เทพเจ้าของกรีก

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย pakung, 4 เมษายน 2008.

  1. pakung

    pakung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,625
    ค่าพลัง:
    +429
    เทพเจ้าของกรีก

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


    ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
    <!-- start content -->เทพเจ้ากรีก กำเนิดตามตำราฮีเสียด
    <TABLE class=toc id=toc summary=เนื้อหา><TBODY><TR><TD>เนื้อหา

    [ซ่อน]
    </TD></TR></TBODY></TABLE><SCRIPT type=text/javascript>//<![CDATA[ if (window.showTocToggle) { var tocShowText = "แสดง"; var tocHideText = "ซ่อน"; showTocToggle(); } //]]></SCRIPT>
    [แก้] เทพกลุ่มแรก

    ตามตำรา Hesiod จักรวาลเริ่มต้นจากความว่างเปล่า มีเทพชื่อ เคออส ( Chaos ) แปลว่าความว่างเปล่า ก็อย่างชื่อ ว่างเปล่าจริงๆ ทั้งจักรวาลไม่มีอะไรเลย
    จากนั้น เคออส ก็ให้กำเนิด ไกอา หรือ กายยา หรือจิอา ( Gaia ) ซึ่งแปลว่า ดิน (รากศัพท์ของ Geo) ทอร์ทารัส ( Tartarus ) ซึ่งแปลว่า นรก และ อีรอส ( Eros ) ซึ่งแปลว่า ตัญหา (รากศัพท์ของ Erotic)
    แล้ว ไกอาก็ให้กำเนิด ยูเรนัส ( Uranus ) โดยลำพัง ซึ่งแปลว่า สวรรค์ เป็นเทพแห่งท้องฟ้า แต่ตามตำรา Apollodorus เรื่องแตกต่างกันเล็กน้อย โดยเริ่มต้นที่ ไกอา เลย
    ขอทำความเข้าใจก่อนว่า เทพเจ้ากรีก ส่วนใหญ่จะเป็นตัวแทนของสิ่งต่างๆทั้งรูปธรรม และ นามธรรม เวลาอ่าน ก็ลองคิดตามไปด้วย เช่นเมื่อกล่าวถึง ยูเรนัส ก็ให้คิดถึง ท้องฟ้า ความกว้างใหญ่ที่แผ่ปกคลุมพื้นดิน หรือ อีรอส ซึ่งเป็น ความรู้สึก เป็นนามธรรม มีผลกับทุกสิ่งทั้งเทพเจ้าและมนุษย์ หรือจะคิดว่า ทอร์ทารัส เป็นเทพเจ้าแห่งนรก, เป็นผู้สร้างนรก หรือเป็นตัวนรกเองก็ได้ หรือจะคิดว่า ไกอา ก็คือ พระแม่ธรณี จะนึกภาพเป็น เทพเจ้าแห่งพื้นดิน หรือเป็นตัวพื้นดินเอง ก็ได้เช่นกัน



    [แก้] ยูเรนัส

    [​IMG] [​IMG]




    ยูเรนัสได้เป็นผู้ปกครองเทพเจ้าทั้งหมดเป็นผู้แรก จากนั้น ไกอา และ ยูเรนัส ก็สมสู่กัน
    ( ไม่ต้องแปลกใจ ว่าแม่ลูกสมสู่กันได้หรือ? มี 2 นัย แง่หนึ่ง เป็นเรื่องของเทพ อะไรจะเกิดก็ได้ อีกแง่หนึ่ง ตำนานเทพของกรีก เป็นบทประพันธ์ของนักปราชญ์ ซึ่งพรรณนามสิ่งที่นามธรรมให้เป็นรูปธรรม บางสิ่งต้องตีความเป็นปรัชญา เช่นที่ว่า แม่ลูกสมสู่กัน อาจหมายถึง ฝนที่ตกจากฟ้า เปรียบเสมือนน้ำอสุจิจากยูเรนัส หลั่งรดไกอา ทำให้สรรพสิ่งก่อเกิดงอกงาม อะไรทำนองนี้ ก็เป็นได้ )
    บรรพเทพให้กำเนิดลูกมากมาย ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก เป็นยักษ์ 100 มือ 50 หัว มี 3 ตนด้วยกัน ชื่อ ไบอาริอุส ( Briareus ) กายเอ็ส ( Gyes ) และ คอททัส ( Cottus )
    กลุ่มที่สอง เรียกว่า ยักษ์ตาเดียว หรือ ไซครอป ( Cyclope ) ชื่อ อาเกส ( Arges ) , สเตอโรเปส ( Steropes ) และ บรอนเตส ( Brontes ) ( ชื่อของสามนี้แปลว่า แสงสว่างจากฟ้า ฟ้าผ่า และ ฟ้าร้อง ตามลำดับ )
    ลูกทั้งหกนื้ ถูก Uranus จับโยนลงไปในนรกและขังไว้ เพราะความเกลียดชังเนื่องจากหน้าตาอัปลักษณ์ จากนั้น Uranus และ Gaia ก็มีลูก 2 กลุ่มถัดมา 6 ชายเรียกว่า ไททัน ( Titans ) และ 7 หญิง ไททานไนด์ ( Titanides ) ( บางทีก็ถูกเรียกเป็น Titans เหมือนกันหมด )
    เนื่องจาก Uranus หรือท้องฟ้า กลัวว่าลูกของตนจะมาแย่งชิงอำนาจ เมื่อ Gaia ให้กำเนิด Titans ออกมา Uranus ก็สั่งให้ Gaia นำลูกมา แล้วจับกินทีละคนๆ
    จนกระทั่ง ถึงลูกคนที่ชื่อ Cronus นางแอบซ่อนลูกเอาไว้แล้ว เอาหินปลอมไปแทน แล้วยื่นหินให้ Uranus กินแทน หลังจากนั้นนางก็ได้เลี้ยงดูโครนัสจนโต แล้วสั่งให้ไปฆ่าบิดาเสีย แล้วก็ช่วยพี่น้องออกมา จากท้องของบิดา

    ( Cronus ) ซึ่งยอมที่จะช่วยแม่ </PRE>Cronus เป็นเทพแห่งเวลา หรือตัวเวลา นั่นเอง (รากศัพท์ของ Crono)
    ( Adamant แปลว่า เอาชนะไม่ได้ เพราะเจ้าของอาวุธนี้คือ เวลา นั่นคือ ไม่มีใครเอาชนะเวลาได้ นี้เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งการตีความนามธรรมเป็นรูปธรรม )



    [แก้] โครนัส

    [​IMG] [​IMG]



    ตามแผนของ Gaia นั้น Cronus จะรอจนกว่า Uranus จะมาสมสู่กับ Gaia เมื่อมาถึง Cronus ซึ่งอยู่ในท้อง ก็จะต้องใช้เคียวตัดอวัยวะเพศของ Uranus ( ไม่ต้องเสียว เป็นการตีความจากนามธรรมเช่นเดิม ) แล้ว Cronus ก็จะพาพี่น้องหนีกันออกมา
    แน่นอนว่าสำเร็จตามแผน ตั้งแต่นั้นมา ท้องฟ้าก็ไม่เคยสัมผัสพื้นดินอีกเลย ( อีกนัยทางนามธรรมหนึ่ง ก็คือ เวลา ได้ทำให้ ท้องฟ้า แยกจาก แผ่นดิน )
    แล้ว Cronus ก็นำอวัยวะของพ่อไปทิ้งทะเล เมื่อตกโดนทะเล ก็มีฟองเกิดขึ้นมากมาย ในท่ามกลางฟองนั้นก็มีเทพเจ้าอีกถือกำเนิดขึ้นมา คือ Aphrodite นั้นเอง ( ในภาษากรีก คำว่า Aprhodite แปลว่า เกิดจากฟอง )
    Aphrodite จึงเป็นเทพแห่งความรักและตัญหา ( ฝ่ายหญิง เพราะ Eros เป็นแบบเดียวกัน แต่ฝ่ายชาย ) ( เป็นที่มาของภาพวาดชื่อดัง Birth of Venus ของศิลปิน So Botticelli และคำภาษาอังกฤษ aphrodisiac ที่แปลว่า ยาปลุกอารมณ์ทางเพศ ) ( มีข้อขัดแย้งบ้าง เกี่ยวกับการเกิดของ Aphrodite ตำรา Apollodorus นั้น Aphrodite เป็นลูกของ Zeus มีตำนานการเกิดอย่างเรียบง่าย )

    เอาละ Cronus ก็พาพี่น้องออกกันมาได้สำเร็จ และกลายเป็นมหาเทพแทนพ่อ หลังจากแย่งชิงบัลลังก์แล้ว Uranus ก็แช่ง Cronus ลูกทรพีไว้ว่า เมื่อ Cronus มีลูก ก็จะมาชิงบัลลังก์ เช่นที่พ่อทำกับปู่ ทำให้ Uranus ระแวง และนำมาสู่ ตำนานการกำเนิด มหาเทพ ซูส หรือ เซอูส ( Zeus ) หรือก็คือ จูปิเตอร์ ( Jupiter ) ราชาแห่งเทพองค์ปัจจุบัน
     
  2. อมฤต

    อมฤต สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +13
    อธิบายละเอียดดีครับ
     
  3. คนไชยา

    คนไชยา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +171
    เทพเจ้า...ข้าฯ ขอ...ฯลฯ

    มนุษย์เรียกสิ่งที่คิดว่ามีพลังในการดลบันดาลสิ่งต่างๆได้ แม้แต่กำหนดให้มนุษย์จะต้องประสบพบเจอสิ่งต่างทั้งดีและร้ายว่าเป็นฝีมือของ เทพเจ้า

    เทพเจ้า คือ ผู้ที่มนุษย์เรียกหา สักการะบูชา และ นอบน้อม เพื่อแลกเปลี่ยนกับการได้รับซึ่ง พรศักดิ์สิทธิ์ที่จะดลบันดาลให้คำขอ ให้ความต้องการของมนุษย์คนนั้นๆ เป็นจริงขึ้นมา

    เทพเจ้า มีชนชั้น มีระดับชั้น และมีพลังที่แตกต่างกันไป รวมทั้ง อุปนิสัยใจคอ และ ที่มาที่ไปของตนเอง จนดูเหมือนว่า เทพเจ้า เป็นชุมชนเทพเจ้าที่เหมือนมนุษย์แต่มีคุณภาพชีวิตดีกว่ามาก ด้วยคุณสมบัติที่เหนือกว่าในด้านต่างๆ อาทิเช่น

    เทพเจ้า ไม่มีการกิน ดื่ม แต่ถ้าปรารถนาก็สามารถ กิน ดื่ม ได้เหมือนมนุษย์

    เทพเจ้า ไม่มีการสมสู่สืบพันธุ์เหมือนมนุษย์ แต่หากต้องการ ก็สามารถทำได้ทั้งการสมสู่เหมือนมนุษย์ หรือการ แยกส่วนหนึ่งในกายของตนเองมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่ง ก็มีจุดหมายเดียวกันคือ สร้างทายาท เหมือนการสืบพันธุ์หรือขยายเผ่าพันธุ์

    เทพเจ้า มีสองจำพวกใหญ่ๆ คือ เทพเจ้าฝ่ายดี ที่มักทำอะไรดีๆ ให้กับมนุษย์ และ สัตว์ทั้งหลาย และเทพเจ้าฝ่ายร้าย ที่มักสร้างความเดือดร้อนยากลำบากแก่มนุษย์

    เทพเจ้า มีชนชั้นแน่นอน คือ เทพเจ้าชั้นเด็กๆ หรือ เทพเจ้าที่ไร้ชื่อเสียงไม่เป็นที่รู้จักในโลกมนุษย์ มีพลัง มีบารมี จำกัด บังเกิดในเทวโลกระดับไม่สูงนัก ทั้งนี้ก็เพราะขอบเขตของบุญกุศลที่สร้างสมไว้มีจำกัด และ การบรรลุธรรมมะทำได้ระดับหนึ่งที่ไม่สูงนัก ไม่ละเอียดนัก และเทพเจ้าระดับผู้ใหญ่ ที่ มีพลังไร้จำกัด บรรลุธรรมขั้นสูง และ มีบทบาทอย่างมากในโลกมนุษย์ ในเทวโลก และ ยมโลก

    หากจะอ้างอิงเอาแต่เรื่องนิสัยของเทพเจ้ามาคุยกัน ก็น่าจะเริ่มที่เทพเจ้าฉบับไทยๆ

    เทพเจ้าของไทย มีพื้นฐานจากความเชื่อจากศาสนาพรหมณ์ ที่มีกำเนิดในดินแดนชมพูทวีป หรือที่เรียกว่า อินเดีย ทำให้ ชื่อเรียกของเทพเจ้าของไทยที่คุ้นเคย จึงมาปรากฏเป็นเทพเจ้าประจำแผ่นดินไทย เหมือนอย่าง อินเดีย

    ส่วนเทพเจ้าในพุทธศาสนา ก็มีการอ้างอิงจาก เทพเจ้าที่ปรากฏในศาสนาพรหมณ์ ด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นไปในลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัย และ วางโครงสร้างในลักษณะการอยู่ร่วมกันได้ของผู้นับถือศาสนาและพุทธ ซึ่ง เหมือนจะเป็นเหตุผลทางการเมืองมากกว่าจะเป็นเหตุผลจริงๆ

    ในคำสอนของพระพุทธองค์ได้ระบุถึงสภาพของเทพเจ้าเอาไว้ ค่อนข้างละเอียด แต่มีข้อสรุปที่ชัดเจนดังนี้

    1. เทพเจ้าคือสิ่งมีชีวิตชั้นสูง ที่มีกายละเอียดที่เรียกกายทิพย์ กำเนิดด้วยการบังเกิดขึ้นอย่างทันทันใด ดำรงสภาพแห่งตนเองได้ด้วยการใช้พลังของบุญกุศลบารมีธรรมที่สร้างสมไว้ในขณธที่ตนเองมีสภาพเป็นมนุษย์ หรือ สิ่งมีชีวิตต่างๆ

    2. เทพเจ้าคือผู้มีความสามารถในการ อิ่มทิพย์ และ มีขีดความสามารถในการ รับรู้ สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นด้วย พลังความสามารถทางจิต หรือ ความนึกคิด อาจเรียกว่า มโนมยิทธิ ซึ่ง เหนือกว่ามนุษย์ที่มีขอบเขตการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 และ 1 ใจ เว้นแต่มนุษย์ที่ฝึกฝนตนเองมาอย่างดีในการ ใช้พลังความสามารถทางจิต ซึ่ง ส่วนมากเป็นเรื่องของ พรสวรรค์ หรือ การฝึกฝนด้วยการปฏิบัติธรรม

    3. เทพเจ้าตอบสนองต่อพิธีกรรม ต่อการเซ่นสรวงบูชา ต่อการติดต่อ จากมนุษย์

    4. เทพเจ้ามีรูปลักษณ์พิเศษที่ถูกจำลองสร้างขึ้นตามคติความเชื่อของมนุษย์ บ้างก็สร้างตามคำบอกเล่าของผู้มีประสบการณ์การได้พบเจอกับเทพเจ้า ตามบันทึกโบราณ หรือ การบอกเล่าต่อๆกันมา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น โดยทั่วไป จะพบการสร้างรูปจำลองเทพเจ้าในลักษณะที่สวยงามและมีสภาพที่เด่นชัดแตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป เช่น มีแขนมากกว่า 2 ข้าง มีวงรัศมีรายล้อม มีอาวุธพิเศษในมือ มีใบหน้าและลักษณะโดยรวม ถือว่า งดงาม หรือ สง่างาม เกินกว่ามนุษย์

    5. เทพเจ้าถูกมนุษย์สรุปรวมว่า เป็นผู้ให้ นั่นคือ ให้ความช่วยเหลือมนุษย์ ในทุกๆเรื่อง ที่เกี่ยวพันกับการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น เทพเจ้าแห่งการค้า เทพเจ้าแห่งการต่อสู้ เทพเจ้าแห่งการคุ้มครองสุขภาพ เทพเจ้าแห่งการเดินทาง เทพเจ้าแห่งการมีปัญญา เทพเจ้าแห่งการขจัดอุปสรรค ฯลฯ

    ซึ่ง ส่วนมากแล้ว เทพเจ้า ที่จะถูกคิดถึงเป็นอันดับแรกๆ คือ เทพเจ้าที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก เช่น พระศิวะ พระแม่อุมา พระพิฆเณศ พระพรหมณ์ พระนารายณ์ เจ้าแม่กวนอิม พระอวโลกิเตศวร ฯลฯ ที่คิดว่า หากจะนับว่ามีกี่พระนาม ก็คงจะมีผู้รู้จำได้จริงๆก็คงไม่เกิน 20 พระนาม ในท่ามกลาง เทพเจ้าทั่วโลกนับไม่ถ้วน ที่คนไทยจะรู้จัก และ เคารพนับถือสักการะ

    หากจะพิจารณาในอีกด้านหนึ่งของความหมายของคำว่า เทพเจ้า

    เทพเจ้า จะสามารถหมายถึง ผู้มีความสามารถเหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป แต่มีร่างกายเป็นมนุษย์ทั่วไป ได้หรือไม่ ?

    ทั้งนี้ เรามักจะได้ยินการที่มีผู้กล่าวถึง บุคคลที่มีความสามารถพิเศษ ว่า เป็นเหมือนเทพเจ้า เป็นมนุษย์มหัศจรรย์ และ มีการใช้อ้างอิงถึง ผู้ปกครอง บ้านเมืองด้วยเช่นกัน

    เช่น บุคคลผู้มีพลังพิเศษที่หยั่งรู้อตีด ปัจจุบัน อนาคต หรือ มี วิสัยทัศน์ ยาวไกลกว่าปรกติธรรมดา หรือ บุคคลผู้มีพลังดึงดูดผู้คนให้รู้สึก รักชอบ พอใจ ที่ได้เห็น พบเจอ หรือ ได้ใกล้ชิด ก็น่าจะนับได้

    แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เทพเจ้า ยังถูกมองว่า เป็น สัญลักษณ์ ของ สังคมในแต่ละช่วงเวลา ในแต่ละยุคสมัย และอาจเป็นผู้มีตัวตนอยู่จริงในฐานะของ ผู้เคยมีชื่อเช่นที่เรียกนั้นจริงๆ และ ยังปรากฏถึงปัจจุบันก็ด้วย การสร้างสมบุญกุศลคุณความดีเอาไว้อย่างมากมาย จนทำให้ นามของผู้นั้น ไม่ถูกลืมเลือนสูญหายไปด้วยกาลเวลา

    ตัวอย่างของการกระทำนั้น คือ คุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม และ ทุกสิ่งที่เราเข้าใจว่าเป็นความดีงาม และเพื่อจะจดจำได้ว่า เคยมีผู้กระทำสิ่งเหล่านี้ จึงเกิดการสร้าง ตัวแทนของบุคคลผู้นั้นขึ้น ไม่ใช่เพียงเพื่อการอุปโลก หรือ อุปาทาน หรือ สร้างเพื่อการค้าขาย

    และเหมือนธรรมเนียมนิยมทั่วโลก ที่ ตัวตนของคนแตกดับสูญสลายไป แต่ สิ่งที่ระลึกทดแทนตัวตนของคนผู้นั้น ยังคงอยู่ และได้บ่งบอกเรื่องราวยามที่ผู้สร้างเรื่องราวนั้นๆ มีชีวิต และ ต่อมา จากเรื่องเล่ากลายเป็นตำนาน จากตำนาน กลายเป็นนิทานปรำปรา และจากนิทานปรำปรา มีมากมายที่กลายเป็น ความเชื่อ ในเรื่องของ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือ เทพเจ้า

    แต่ไม่ว่าจะเป็นเทพเจ้าหรือแค่เพียงมนุษย์เดินดิน ก็ตาม ที่ได้ให้กำเนิดเรื่องราวทีเป็น ตัวอย่างของการกระทำทุกสิ่งที่ถือว่า ถูกต้อง ดีงาม เอาไว้ให้ผู้คนได้ยึดถือ เดินตาม ด้วยความมีสติ เราก็มีเหตุผลเพียงพอที่จะนำมาพิจารณา และ นำมาปฏิบัติตาม

    เพราะการที่เราห้อย แขวน รูปจำลอง ของ มหาเทพเจ้าผู้เป็นใหญ่ แต่ เราหาได้เข้าใจว่า เราควรกระทำตนเองเช่นไร สิ่งที่ตนห้อยนั้นก็เป็นเพียง เศษอิฐหินดินทรายหรือรากไม้หญ้าคา ไม่ก็เศษเหล็กเศษทองแดงหรือสุดแต่สรรหาวัตถุใดมากราบไหว้อย่างไร้สติ

    ท่านผู้มีปัญญาญาณทั้งหลายพึงพิจารณาเอาเถิด

    อ้างอิงจาก สุกฤษณ์ อุดมเดชวัฒน์ "ธุลีพระบาท"



    ของเราก็มีดี
     

แชร์หน้านี้

Loading...