เทวดาชั้นดุสิตเล่าเรื่องเมืองสวรรค์

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เกษม, 5 ธันวาคม 2008.

แท็ก: แก้ไข
  1. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,194
    เทวดาชั้นดุสิตเล่าเรื่องสวรรค์..(1),
    บอกเล่าโดยเทพวิชิต ธรรมรังษี

    [​IMG]

    ..เรื่องที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ ผู้เขียนไม่ได้แต่งสรรค์ หรือเติมข้อความใดๆลงไปเลย ขอยืนยันว่า เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวที่ท่านเทพวิชิต ธรรมรังษี ได้พูดออกมาเองทั้งหมด ผ่านร่างทรงคือ ศศิธร เมธางกูร ต่อหน้าประจักพยานนับพันคน จะจริงแท้ประการใด หวังว่าท่านคงไม่คิดว่า เทวดาชั้นดุสิตจะมาปั้นเรื่องโกหกท่านหรอกนะ

    เทพวิชิต : สวัสดีครับ ท่านพ่อ แม่ พี่ น้อง ลุง ป้า น้า อา เหล่ามนุษย์ทั้งหลาย ผมมีความยินดีเป็นอย่างมากครับ ที่มีเกียรติมาพูดที่ห้องประชุมชั้น 2 มีความลำบากใจมาก เพราะว่าองค์ปาฐกที่จะต้องมานั่งบนเค้าเตอร์นี้ ล้วนมีความแตกฉานชำนาญในการพูด ทั้งวิชาการและความรอบรู้ต่าง ๆ ฉะนั้นผม เทวดาผู้น้อย ได้เล่าเรียนมายังไม่เพียงพอ ได้ถูกเชิญให้ขึ้นมาพูดบนนี้ ก็ถือว่าเป็นเกียรติอย่างมาก ทั้งในความจริงผมก็ได้คลุกคลีคุ้นเคยกับท่านอยู่เสมอ อาจแทบพูดได้ว่าแทบจะทุกวันก็ได้

    อาจารย์บุญมี เมธางกูร ได้ตั้งชื่อเรื่องว่า นรก สวรรค์ อยู่ที่ไหน มีจริงหรือไม่ จะพิสูจน์ได้อย่างไร ผมผู้หนึ่งซึ่งอยู่ใน ณ ที่นั่นคือสวรรค์ จึงจะมาขอพูดเรื่องสวรรค์ให้ฟัง เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เพราะเวลามีไม่มาก ก็ขอเกริ่นข่าวเล่าความว่า ก่อนที่เราจะฟังเรื่องนรกสวรรค์นั้น เราจะต้องรู้ว่า ความสำคัญอันยิ่งใหญ่ที่ฝัง อยู่ภายใต้จิตใจของท่าน ผู้ที่เป็นมนุษย์ทั้งหลายและเป็นผู้ร่วมเกิดแก่เจ็บตายของผมด้วย ไม่มีอะไรเกินไปกว่าไม่มีปัญญา ในปัญหาของเรื่องชีวิต และเมื่อเราไม่มีปัญญาแล้ว ต่างคนต่างก็นึกคิดเอาง่ายๆว่า ตายแล้วไม่เกิด เกิดมาครั้งเดียวตายครั้งเดียว

    เมื่อมีความคิดเช่นนี้แล้ว ก็ก่อกรรม ทำพฤติกรรมออกไปทางกาย วาจา และใจได้โดยง่าย แต่ด้วยการไม่รู้เหตุไม่รู้ผล ไม่รู้จักตน และไม่รู้จักประมาณ ไม่รู้จักกาล ไม่รู้จักชุมชน และไม่รู้จักเลือกคบคน สิ่งเหล่านี้จึงนำชีวิตของท่านให้ตกอยู่ภายใต้ความประมาทพลาดถลำอยู่ตลอดเวลา กระผมในฐานะเป็นตัวแทนมาจากชั้นดุสิต มีความยินดีมากที่จะพูดเรื่องสวรรค์ให้ท่านฟัง

    ในเรื่องสวรรค์มีทั้งหมด ชั้นที่ 1 คือ ชั้นจาตุมหาราชิกา ชั้นที่ 2 คือ ตาวตึงสา 3 ยามา 4 ดุสิตา 5 นิมมานรดี 6 ปรนิมมิตวสวัตตี 7 รูปพรหม อรูปพรหม ทั้งนี้ท่านก็ไม่สามารถมองเห็นได้ จะเล่าให้ฟัง เพราะผมเองก็เคยเกิดชั้นจาตุมหาราชิกา ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นที่1 ในพื้นของสวรรค์ชั้นที่1 นั้นมีความใกล้เคียงกับมนุษย์มากมายนัก ก็เปรียบเสมือนท่านที่นั่งอยู่ที่นี่ กับคนที่อยู่ในชนบท ความมีฐานะที่แตกต่างกัน ยากจน แล้วความเป็นอยู่อัตคัตกว่าเรา เราเปรียบได้อย่างนั้น แต่ความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับเทวดานั้นก็คือ กายหยาบกับกายละเอียด

    ในชั้นจาตุมหาราชิกานั้น มีความน่าสมเพชมาก(ชั้นล่างสุด) ฉะนั้น ท่านจะเป็นเทวดาก็ต้องไปให้ดี ไปให้พ้นชั้นจาตุต่ำๆ เพราะว่าที่นั่นมีการทำนา เดี๋ยวฟังนะครับอย่าเพิ่งตกใจ มีการทำนา มีการเกี่ยวพืชไร่ มีขอทาน มีสารพัด เพราะอะไรครับ เพราะเทวดาในชั้นนั้นเกิดด้วยกุศลอันมีกำลังอ่อน และเหมือนมนุษย์ที่มาเกิดเป็นลูกขอทาน ยาจก เพราะว่าอดีตชาติให้ทานไว้น้อย จึงเกิดมาไม่สมบูรณ์ใน เงินทอง ข้าวของต่างๆ เช่นเดียวกันกับเทวดา เพราะการเกิดเป็นเทวดานี่ง่ายมาก

    เช่นเราตายจากมนุษย์นี้ นึกคิดไปในเรื่องดี เช่นเห็นพระเห็นอะไร อย่างที่เขาเห็นกัน จิตจับอารมณ์ดีแล้ว อันนั้นก็เป็นสตินำเกิดเป็นเทวดา แต่ด้วยกำลังกุศลที่มีกำลังที่ผลักดัน ได้รับผลของกุศลมิได้มากมาย จึงเสวยทิพย์สมบัติ เกิดเป็นเทวาชั้นจตุมหาราชิกา ฉะนั้น ในชั้นจาตุมหาราชิกาไม่มีแตกต่างกับมนุษย์มากเท่าใดนัก ต่างกันก็คือมองไม่เห็นแล้วเทวดาชั้นจตุมหาราชิกาเกลื่อนมากคือ มิจฉาทิฎฐิ และเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาส่วนมาก 90% ตายจากเทวดาก็เกิดในอบายภูมมิหรือตกนรกทันที

    เพราะอะไร เพราะว่าเช่นเดียวกับท่านทั้งหลาย ในมนุษย์นี้ ท่านเป็นมนุษย์ก็มองไม่เห็นสวรรค์ ท่านจึงไม่เชื่อ ใช่ไหมครับ ไม่เห็นเทวดาลอยบนฟ้า ให้ท่านเห็น ท่าจึงคิดว่ามันเป็นเรื่องไม่จริง ฟังเขาเล่ามันเป็นเพียงนิทาน ฉันใดก็ฉันนั้น

    .....................................................................................

    ภาพเทพวิชิต ธรรมรังษี ปิดตาเขียนรูปผ่านร่างทรงคือ ศศิธร เมธางกูร


    <!-- THE POST -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,194
    เทวดาชั้นดุสิตเล่าเรื่องสวรรค์..(2), บอกเล่าโดยเทพวิชิต ธรรมรังษี

    เทพวิชิต : เทวดาที่เกิดอยู่ในชั้นจาตุมหาราชิกาก็ถูกครอบงำด้วยอำนาจการเห็นระหว่างกันเท่านั้นเอง ไม่เคยสอดส่องทะลุทะลวง ก็ต้องมีการทำมาหากิน ทำนา ทำไร่ ชีวิตมีการกระทำทุกอย่าง ต้องดิ้นรนแก้ไข เสวยกามสุขเหมือนกับมนุษย์ ได้รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส จึงไม่ได้มีโอกาสและด้วยความเป็นมิจฉาทิฏฐิ

    จึงไม่ใช้อำนาจที่ตัวเองมองลงมาว่าที่ต่ำกว่าเรานั้นยังมีมนุษย์ เขาก็คิดว่ามันเป็นเพียงชีวิตที่อยู่คลุกคลีกันในหมู่เดียวกัน เหมือนโลกของเขาเท่านั้น นอกจากนี้ก็ไม่มี มนุษย์ก็ไม่มี เขามิได้เห็นหรือได้ยิน นอกจากผู้ที่เข้ามาฝึกฝนอบรมและพวกเขาก็ไม่เรียกตัวเองว่าเทวดา เหมือนท่านทำไมรู้จักว่าเป็นคน เด็กเกิดใหม่ๆไม่รู้ตัวเองว่าเป็นคน

    พอพ่อแม่บอกว่า เราเป็นคนดีนะ คำว่าคนก็ฝังเข้าไปในใจ อันนี้ก็เหมือนกัน พวกเทวดา คือมนุษย์เรียกว่าเป็นเทวดา แต่พวกเทวดาเขาเองก็ใช้ความรู้สึกทางใจเห็นสิ่งนั้น เห็นลักษณะนี้ลักษณะนั้น โต้ตอบกันจึงได้เห็นว่าต่ำกว่าเขาก็มี สูงกว่าเขาก็มี เขาจึงไม่เชื้อชาติหน้าเหมือนกัน ทั้งนี้นอกจากบางท่านซึ่งมีส่วนน้อย อย่างที่อาจารย์บุญมีบอกว่า เทวดาก็ไม่เชื่อชาติหน้า

    นี่แหละครับมันเป็นมิจฉาทิฏฐิที่ฝังแน่นแล้ว เมื่อพวกเขาเหล่านั้นได้มีการดำเนินชีวิต ดิ้นรน แก้ไข แย่งชิงกัน รบราฆ่าฟันกันตายเพื่อจะได้มาในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ไม่ว่าเทวดาชั้นใดก็แล้วแต่ เกิดแล้วต้องตายเหมือนกัน เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาเมื่อตายแล้ว อำนาจกรรมที่ตัวเองสร้างไว้ ด้วยมิจฉาทิฏฐิประกอบกับมีความโลภ ความโกรธ ความหลง เช่นเดียวกัน จึงนำไปปฏิสนธิในอบายภูมิเป็นส่วนมาก

    ในเรื่องของชั้นจาตุมหาราชิกายังซอยไปอีก 7 ชั้น ฐานะความแตกต่างกัน ก็เหมือนกับว่า คนธรรมดาพอมีพอกิน ร่ำรวยขึ้นมานิด แหม...เป็นเศรษฐี อภิมหาเศรษฐี และเจ้าของเงินทั้งหมด ก็เหมือนกันทั้ง 7 ชั้น อำนาจบุญต่างๆ กัน อำนาจนี้จะช่วยอะไรในเทวดา อำนาจนั้นก็คือ ช่วยให้เกิดการเนรมิตรได้ (จาตุชั้นสูง) การเนรมิตร เช่นอยากได้น้ำกินก็เนรมิตร

    แต่น้ำนั้นไม่ได้มาตั้ง อยากกินน้ำ ความรู้สึกน้ำนั้นก็อิ่ม นี่คือชั้นผม แต่เทวดาชั้นจาตุถ้าเผื่อเนรมิตรข้าว ข้าวจะเกิดขึ้น (รูปปรมาณู) แล้วต้องกิน ก็อิ่มเลย เนรมิตรน้ำน้ำก็มา เนรมิตรเสื้อ เสื้อต้องเอามาใส่เองอีกทีหนึ่ง นี่คือเทวดาชั้นจาตุ ซึ่งมีลำดับชั้น 7 ชั้น ผู้ที่อยู่ชั้น7 ก็คือผู้ที่อยู่กึ่งกลางที่จะขึ้นดาวดึงส์ ชั้นนี้จะมีผลมากขึ้น อำนาจรังสีก็จะแผ่ไปได้มากขึ้น

    เมื่อกระเถิบขึ้นไปดาวดึงส์ถิ่นที่ผมเคยอยู่เหมือนกัน สวรรค์ทุกชั้นไม่มีชั้นใดเลยที่จะวิจิตรบรรจงสวยงามเท่ากับชั้นดาวดึงส์ ท่านก็เคยฟังแล้ว ดาวดึงส์เทวโลก มโหฬาร เป็นที่อยู่สำราญหฤหรร นี่แหละครับ จาตุมหาราชิกา ตาวตึงสา ยามา ดุสิตา นิมานนรตี ปรนิมมิตวสวัตตี พรหม อรูปพรหม

    สวรรค์นี้ไม่มีชั้นไหนงามเท่าชั้นดาวดึงส์ ทุกสิ่งทุกอย่างเพรียบพร้อมไปหมด ความสวย ความวิจิตรบรรจง เมื่อใครไปเจอ คนแก่มากอายุ 80 ตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาชั้นดาวดึงสา สวยเช้งหล่อพริ้งเลย ความกระชุ่มกระชวยมากที่สุด แล้วก็มีรัศมีของใบหน้าเอย แสงก็จะสวยมาก และมีความอิ่มทิพย์อยู่เสมอ ผิดกับชั้นจาตุ ชั้นจาตุเนรมิตรข้าว ข้าวก็มาตั้งกิน ชั้นดาวดึงส์ถ้าอยากกินข้าว อยากกินเผ็ดๆ

    พอนึกปุ๊บ อยากกินแกงเผ็ดก็รสโอชะนั้นอันนั้น ก็อิ่มทันที ไม่ต้องมานั่งกิน อยากกินน้ำ ความรู้สึกน้ำนั้นก็อิ่มทันที ไม่เหมือนกับเทวดาชั้นจาตุ ความสวยทุกอย่างอยู่ในชั้นนี้ ไม่ว่าเทวดาชั้นสูงกว่า อยากจะมาเที่ยวความสวย ถ้าจะต้องลงมาชั้นนี้ เพราะว่านางฟ้าสุดสวย สุดเซ็กซี่ สวยสดสุดเซกซี่ ต้องเป็นนางฟ้าชั้นดาวดึงส์

    แล้วเทพบุตรชั้นนี้ก็จะอิ่มด้วยความรู้สึกดีงาม ถามถึงบริวารเดี๋ยวจะตอบ มีคำถามมาแล้ว เล่าให้ฟังก่อน

    ..................................................................................
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    นึกคิดเอาง่ายๆว่า ตายแล้วไม่เกิด เกิดมาครั้งเดียวตายครั้งเดียว

    เมื่อมีความคิดเช่นนี้แล้ว ก็ก่อกรรม ทำพฤติกรรมออกไปทางกาย วาจา และใจได้โดยง่าย แต่ด้วยการไม่รู้เหตุไม่รู้ผล ไม่รู้จักตน และไม่รู้จักประมาณ ไม่รู้จักกาล ไม่รู้จักชุมชน และไม่รู้จักเลือกคบคน สิ่งเหล่านี้จึงนำชีวิตของท่านให้ตกอยู่ภายใต้ความประมาทพลาดถลำอยู่ตลอดเวลา

    เห็นด้วยกับความคิดส่วนนี้ ให้คติเตือนใจ เป็นอย่างดี
     
  4. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,194
    เทวดาชั้นดุสิตเล่าเรื่องสวรรค์..(3), ตอนชั้นยามา

    เทพวิชิต : พอกระเถิบขึ้นไปอีกชั้นคือ ชั้นสาม ชั้นยามา ชั้นนี้น่าสงสาร ชั้นยามาเป็นชั้นที่เกิดได้ด้วยอำนาจของสมาธิและมีอำนาจผ่านมาชั้นนี้ ความสงบหรือคนที่ฝึกสมาธิมาก ๆ จึงสงบอยู่ในอารมณ์ อารมณ์เดียวนั่งอยู่ได้ ๗ วัน ๗ คืน คนนั่งก็ตาย คนยืนก็ตาย คนเดินก็ตาย

    จะนั่งเก่งอย่างไรก็ตายแน่ ๆ หลวงพ่อท่านบอก เพราะฉะนั้นเมื่อเขาหมดกรรม หมดอายุขัยจากอายุมีโอกาสที่จะปฏิสนธิเป็นเทวดาชั้นยามา ท่านรู้ไหมครับว่าเทวดาชั้นนี้น่าสงสารเหมือนกัน เพราะว่าเขาจะไม่มีโอกาส มีโอกาสน้อยมากที่เขาจะรู้ว่าเขาได้เกิดใหม่ เพราะว่า เช่นสมมติว่าผมนั่งเป็นมนุษย์อยู่ มนุษย์นี้เก่งสมาธิมาก นั่ง ๓ วัน ๓ คืนไม่ตื่น ทำฌานสมาบัติได้

    ใครเอาไฟลนก็ไม่รู้สึก เท่านี้แหละกรรมมันหมด กรรมมันหมดก็ตาย หมดอายุขัยก็ตาย พอเกิดตายขึ้นมาพอตายปุ๊บก็เกิดทันที เกิดบนสวรรค์ชั้นยามาเลยนั่งต่อไม่ได้มีอะไรเลย เป็นเทวดาที่นั่งต่อ จิตมันจับอารมณ์นั้นแล้ว ใช่ไหมครับ จากมนุษย์ปุ๊บมาอยู่ชั้นยามาก็นั่งต่อ เทวดาก็หมดอายุขัยเมื่อตายไปเกิดเป็นคน ที่นี้มานั่งต่อไม่ได้

    มันค่อย ๆ เจริญเติบโต จึงยังไม่รู้ว่าตัวเองมีการเวียนว่ายตายเกิด แล้วก็ขึ้นอีก ลงอีก หรือไม่ทีนี้เกิดโทสะขึ้นมา ความเกิดก็ไม่เที่ยง ตายปุ๊บตกนรกเลยคราวนี้ นี่คือเทวดาชั้นยามา บางคนอย่างพวกฤาษีชีไพร ส่วนมากเทวดาชั้นยามา คนไทยเห็นจะมีน้อย โดยมากเป็นพวกซิกส์

    ชาวฮินดูจะเกิดเป็นเทวดาชั้นยามามาก พวกอินเดียนับถือศาสนาซิกส์และเป็นฮินดูเขาเก่งสมาธิ บางคนไปเป็นเทวดาแล้ว นอนอยู่ในโลงไม่เคยเห็นสวรรค์ เพราะฝึกสมาธิในโลง สวรรค์เป็นอย่างไรก็เนรมิตรโลง จับอารมณ์อยู่ในโลง ทั้งตัวเองเป็นมนุษย์ นอนอยู่ในโลง ใช่ไหม

    ทรมานกายหนวดยาวเหยียด นอนอยู่จนตายเผาแล้วก็ไม่รู้ ก็เอาลอยแม่น้ำคงคาก็ไม่รู้ พอเกิดเป็นเทวดาชั้นยามาก็มีโลงอยู่ก็ไปนอนอย่างนั้นอีก แล้วบางคนชอบห้อยหัว หกคะเมนตีลังกา ทรมานตน นี่พวกตึงเกินไป มีที่อินเดีย เนปาล เยอะแยะเลย เอาหัวฝังลงไปในดินหายใจกับอากาศที่มีช่องอากาศเล็ก ๆ เมื่อตายไปเป็นเทวดาหัวปักลงอย่างนี้ ติดอยู่ในอารมณ์ตามที่ตนเจตนา

    แล้วทีนี้เทวดาก็ต้องมีประชุมเหมือนกัน ต้องมีผู้ตีระฆังประชุม แล้วถ้าเผื่อเทวดาได้ยินเสียงระฆังแก้วนี้ไม่มาก็จะปวดแก้วหูแทบจะแตกทนอยู่ไม่ได้ จะมากันทุกชั้น จะมาประชุมกันที่ธรรมสภา คือลงมาที่ชั้นดาวดึงส์ พวกยามาก็มา น่าสมเพชตรงนี้พวกที่อยู่ในโลง จิตมันต้องรับรู้ แต่ไม่ได้ดำเนินไป มันก็ไปทั้งโลง พอไปถึงก็ตั้งอยู่ในธรรมสภา โลงก็ตั้งอยู่

    พวกหัวทิ่มก็เอาหัวลงมา คืออยู่อย่างนั้นจนกว่าจะประชุมเสร็จ ไม่รู้ ไม่ชี้ ขอให้มาหายปวดหูก็แล้วกัน พวกยกแขนเดิน มันก็เดินอย่างนี้ (ทำท่าประกอบ) แล้วพวกผมมองดูก็เห็น เจ้าประคู๊น.... ขออย่าให้เกิดเป็นเทวดาชั้นยามาเลย หัวก็ตก นอนก็อยู่ในท่าเดียว จิตจะเป็นสมาธิก็จะอยู่ในท่าที่เขาทำอยู่จนมีความชำนาญ

    ..............................................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ธันวาคม 2008
  5. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,194
    เทวดาชั้นดุสิตเล่าเรื่องสวรรค์..(4), ดุสิตา เทวาสวรรค์

    เทพวิชิต : ต่อไปนี้ผมขอเสนอเทวดาชั้นดุสิต ผมเพิ่งขึ้นไปหมาด ๆ ชั้นนี้นะครับ เทวดาทั้งหลายชั้นจาตุ ผู้หญิงผู้ชายมากพอ ๆกัน ผู้หญิงก็มาก ผู้ชายก็มาก เด็กก็มาก คนแก่ก็มาก นี่ชั้นจาตุ พอชั้นดาวดึงส์คนกลางคนมาก คนแก่ไม่ค่อยมี เด็กไม่ค่อยมี พอชั้นยามาคราวนี้แหละอายุมาก

    เพราะว่าคนจะนั่งสมาธินาน จิตก็จับอารมณ์อันนั้น สำหรับดุสิต ไม่มีแก่ แล้วไม่มีผู้หญิง เกิดชั้นดุสิตจะไม่เป็นหญิงอีกแล้ว ก็จะเป็นเทพ (เทพบุตร) ทั้งหมด ผู้หญิงและเทวดา เทวดาชั้นอื่นถ้ามีโอกาสเกิดเป็นเทวดาชั้นดุสิต จะเป็นผู้ชายหมด

    แล้วก็น่าประทับใจ เพราะอะไรครับ เพราะผมเกิดขึ้นชั้นนี้ใหม่ ๆ เวิ้งว้างวังเวงโดดเดี่ยว หดหู่ห่อเหี่ยว หาเพื่อนไม่เจอ เพราะว่าเทวดาที่จะเกิดในชั้นดุสิตนี้น้อยมาก สวรรค์ชั้นนี้ใหญ่กว้างมาก แต่มองไม่เห็นกัน เพราะว่าคนที่จะปฏิสนธินี่ก็ต้องมีปัญญา มีอำนาจของการกระทำดีมาก

    กายสุจริต วจีสุจริต และมโนสุจริต เป็นคนประพฤติอยู่ในเบญจศีล เบญจธรรม มีหิริโอตตัปปะ มีปัญญาเป็นตัวนำ เกิดที่ชั้นดุสิตน้อยมากครับ ความรู้สึกอันนี้ ที่ผมเกิดครั้งแรกขอให้ท่านลองนึกดู ท่านลองนึกย้อนไปว่า ท่านไม่เคยไปวัดเลย หรือว่าท่านไปวัดครั้งแรกเป็นอย่างไร

    มีความเร้นลับที่ซ่อนอยู่ และมีความกลัว ทำให้เราไม่กล้าทำอะไรลอกแลก ลักษณะอารมณ์จะเกิดขึ้นอย่างนั้น แต่ไม่มีพระให้ดู อารมณ์เกิดไปในที่เร้นลับ ที่มันมีความมหัศจรรย์ มีความน่าเกรงขาม ทำให้เรานั้นไม่ลุกลี้ลุกลน ผมจึงต้องมาเข้ามนุษย์ ลุกลี้ลุกลนอยู่

    เพราะมันเงียบเหลือเกิน และเทวดาชั้นดุสิตนี้ส่วนมากหาคนไทยน้อยเช่นกัน จะเป็นพวกอินเดียลังกา เป็นพวกพม่าที่มาจากอดีต เพราะอะไรครับ เพราะเขาเล่าเรียนศึกษาพระอภิธรรมมาเยอะ อำนาจก็เกิดเพราะเขาก็สั่งสมปัญญากันมามากจากในอดีต

    ชั้นดุสิตมีถึง ๑๑ ชั้นผมเพิ่งจะไปอยู่ชั้นที่ ๑ หลวงพ่อเสืออยู่ชั้นที่ ๑๑ ถ้าผมได้ขึ้นไปเรื่อย ๆ แล้วผมจะเล่าอีก ชั้นสูงกว่านี้นะครับ ผมยังไม่รู้ ผมเล่าเรื่องสวรรค์ไปหลายชั้นแล้ว ต้องให้ผมตายแล้วเกิดค่อยมาเพิ่มเติม ถ้าได้เกิดชั้นที่สูงขึ้น

    ตอนนี้ได้แค่นี้ ถ้ามากกว่านี้ถามอาจารย์บุญมี เมธางกูร ท่านก็ได้

    ................................................................................

    ที่มา http://www.abhidhamonline.org/index1.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ธันวาคม 2008
  6. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,194
    เรื่องของพระศรีอาริย์และพระรามโพธิสัตว์

    [​IMG]

    อนาคตพุทธวงศ์ 10 พระองค์ มีดังนี้ :-

    1. พระศรีอริยเมตไตรย -จะตรัสรู้ที่ต้นกากะลิง
    2. พระรามเจ้า -จะตรัสรู้ที่ ต้นแก่นจันทน์แดง
    3. พระธรรมราช -จะ ตรัสรู้ที่ ต้นกากะลิง (อดีตคือ พระเจ้าปัสเสนทิโกสน)
    4. พระธรรมสามี -จะ ตรัสรู้ที่ ต้นรังใหญ่ (อดีตคือ พระยามาราธิราช)
    5. พระนารท -จะ ตรัสรู้ที่ ต้นแก่นจันทน์แดง (อดีตคือ อสุรินทราหู)
    6. พระรังศรีมุนี -จะ ตรัสรู้ที่ ต้นดีปลีใหญ่ (อดีตคือ โสณะพราหมณ์)
    7. พระเทวเทพ -จะ ตรัสรู้ที่ ต้นจำปา (อดีตคือ สุพะพราหมณ์)
    8. พระนรสีหะ -จะ ตรัสรู้ที่ ต้นไม้แคฝอย (อดีตคือ โตไทยพราหมณ์)
    9. พระติสสะ -จะ ตรัสรู้ที่ ต้นไทร (อดีตคือ ช้างธณะบานหัตถีนาลาคีรี)
    10. พระสุมังคะละ -จะ ตรัสรู้ที่ ต้นกากะลิง (อดีตคือ ช้างปาเลไลย)

    ************************************************************
    หลวงพ่อเสือ วัดไผ่สามกอ จ.ฉะเชิงเทรา

    [​IMG]

    ปฐมวัย

    หลวงพ่อเสือ เกิดเมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๐๕ ที่ จ. ชลบุรี
    โยมบิดา ชื่อ นายแสวง โยมมารดาชื่อ นางลำเจียก

    ด้วยบารมีที่ได้สร้างสมมาแต่อดีตชาติ ทำให้หลวงพ่อเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันตั้งแต่เด็ก เมื่อได้มีโอกาสติดตามพ่อแม่ไปวัดตอน๕ - ๖ ขวบ และได้ฝึกหัดทำสมาธิ จึงได้รับรู้ถึงความสงบสุขอันเกิดจากจิตที่เป็นสมาธิ

    อายุ ๑๖ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดหลวง จ.ชลบุรี และได้ติดตามพระอุปัชฌาย์ออกธุดงค์ หลังจากนั้น ๗ วัน ท่านจึงแยกธุดงค์ไปตามที่ต่างๆ ตามลำพัง

    ในปีต่อมาหลวงพ่อได้ธุดงค์ไปสกลนคร พระอาจารย์ที่นั่นได้แนะนำให้เดินทางไปพม่า ซึ่งเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ท่านจึงเริ่มออกเดินทาง ผ่านอุดรธานี ไปจนถึงพม่า อาศัยพักอยู่ที่วัดโชติการาม โดยมี พระอาจารย์โชติกะธรรมจริยะ คอยแนะนำ และให้ความสะดวกตลอดเวลา ๖ เดือน

    เมื่ออุปสมบทแล้ว ท่านก็ธุดงค์กลับไปที่พม่าอีกครั้งหนึ่ง โดยพักอยู่ที่วัดซันคยองวิหาร ถึง ๒ ปี ณ ที่นี้หลวงพ่อได้พบกับ ท่านเลดี สย่าดอ มหาเถระ ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นผู้คอยแนะแนวทางการปฏิบัติธรรม การศึกษาพระไตรปิฏกให้

    ....หลังจากนั้นหลวงพ่อยังได้เดินทางไปที่ลังกา ได้พบและศึกษากับ ท่านญาณโปนิกมหาเถระ

    มัชฌิมวัย

    กลับจากลังกาแล้ว หลวงพ่อได้พักปฏิบัติธรรมที่ถ้ำเชียงดาว ๓ ปีเศษ
    ต่อจากนั้นได้มาพักอยู่ที่หมู่บ้านชาวเขา บนดอยปุย สอนธรรมะ และรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้กับชาวเขา เป็นเวลาถึง ๙ ปี จึงเดินทางกลับมาบ้านเกิด ที่ชลบุรี โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะมาช่วยเหลือชาวบ้านทั้งการให้ธรรมะ และช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งขณะนั้นท่านอายุได้ ๔๕ ปี มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในแถบจังหวัดชลบุรี และจังหวัดฉะเชิงเทรา

    ต่อมามีชาวบ้าน ต.สิบเอ็ดศอก อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา ได้ร่วมใจกันสร้างกุฏิเล็กๆ และนิมนต์ให้ท่านอาศัยอยู่ จนในที่สุดสร้างเป็นวัดขึ้น ให้ชื่อว่า “วัดไผ่สามกอ” ตามสัญญลักษณ์ที่มีต้นไผ่เหลืองที่ขึ้นอยู่ ๓ กอ หน้ากุฏิของท่านที่ชาวบ้านปลูกถวายนั่นเอง

    มีเรื่องเล่าว่า…
    หลวงพ่อไม่เคยสรงน้ำเลย แต่ทุกวันเวลาท่านอยู่ในห้องผู้ที่อยู่ใกล้เคียงจะได้ยินเสียน้ำเหมือนไหลจากฝักบัว และร่างกายของหลวงพ่อก็เปียกเอง ทั้งยังมีกลิ่นหอมเหมือนดอกลำเจียก เมื่อถึงวันเกิดของท่าน ผู้คนจะหลั่งไหลมาสรงน้ำท่าน เวลาท่านเดินลงจากกุฏิ ฝนจะตกลงมาพอดีทุกครั้ง ท่านจึงได้ฉายาว่า “พระวิรุฬหผล”

    เมื่อตอนอายุได้ ๕๕ ปี ท่านได้ธุดงค์ไปประเทศลังกาเป็นเวลานาน เพื่อศึกษาพระพุทธศาสนาในรายละเอียดเพิ่มเติม


    ปัจฉิมวัย

    ก่อนมรณภาพ หลวงพ่อรู้ล่วงหน้า ท่านจึงได้เตรียมตัวพร้อม โดยเรียกลูกศิษย์มาถ่ายรูปของท่านไว้ ให้ทำความสะอาดศาลา และเรียกมาประชุมฟังธรรม

    หลังจากนั้นท่านก็เริ่มป่วย มีไข้ทวีขึ้นทั้งวันทั้งคืน เมื่อถึงวันโกนท่านก็ลุกขึ้นจากที่นอน สั่งให่ช่วยกันปลงผม ซึ่งชาวบ้านก็พูดเตือนว่าคนเป็นไข้เขาห้ามตัดผล แต่ท่านก็พูดให้คติว่า
    [SIZE=3][COLOR=#ff0033][SIZE=3][FONT=Arial][SIZE=2][COLOR=black]“คนเราถ้าถึงเวลาตายแล้ว ถึงจะปล่อยให้ผมยาวเพียงไหน ชีวิตก็ยาวต่อไปไม่ได้” [/COLOR][/SIZE][/FONT]

    [SIZE=3][FONT=Arial][SIZE=2][COLOR=black]ก่อนมรณภาพ ๔ วัน หลวงพ่อได้สั่งว่า ท่านจะทำสมาธิ เจริญวิปัสสนาอยู่ในห้อง ๔ วัน ห้ามไม่ให้ใครมารบกวน ครั้นครบ ๔ วันตามที่ท่านสั่งแล้ว ลูกศิษย์ (คือ หลวงตาเผย) ได้เคาะประตูห้อง เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบ ลูกศิษย์จึงเข้าไปดู พบว่า หลวงพ่อครองผ้าไตรจีวรครบถ้วนเหมือนเวลาที่มีพิธีกรรมทางศาสนา มีตาลปัตรตั้งไว้ด้านขวา [/COLOR][/SIZE][/FONT][/SIZE][/SIZE]
    [SIZE=3][COLOR=#0000ff][SIZE=3]
    [SIZE=3][FONT=Arial][COLOR=#0000ff][COLOR=black]มีข้อความเขียนไว้ที่ผ้าสังฆาฏิว่า[/COLOR][/COLOR][/FONT][/SIZE][COLOR=#0000ff][SIZE=3][COLOR=black][FONT=Arial][SIZE=2] [B][COLOR=blue]“เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา”[/COLOR] [/B][/SIZE][/FONT]
    [SIZE=3][FONT=Arial][SIZE=2]ท่านนอนตะแคงขวาเหมือนหลับ สีหน้าสงบ ปราศจากความเศร้าหมอง ทุกคนก็ทราบทันทีว่า ท่านได้มรณภาพแล้ว [/SIZE][/FONT][/SIZE][/COLOR][/SIZE][SIZE=3][SIZE=3][SIZE=3][FONT=Arial][SIZE=2][COLOR=black]วันนั้นตรงกับวันศุกร์ที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๘[/COLOR][/SIZE][/FONT][/SIZE][/SIZE][/SIZE]

    [/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE]
    [SIZE=3][COLOR=#660000][SIZE=3][COLOR=#0000ff][SIZE=3][COLOR=#9900ff][SIZE=3][COLOR=#ff0000][SIZE=3][COLOR=#0000ff][SIZE=3][COLOR=#660000][SIZE=2][COLOR=blue]ที่มา [/COLOR][/SIZE][URL="http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=7472"][SIZE=2][COLOR=blue]http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=7472[/COLOR][/SIZE][/URL][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE]


    พระศรีอาริย์ตอนนี้อยู่บนสวรรค์หรือบนโลก

    [​IMG]

    NiNe<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_57818", true); </SCRIPT> สมาชิก

    ...อีกภาคหนึ่ง ของท่านในตอนนี้ ท่านเกิดในโลกนี้แล้ว .... แต่ ณ. ขณะนี้ยังไม่พร้อมที่จะประกาศตัว... ที่ประกาศตัวก่อนหน้านี้ทั้งหมดนั้น "ไม่ใช่" อย่างแน่นอน พันเปอร์เซ็นต์ เชื่อขนมกินได้เลย ...​

    ปล. ผมย้ำว่า "เป็นอีกภาคหนึ่ง"ของท่านนะครับ ส่วนองค์จริง ยังอยู่ที่สวรรค์ชั้นดุสิต แน่นอนครับ
    <!-- / message --><!-- sig -->
    ท่านจะเข้ามาช่วยอีกแรง ในการเผยแพร่ธรรมของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ให้ผ่านไปได้อีก +2,500 ปี เพื่อให้ครบ 5,000 ปี ครับ​

    108 man<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_58072", true); </SCRIPT> สมาชิก

    ที่ผมรู้เหมือน คุณ NiNe เปะ เลย ครับ ก็ว่าตามคุณ NiNe ละครับ ให้ลองคิดถึงเวลาบนโลก มันก็แค่นิดเดียว ของท่าน นะครับ เวลาต่างกัน ท่านลงมาไม่นานสำหรับท่าน ตอนนี้ท่านทำงานของท่านอยู่ ให้สังเกตุลักษณะ คนที่ทำแต่ประโยชน์ ไม่เคยหยุดนิ่ง และ ไม่พูดหรือทำให้ใครเดือดร้อน ไม่แสวงหาลาภยศ ไม่แสวงหาสมบัติ มีแต่ให้ และต้องไม่ ถกเถียงปัญหาธรรมะ เพราะไม่ใช่กิจของ พระโพธิฯ สรุปว่าเหมือนคุณ NiNe ว่านั่นแหละ​

    XP บุคคลทั่วไป

    " เมื่อสันดุสิตเทพบุตรหรือเมตไตรยโพธิสัตว์ เฝ้าตรวจตราโลกอยู่นั้น ก็ได้เห็นชาวพุทธที่ลำบากเพราะภัยสงครามพากันร่ำร้องหาตน ให้รู้สึกกรุณาแก่หมู่ชนยิ่งนัก จึงได้เรียกเหล่าเทพบุตรซึ่งจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าในระหว่างพุทธันดรที่จะถึงนี้และพระมหาสาวกทั้งหลายของตนเข้าประชุมในวิมานอันมีกำแพงล้อมรอบมิดชิด ชวนเทพบุตรเหล่านั้นจุติลงสู่โลกมนุษย์เพื่อบำเพ็ญบารมีด้วยกัน สันดุสิตจึงเริ่มเตรียมการณ์บนสวรรค์คือหาสันดุสิตองค์ใหม่.​

    ภารกิจในการบริหารเทพบริษัทนั้นไม่ใช่ว่าใครๆก็จะทำได้ สันดุสิตตรวจหาผู้ที่สมควรนั้นอยู่ก็ได้เล็งเห็น รามโพธิสัตว์ในร่างภิกษุนามว่า “เสือ”แห่งวัดไผ่สามกอ จ.ฉะเชิงเทรา ที่เพิ่งทอดทิ้งร่างขึ้นสู่ดาวดึงส์ไม่นานนัก สันดุสิตจึงใช้เทพบุตรผู้จะเป็นพุทธอุปัฏฐากของตน ลงไปเชิญรามโพธิสัตว์สู่ดุสิตเพื่อให้รับตำแหน่งบริหารเทพบริษัทแทนตน.


    ในท่ามกลางธรรมสภาของหมู่เทพเหล่าดุสิต สันดุสิตเทพบุตรได้กล่าวอ้างว่าตนปรารถนาจะเก็บตัว เพื่อเร่งปฏิบัติธรรมบ่มโพธิญาณในวิมาน ไม่สะดวกที่จะออกมาพบปะเทพทั้งหลาย ไม่สะดวกที่จะบริหารหมู่คณะ จึงได้เสนอให้เหล่าเทพบุตรเลือกสันดุสิตองค์ใหม่เพื่อทำหน้าที่แทนตน เหล่าดุสิตเทพล้วนเป็นเหล่าผู้เจริญ ย่อมเคารพมติของผู้นำว่าเป็นผู้มีทิฏฐิอันประกอบด้วยประโยชน์เกื้อกูลหมู่ชนยิ่งกว่าใคร จึงได้ขอให้สันดุสิตเป็นผู้เสนอให้ว่าใครควรจะทำหน้าที่นี้.​

    สันดุสิตกล่าวว่า “ท่านรามนี้ แม้จะเป็นผู้ใหม่ในดุสิตบริษัท แต่ก็เป็นผู้มีปัญญามาก เป็นพระโพธิสัตว์สุขุมาลชาติ เป็นผู้เที่ยงที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าต่อจากเรา ย่อมสามารถบริหารกิจต่างๆได้เสมอเราทีเดียว เราชอบใจให้ท่านรามทำหน้าที่นี้ หากพวกท่านชอบใจมติของเราก็ขอให้นิ่ง ถ้าไม่ชอบก็ขอให้กล่าวแย้งมาเถิด” เทพบริษัทล้วนนิ่งเงียบ สันดุสิตจึงประกาศว่า “แต่นี้ไป ขอให้พวกเราทั้งหลายทรงจำร่วมกันว่า ท่านรามคือสันดุสิตสำหรับพวกเรา”​

    เมื่อเมตไตรยโพธิสัตว์กลับสู่วิมานแล้ว จึงเนรมิตรูปเหมือนของตนขึ้น อธิษฐานว่า รูปนิมิตนี้จงประกอบกิจต่างๆเสมือนเรายังอยู่ดุสิต มีการแสดงธรรมสอนเหล่าเทพ การต้อนรับแขกจากที่อื่นเป็นต้น แม้เหล่าเทพที่จะจุติลงมาก็ล้วนทำทีเป็นว่าปฏิบัติธรรมอยู่ในวิมาน ไม่ออกมาคลุกคลีบ่อยๆกับเทพองค์อื่นๆ ท่านเหล่านั้นบางท่านเนรมิตรูปเหมือนของตนให้อยู่วิมาน แล้วก็พากันจุติลงสู่โลกมนุษย์ ซึ่ง โดยมากแล้ว ต่างก็ลงสู่ดินแดนภาคอีสานของประเทศไทย.​

    สำหรับเมตไตรยโพธิสัตว์นั้นก็ได้สั่งความให้คู่บารมีของตนพร้อมด้วยเทพธิดาผู้มีบุญมากบางนางจุติลงสู่อุตตรกุรุทวีป เมื่อตนกำหนดมารดาได้ว่าจะหยั่งลงสู่ครรภ์แม่เนียบเนียนแล้วก็จุติลงสู่ครรภ์มารดาในบัดนั้นเอง.​

    จิตของเราหยั่งลงสู่เซลล์อ่อนๆในท้องมารดา ความจำในชาติอดีตก็ยังคงมีอยู่มิลืมเลือนว่า ตนกำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน เสียงนกการเวกยังคงดังก้องในโสตประสาทอยู่ดุจแดนทิพย์ สายเลือดไหลเข้าและออก หล่อเลี้ยง เติมแต่งกายให้เติบใหญ่ สมบูรณ์ขึ้นเป็นลำดับๆ จนท้องมารดามิอาจจะรองรับกายเราได้ไหว กัมมัชชวาตะก็ปั่นป่วนขึ้น ตีทารกน้อยให้เท้าชี้ขึ้นฟ้า หน้าห้อยลงดิน บีบรัดรีดเร้าทารกให้โผล่พ้นออกมา แม้พระเมตไตรยโพธิสัตว์ก็มีอาการคล้ายอย่างนั้น.​

    กล้ามเนื้อของมารดาบีบรัดกะโหลกอ่อนๆของเราจนเจ็บปวดรวดร้าวปางตาย เหมือนเขาเอาคีมใหญ่ๆมาบีบคั้นจนระบม ยากจะทานทนไหว สติที่เคยมีมาตลอดกลับสูญสิ้นไปเพราะเวทนากล้าที่เกิดแก่ตน เราลืมเลือนสิ้นว่าเราเป็นใคร มาจากไหน ทำไมจึงมา มาทำอะไรกัน. แม้เมตไตรยโพธิสัตว์ก็มีอาการคล้ายกัน.​

    เมื่อทารกน้อยคลอดออกมาแล้ว เนียบเนียนผู้เป็นมารดาก็ประหวัดนึกถึงความฝันในค่ำคืนหนึ่งอันเงียบสงัดของเดือน ๘ เมื่อปี ๒๕๑๗ ว่า มีเทวดานำแหวนทองคำมาให้เธอ เธอจึงได้ตั้งชื่อเด็กชายผู้นี้ว่า “เทพ”ตามความฝันนั้น. "​

    **************************************************
    อืม น่าสนใจ เพราะ ท่านหลวงพ่อเสือนั้น มีตัวตนจริงๆ และเป็นประธานเทพในชั้นดุสิตในปัจจุบันนี้ด้วย อีกทั้งท่านได้มาสอนอภิธรรมในโลกมนุษย์ด้วย ถ้าท่านมีบุญคาดว่าจะคงเคยรู้จักกับหลวงพ่อเสือ
    <!-- / message -->

    หลวงพ่อบอกพระจักรพรรดิ์จะปรากฏตัวเมื่อไหร่ครับ ใครทราบบ้าง

    [​IMG]

    wawa<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1673001", true); </SCRIPT> สมาชิก

    เคยอ่านเจอหลวงพ่อบอกว่าพระศรีหรือจักรพรรดิ์จะปรากฏเมื่อไหร่ แต่กระทู้นี้หาไม่เจอ ใครมีข้อมูลช่วยบอกหน่อย

    เกษม<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1674183", true); </SCRIPT> สมาชิก

    ผมได้รับฟังมาจากเพื่อนนักปฎิบัติธรรมท่านหนึ่ง(ขอไม่เอ่ยนาม) กล่าวไว้ดังนี้:-

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน) ได้เคยบอกลูกศิษย์ที่ตึกรับแขก ซึ่งภรรยาของผมเมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษา ได้ช่วยงานอยู่ที่นั่น เราทราบดีว่าหลวงพ่อนั้นเป็น "พระสุปฏิปันโน" จึงไม่ต้องสงสัยคำพูดใดๆของท่าน

    เมื่อคราวหนึ่งท่านกล่าวกับคณะศิษย์ที่ตึกรับแขกว่า... ขณะนี้ "พระเจ้าจักรพรรดิ" ได้ลงมาเกิดในประเทศไทยแล้ว (พวกเราจึงเลิกสงสัยว่าทำไมประเทศไทยจึงเจริญรุ่งเรืองต่อไป) และเกิดเป็นคนหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ มีเชื้อทางฝั่งลาว ตอนเกิดนั้น มารดาท่านฝันว่าได้แหวนทองจากเทวดา และตั้งชื่อลูกของท่านว่า "เทพ"

    ที่มา http://palungjit.org/showthread.php?t=159728
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ธันวาคม 2008
  7. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    ' ^O^ เรื่องเล่า ซานุก ซานุก จัง ^O^ '
     
  8. nutt2522

    nutt2522 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +70
    อืม คิดเหมือนคุณพิทักษ์ 1 อยู่เหมือนกัน เพราะมันแทม่งๆอยู่นะ
     
  9. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,194
    ก่อนจะตัดสินคนอื่น ว่าผิดหรือถูกอย่างไร กรุณาตรวจสอบให้ดีก่อนนะครับ เพราะเรื่องที่ผมนำมาโพสต์นี้ เป็นเรื่องจริงที่ทาง อภิธรรมมูลนิธี ของ อ.บุญมี เมธางกูร ได้รวบรวมเอาไว้ให้พุทธศาสนิกชนได้ศึกษาความจริงของชีวิต ในเรื่อง การเวียนว่ายตายเกิดว่า นรก สรรค์ มีจริง บาป บุญ มีจริง

    อ.บญมี เมธางกูร ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจ เปิดสอนพระอภิธรรม ให้กับพระภิกษุ สามเณร และบุคคลทั่วไปได้ศึกษาเรียนรู้มานานกว่า 50 ปีแล้ว โดยมีหลวงพ่อเสือ วัดไผ่สามกอ ซึ่งในตอนนี้เป็นเทพอยู่ที่สวรรค์ชั้นดุสิต ได้เมตตาลงมาสอนพระอภิธรรมในโลกมนุษย์ ที่อภิธรรมมูลนิธิแห่งนี้ด้วยครับ

    ศึกษาและเรียนรู้ผลงาน อภิธรรมมูนิธิ ของ อ.บุญมี เมธางกูร ได้ที่ลิ้งค์ข้างล่างนี้ครับ

    http://www.abhidhamonline.org/index1.htm
     
  10. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,194
    ก่อนจะกล่าววาจาปรามาส ผู้ใดควรศึกษาพระไตรปิฏก ให้กระจ่างแจ้งก่อนนะครับ สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา นั้นแบ่งแยกออกได้เป็นหลายชั้น มีทั้งเทวดาที่อยู่กับพื้นดิน เช่น รุกเทวา ภูมิเทวา ซึ่งมีทั้งที่มีบุญน้อยและมีบุญมาก แตกต่างกันไป และยังมีที่อยู่ในอากาศ เรียกว่า อากาศเทวา มีวิมานสวยสดงดงามลอยอยู่ในอากาศใกล้กับพื้นโลก ท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 ก็อยู่ที่ชั้นจาตุมหาราชิกา แต่อยู่ในระดับสูงสุดของชั้นนี้ครับ
     
  11. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,194
    เทวภูมิชั้นที่หนึ่ง ชื่อ จตุมหาราชิกาภูมิ

    หมายถึง ภูมิที่มีเทวดา ๔ องค์เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ชื่อว่าจตุมหาราชา (จตุ แปลว่า ๔) อยู่ประจำทั้ง ๔ ของภูเขาสิเนรุ คือ

    ๑. ท้าวธตรัฏฐะ อยู่ทิศตะวันออก ปกครองคันธัพพเทวดาทั้งหมด
    ๒. ท้าววิรุฬหกะ อยู่ทิศใต้ ปกครองกุมภัณฑเทวดา (เทวดาท้องใหญ่โต) ทั้งหมด
    ๓. ท้าววิรูปักขะอยู่ทิศตะวันตก ปกครองนาคเทวดาทั้งหมด
    ๔. ท้าวกุเวระ หรือ ท้าวเวสสุวัณ อยู่ทิศเหนือ ปกครองยักขเทวดาทั้งหมด

    ที่อยู่ของเทวดาทั้ง ๔ นี้ อยู่ตรงกลางของภูเขาสิเนรุ ในระดับเดียวกับยอดเขายุคันธร อันเป็นภูเขาล้อมภูเขาสิเนรุชั้นแรก

    ท้าวมหาราชทั้ง ๔ องค์นี้ เป็นผู้รักษามนุษยโลกด้วย จึงเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า ท้าวจตุโลกบาล เทวดาที่บังเกิดอยู่ในจตุมหาราชิกาทั้งหมด เป็นบริวารอยู่ภายใต้อำนาจการปกครอง และมีหน้าที่เป็นผู้ปฏิบัติรับใช้ท้าวมหาราชทั้ง ๔
    บริวารที่ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ปกครอง ตั้งอยู่ตอนกลางของเขาสิเนรุ เสมอกับยอดเขายุคันธร อาณาเขตแผ่กว้างโดยรอบจรดขอบจักรวาล และภูเขาสัตตบรรพ์ ลงมาจนถึงพื้นแผ่นดินที่มนุษย์อยู่ ตลอดทั่วมหาสมุทรทั้งหมด

    เทวดาประเภทต่างๆ ที่อยู่ภายใต้การปกครองของท้าวจตุมหาราช คือ
    เทวดาที่อาศัยอยู่ตามภูเขา (ปัพพตัฏฐเทวดา)
    เทวดาที่อยู่ในอากาศ (อากาสัฏฐเทวดา)
    เทวดาที่ตายเพราะมัวเพลิดเพลินในการเล่น (ขิฑฑาปโทสิกเทวดา) เล่นกีฬา
    จนลืมบริโภคอาหาร
    เทวดาที่ตายเพราะความโกรธ (มโนปโทสิกเทวดา)
    เทวดาที่ทำให้อากาศเย็นเกิดขึ้น (สีตวลาหกเทวดา)
    เทวดาที่ทำให้อากาศร้อนเกิดขึ้น (อุณหวลาหกเทวดา)
    เทวดาที่อยู่ในพระจันทร์ (จันทิมาเทวปุตตเทวดา)
    เทวดาที่อยู่ในพระอาทิตย์ (สุริยเทวปุตตเทวดา)

    ถ้าแบ่งเทวดาชั้นจตุมหาราชิกา ออกตามสถานที่อยู่อาศัย แบ่งได้ ๓ ประเภท

    ๑. ภุมมัฏฐเทวดาอยู่บนพื้นดิน
    ๒. รุกขัฏฐเทวดาอยู่บนต้นไม้
    ๓. อากาสัฏฐเทวดาอยู่ในอากาศ
    <O:p</O:p</O:p
    ภุมมัฏฐเทวดา ได้แก่เทวดาที่อาศัยอยู่ตามสถานที่ต่างๆ เช่น ภูเขา แม่น้ำ มหาสมุทร ใต้ดิน บ้าน เจดีย์ ศาลา ซุ้มประตู เป็นต้น เทวดาบางองค์ก็มีวิมานของตน ณ ที่นั้นๆ โดยเฉพาะ องค์ใดไม่มี ก็ถือเอาสถานที่ ที่ตนอาศัยอยู่ เช่น วัด บ้าน ภูเขา มหาสมุทร แม่น้ำ นั้น เป็นวิมานของตน
    <O:p</O:p</O:p
    รุกขัฏฐเทวดา มี ๒ จำพวก พวกหนึ่งมีวิมานอยู่บนต้นไม้ อีกพวกหนึ่งอยู่บนต้นไม้แต่ไม่มีวิมาน รุกขวิมานเป็นวิมานที่ตั้งอยู่บนยอดของต้นไม้ สาขัฏฐกวิมานเป็นวิมานที่อาศัยตั้งอยู่บนสาขาของต้นไม้ทั่วไป
    <O:p</O:p</O:p
    อากาสัฏฐเทวดา เทวดาจำพวกนี้มีวิมาน เป็นที่อยู่ของตนเองโดยเฉพาะ เช่น พระอาทิตย์ พระจันทร์ และดาวทั้งหลาย ทั้งภายในภายนอกวิมานประกอบไปด้วย รัตนะ ๗ อย่าง ซึ่งบังเกิดขึ้นด้วยอำนาจกุศลกรรม คือ แก้วมรกต แก้วมุกดา แก้วประพาฬ แก้วมณี แก้ววิเชียร เงิน ทอง แต่ละวิมานประกอบด้วยรัตนะไม่เท่ากัน บางวิมานมีเพียง ๑-๒ รัตนะ บางวิมานก็มีมาก สุดแต่กุศลที่ตนสร้างเอาไว้ วิมานเหล่านี้ลอยหมุนเวียนไปรอบๆ เขาสิเนรุอยู่เป็นนิจ
    ในบางแห่ง จัดเอารุกขัฏฐเทวดารวมไว้เป็นพวกเดียวกับภุมมัฏฐเทวดา
    </O:p
    เทวดาชั้นจตุมหาราชิกาที่มีใจโหดร้าย มีอยู่ ๔ จำพวก คือ

    ๑. เทวดายักษ์ ทั้งชาย หญิง (ยักโข ยักขินี)
    ๒. เทวดาคันธัพพะ ชาย หญิง (คันธัพโพ คันธัพพี)
    ๓. เทวดากุมภัณฑ์ ชาย หญิง (กุมภัณโฑ กุมภัณฑี)
    ๔. เทวดานาค ชาย หญิง (นาโค นาคี)
    <O:p</O:p</O:p
    ยักษ์ มี ๒ จำพวก จำพวกหนึ่งเป็นเทวดายักษ์ มีรูปร่างสวยงาม มีรัศมี อีกพวกหนึ่งเป็นดิรัจฉานยักษ์ รูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว ไม่มีรัศมี พวกเทวดายักษ์นั้น บางทีมีความพอใจในการเบียดเบียนสัตว์นรกให้เดือดร้อน เมื่อมีจิตคิดอยากเบียดเบียนขึ้นมาเมื่อใด ก็จะเนรมิตตนเองเป็นนายนิรยบาลบ้าง เป็นแร้งยักษ์ กายักษ์ สุนัขยักษ์ บ้าง เที่ยวลงโทษหรือไล่จับสัตว์นรกกิน เทวดาพวกนี้อยู่ในความปกครองของท้าวกุเวระ หรือท้าวเวสสุวัณ

    คันธัพพเทวดา ได้แก่เทวดาที่ถือกำเนิดอยู่ในต้นไม้ที่มีกลิ่นหอม และจะอาศัยอยู่ในเนื้อไม้ตลอดไป แม้ต้นไม้นั้นจะผุพัง โค่นล้ม หรือถูกคนตัดเอาไปทำการก่อสร้างเป็นสิ่งต่างๆ คันธัพพเทวดาเหล่านี้ก็ไม่ยอมละทิ้งที่อยู่ของตน คงอาศัยอยู่กับไม้นั้นเรื่อยๆ ไป บางคราวยังแสดงตนให้มนุษย์เห็น เรียกกันว่า นางไม้ ถ้าเอาไม้นั้นไปทำเรือก็เรียกว่า แม่ย่านางเรือ เทวดาพวกนี้มีฤทธิ์เดชอยู่บ้าง เมื่อไม่พอใจอาจทำให้เกิดอุปสรรค รบกวนผู้อยู่อาศัย เกิดการเจ็บป่วย หรือทำอันตรายทรัพย์สมบัติให้พินาศ ถ้าพอใจก็ช่วยดูแลรักษาคุ้มครองให้คุณประโยชน์

    คันธัพพเทวดาเกิดในต้นไม้ มีกลิ่นหอม มี ๑๐ จำพวก เรียกว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ธันวาคม 2008
  12. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,194
    เทวภูมิชั้นที่สอง ตาวติงสา(ดาวดึงส์)
    <O:p</O:p</O:p

    คำว่า ตาวติงสะ มีความหมาย ๒ นัย

    นัยที่หนึ่ง ตาวตึงสะ แปลว่า สามสิบสาม หมายความว่าเป็นที่เกิดแห่งคน ๓๓ คน คือหมู่คณะ ๓๓ คนของมาฆะพระอินทร์ เมื่อครั้งเกิดเป็นมาฆะมานพอยู่ในมนุษยโลก ร่วมกันประกอบกุศลกรรมต่างๆ
    <O:p</O:p
    นัยที่สอง ตาวตึงสะ หมายถึง พื้นแผ่นดินที่ปรากฏขึ้นในโลกเป็นครั้งแรก ก่อนพื้นแผ่นดินอื่นๆ เรียกชื่อพื้นแผ่นดินนั้นว่า ตาวตึงสะ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    โดยนัยที่หนึ่ง มีประวัติความเป็นมาโดยสังเขป ดังนี้
    <O:p</O:p
    ในอดีตกาลนานมาแล้ว ณ โลกมนุษย์นี้ สมัยสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรายังไม่อุบัติขึ้น มีหมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อ มจลคาม มีคนอยู่คณะหนึ่งจำนวน ๓๓ คน เป็นชายล้วน ต่างเป็นมิตรสหายอันสนิทสนมกันมาก คนคณะนี้เรียกว่า คณะสหบุญญการี แปลว่า คณะทำบุญร่วมกัน ผู้เป็นหัวหน้าชื่อ มาฆมานพ (มา-คะ-มา-นบ) มีภรรยา ๔ คน บุคคลคณะนี้ชอบร่วมใจกันทำสาธารณกุศลอยู่เสมอ เช่น ทำความสะอาดถนนหนทาง ที่ใดชำรุดก็ช่วยกันซ่อมแซมปฏิสังขรณ์จนเรียบร้อย เพื่อให้ผู้คนอาศัยสัญจรไปมาโดยสะดวก ตั้งโรงเก็บน้ำให้ประชาชน

    ทั้งหลายได้ใช้ สร้างศาลาขึ้นที่หนทางสี่แพร่ง เพื่อให้คนที่ผ่านไปมาได้พักอาศัย และประกอบกุศลกรรมอื่นๆ อีก ครั้นเมื่อบุคคลเหล่านี้สิ้นชีวิตลง กุศลกรรมส่งผลให้ไปบังเกิดในเทวโลกชั้นที่ ๒ มาฆะมานพบังเกิดเป็นพระอินทร์ อีก ๓๒ คนบังเกิดเป็นเทวดาชั้นผู้ใหญ่ ด้วยเหตุนี้จึงเรียกชื่อภูมินี้ว่า เตตะตึสะ (อ่านว่า เต-ตะ-ติง-สะ) แปลว่า ๓๓ แล้วแปลงเป็น ตาวตึงสา
    <O:p</O:p</O:p
    โดยนัยที่สอง หมายถึงพื้นแผ่นดินของภูมินี้ ปรากฏขึ้นในโลกเป็นครั้งแรกก่อนพื้นแผ่นดินอื่นๆ คือ
    <O:p</O:p
    ในยุคที่จักรวาลหรือเรียกให้เข้าใจโดยง่ายว่า โลกที่ถูกทำลายจนหมดสิ้นจนมีลักษณะที่เหลืออยู่คือ ความว่างเปล่า ต่อจากนั้นจึงมีการสร้างโลกขึ้นใหม่ โดยมีฝนตกลงมาอย่างหนักในอากาศอันว่างเปล่านั้น ในชั้นแรกน้ำฝนที่ตกรวมตัวกันอยู่ในอากาศนั้นในสะอาด ต่อมาเป็นเวลานานเข้าๆ น้ำนั้นค่อยเกิดเป็นตะกอนขุ่นข้นขึ้นทุกที ครั้นแล้วค่อยแห้งเข้าจนกลายเป็นก้อนดิน เป็นพื้นดินโผล่ขึ้น ที่ที่โผล่เกิดขึ้นเป็นแห่งแรกนี้คือ ยอดเขาสิเนรุ ซึ่งเป็นที่อยู่ของเทวภูมิชั้นที่ ๒
    <O:p</O:p
    ต่อจากนั้นจึงงวดลงมาเรื่อยๆ จนถึงพื้นแผ่นดินที่เป็นโลกมนุษย์ จากยอดเขาสิเนรุลงมาถึงตอนกลางของภูเขา ซึ่งเป็นที่อยู่ของเทวภูมิชั้นที่ ๑ จาตุมหาราชิกา มีระยะห่างกัน ๔๒,๐๐๐ โยชน์ จากสวรรค์ชั้นที่หนึ่งนั้นลงมาจนถึงโลกมนุษย์ มีระยะห่างเท่ากัน
    <O:p</O:p
    ส่วนเทวภูมิชั้นที่ ๓ ขึ้นไปจนถึงชั้นที่ ๖ อยู่สูงจากยอดเขาสิเนรุขึ้นไป มีระยะห่างเท่าๆกัน คือ ชั้นละ ๔๒,๐๐๐ โยชน์ ตามลำดับ
    <O:p</O:p
    บนยอดภูเขาเป็นที่ราบ พื้นที่เป็นวงกลม เทวภูมิชั้นนี้รวมทั้งอาณาเขตที่อยู่ในอากาศด้วยแล้ว มีลักษณะกลม กว้าง ยาว สูง หรือเส้นผ่าศูนย์กลาง ๘๔,๐๐๐ โยชน์ ตรงกลางพื้นที่มีพระนครชื่อ สุทัสสนะ มีความกว้าง ๑๐,๐๐๐ โยชน์ มีกำแพงล้อมรอบ ๔ ด้าน ด้านหนึ่งๆ มีประตู ๒๕๐ ประตู รวม ๔ ด้านมี ๑,๐๐๐ ประตู
    <O:p</O:p
    พื้นแผ่นดินบนยอดเขาสิเนรุ ไม่เหมือนในโลกมนุษย์ สำเร็จไปด้วยรัตนะทั้ง ๗ ตามไหล่เขาทั้ง ๔ ทิศ ก็เป็นรัตนะ ๔ อย่างดังกล่าวมาแล้ว แสงรัตนะที่ไหล่เขาฉายส่องจับพื้นมหาสมุทร ท้องฟ้า อากาศ ตลอดจนต้นไม้ต่างๆ เป็นสีต่างกันออกไป คือ ด้านทิศเหนือไหล่เขาเป็นทองคำ น้ำในมหาสมุทร ท้องฟ้า ต้นไม้ ใบไม้ในอุตตรกุรุทวีป จึงเป็นสีทอง ปุพพวิเทหทวีปอยู่ทางทิศตะวันออก สะท้อนแสงเป็นสีเงิน เพราะไหล่เขาสิเนรุทิศนี้เป็นเงิน ชมพูทวีปอยู่ทางทิศใต้ ตรงกับไหล่เขาสิเนรุที่เป็นมรกต โลกมนุษย์เราจึงได้รับแสงสะท้อนสีเขียว อปรโคยานทวีปอยู่ทางทิศตะวันตก จึงสะท้อนออกเป็นสีแก้วผลึก เพราะไหล่เขาสิเนรุทิศนี้เป็นแก้วผลึก
    <O:p</O:p
    เทวดาที่อยู่บนชั้นดาวดึงส์มีอยู่ ๒ พวก คือ ภุมมัฏฐเทวดา และอากาสัฏฐเทวดา
    <O:p</O:p
    ภุมมัฏฐเทวดา ได้แก่ พวกที่มีวิมานตั้งอยู่บนพื้นดินของภพ เช่นพระอินทร์ และเทวดาผู้ใหญ่ ๓๒ องค์ และบริวาร รวมทั้งเทวะอสุรา ๕ จำพวก ที่อยู่ใต้เขาสิเนรุด้วย
    <O:p</O:p
    ส่วนอากาสัฏฐเทวดา ได้แก่ เทวดาที่มีวิมานลอยกลางอากาศ ตั้งแต่ยอดเขาสิเนรุตลอดไป จนจรดขอบเขาจักรวาล บางวิมานก็เป็นวิมานว่าง เทวดาที่เป็นเจ้าของยังไม่มาอยู่<O:p</O:p

    ปราสาทเวชยันต์ อันที่อยู่ของพระอินทร์ตั้งอยู่ตรงกลางในพระนครสุทัสสนะ มีสวนดอกไม้ เป็นสถานที่พักผ่อนรื่นเริงของเทวดาทั้งหลายอยู่ ๔ แห่ง คือ<O:p></O:p>
    ทิศตะวันออก ชื่อ สวนนันทวัน กว้าง ๑,๐๐๐ โยชน์ ภายในสวนมีสระโบกขรณีอยู่ ๒ สระ ชื่อ มหานันทา และจูฬนันทา รอบบริเวณสระ และขอบสระปูลาดด้วยแผ่นศิลา เป็นที่สำหรับนั่งพักผ่อน
    <O:p</O:p
    ทิศตะวันตก ชื่อ สวนจิตรลดา กว้าง ๕๐๐ โยชน์ มีสระ ๒ แห่งชื่อ วิจิตรา และ จูฬจิตรา<O:p</O:p
    ทิศเหนือ ชื่อ สวนมิสสกวัน กว้าง ๕๐๐ โยชน์ มีสระชื่อ ธัมมา และ สุธัมมา<O:p</O:p
    ทิศใต้ ชื่อ สวนผารุสกวัน กว้าง ๗๐๐ โยชน์ มีสระโบกขรณีชื่อ ภัททา และ สุภัททา<O:p</O:p
    ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มีสวน ๒ แห่ง ชื่อ สวนปุณฑริกะ และ สวนมหาวัน

    ที่สวนปุณฑริกะมีต้นปาริฉัตร หรือปริชาต สูง ๑๐๐ โยชน์ กิ่งก้านสาขาแผ่กว้าง ๕๐ โยชน์ เมื่อถึงคราวมีดอก ส่งกลิ่นไปได้ไกล ๑๐๐ โยชน์ ภายใต้ต้นปาริฉัตรมีแท่นปัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ กว้าง ๕๐ โยชน์ ยาว ๖๐ โยชน์ หนา ๑๕ โยชน์ มีสีแดงเหมือนดอกชะบา พื้นแท่นมีลักษณะหยุ่นนิ่ม เวลานั่งยุบตัวลงได้ เวลาลุกขึ้นเป็นปกติ

    <O:p</O:pส่วนสวนมหาวันเป็นที่ประทับสำราญพระอิริยาบถของท้าวสักกเทวราช สวนนี้กว้าง ๗๐๐ โยชน์ มีสระโบกขรณีกว้าง ๑ โยชน์ ชื่อ สุนันทา
    <O:p</O:p
    ในสวนปุณฑริกะ ยังมีศาลาเป็นที่ประชุมฟังธรรม ชื่อ ศาลาสุธัมมา มีเจดีย์แก้วมรกต ที่เรียกกันว่า พระจูฬามณี สูง ๑๐๐ โยชน์ ภายในพระเจดีย์บรรจุพระเขี้ยวแก้วข้างขวา ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระเกศาที่พระองค์ทรงตัดทิ้งขณะเสด็จออกบรรพชา

    อารมณ์อันเป็นที่น่าเพลิดเพลินยินดี (อิฏฐารมณ์) ต่างๆ ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีดังนี้คือ
    <O:p</O:p
    เทพยดาทั้งหลายที่มาบังเกิดในสวรรค์ชั้นที่ ๒ นี้ แต่ละองค์ล้วนมีทิพยสมบัติ อันเป็นผลที่ได้รับมาจากกุศลกรรมในอดีตภพ อารมณ์ต่างๆ ที่ได้รับ จึงล้วนแต่ดีงามทั้งสิ้น ไม่มีความแก่ชราปรากฏ เทพบุตรจะมีรูปร่างลักษณะอยู่ในวัยที่มีอายุราว ๒๐ ปี เทพธิดาจะดูราวอายุ ๑๖ ปี ทุกๆ องค์ความเจ็บไข้ได้ป่วยไม่มี ความแก่ชรา เช่นผมหงอก ฟันหัก ตามัว หูตึง เนื้อหนังเหี่ยวย่น เหล่านี้ไม่มี เห็นแต่ความเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ตลอดกาล ตราบจนเวลาจุติ ร่างจะหายไป ไม่
    มีซากศพเหลืออยู่ให้เห็น ทั้งนี้เพราะอาหารเป็นสุธาโภชน์ คือ อาหารทิพย์ เป็นอาหารละเอียด ร่างกายจึงไม่มีอุจจาระ ปัสสาวะ เทพธิดาไม่มีประจำเดือน ไม่ต้องตั้งครรภ์
    <O:p</O:p
    การมีบุตรธิดา มิใช่เหมือนมนุษย์ เกิดแล้วโตทันที (โอปปาติกะ) บนตักแห่งเทวดา ส่วนนางฟ้าที่เกิดเป็นบาทบริจาริกา บังเกิดขึ้นในที่นอน เทวดาที่เกิดเป็นผู้รับใช้หรือบริวารจะเกิดภายในวิมาน เทวดานางฟ้าที่เกิดเป็นบริวารของเจ้าของวิมานใดแล้ว เทพบุตรเจ้าของวิมานอื่นๆ จะมาวิวาทแย่งชิงเอาไปมิได้เลย หากบังเกิดขึ้นภายนอกระหว่างเขตแดนติดต่อกันแล้ว ก็ถือว่าอยู่ในเขตวิมานใดเป็นบริวารของวิมานนั้น ถ้าระยะทางห่างเท่ากัน ให้ดูว่าหันหน้าไปทางวิมานใด ถ้ายังตัดสินไม่ยุติ จะเป็นหน้าที่ของท้าวสักกเทวราชคือพระอินทร์ เป็นผู้ตัดสิน บางทีตัดสินไม่ได้ พระอินทร์จึงทรงริบเอาเสียเอง
    <O:p</O:p
    เทวดาบางองค์มีนางฟ้าเป็นบริจาริกา ๕๐๐ บ้าง ๗๐๐ บ้าง ๑,๐๐๐ บ้าง เทวดาบางองค์ไม่มีวิมานอยู่ ที่เป็นมิตรสหายกันก็ไปมาหาสู่เยี่ยมเยียนซึ่งกันและกัน เรื่องคู่ครองบางองค์ก็มี บางองค์ก็ไม่มี มีการรักใคร่ชอบพอกันเช่นเมืองมนุษย์ และมีที่รักที่ไม่สมหวังเพราะอีกฝ่ายไม่รักตน แต่ไปรักผู้อื่นก็มี เช่น เทพบุตรนักดนตรีเอกของสวรรค์ชั้นนี้ชื่อ ปัญจสีขะ ชำนาญในการดีดพิณที่ชื่อว่า เพลุวะ และชำนาญการขับร้อง เกิดพอใจรักใคร่เทพธิดาชื่อ สูริยวัจฉสา ซึ่งเป็นธิดาของเทวดาผู้ใหญ่องค์หนึ่งชื่อ ติมพรุเทพบุตร แต่นางเทพธิดาสูริยวัจฉสามิได้รักตอบ เพราะนางรักใคร่ชอบพออยู่กับ สิขันติเทพบุตร ซึ่งเป็นบุตรของมาตุลีเทพบุตร
    <O:p</O:p
    แต่เนื่องจากพระอินทร์ต้องการเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บังเอิญเป็นเวลาพระพุทธองค์ทรงอยู่ในสมาบัติ ปัญจสีขะเทพบุตรได้ดีดพิณและขับร้องอย่างไพเราะ พระพุทธเจ้าทรงออกจากสมาบัติและตรัสชมเชย พระอินทร์ถือว่าปัญจสีขะทำคุณประโยชน์ให้แก่พระองค์ ทรงตัดสินยกนางสูริยวัจฉสาเทพธิดาให้ปัญจสีขะ ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า ในภูมินี้มีความสมหวัง ความผิดหวังเรื่องของความรักคล้ายเมืองมนุษย์ เทพธิดาบางองค์มีวิมานอยู่โดยเฉพาะของตนแล้ว แต่ขาดคู่ครอง ทำให้เบื่อหน่ายความเป็นอยู่ของตนก็มี ส่วนที่มีคู่ครองก็พากันไปหาความสุขสำราญในสวนทั้ง ๔ แห่งพร้อมด้วยบริวาร
    <O:p</O:p</O:p
    ความแตกต่างกันในเรื่องทิพยสมบัติ ทำให้เทพบุตรเทพธิดาบางองค์ไม่มีความสุขเต็มที่ ทั้งนี้เพราะกุศลกรรมที่สร้างสมไว้ไม่เท่ากัน ทำให้ความสวยงามประณีตของสมบัติ เครื่องใช้ เครื่องประดับร่างกาย และวิมาน รัศมีที่ออกมาจากร่างกายและวิมาน ขนาดของวิมาน ฯลฯ ยิ่งหย่อนไม่เท่ากัน รัศมีของบางองค์สว่าง ๑๒ โยชน์ แต่บางองค์สว่างถึง ๑๐๐ โยชน์<O:p</O:p

    สถานที่ต่างๆ ในดาวดึงส์นี้ ที่นับว่าให้ความสุขรื่นรมย์ได้มากที่สุด คือที่สวนนันทวัน ถ้าเทพบุตรเทพธิดาองค์ใดมีทุกข์โศก เช่นกลัวตายก็ดี เมื่อเข้าไปในสวนนี้แล้วจะหายทุกข์เสียสิ้น สวนลักษณะดังนี้มีอยู่ในเทวโลกทุกชั้น และจะเรียกชื่อเดียวกันว่า สวนนันทวัน แปลว่า สถานที่อันเป็นที่น่ายินดีเหลือเกิน
    <O:p</O:p
    ในสวนทั้ง ๖ แห่งในสวรรค์ชั้นนี้ มีต้นไม้ทิพย์อยู่ทุกสวนๆ ละ ๑,๐๐๐ ต้น เช่นที่จิตรลดา มีต้นไม้เครือเถาชื่อ อาสาวตี ๑,๐๐๐ ปีของชั้นดาวดึงส์ จึงจะมีผลครั้งหนึ่ง ข้างในมีน้ำเรียกว่าน้ำทิพย์ คือสุราของพวกเทวดา ผู้ใดดื่มแล้วจะเกิดความมึนเมา ทำให้หลับไปถึง ๔ เดือน จึงจะสร่างเมา
    <O:p</O:p
    เทวดาทั้ง ๖ ชั้นนี้ ชั้นที่อยู่สูงกว่าร่างกายละเอียดกว่าชั้นต้นๆ ดังนั้นเทวดาที่อยู่ชั้นต่ำกว่า จึงไม่สามารถมองเห็นเทวดาชั้นสูง แต่ชั้นสูงสามารถมองเห็นชั้นต่ำกว่าได้ เช่นเดียวกับที่มนุษย์มองไม่เห็นเทวดา แต่เทวดามองเห็นมนุษย์
    <O:p</O:p
    ร่างกายของมนุษย์บริโภคอาหารหยาบ ทำให้มีเหงื่อไคล อุจจาระ ปัสสาวะ สิ่งปฏิกูลต่างๆ ไหลออกจากทวารทั้ง ๙ เทวดาแม้ได้กลิ่นมนุษย์ ถึงจะอยู่ไกลห่างถึง ๑๐๐ โยชน์ ก็จะรู้สึกเหมือนได้กลิ่นสุนัขเน่า ไม่ว่ามนุษย์จะเป็นเช่นพระเจ้าจักรพรรดิ สรงน้ำวันละ ๒ ครั้ง เปลี่ยน ฉลองพระองค์ ๓ ครั้ง และทรงลูบไล้วรกายด้วยสุคนธรสอันดีเลิศเพียงใด ก็ยังมีกลิ่นเหมือนสุนัขเน่าเช่นเดิม
    <O:p</O:p</O:p

    เรื่องของพระอินทร์ (หรือท้าวสักกะ หรือท้าวโกสีย์อมรินทร์)
    <O:p</O:p

    คำว่าสักกะ มีความหมายสองนัย คือ

    นัยที่หนึ่งเรียกว่าท้าวสักกะ เพราะมีการบริจาคทานโดยเคารพ
    <O:p</O:p
    นัยที่สองเรียกว่าท้าวสักกะ เพราะสามารถเอาชัยชนะต่อพวกอสุราได้
    </O:p
    ท้าวสักกะเป็นผู้ปกครองเทวดาทั้งชั้นดาวดึงส์ และชั้นจตุมหาราชิกา ปราสาททองของพระอินทร์อยู่ที่ดาวดึงส์ สูง ๑,๐๐๐ โยชน์ มีเสาธงปักอยู่โดยรอบ เสาสูง ๓๐๐ โยชน์ ประดับ

    ประดับด้วยรัตนะ ๗ ราชรถทรงชื่อ เวชยันตร์ เช่นเดียวกับชื่อปราสาท ตอนหน้าของราชรถ ยาว ๕๐ โยชน์ เป็นที่นั่งของสารถี คือมาตุลีเทพบุตร ตอนกลางยาว ๕๐ โยชน์ เป็นที่ประทับของท้าวโกสีย์ ตอนท้ายยาว ๕๐ โยชน์ รวมความยาวของราชรถ ๑๕๐ โยชน์ ความกว้าง ๕๐ โยชน์ วัดโดยรอบตัวราชรถ ๔๐๐ โยชน์ บัลลังก์ที่ประทับภายในราชรถสำเร็จด้วยรัตนะทั้ง ๗ สูง ๑ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ กั้นด้วยเศวตฉัตรใหญ่ ๓ โยชน์ มีสินธพอาชาไนยพร้อมด้วยเครื่องประดับ สำหรับเทียมราชรถ ๑,๐๐๐ ตัว ซึ่งไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน แต่เป็นเทวดาในชั้นดาวดึงส์นั้นเอง เนรมิตกายขึ้น

    บางครั้งท้าวสักกะก็ทรงช้างเป็นพาหนะ เป็นช้างเนรมิตกายของเทวดาเช่นกัน ชื่อเอราวัณ มีร่างกายใหญ่โต ๑๕๐ โยชน์ มีเศียร ๓๓ เศียร เศียรหนึ่งมี ๗ งา งาหนึ่งๆ ยาว ๕๐ โยชน์ งาข้างหนึ่งมีสระโบกขรณี ๗ สระ สระหนึ่งๆ มีกอบัว ๗ กอ บัวกอหนึ่งๆ มีดอกบัว ๗ ดอก ดอกหนึ่งๆ มี ๗ กลีบ กลีบหนึ่งๆ มีเทพธิดา ๗ นาง รวมเป็นเทพธิดา ๓,๘๘๒,๔๑๗ นาง กำลังฟ้อนรำถวายท้าวสักกเทวราช ทอดพระเนตร

    บนกระพองหัวช้างเอราวัณ หัวกลาง มีมณฑปสูง ๑๒ โยชน์ กว้าง ๕๐ โยชน์ ในมณฑปมีบัลลังก์แก้วมณี กว้าง ๑ โยชน์ เป็นที่ประทับของท้าวสักกะ รอบๆ มณฑปมีธงปักไว้ในระยะชิดกัน ธงผืนหนึ่งยาว ๑ โยชน์ มีกระดิ่งใบโพธิ์แขวนไว้ที่ปลายคันธง ทุกๆ คัน เวลาต้องลมปรากฏเหมือนเสียงพิณดังกังวาน
    ท้าวสักกเทวราช มีจักษุที่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ไกลกว่าเทวดาอื่นๆ เหมือนมีดวงตา ๑,๐๐๐ ดวง จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ท้าวสหัสสนัย (สหัสสะ แปลว่า ๑,๐๐๐ นัย แปลว่าตา)

    คุณธรรมของผู้ที่จะเป็นพระอินทร์ได้ ต้องสร้างกุศลกรรมดังนี้

    - เลี้ยงบิดามารดา
    - เคารพต่อผู้ใหญ่ในตระกูล
    - กล่าววาจาอ่อนหวาน
    - ไม่กล่าวคำส่อเสียด
    - ไม่มีความตระหนี่
    - มีความสัตย์
    - ระงับความโกรธไว้ได้
    คุณธรรม ๗ ประการนี้ ปฏิบัติได้ตลอดชีวิต
    <O:p</O:p</O:p
    หน้าที่ที่สำคัญประการหนึ่งของท้าวสักกเทวราช คือการแสดงธรรมให้เทพบุตรเทพธิดาฟัง ในศาลาสุธัมมา ในเวลาที่พรหมชื่อสุนังกุมาระ ไม่ได้ลงมาแสดง และเทพบุตรที่มีความรู้ทางธรรมดี ก็ไม่ได้แสดง

    ศาลาสุธัมมา ตั้งอยู่ในสวนปุณฑริกะ อันเป็นสวนพิเศษ มีปูชนียสถานสำคัญต่างๆ ตั้งอยู่ เช่นพระจุฬามณี พระแท่นปัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เคยเสด็จขึ้นไปแสดงพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ โปรดพุทธมารดา
    ศาลาสุธัมมา เป็นสถานที่ที่เทพบุตรเทพธิดาทั้งหลาย ที่สนใจในธรรม พากันมาประชุมฟังธรรมและสนทนาธรรม โดยมีท้าวสักกเทวราชเป็นประธาน ศาลานี้สูง ๕๐๐ โยชน์ กว้าง ๓๐๐ โยชน์ วัดโดยรอบได้ ๑,๒๐๐ โยชน์ สำเร็จด้วยรัตนะทั้ง ๗ พื้นศาลาเป็นแก้วผลึก เสาเป็นทอง หลังคามุงด้วยแก้วอินทนิล บนเพดานและตามเสา สำเร็จด้วยแก้วประพาฬ เครื่องบนมี ขื่อ คาน ระแนง หลังคา เพดาน เป็นรัตนะ ๗ ช่อฟ้าสำเร็จด้วยเงิน ตรงกลางศาลามีธรรมาสน์ สำหรับผู้นั่งแสดงธรรม สูง ๑ โยชน์ สำเร็จด้วยรัตนะทั้ง ๗ เช่นเดียวกัน กั้นด้วยเศวตฉัตร สูง ๓ โยชน์ ข้างๆ ธรรมาสน์เป็นที่ประทับของพระอินทร์และเทวดาชั้นผู้ใหญ่อื่นๆ ศาลานี้ตั้งอยู่ข้างต้นปาริฉัตร

    ต้นปาริฉัตร ออกดอกปีละ ๑ ครั้ง เมื่อเวลาใกล้จะมีดอก ใบมีสีนวล เมื่อเทวดาทั้งหลายเห็นใบมีสีนวลแล้ว ก็พากันยินดี จะพากันเวียนมาเฝ้าดูอยู่เสมอ เมื่อดอกออกแล้วใบจะร่วงลงหมดสิ้น มีแต่ดอกสีแดงสะพรั่งไปทั้งต้น ฉายแสงเป็นรัศมีแผ่เป็นปริมณฑลกว้าง ๕๐๐ โยชน์ ส่งกลิ่นหอมไปไกลถึง ๑๐๐ โยชน์ ดอกไม้นี้ไม่จำเป็นต้องขึ้นไปเก็บ มีลมชนิดหนึ่งชื่อ ลมกันตนะ ทำหน้าที่พัดให้ดอกหล่นลงมา และมีลมชื่อ สัมปฏิจฉนะ ทำหน้าที่รองรับดอกปาริฉัตรไว้ไม่ให้ร่วงถึงพื้น แล้วจึงมีลมชื่อ ปเวสนะ พัดเอาดอกไม้นี้เข้าไปประดับตกแต่งในศาลาสุธัมมา ดอกเก่าที่ต้องถูกเก็บไปทิ้ง ก็มีลมชื่อ สัมมิชชนะพัดออกไป ส่วนลมที่มีหน้าที่ประดับตกแต่ง ชื่อลมสันถกะ

    เมื่อถึงเวลาจะประชุมฟังธรรม ท้าวอมรินทราธิราชทรงเป่าสังข์ ชื่อวิชยุตตระ ซึ่งมีความยาว ๑๒๐ ศอก เสียงสังข์ดังก้องกังวานทั่วไป ทั้งภายในภายนอกพระนครสุทัสสนะ เสียงที่เป่าครั้งหนึ่งๆ ปรากฏดังอยู่นานถึง ๔ เดือนของมนุษย์โลก

    เทพบุตรเทพธิดาผู้ปรารถนาฟังธรรม เมื่อได้ยินเสียงสังข์ก็จะพากันมา รัศมีที่ออกจากร่างกายและเครื่องทรงเครื่องประดับ ส่องสว่างไปทั่ว พระอินทร์เมื่อทรงเป่าสังข์แล้ว ก็เสด็จพร้อมมเหสีทั้ง ๔ พระองค์ แวดล้อมด้วยเทพยดาตามเสด็จ ๓๖,๐๐๐,๐๐๐ องค์ ทรงช้างเอราวัณไปสู่ศาลาสุธัมมา โดยปกติแล้วพรหมที่ชื่อ สุนังกุมาระ เป็นผู้แสดงธรรม บางครั้งพระอินทร์ หรือเทพยดาที่มีความรู้ทางธรรม ก็เป็นผู้แสดง

    อนี่ง ศาลาฟังธรรมลักษณะดังนี้ แม้ในเทวโลกเบื้องบนอีก ๔ ชั้น ก็มีอยู่ประจำทุกชั้น
    <O:p</O:p</O:p
    ความจริงท้าวสักกเทวราช ในสมัยเมื่อเป็น มฆมานพ อยู่ในเมืองมนุษย์ ไม่ได้ประกอบการกุศลในพระพุทธศาสนา เพราะเป็นสมัยที่พระศาสนาของพระสมณโคดมยังไม่อุบัติขึ้น เมื่อตายแล้วมาเสวยทิพยสมบัติเป็นพระอินทร์ ยังมีความสวยงามอลังการ แต่รัศมีของวิมานและอื่นๆ ยังด้อยกว่าของเทวดาผู้ใหญ่หลายองค์ ที่เคยสร้างกุศลในสมัยพระพุทธเจ้า ทำให้พระอินทร์พยายามแสวงหาโอกาส ที่จะสร้างกุศลในพระพุทธศาสนาให้จงได้

    วันหนึ่งทรงเล็งทิพยเนตร เห็นพระมหากัสสปเถระเจ้า ออกจากนิโรธสมาบัติ กำลังจะไปโปรดคนยากจนที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง พระอินทร์จึงชวนนางสุชาดา มเหสีองค์เล็ก เนรมิตตนเป็นคนชราสองผัวเมีย ทอผ้าอยู่ในกระท่อม ต้นทางที่พระเถระเจ้าจะผ่านมา ในชั้นแรกพระมหากัสสปะไม่ได้พิจารณา จึงไม่ทราบว่าเป็นเทวดาแปลงกายลงมา ต่อเมื่อรับอาหารที่ใส่บาตรแล้ว กลิ่นอาหารทำให้รู้ว่าเป็นอาหารทิพย์ จึงต่อว่าที่พระอินทร์มาแย่งบุญของคนจน พระอินทร์สารภาพว่า พระองค์ก็ทรงเป็นเทวดาที่จนมาก เพราะรัศมีก็ดี วิมานก็ดี ยังด้อยกว่าเทวดาที่เคยสร้างกุศลในพระพุทธศาสนา อานิสงส์ของการประกอบกุศลครั้งนี้ เมื่อพระอินทร์กลับไปพิภพของตน ปรากฏว่ารัศมีกายและวิมานของพระองค์ ปรากฏสว่างรุ่งโรจน์ สวยงามบริบูรณ์เต็มที่ ไม่น้อยหน้ากว่าเทวดาองค์อื่นอีกต่อไป

    นอกจากนั้นท้าวอินทราธิราช ยังเสด็จลงมาฟังพระธรรมเทศนา จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่เนืองๆ และได้บรรลุคุณธรรมเป็นพระโสดาบัน เมื่อฟังพระธรรมเทศนาเรื่อง พรหมชาลสูตรจบลง ต่อไปภายภาคหน้า จะจุติมาบังเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในมนุษย์โลก ครั้งนั้นจะบรรลุเป็นพระสกทาคามี และจะไปบังเกิดในดาวดึงสพิภพอีก และบรรลุเป็นพระอนาคามีในภพนั้น จึงไปบังเกิดในชั้นสุทธาวาส ตั้งแต่ชั้นอวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี และอกนิฏฐา จึงบรรลุอรหัตตผล และปรินิพพาน
    <O:p</O:p</O:p
    ในเทวภูมิชั้นนี้ ยังมีเทวดาที่ร่างกายโตใหญ่มากองค์หนึ่ง ชื่ออสุรินทราหู เป็นอุปราชอยู่

    ในพิภพอสูร ใต้เขาพระสุเมรุ มีร่างกายสูงใหญ่กว่าเทวดาทั้งมวล สูงถึง ๔,๘๐๐ โยชน์ ไหล่ทั้งสองกว้าง ๑,๒๐๐ โยชน์ รอบตัว ๖๐๐ โยชน์ ฝ่ามือฝ่าเท้าใหญ่ ๒๐๐ โยชน์ จมูกใหญ่ ๓๐๐ โยชน์ ปากกว้าง ๓๐๐ โยชน์ องคุลีหนึ่งๆ ยาว ๕๐ โยชน์ นัยตาทั้งสองห่างกัน ๕๐ โยชน์ หน้าผากกว้าง ๓๐๐ โยชน์ ศีรษะใหญ่ ๙๐๐ โยชน์ ถ้าลงไปยืนในมหาสมุทร น้ำจะสูงเพียงแค่เข่า

    เทวดาองค์นี้ได้สดับพระกิตติคุณของพระพุทธเจ้า ใคร่จะไปเข้าเฝ้าบ้างแต่ไม่กล้า เพราะคิดว่าตนเองตัวสูงใหญ่ จะไปก้มตัวมองพระพุทธเจ้าไม่เป็นการสมควร พระพุทธเจ้าทรงทราบอัธยาศัย ดังนั้นเมื่ออสุรินทราหูอดรนทนไม่ได้ ต่อพระกิตติศัพท์ของพระพุทธองค์ จึงเดินทางมาเข้าเฝ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงเนรมิตพระวรกาย สูงใหญ่กว่าอสุรินทราหู ในพระอิริยาบถทรงบรรทม เมื่ออสุรินทราหูมาถึงต้องแหงนหน้าดูพระพุทธเจ้า เหมือนทารกแหงนดูดวงจันทร์ในอากาศ พระพุทธองค์ตรัสว่า พระองค์เมื่อทรงบำเพ็ญบารมีทั้งปวง มิได้ก้มหน้าย่อท้อต่อการบำเพ็ญ มิได้หดหู่ท้อถอย เงยหน้าขึ้นแล้วบำเพ็ญบารมีทั้งปวง ดังนั้นผู้ใดปรารถนาแลดูตถาคต จึงไม่ต้องก้มหน้าลงดู

    อสุรินทราหู ได้ฟังพระธรรมเทศนาครั้งนั้นแล้ว ขอถึงพระพุทธองค์เป็นที่พึ่งตลอดมา

    คัดลอกมาจากหนังสือ เราคือใคร ซึ่งเรียบเรียงมาจากพระไตรปิฏก โดย อุบาสิกาถวิล (บุญทรง) วัติรางกูล)<!-- / message --><!-- edit note -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ธันวาคม 2008
  13. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,194
    เทวภูมิชั้นที่ ๓ ยามาภูมิ

    <O:p</O:pยามา แปลว่าปราศจากความลำบาก หรือถึงซึ่งความสุขด้วยดี เป็นที่อยู่ของเทวดาทั้งหลาย ที่ปราศจากความลำบาก และถึงซึ่งความสุขอันเป็นทิพย์ ท้าวเทวราชที่ปกครองสวรรค์ชั้นนี้ ชื่อสุยามะ หรือยามะ

    สวรรค์ชั้นนี้ตั้งอยู่ในอากาศ ภูมินี้จึงไม่มี ภุมมัฏฐเทวดา มีแต่อากาสัฏฐเทวดาพวกเดียว ร่างกาย วิมานและทิพยสมบัติ ของเทวดาชั้นยามานี้ ประณีตสวยงามมากกว่าเทวดาชั้นดาวดึงส์ ทั้งอายุขัยก็ยืนยาวมากกว่า บริเวณสวรรค์แผ่กว้างออกไปเสมอด้วยกำแพงจักรวาล วิมานของเทวดามีอยู่ตลอดทั่วไป อายุของเทวดายามา มีประมาณ ๔ เท่า ของอายุเทวดาชั้นดาวดึงส์ เรื่องอายุเทวดาจะกล่าวรวมในตอนท้ายของเทวภูมิ อีกครั้งหนึ่ง
    <O:p</O:p
    เทวภูมิชั้นที่ ๔ ดุสิตาภูมิ

    <O:p</O:pดุสิตา แปลว่า แช่มชื่นยินดีอยู่เป็นนิจเทวโลกชั้นนี้ เป็นสถานที่ที่ปราศจากความร้อนใจ มีแต่นำความยินดีและความชื่นบาน ให้แก่ผู้ที่อยู่ในภูมินี้ทั้งหมด จัดเป็นภูมิอันประเสริฐ

    พระโพธิสัตว์ทุกๆ พระองค์ ก่อนที่จะได้สำเร็จอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นภพสุดท้าย ย่อมบังเกิดอยู่ในชั้นดุสิตาภูมินี้ ทุกพระองค์ แม้ในขณะนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต เช่นพระศรีอาริยเมตไตรย พร้อมด้วยผู้ที่จะมาเกิดเป็นเป็นอัครสาวก ก็กำลังเสวยทิพยสมบัติอยู่ในภูมินี้

    ในทางธรรมปฏิบัติ เชื่อกันว่าเป็นภพภูมิสำหรับผู้ปฏิบัติ เพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน สถิตอยู่ มีแต่เทพบุตร ไม่มีเทพธิดา และเป็นอากาสัฏฐเทวดาทั้งสิ้น รูปร่างวิมานและทิพยสมบัติ ประณีตมากกว่าชั้นยามา ชั้นนี้อยู่ห่างจากสวรรค์ชั้น ๓ ๔๒,๐๐๐ โยชน์ ท้าวเทวราชผู้ปกครอง คือ สันตุสสิตะ
    <O:p</O:p
    เทวภูมิชั้นที่ ๕ นิมมานรตีภูมิ <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ได้ชื่อว่านิมมานรตี เพราะมีความยินดีเพลิดเพลินในกามคุณ ๕ ที่ตนเนรมิตขึ้น
    ในเทวโลกตั้งแต่ชั้นจาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิตา เมื่อเทพบุตรหรือเทพธิดาต้องการมีคู่ครอง ก็ต้องแสวงหา แต่ในสวรรค์ชั้นนิมมานรตีนี้ไม่ต้องแสวงหา เมื่อต้องการก็เนรมิตเอาเอง ดังนั้นจึงไม่มีคู่ครองประจำ เมื่อต้องการก็เนรมิตขึ้น เมื่อไม่ต้องการก็นึกให้หายไป

    นิมมานรตีภูมิ อยู่ห่างจากดุสิตาภูมิ ๔๒,๐๐๐ โยชน์ มีอากาสัฏฐเทวดาพวกเดียว ความประณีตสวยงามของวิมาน และทิพยสมบัติต่างๆ และรัศมีกายของเทวดา ประเสริฐกว่าชั้นดุสิตาภูมิ อายุขัยก็ยืนนานกว่า ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นนี้ ชื่อว่า สุนิมมิตะ หรือนิมมิตะ
    <O:p</O:p
    เทวภูมิชั้นที่ ๖ ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ
    <O:p</O:p
    ปรนิมมิตวสวัตตี หมายถึงการได้เสวยกามคุณทั้ง ๕ ในลักษณะที่เทวดาอื่นรู้ความต้องการของตน แล้วเนรมิตให้ ไม่ต้องเนรมิตเอง เทพบุตรเทพธิดา ที่อยู่ในชั้นปรนิมมิตวสวัตตีนี้ เมื่อต้องการเสวยกามคุณ ๕ อย่างใด เวลาใด เทวดาที่เป็นผู้รับใช้ จะทราบความประสงค์และจะเนรมิตให้ เทวดาชั้นนี้จึงไม่มีคู่ครองประจำ เช่นเดียวกับในเทวภูมิชั้นที่ ๕ ชั้นนี้คงมีแต่อากาสัฏฐเทวดา อยู่ห่างจากนิมมานรตีภูมิ ๔๒,๐๐๐ โยชน์ ความประณีตสวยงามของทิพยสมบัติต่างๆ ประเสริฐยิ่งขึ้น อายุขัยยืนยาวกว่า

    ท้าวเทวราชที่ปกครองสวรรค์ชั้นนี้ ชื่อปรนิมมิตะ คือวสวัตตีมารเทวบุตร เป็นผู้ปกครองเทวดาทั่วทั้ง ๖ ชั้น แต่เดิมมารเทวบุตรตนนี้ เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เป็นผู้คอยขัดขวางงานของพระพุทธเจ้าอยู่เสมอ นับแต่ครั้งเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ จนกระทั่งปรินิพพาน เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานล่วงไปแล้ว ๓๐๐ ปี ในสมัยนั้นพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช เป็นพระราชาครองราชสมบัติอยู่ที่เมืองปาตลีบุตร ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก

    ทรงให้สร้างปูชนียสถาน คือเจดีย์และวัดขึ้นอย่างละ ๘๔,๐๐๐ เพื่อบูชาพระธรรมขันธ์ ซึ่งมีจำนวน ๘๔,๐๐๐ และสร้างมหาเจดีย์บรรจุพระสรีรธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สำหรับเป็นที่สักการะบูชา เมื่อสร้างเสร็จแล้ว โปรดให้มีงานเฉลิมฉลอง ๗ เดือน ๗ วัน ในขณะทำการฉลองอยู่นั้น พญามารเทวบุตร ได้มาแกล้งทำลายพิธีด้วยอิทธิฤทธิ์ ประการต่างๆ แต่ไม่สำเร็จ เพราะพระมหาเถระอุปคุตต์ขัดขวาง และทรมานจนสิ้นพยศ ละมิจฉาทิฏฐิเสียได้ กลับหันมาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา จนถึงปรารถนาพุทธภูมิในกาลภายหน้า
    <O:p</O:p
    พวกเทวดากามาวจร ทั้ง ๖ ชั้นดังกล่าวแล้ว บังเกิดขึ้นได้ด้วยการประกอบสุจริต ทางกาย วาจา ใจ สูงขึ้นไปตามลำดับชั้น ในขณะเมื่อสมัยยังมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ แต่อย่างไรก็ตาม ยังถือว่าเป็นภูมิที่ยังเสวยกามคุณทั้ง ๕ อยู่ ยกเว้นผู้ที่เป็นพระอรหันต์ และพระอนาคามี
    <O:p</O:p

    อายุขัยในเทวภูมิทั้ง ๖
    <O:p</O:p</O:p
    ชั้นจาตุมหาราชิกา มีอายุขัยของเทวดา ๕๐๐ ปีทิพย์ เท่ากับ ๙,๐๐๐,๐๐๐ปีมนุษย์

    ชั้นดาวดึงสา มีกำหนด ๑,๐๐๐ ปีทิพย์ เท่ากับ ๔ เท่าของจาตุมหาราชิกา คือ ๒,๐๐๐ ปีทิพย์ เท่ากับ ๓๖ ล้านปีมนุษย์

    ชั้นยามา มีกำหนด ๒,๐๐๐ ปีทิพย์ เป็น ๔ เท่าของดาวดึงสา เทียบได้ ๑๔๔ ล้านปีมนุษย์

    ชั้นดุสิตา มีกำหนด ๔,๐๐๐ ปีทิพย์ เป็น ๔ เท่าของยามา เทียบได้ ๕๗๖ ล้านปีมนุษย์

    ชั้นนิมมานรตี มีกำหนด ๘,๐๐๐ ปีทิพย์ เป็น ๔ เท่าของดุสิตา เทียบได้ ๒,๓๐๔ ล้านปีมนุษย์

    ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี มีกำหนด ๑๖,๐๐๐ ปีทิพย์ เทียบได้ ๙,๒๑๖ ล้านปีมนุษย์
    <O:p</O:p</O:p
    การเสวยกามคุณของเทวดาทั้ง ๖ ชั้น บางแห่งกล่าวว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ธันวาคม 2008
  14. rubian

    rubian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +483
    หึๆ

    คนที่ดูถูกท่านเทพวิชิต ระวังนะ

    เพราะอันที่จริงแล้วถ้าคุณเคยไปสัมผัสที่มูลนิธิละก้อ คุณจะรู้ว่า ที่นาย ที่ใช้ชื่อ พิทักษ์ มันไม่จริง

    เพราะท่านลงมา ไม่ได้ต้องการลาบสรรเสริญ เพีียงแต่มาสอนธรรมมะ ส่วนสักการะนั้นคนเขาเอามาให้ด้วยศรัทธา คุณอาจจะรับไม่ได้ละซิว่า อภิญญา จะมีจริง เพราะเมื่อก่อน หลวงพ่อท่านได้แสดงอภิญญา เพื่อช่วยผู้คน เป็น เสมือน อุบายว่า ให้คนสนใจและมาศึกษาธรรมมะ

    ส่วนตัวผมเป็นลูกศิษย์ ท่านมานานแล้ว แม้จะเป็นปลายแถว เคยเห็นคนไปหลบหลู่หลวงพ่อ หลวงพ่อท่านก็เฉย เพราะท่านปรารถนา พุทธภูมิ คอยช่วยคนอื่น ตลอด เอาง่ายๆแม้แต่ร่างทรง คุณ บุษกรก็เถอะ คุณรู้ไหมว่า ที่เธอ มาลงทรงสอนธรรมมะ ได้ทุกวันเนี่ยก็เจ็บสาหัสแล้ว เพราะเธอเป็นมะเร็งเม็ดเลือด แต่ด้วยบุญที่เธอได้ทำร่วมกับ หลวงพ่อและเทพวิชิต คาดว่าจึงได้ต่อชีวิตมาถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าเมื่อสิบปีที่แล้วจะได้รับวินิจฉัย ว่า ต้องตายแน่ๆ

    ถ้าคุณไม่เคยเห็นคน คว้าพระออกมาจากอากาศนับร้อยนับพันองค์ หรือ เคยเห็นไหม ส้มลูกเกลี้ยงๆไม่มีรอยแกะใดๆ แทงๆไปสักพัก มีพระออกมา หรือ เอาใบไม้มากำโตๆ ขยำไปขยำมากลายเป็นตระกุดนับพัน เอาแค่นี้ก็ได้หุๆ

    มันบาปนะมาดูถูกคนที่มีธรรมสูง เพราะมันจะเหมือน คุณปาลูกบอลเข้าข้างฝา ยิ่งคนที่คุณด่ามีธรรมสูง กรรมมันจะยิ่งสะท้อนเร็วเหมือนติดจรวด

    ผมอาจพูดจาตรงไปนิดแต่เอาง่ายๆก่อนจะ่ด่าท่าน คุณเคยเรียบ ปริเฉด 10 ไหม ถ้าไม่ก็ลองมาเรียนดูนะ อาจจะช่วยลดความหมักหมมกิเลสไปได้บ้าง
     
  15. rubian

    rubian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +483
    อีกอย่าง

    พระศรีอาริยะเมตตรัยตอนนี้ท่านอยู่ ที่ชั้นดุสิตครับผม เพราะมันยังไม่ถึงเวลานะครับผม เวลาสวรรค์กับโลกมันต่างกันนัก

    พระพุทธเจ้าก็น่าจะกล่าวเอาไว้ถ้าหากไปดูในพระไตรปิฎก แต่ที่ท่านมาถ่ายทอดนี้ท่านมาถ่ายทอดในฐานะคนที่พึ่งไปประสบมา ด้วยตัวเอง มันอาจจะดูวิจิตรพิสดาร เพราะท่านเทพไม่ใช่แบบหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านเคยเป็นพระมาก่อน แต่ท่านเทพตอนตายก็เป็นแค่คนธรรมดา เห็นอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ท่านย่อมจะไม่ได้มีกิเลสที่ละเอียดเบาบางขั้นหลวงพ่อ แค่นั้นแหละ ของอย่างนี้ ต้องเห็นด้วยตา ต้องได้สัมผัสเอง เหมือนกับ เรื่องผีแหละครับ คนไม่เคยเจอก็บอกไม่มี แต่ คนเคยเจอจะว่าเขายังไง เขาก็จะบอกว่า ผีมีจริง พิจารณาครับ

    จะว่าผีก็ไม่ถูกต้องเอาใหม่ ผี = อาจจะเป็น เทวดา เปรต อสูรกาย อะไรสักอย่างเนี่ยละ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2008

แชร์หน้านี้

Loading...