้ำตาร่วง...! แต่ด้วยความกรุณาของท่านทรงเดชและบริวาร ทำให้หอบสังขารกลับมาจนได้ ห่างจากที่ปักกลดซัก ๒๐๐ เมตร ท่านก็ถอนกำลังกลับ เจ้าประคุณเอ๋ย...เพิ่งรู้ว่าตัวเองเจ็บถึงเพียงนั้น ระยะทางสั้น ๆ แทบต้องนอนมันกลางทาง เหน็ดเหนื่อยและเจ็บปวดเจียนจะขาดใจ...!

    ห้าวันห้าคืนที่บุกบั่นอย่างสนุกสนานในบ้านลับแล ถึงเวลาจะต้องกลับ ขากลับค่อยมีแก่ใจชมนกชมไม้หน่อย ป่าดงดิบรกทึบจริง ๆ มีแสงแดดส่องลอดลงมาได้บ้าง ลำแสงพันกับเกลียวหมอก เป็นภาพงดงามแสนประทับใจ... “ดวงตะวันลับทิวแมกไม้ใจพี่ก็หาย...หายลับไปกับตะวัน...” น่าน...จิตหลุดจากคำภาวนา มานึกถึงเพลงแทน เข้ากับบรรยากาศดีแท้ ๆ ... “เฮ้ย...ย..! ตูม – ม ... !” ถูกใครไม่รู้ถีบส่ง หล่นไปแช่น้ำในลำธาร เปียกจากศีรษะจรดปลายเท้า หนาวสั่นงั่ก ๆ ไปเลย ข้าวของทุกชิ้นชุ่มโชกไปหมด ดี...สมน้ำหน้า เขาให้ภาวนาดันมานึกถึงเพลง โดนแค่นี้ยังน้อยไปนะนี่ สั่งสอนแบบกรุณาแล้วนะ...!

    ขากลับใช้เวลาสองชั่วโมงยี่สิบห้านาที ไม่รู้ว่าพ่อเทวดาจัดการอีท่าไหน มันถึงได้กำไรตั้งหลายชั่วโมงแบบนี้ เล่นเอาต้องนั่งรอที่ห้วยหยวกจนหลับไปหลายตื่น กว่าที่รถจะมารับตามนัด...ขอบคุณมากครับพ่อปู่ – แม่ย่า โอกาสหน้าจะมารบกวนใหม่...

    ในอนุสติ ๑๐ ประการ มีเทวตานุสติ การระลึกถึงคุณงามความดีของเทวดาอยู่ด้วย ใครจะรู้เกินพระพุทธเจ้า ปฏิเสธว่าเทวดาไม่มีก็ตามใจท่าน บุคคลเราฉลาดและโง่ต่างกัน อาตมาพิสูจน์แล้ว และขอยืนยันว่า “เทวดามีจริง” แน่นอน และขอยึดในความเชื่อนี้ตามประสาคนโง่แล้วกัน คนฉลาดที่ไม่เชื่อทั้งหลายอย่ามาค้านซะให้ยากเลย “ข้อยบ่ฟังเจ้าดอก...!”

    ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     

แชร์หน้านี้

Loading...