เด็กไทยพันธุ์ใหม่ ในยุค โลกาภิวัตน์

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 29 ตุลาคม 2008.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=5 width=500 bgColor=#dddddd align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc vAlign=top width=70>โดย</TD><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>: พระมหานพดล ปุญญสุวัฑฒโน</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc width=70>วันที่ online</TD><TD bgColor=#ffffff>: 3 กันยายน 2547</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center><TBODY><TR><TD vAlign=center>
    [​IMG][​IMG][​IMG]
    </TD><TD vAlign=center width=20>[​IMG]</TD><TD vAlign=center>[​IMG][​IMG][​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellPadding=10 width=500 bgColor=#ffffff align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top>[​IMG] พ่อแม่ หลายคนจะบ่นว่า ทำไมลูกชอบคุยโทรศัพท์นาน ติดเพื่อน ติดห้างยิ่งกว่าติดโรงเรียน และอยู่ไม่ติดบ้าน ชอบเถียงพ่อแม่ ไม่ชอบอ่านหนังสือ ฯลฯ บางครั้งผู้เป็นพ่อแม่ต้องโทรศัพท์ปรึกษาจิตแพทย์ กรมสุขภาพจิต โทรปรึกษาตามรายการวิทยุที่เปิดสายให้โทรปรึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมวัยรุ่น นี่ก็เป็นปัญหาของพ่อแม่ยุค 2000 จนถึงปัจจุบัน ที่ลูกหลานไทยกำลังจะกลายพันธุ์เป็นเด็กไทยสายพันธุ์ใหม่ ที่พ่อแม่ต้องเข้าใจ ทำใจ ใส่ใจ และติดตามเด็กวัยรุ่นเหล่านี้ให้ทัน และเข้าถึงใจเขาให้มากเท่าที่จะมากได้

    ผู้เขียนได้ไปอบรมวิปัสสนากรรมฐานให้เจ้าหน้าที่คุมประพฤติศาลอาญาธนบุรี และเด็กวัยรุ่นที่ถูกคุมประพฤติ มีจำนวน 30 คน ณ ธรรมสถานโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน จ.นครปฐม เมื่อวันที่ 27- 29 เมษายน 2544 จากประสบการณ์ที่ไปอยู่คลุกคลีกับนักปฏิบัติวัยรุ่นดังกล่าวทำให้ได้มุมมองแง่คิด และเข้าใจวัยรุ่นขึ้นอีกมากมาย จากการพูดคุยแบบเปิดใจ และการจัดกิจกรรมกลุ่มสัมพันธุ์ ทำให้ได้สัมผัสความในใจที่แท้จริง และความคิดของวัยรุ่นยุคใหม่อย่างน่าเห็นอกเห็นใจ และน่าสงสารเด็กวัยรุ่นไทยในปัจจุบันเป็นอย่างยิ่ง

    แม้ปัจจุบันเราคนไทยภาคภูมิใจในความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี สื่อสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายทางทีวี อินเตอร์เนต เกมส์วีดีโอ หนังสือบันเทิงต่าง ๆ เด็กไทยแม้จะมีสิ่งสนองความสุขสนุกสนานมากมายในห้างสรรพสินค้าที่ผุดขึ้นดังกับดอกเห็ด แต่แท้จริงเด็กไทยในวันนี้ ยังขาดความรัก ความอบอุ่น ความเข้าใจในตนเอง ความมั่นใจ และความอดทนในสภาพแวดล้อมทางสังคมในปัจจุบัน เพราะเขามีสิ่งจูงใจ ดึงดูดใจ หรือดึงดูดจิตวิญญาณออกไปภายนอก ดังสติปัญญาของเขาออกไปฝากกับสิ่งสื่อวัตถุสัมผัสต่าง ๆ และผูกติดอยู่กับเพื่อน ๆ วัยเดียวกัน ความสุข ความทุกข์ สะดวกสบาย ความเชื่อมั่น รวมทั้งการตัดสินใจในการทำอะไรสักอย่างที่ไม่ดี ซึ่งปรากฏทางสื่อวิดีทัศน์ คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เนต และเพื่อน ๆ ใครทำได้ในสิ่งที่สังคมห้ามถือว่า เก่ง แน่ เยี่ยม เป็นฮีโร่ หากขาดสิ่งเหล่านี้ วัยรุ่นยุคใหม่แทบจะหาความสุข ความเชื่อมั่นในตัวเองไม่ได้เลย เขาจะเหงา เศร้าซึม หว้าเหว่ และที่สุดแล้วอาจต้องพึ่งพาสิ่งเสพย์ติด ยาบ้า ยาอี และเมทธิวแอลกอฮอล ร้ายแรงยิ่งกว่านั้น หากผิดหวัง ไม่สมหวังดังตั้งใจ เขาไม่มีสติยับยั้งชั่งใจ ไม่นึกถึงพ่อแม่ ญาติพี่น้อง เกียรติศักดิ์ศรี และคุณค่าชีวิตตนเอง เขาจะไม่เคารพตนเอง ขาดความเชื่อมั่นตนเอง มองเห็นว่าชีวิตนี้ไร้ค่าไม่มีความหมายใด ๆ สุดท้ายคิดสั้นชั่ววูบตามแบบที่ปรากฏในสื่อต่าง ๆ นั่นคือ ตายดีกว่า และมักไม่ชอบตายธรรมดา หากแต่เลือกวิธีต่าง ๆ ไม่ก็ยิงตัวตาย ฆ่าตัวตาย กินยาตาย ผูกคอตาย กระโดดตึกตาย เยอะแยะไปหมด ดังที่ปรากฏให้เห็นจนเป็นเรื่องชินหู ชินตากัน

    ดังนั้น ควรที่ผู้ใหญ่ พ่อแม่ ครู และผู้ปกครองฝ่ายไหนก็ตาม ซึ่งรวมถึงพระสงฆ์องค์เณรด้วยจะต้องเข้าใจเด็กวัยนี้ให้มากขึ้น และอดทนเห็น ฟัง ประสบกับพฤติกรรม การแสดงออกของพวกเขา ต้องปรึกษานักจิตวิทยา จิตแพทย์ ดูรายการทีวีที่เกี่ยวกับการเลี้ยงลุกให้ดี และต้องศึกษาจิตวิทยาวัยรุ่นบ้าง เพื่อจะได้ตั้งสติรับกับกิริยาอาการ คำพูด ความนึกคิดที่เขาแสดงออกต่อเรา ผู้ใหญ่ต้องพยายามทำใจรับความคิดเขาให้ได้ พยายามปรับตัวให้กลมกลืนกับเขา ให้เขารู้ว่าเราเป็นพวกเดียวกับเขา รักเขา ห่วงเขา แล้วค่อยปรับความนึกคิด และสอดแทรกเหตุผลเข้าไป ในฐานะที่เราผ่านโลกมามาก ด้วยการเล่นกับเขา คุยกันไปแนะนำกันไปด้วยความเข้าอกเข้าใจ เมื่อเขาไว้วางใจ สนุกอบอุ่นในเวลาที่อยู่ใกล้เราแล้ว เขาก็ยอมรับ เชื่อและทำตามแนวความคิดที่ดีงาม และสร้างสรรค์ที่ประจักษ์ชัดกับใจเขา เราไม่บังคับ ไม่ดูถูก ข่มขู่ คุกคาม เปรียบเทียบกระทบกระทั่ง ไม่ดุด่า ว่าย้ำเกี่ยวกับพฤติกรรมในอดีตของเขา เราเข้าใจพร้อมที่จะให้กำลังใจให้ความเป็นเพื่อน เป็นมิตรที่ปรารถนาดีด้วยความบริสุทธิ์ใจ จริงใจไม่หวังผลตอบแทนไม่ว่าจะทางใด ๆ ทำให้เขาเห็น ทำให้เขาดูพูดให้เขาเข้าใจ แสดงออกทางสีหน้าอาการ ด้วยรอยยิ้ม สายตาท่าทาง รวมทุกอย่างอยู่ที่ใจ แล้วผ่านออกมาทางกิริยาที่ทำ คำที่พูด ตามหลัก

    สาราณียธรรม 6 ประการ
    1. เมตตากายกรรม ปฏิบัติต่อเขาด้วยความรัก ความเมตตา
    2. เมตตาวจีกรรม พูดกับเขาด้วยความรัก ความเมตตา
    3. เมตตามโนกรรม จิตคิดที่จะพูด จะทำกับเขาด้วยความรัก ความเมตตา
    4. สาธารณโภคี มีอะไรก็แบ่งปันกันใช้ แบ่งปันกันกิน
    5. สีลสามัญญตา การมีศีล เคารพกฎกติกา และกฎหมายของสังคมร่วมกัน ไม่พยายามฝ่าฝืน ไม่ส่งเสริมสนับสนุนให้ตนเอง และเพื่อน ๆ ล่วงละเมิดทั้งโดยตรง และโดยอ้อม
    6. ทิฏฐิสามัญญตา การมีความคิดเห็นที่ตรงกัน หรือสอดคล้องกัน ไม่พยายามขัดแย้ง คัดค้านคิดเห็นที่สร้างสรรค์ดีงามของครอบครัว ชุมชน สังคม ประเทศชาติ และคำสอนทางพระศาสนา

    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    <TABLE border=0 cellPadding=10 width=550 bgColor=#ffffff align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top>[​IMG]..ขอให้เชื่อมั่นว่า ไม่มีอะไรเลวร้ายไปหมดอย่าเพิ่งตกอก ตกใจในความเปลี่ยนแปลงในตัวลูกหลานของท่านเอง เพราะนั่นเป็นพฤติกรรมชั่วคราวที่มักปรากฏในหมู่วัยรุ่น ทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลงตามกฎของธรรมชาติอยู่แล้ว คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา หาตัวตนเที่ยงแท้ไม่ได้ ทุกอย่างต้องมีการแปรเปลี่ยนสภาพตามเหตุปัจจัย และตามกาลเวลา เพียงแต่ผู้ใหญ่จะต้องคอยสังเกตดูพฤติกรรมของเขา แล้วปรับให้พอเหมาะพอดี ในกรอบแห่งเหตุผลที่ต้องอยู่บนสัมมาทิฏฐิ(การเห็นถูก เห็นควร) และบางครั้งก็ต้องหัดทำใจหากเขาไม่เป็นไปดังใจเรา ดังที่เราคิดคาดหวังไว้ เพราะแท้ที่จริงแล้วเขาก็คือ เขา เราก็คือ เรา ต่างคนต่างมีกรรมเป็นของตัวเอง หากเราช่วยเหลือที่สุดแล้ว เราก็ต้องปล่อยวางสักระยะหนึ่ง ให้เวลาและประสบการณ์สอนเขา ให้บทเรียนช่วยพัฒนาเขาให้ก้าวขึ้นสู่ความเป็นผู้ใหญ่ที่ดี มีเหตุผล ใจเย็นเป็นสุขได้ด้วยตนเอง รู้จักพึ่งตนเอง และเราเป็นเพียงผู้ให้กำลังใจ ถามไถ่บ้าง ในยามที่เขาเป็นปกติสุข ดำเนินชีวิตไปได้ด้วยตนเอง ชื่นชมในคราวที่เขาทำดี และประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ แม้จะเล็กน้อยก็ตาม และพร้อมเสมอที่จะเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นพี่ เป็นเพื่อน และเป็นทุก ๆ อย่างที่ดีที่เขาปรารถนาด้วยกระแสแห่งน้ำใสใจจริงอย่างไม่ขาดสาย เขาผิดพลาดสักกี่ครั้ง เศร้าทุกข์ระทมมาสักกี่หน เมื่อเขาหันหน้ามาหาเรา เราพร้อมที่จะหยิบยื่นให้อภัย ให้รอยยิ้ม ให้กำลังใจ และอ้าแขนโอบรับเขากลับมาสู่ความเป็นมนุษย์ เช่นเดียวกับเราที่ปรารถนาความสุข ไม่ปรารถนาความทุกข์ เพราะรู้ดีว่าไม่มีใครสมบูรณ์ในตัวเอง การให้เป็นการได้มาซึ่งสุข และความเบิกบานใจที่เป็นอมตะ เป็นยาใจที่ประสานสังคม และประชาคมโลกมิให้แตกสลายกลายเป็นสงครามล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยกันดังพระบาลีที่ว่า "โลโกปัตถัมภิกา เมตตาความรักที่ปรารถนาดีต่อกันนั้นช่วยค้ำจุนเกื้อหนุนสร้างสันติภาพให้โลกงดงาม น่าอยู่อาศัย"


    และดังมีพระราชดำรัสที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในหลวงผู้เป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย ได้พระราชทานไว้ให้พสกนิกรชาวไทยว่า " ให้ชาวไทยรู้รักสามัคคี "

    รู้ คือ การศึกษา และปัญญา พิจารณาทุกอย่างด้วยเหตุผล

    รัก คือ เมตตากรุณา ใน พรหมวิหารธรรม 4 ที่มีต่อกันอย่างไม่เสื่อมคลาย ไม่เลือกถือปฏิบัติแบบชาติชั้นวรรณะ และตามหลักสาราณียธรรม 6 ประการข้างต้น

    สามัคคี คือ การร่วมแรงร่วมใจกันปฏิบัติหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดตามหลักของทิศ 6 ให้ประสานสอดคล้องไปด้วยกัน ในกรอบกติกาสังคมเดียวกันจึงจะทำให้กิจการของครอบครัวมั่นคง ครอบครัวมีความอบอุ่น เมื่อครอบครัวอบอุ่น สงบ เย็นเป็นสุขมั่นคงแล้ว ก็จะขยายไปสู่ สังคม ชุมชน ประเทศชาติ และประชาคมโลกได้ในที่สุด

    ข้อสำคัญ ให้เราเข้าใจ และยอมรับความจริงว่า นี่คือ เด็กไทย ลูกหลายไทย ยังไง ๆ เขาก็ลูกหลานเรา แม้เขาจะเป็นเด็กไทยพันธุ์ใหม่ ยุค 2002 ก็ตาม เขาก็คือ ลูกหลานเลือดเชื้อไทย เราจะปฏิเสธ ด่าว่า ประจาน รังเกียจ ทอดทิ้ง พวกเขา ก็เท่ากับเราพากันประจานความเป็นคนไทยเราเอง ที่ไม่สามารถสั่งสอนลูกหลานตนให้เป็นเด็กไทยที่ดีเพียงพอ ได้ดั่งที่ใจของเราคาดหวังไว้ หรือว่าเรายังจะต้องปรับใจเราให้เป็นพ่อ แม่ พันธุ์ใหม่ ในยุคโลกาภิวัตน์ เพื่อให้สอดคล้องกับเด็กยุคนี้กระนั้น หรือ ?
     

แชร์หน้านี้

Loading...