เทวดามาอารักขาและถวายอาหารทิพย์ (หลวงปู่ชอบ ฐานสโม)

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 11 มกราคม 2007.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,027
    สติปัฏฐานเป็นความรู้อนันตนัย หาประมาณมิได้
    ไม่เหมือนความรู้ชนิดอื่น สนทิฏฐิโก เห็นด้วยเฉพาะนักปฏิบัติ
    ปจจตตํ รู้เฉพาะในดวงจิต รู้ธรรมลึกลับสุขุมคัมภีรภาพ


    พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

    วันนี้ขอนำเรื่องน่าสนใจของหลวงปู่ชอบ ฐานสโม มาลงต่อ
    และเรื่องพิเศษ อินทรีย์แก้ว (พระอริยคุณาธาร) มาฝากเพิ่ม

    [​IMG]จำพรรษาที่ถ้ำนายม เทวดามาอารักขาและถวายอาหารทิพย์[​IMG]

    ในพรรษาที่ ๑๐ พ.ศ. ๒๔๗๗ ท่านจำพรรษาอยู่ ณ ถ้ำนายม จังหวัดเพชรบูรณ์ ถ้ำนี้เป็นถ้ำที่ปรากฏให้ท่านเห็นในนิมิต ตั้งแต่ท่านยังอยู่ที่วัดป่าบ้านเหล่างา จังหวัดนครราชสีมา กับท่านพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม เมื่อท่านล่วงรู้อนาคตถึงถ้ำที่ท่านจะต้องไปอยู่ ท่านก็เดินทางจากนครราชสีมา บุกป่ามุ่งไปทางเพชรบูรณ์ เพื่อสืบหาถ้ำนายมที่เห็นในนิมิต

    ออกประหลาดใจที่วันหนึ่งได้เห็น เทวดาองค์หนึ่งเข้ามากราบคารวะขออนุญาตถวายอาหารทิพย์ เทวดากราบเรียนท่านว่าระยะนี้พระคุณเจ้าเร่งความเพียรอย่างอุกฤษฎ์ ไม่บิณฑบาต ไม่ฉันอาหาร ธาตุขันธ์ขาดอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกายมาหลายเพลาแล้ว เทวดาสงสาร ทนดูอยู่หลายวันแล้ว อดไม่ได้ วันนี้ต้องขออนุญาตถวายท่านด้วยอาหารทิพย์

    ท่านว่า อาหารทิพย์เป็นอย่างไร และนี่ก็ตกบ่ายแล้ว ฉันไม่ได้ เป็นอาบัติ เทวดา ก็แสดงอาหารทิพย์ในมือถวายให้ท่านดู ลักษณะเป็นแท่งเหมือนดินสอพอง เทวดาอธิบายว่า ไม่ใช่อาหารธรรมดาที่จะฉัน จะเคี้ยว จะกลืนดังอาหารธรรมดา อาหารทิพย์นี้ เป็นเพียงโอชารสที่จะซึมซาบเข้าไปในร่างกายเท่านั้น เปรียบเหมือนยา หรือน้ำเกลือ น้ำหวานที่พระอาจฉันได้หลังเพลาเพลแล้ว เพียงใช้ถูเบา ๆ ความเป็นทิพย์ก็จะซึมซาบเข้าไปตามส่วนของร่างกาย เหมือนฉีดยาบำรุงกำลังนั่นเทียว

    ระยะแรก ท่านค้านมาก เหตุผลที่สำคัญที่สุด ก็คือ เทวดานั้นเป็นผู้หญิง ท่านเกรงว่าจะเกิดอาบัติ และถึงว่ากายทิพย์ของเทวดาจะไม่เป็นที่รู้เห็นของคนทั่วไป แต่สำหรับตัวท่านเองนั้น หลับตาก็มองเห็นเทวดา ลืมตาก็มองเห็นเทวดา แม้ทางพระวินัยจะไม่มีความเสียหาย แต่ถ้าเผื่อผู้มีสายตาดี
    มีญาณผ่านมาเห็นเข้า ก็จะเป็นที่ครหาว่า พระอยู่ลำพังกับสตรี

    เทวดากราบเรียนว่า อาหารที่ท่านเห็นนั้น ท่านเห็นได้จากใจทิพย์ เทวดาเพียงจะนำอาหารทิพย์มาถวายทางกายทิพย์ ไม่ใช่กายเนื้อ ที่ท่านว่า ลืมตาก็เห็นหรือตาเนื้อมองเห็นด้วยนั้น แท้จริงเป็นเพราะญาณภายในของพระคุณเจ้าสนับสนุนให้เห็นดอก เทวดาเป็นผู้รักและเทิดทูนท่านผู้มีศีลธรรม ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ อย่างพระคุณเจ้า เทวดาก็อยากได้บุญได้กุศลเช่นกัน จึงขอถวายอาหารทิพย์บ้าง พระคุณเจ้ายังออกบิณฑบาตโปรดให้มนุษย์ได้ใส่บาตร ได้บุญ ได้กุศล เทวดาทำไมจึงอาภัพอับวาสนา ไม่มีสิทธิ์ถวายอาหาร หรือยาบำรุงกำลัง เพื่อส่วนบุญกุศลส่วนกุศลของตนบ้างบ้าง

    ท่านเล่าว่า การคิด การโต้ตอบนี้ เป็นไปในสมาธิภาวนาตลอด ดังนั้น เวลาเพียงไม่กี่วินาที ถ้อยคำ กระแส ความคิดของมนุษย์หรือเทวดาจะปรากฏไปได้ยืดยาวมาก

    ปรากฏว่า หลังจากที่เทวดามาถวายอาหารทิพย์ ถูให้ท่านทางกายทิพย์แล้ว พอท่านออกจากสมาธิ ก็รู้สึกว่า ร่างกายมีกำลังสดชื่นราวกับได้ฉันอาหารตลอดเวลาหลาย ๆ วันที่ผ่านมา

    เทวดาองค์นี้ได้เล่าถวายถึงบุพเพนิวาสที่ได้เคยมีต่อหลวงปู่อย่างละเอียด และแม้จะอยู่คนละภพและภูมิ แต่ก็ปวารณาขอถวายอารักขา แม้ท่านจะปฏิเสธว่า องค์ท่านมิได้ลำบาก ติดขัด หรือขาดแคลนสิ่งใด ความเป็น ความอยู่ ก็พอเป็นไปตามอัตภาพของพระธุดงคกรรมฐาน ผู้ฉันน้อย อยู่น้อย ใจมุ่งต่ออรรถต่อธรรมเป็นส่วนใหญ่ ที่เทวดาว่า ท่านจะหิว จะไม่มีกำลัง ท่านก็มิได้รู้สึกเลย

    อย่างไรก็ดี แม้ท่านจะปฏิเสธอย่างไร เทวดาองค์นั้นก็คอยมาดูแล อารักขาท่านอยู่เสมอ บางครั้งท่านมองไปจะเห็นเทวดานั่งเรียบร้อยอยู่บนโขดหิน ห่างท่านสัก ๔ – ๕ วา ราวกับจะเป็นยามมิให้พระต้องอนาทรร้อนใจ

    ท่านว่า เป็นเหตุการณ์ที่แปลกอย่างหนึ่ง อันปรากฏกับท่านระหว่างที่ท่านจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำนายม จังหวัดเพชรบูรณ์ <!--MsgFile=2-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td><td rowspan="2" bgcolor="#000000" valign="top"><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td width="10">[SIZE=-3] [/SIZE]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></center>
    [​IMG] สถานที่ซึ่งมีบุญคุณที่สุด [​IMG]

    พรรษาที่ ๑๓ พ.ศ. ๒๔๘๐ ท่านได้ไปจำพรรษาอยู่ ณ วัดบ้านโป่ง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่

    วัดบ้านโป่งนี้ เป็นสำนักที่ครูบาอาจารย์เคยไปพักบำเพ็ญเพียรกันมาก เช่น ท่านพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) เป็นต้น แม้ท่านพระอาจารย์มั่นเอง ก็เคยจำพรรษา ณ ที่วัดนี้ ท่านเล่าว่า เป็นที่สัปปายะ เหมาะแก่การภาวนามาก ภาวนาไม่นาน จิตจะสงบลงถึงฐานของสมาธิอย่างง่ายดาย การนั่งภาวนาจนตลอดสว่าง วันยังค่ำคืนยังรุ่งก็ทำได้โดยไม่ยาก เวลาเดินจงกรมก็รู้สึกเหมือนกับเหาะลอยไปในอากาศ

    สถานที่นี้เหมาะแก่การทำประโยคความเพียร ไม่แต่ท่านเอง แม้แต่พระอื่นก็ทำได้ถึงอัปปนาสมาธิโดยง่ายเช่นกัน จึงเป็นที่ซึ่งพระธุดงค์กรรมฐานนิยมไปพำนักไม่ขาดสาย จนเท่าทุกวันนี้

    ในพรรษานี้ หลวงปู่มีกัลยาณมิตรที่ดีอยู่จำพรรษาด้วย คือ ท่านพระอาจารย์เทสก์ เทสรังสี (ปัจจุบัน... พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฎ์) ซึ่งท่านพระอาจารย์เทสก์ได้เป็นหัวหน้าเทศนาอบรม และให้อุบายอันมีค่าแก่หมู่เพื่อน เตือนมิให้ติดสุข พอใจแต่เพียงการทำจิตให้สงบแต่อย่างเดียว การเดินปัญญา เพื่อพิจารณาถอดถอนกิเลสจะต้องดำเนินควบคู่กันไป

    ปกติจิตของหลวงปู่จะรวมลงถึงฐีติจิต หรือ อัปปนาสมาธิ สงบนิ่งอยู่เช่นนั้นเป็นวันเป็นคืน หรือถอยออกมาสู่อุปจารสมาธิ ซึ่งเป็นภาวะตอนที่ ออกรู้ หรือ รับแขก อยู่เสมอ จิตรวมมีกำลังจริง... แต่ปัญญาไม่แก่กล้า ฉะนั้น ณ ทีวัดบ้านโป่งนี้ ท่านจึงพักการรับแขกนอก แต่หันมาคิดค้นดูแขกภายใน... หรือกายของตนเองอย่างเอาเป็นเอาตาย อุบายปัญญาก็บังเกิดขึ้นทันกับสติ ที่จะห้ำหั่นกิเลสให้ขาดลงเป็นลำดับ ๆ

    ครั้นออกพรรษา ปวารณาแล้ว ท่านก็ได้ลาจากวัดบ้านโป่งไปด้วยความสำนึกในคุณของสถานที่แห่งนี้เป็นที่สุด <!--MsgFile=3-->
    [​IMG]พระอรหันต์สมัยพุทธกาลมาเยี่ยมท่าน[​IMG]

    ระหว่างท่านวิเวกอยู่ในเขตประเทศพม่า พักบำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่ ณ ถ้ำแห่งหนึ่งที่บ้านเมืองยางแดง ท่านได้ทำมีดหายไป หาอยู่สามสี่วันก็ไม่พบ ท่านว่าก็มิใช่มีดพิเศษพิสดารอะไรนัก เป็นมีดประเภทธรรมดาที่ชาวบ้านใช้ถางป่านั่นเอง เพราะพระกรรมฐานจะมีของวิเศษเลิศเลออะไร ท่านก็ได้อาศัยมีดถางป่าพื้น ๆ นี้เอง เป็นบริขารประจำตัวสารพัดประโยชน์...หั่น...ตัด...ถาก...ถาง...งัด...แงะสิ่งใดก็ด้วยมีดประจำตัวนี้ ท่านใช้แล้วไปอาบน้ำ คิดว่าลืมทิ้งไว้บริเวณที่อาบน้ำ แต่เมื่อออกไปหาดูโดยทั่วหมดบริเวณแถวนั้น ทั้งที่บริเวณอาบน้ำ ที่ในถ้ำ หรือแม้แต่ที่อื่นใดที่คิดว่า อาจจะลืมไว้ ก็ไม่เห็นเลย เวลาผ่านไปสามวันสี่วันก็ยังไม่พบ ทำให้ท่านออกรู้สึกรำคาญใจ

    ตอนกลางคืน ขณะมี่ท่านกำลังนั่งเข้าที่สมาธิภาวนาในเวลาดึกสงัด ปรากฏมีพระอรหันต์องค์หนึ่งเหาะมาเยี่ยมท่านทางสมาธิภาวนา ท่านเหาะลอยมาทางอากาศ มีรัศมีสว่างแพรวพราย น่าเคารพน่าเลื่อมใสอย่างที่สุด หลวงปู่รีบกราบด้วยความเคารพอย่างสูงสุด ทั้งปีติทั้งยินดีอย่างสุดจะพรรณนา พระอรหันต์องค์นั้นพอเหาะลงถึงพื้นนั่งเรียบร้อยแล้ว ก็ถามทันทีว่า มีดของท่านหายไปใช่ไหม เมื่อท่านเรียนตอบรับคำ พระอรหันต์องค์นั้นก็บอกว่า ไม่ได้หายไปไหน ท่านลืมที่ต่างหาก นั่นไง... ท่านบอกพลางชี้มือ ....มีดของท่านอยู่นั่นไง ไปเอาเสียซี

    หลวงปู่เล่าว่า ตอนเช้าท่านก็ไปดูที่พระอรหันต์ท่านชี้บอกไว้ในนิมิต ซึ่งเป็นหลังก้อนหิน ก็เห็นมีดอยู่ตรงนั้นจริง ๆ ประหลาดที่ว่าท่านหาอยู่หลายวันไม่เห็น และความจริงท่านก็ไม่บนบานอธิษฐานให้เทวดาหรือใครช่วยหาให้เลย แต่น่าอัศจรรย์ที่พระอรหันต์ท่านกลับทราบ ทั้งยังเมตตาช่วยบอกให้ ทำให้ท่านได้มีดคืนโดยไม่คาดฝัน

    พระอรหันต์องค์นี้ชื่อ พระพากุละ ท่านเล่าว่า พระพากุละนี้เมตตามาเยี่ยมท่านมิได้ขาด จากครั้งแรกที่มาชี้บอกเรื่องบริขารหารที่ถ้ำในพม่าแล้ว ต่อมายังให้ความเมตตามาแสดงธรรมโปรดท่าน มาเยี่ยมท่านตลอดมาจนปัจจุบันนี้ (กราบเรียนถามท่านครั้งสุดท้ายในปี ๒๕๒๙ นี้ ท่านรับว่าพระพากุละก็ยังคงมาเยี่ยมท่านอยู่)

    เมื่อเราเรียนว่า เชื่อว่าท่านและท่านพระพากุละคงจะเคยมีความผูกพันกัน ท่านคงจะเคยเป็นศิษย์ของพระพากุละกระมัง หลวงปู่ก็อธิบายว่า ...ต่างคนต่างเคยเกิดเป็นศิษย์ซึ่งกันและกัน !

    ท่านว่า ปรากฏการณ์ครั้งนั้น ทำให้ท่านมีความเชื่อมั่นในธรรมมากขึ้น และมีกำลังใจที่จะบำเพ็ญความเพียรให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป <!--MsgFile=4-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td><td rowspan="2" bgcolor="#000000" valign="top"><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td width="10">[SIZE=-3] [/SIZE]</td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td colspan="2" align="left" bgcolor="#000000"><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td width="10">[SIZE=-3] [/SIZE]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></center>ระหว่างที่พำนักอยู่ในพม่าเช่นกัน ท่านได้เดินธุดงค์ไปหาที่วิเวก พบถ้ำอีกแห่งหนึ่งซึ่งมีชัยภูมิสงัดลี้ลับห่างจากหมู่บ้านมาก การออกบิณฑบาตจากถ้ำที่ปรารภความเพียรไปหมู่บ้านนั้นต้องใช้เวลาถึงเกือบสองชั่วโมง ไปกลับก็ร่วมสี่ชั่วโมงกว่าจะถึงที่พักได้ฉันอาหาร แต่ท่านก็พอใจที่จะอยู่บำเพ็ญความเพียร ณ ที่นั้น ด้วยเป็นที่สงัด สัปปายะแก่การภาวนา บางวันเวลาหากการบำเพ็ญเพียรเป็นไปอย่างดูดดื่มลึกซึ้ง ท่านก็พักการออกบิณฑบาตเป็นวัน ๆ ไป

    ท่านเล่าว่า คืนวันหนึ่ง พอจิตรวมสงบลงก็ปรากฏ พระมหากัสสปเถรเจ้า เหาะลอยลงมาข้างหน้าท่าน ท่านว่า เป็นภาพที่งามมาก ด้วยเห็นท่านเหาะมาแต่ไกล จนกระทั่งใกล้เข้ามาเห็นรัศมีแพรวพรายสว่างเรือง ร่างของท่านค่อยเลื่อนลอยลงสู่พื้นแล้วค่อย ๆ นั่งลงตรงหน้าท่านด้วยความสงบเยือกเย็น ใบหน้าของท่านเปี่ยมล้นด้วยความเมตตา แล้วก็มีปฏิสันถารกับหลวงปู่อย่างอ่อนโยน ท่านถามถึงธาตุขันธ์ของหลวงปู่ว่าพอเป็นไปไหวไหมกับการบำเพ็ญความเพียรอย่างอุกฤษฎ์ที่น่าอนุโมทนาเช่นนี้

    หลวงปู่เล่าว่า ท่านก้มลงกราบในนิมิตภาวนาด้วยความปีติตื้นตันใจ ดูเหมือนว่าการปฏิบัติ การภาวนาของท่านจะอยู่ในสายตาของท่านผู้รู้โดยตลอด เมื่อท่านกราบเรียนอย่างนอบน้อมถ่อมองค์แล้ว พระมหากัสสปะก็อนุโมทนาในกำลังศรัทธาของท่าน และแสดงธรรมเน้นหนักเรื่องธุดงควัตร เช่นที่พระพากุละได้เทศนาสั่งสอนหลวงปู่มาแล้ว ท่านยืนยันว่า ธุดงควัตรนั้นเองเป็นหลักของพระผู้มุ่งมั่นต่อความหลุดพ้นจากทุกข์ จริงอยู่ที่หลวงปู่ปฏิบัติอยู่นี้ ก็น่าสรรเสริญชมเชยอยู่แล้ว แต่ท่านก็ใคร่จะอธิบายประโยชน์เพิ่มเติมให้ส่งเสริมอุบายธุดงค์ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป

    ขอให้หลวงปู่ปฏิบัติอย่าย่อท้อ เพื่อเป็นแบบอย่างดำรงอริยมรรค อริยวัตร อริยประเพณีสืบต่อ ๆ ไป

    นอกจากด้านธุดงควัตร ท่านยังเมตตาแสดงด้านธรรมวินัยให้ฟังอย่างวิจิตรพิสดารอีกด้วย รวมทั้งปัญหาธรรมต่าง ๆ ที่หลวงปู่ติดข้องสงสัยด้วย

    <!--MsgFile=5-->ท่านเล่าว่า จิตท่านดำรงอยู่ในสมาธิภาวนาระหว่างท่านพระมหากัสสปะมาแสดงธรรมและสนทนาสั่งสอน เป็นเวลาเกือบสี่ชั่วโมงจิตจึงถอนออกมา หลังจากที่ท่านพระมหากัสสปะได้ลาจากท่านไป โดยเหาะกลับไปทางอากาศเช่นเดียวกับเมื่อเริ่มมา นอกจากพระมหากัสสปะและพระพากุละ จะเมตตามาเยี่ยม กล่าวสัมโมทนียกถา เทศนาให้กำลังใจเสมอแล้ว ท่านเล่าว่ายังมีพระอรหันต์สมัยพุทธกาลอีกองค์หนึ่ง คือ พระอนุรุทธมหาเถรเจ้า ก็ได้มาปรากฏองค์เยี่ยมท่านอยู่เป็นปกติ

    [​IMG] อินทรีย์แก้ว [​IMG] * ข้อมูลจากทิพยอำนาจ พระอริยคุณาธาร (ปุสโส เส็ง , ปธ. 6) เรียบเรียง นำมาฝากต่อยอด คคห. ข้างบนครับ ^ ^

    ก่อนจบบทนี้ จะพูดถึงอินทรีย์แก้ว ซึ่งได้พูดแย้มไว้หลายแห่งมาแล้ว พอเป็นแนวศึกษาค้นคว้าของนักศึกษาพระพุทธศาสนา หวังว่าจะเป็นเรื่องที่สนใจอยากทราบเป็นแน่

    ปกรณ์ฝ่ายมหายานหรืออุตตรนิกาย เขาแบ่งภาคพระพุทธเจ้าเป็นหลายชั้น เช่น

    (๑) พระอาทิพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าเที่ยงแท้ มีพระรัศมีรุ่งเรืองที่สุดหาเขตจำกัดมิได้ ไม่มีเบื้องต้นและเบื้องปลาย เป็นอยู่ชั่วนิรันดร
    (๒) พระฌานิพุทธเจ้า ได้แก่พระนิรมานกายที่ทรงเนรมิตบิดเบือนขึ้นด้วยอำนาจฌานสมาบัติ มีพระรัศมีรุ่งเรือง มิใช่พระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้โปรดสัตว์ในโลก
    (๓) พระมานุสีพุทธเจ้า ได้แก่พระพุทธเจ้าซึ่งมาตรัสรู้โปรดสัตว์ในโลก มีพระกายในความเป็นมนุษย์
    อย่างสามัญมนุษย์ทั้งหลาย แต่เป็นพระกายดีวิเศษกว่าของมนุษย์สามัญ มีพระฉัพพรรณรังสีรัศมีพระกายแผ่ซ่านออกข้างละวา

    ส่วนปกรณ์ของฝ่ายทักษิณนิกาย หรือเถรวาท ท่านโบราณาจารย์ ก็แบ่งพระกายของพระพุทธเจ้าเป็น ๓ ภาคเช่นเดียวกัน แต่เรียงลำดับจากต่ำไปหาสูง เมื่อเทียบดูแล้ว ก็จะเห็นว่าคล้ายคลึงกัน คือ :-

    (๑) พระรูปกาย เป็นพระกายซึ่งเอากำเนิดจากพระพุทธบิดา พระพุทธมารดา ที่เป็นมนุษย์ธรรมดา ประกอบด้วยธาตุทั้ง ๔ เหมือนกายของสามัญมนุษย์ เป็นแต่บริสุทธิ์สะอาดสวยงาม พระฉวีวรรณเปล่งปลั่งเกลี้ยงเกลากว่ากายของมนุษย์สามัญ เป็นวิบากขันธ์สำเร็จแต่พระบุญญาบารมี
    (๒) พระนามกาย ได้แก่กายชั้นใน ปราชญ์บางท่านเรียกว่า กายทิพย์ และว่าเป็นกายที่มีรูปร่างสัณฐานเหมือนกายชั้นนอก เป็นแต่ว่องไวกว่า และสามารถกว่ากายชั้นนอกหลายร้อยเท่า สามารถออกจากร่างหยาบไปในที่ไหนๆ ได้ตามต้องการ เมื่อกายหยาบสลายแล้ว กายชั้นนี้ยังไม่สลาย จึงออกจากร่างไปหาที่เกิดใหม่ต่อไป นามกายเป็นของมีทั่วไปแม้แต่สามัญมนุษย์ แต่ดีเลวกว่ากันด้วยอำนาจกุศลากุศลที่ตนทำไว้ก่อน ส่วนพระนามกายของพระพุทธเจ้า ท่านว่าดีวิเศษยิ่งกว่าของสามัญมนุษย์ด้วยอำนาจพระบุญญาบารมี ที่ทรงบำเพ็ญมาเป็นเวลาหลายอสงไขยกัปป์
    (๓) พระธรรมกาย ได้แก่ พระกายธรรมอันบริสุทธิ์ ไม่สาธารณะทั่วไปแก่เทวาและมนุษย์ หมายถึงพระจิตที่พ้นจากกิเลสอาสวะแล้ว เป็นพระจิตบริสุทธิ์ผุดผ่อง มีพระรัศมีแจ่มจ้า เปรียบเหมือนดวงอาทิตย์อุมัยไขแสงในนภากาศฉะนั้น พระธรรมกายนี้ เป็นพระพุทธเจ้าที่จริงแท้ เป็นพระกายที่พ้นเกิด แก่ เจ็บ ตาย และทุกข์โศกทั้งหลายได้จริง เป็นพระกายที่เที่ยงแท้ถาวรไม่สูญสลาย เป็นอยู่ชั่วนิรันดรเป็นที่รวมแห่งธรรมทั้งปวง แต่ท่านมิได้บอกให้แจ้งชัดว่า พระธรรมกายนี้มีรูปพรรณสัณฐานเช่นไร หรือไม่ <!--MsgFile=6-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td><td rowspan="2" bgcolor="#000000" valign="top"><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td width="10">[SIZE=-3] [/SIZE]</td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td colspan="2" align="left" bgcolor="#000000"><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td width="10">[SIZE=-3] [/SIZE]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></center>ต่อครับ...
    ความเชื่อว่าพระอรหันต์นิพพานแล้วยังมีอยู่อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นพระอรหันต์แท้ไม่สลายไปตามกาย คือ ความเป็นพระอรหันต์ไม่สูญ ความเป็นพระอรหันต์นี้ ท่านก็จัดเป็นอินทรีย์ชนิดหนึ่ง เรียกว่า อัญญินทรีย์ พระผู้มีพระภาคเข้า คงหมายเอาอินทรีย์นี้เอง บัญญัติเรียกว่า วิสุทธิเทพ เป็นสภาพที่คล้ายคลึง วิสุทธาพรหมในสุทธาวาสชั้นสูง เป็นแต่บริสุทธิ์ยิ่งกว่าเท่านั้น เมื่อมีอินทรีย์อยู่ก็ย่อมจะบำเพ็ญประโยชน์ได้ แต่ผู้จะรับประโยชน์จากท่านได้ ก็จะต้องมีอินทรีย์ผ่องแผ้วเพียงพอที่จะรับรู้รับเห็นได้ เพราะอินทรีย์ของพระอรหันต์ประณีตสุขุมที่สุด แม้แต่ตาทิพย์ของเทวดาสามัญก็มองไม่เห็น

    มนุษย์สามัญซึ่งมีตาหยาบๆ จะเห็นได้อย่างไร อินทรีย์ของพระอรหันต์นั้นแหละ เรียกว่าอินทรีย์แก้ว ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจของท่านเป็นแก้ว คือ ใสบริสุทธิ์ดุจแก้วมณีโชติ ผู้บรรลุถึงภูมิแก้วแล้ว ย่อมสามารถพบเห็นพระแก้วคือ พระอรหันต์ที่นิพพานแล้วได้

    ความรู้เรื่องนี้ เป็นความรู้ลึกลับในพระธรรมวินัย ผู้สนใจพึงศึกษาค้นคว้าต่อไป ถ้ายังรู้ไม่ถึงอย่าพึงค้าน อย่าพึงอนุโมทนา เป็นแต่จดจำเอาไว้ เมื่อใดตนเองได้ศึกษาค้นคว้าแล้ว ได้ความรู้ ได้เหตุผลที่ถูกต้องดีกว่า เมื่อนั้นจึงค้าน ถ้าได้เหตุผลลงกัน จึงอนุโมทนา ถ้ารู้ไม่ถึง ด่วนวิพากษ์ วิจารณ์ ติเตียน ผู้พูดเรื่องเช่นนี้ จะเป็นไปเพื่อบอดตาบอดญาณตนเอง ปกติตาไม่ดีญาณไม่โปร่งอยู่แล้ว ถ้าด่วนติเตียนในเมื่อตนเองรู้ไม่ถึง ก็ชื่อว่าบอดตาบอดญาณตนเองยิ่งจะซ้ำร้ายใหญ่ ข้าพเจ้านำเรื่องนี้มาพูดไว้ ด้วยมีความประสงค์จะให้นักศึกษาพระพุทธศาสนาช่วยกันค้นคว้าความรู้ส่วนลึกลับของพระพุทธศาสนาต่อไป

    * จบครับ *

    ข้อมูลจากหนังสือ ฐานสโมปูชา คุณหญิงสุรีพันธ์ มณีวัต ผู้เขียนและเรียบเรียง


    ที่มาค่ะ.http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y5036875/Y5036875.html

     

แชร์หน้านี้

Loading...