101.เดินกรุงเก่า เข้าวัดหลวง (2)

ในห้อง 'ท่องเที่ยว - อาหารการกิน' ตั้งกระทู้โดย สร้อยฟ้ามาลา, 22 พฤษภาคม 2022.

  1. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536
    พระวิหาร เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก หลังคามุงกระเบื้องเคลือบ หน้าบันประดับลายปูนปั้น สร้างสมัยรัชกาลที่ 3

    หลวงพ่อแขนลาย พระพุทธรูปโบราณ ขนาดหน้าตักกว้าง 29 นิ้ว ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยา มีลักษณะคล้ายพระศรีอาริยเมตไตรย บนพระเศียรไม่มีพระเกตุมาลาเพราะว่ายังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทเจ้า รวมไปถึงพระหัตถ์ซ้ายที่อยู่ในลักษณะชี้นิ้วไปทางขวาด้วย พระศรีอาริยเมตไตรยบางองค์ก็จะมีการถือตาลปัตรไว้ในมือด้วย แขนด้านหนึ่งขององค์พระมีการลงอักขระยันต์ไว้อย่างชัดเจน เป็นที่เล่าลือถึงความศักดิ์สิทธิ์และการบนบานศาลกล่าวด้วยมะพร้าวอ่อน ไข่ พวงมาลัย ปิดทอง และถวายทองคำแท้ มักประสบความสำเร็จในหลายๆ เรื่อง หลวงพ่อเคยถูกขโมยหลายครั้งแต่ไม่สามารถนำองค์พระออกไปได้


    พระเจดีย์ลักษณะก่ออิฐถือปูน อยู่ด้านหลัง พระอุโบสถ ฐานประทักษิณสูง ทรงระฆัง ย่อมุมไม้สิบสอง และมีพระเจดีย์ภายในบรรจุอัฐิสมเด็จพระพุทธฒาจารย์ (พุก) อดีตเจ้าอาวาสรูปที่ 5 อยู่นอกกำแพงแก้ว พระปรางค์ มี 2 องค์ ลักษณะก่ออิฐถือปูน อยู่ด้านหน้าพระอุโบสถ

    หอไตร เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ลักษณะทรงไทย หลังคามุงกระเบื้อง หน้าบันลายปูนปั้น เป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ ผนังตอนล่างเจาะเป็นช่องคูหามีซุ้มโค้งยอดแหลม ถัดขึ้นไปมีระเบียงและ กำแพงโดยรอบ เสากลมรองรับชายคาโดยรอบ มีบัวหัวเสา ผนังด้านหน้าและด้านหลังมีช่องประตูข้างละ หนึ่งช่อง ผนังด้านข้างมีหน้าต่างข้างละสามช่อง ภายในหอไตร มีภาพเขียนลายพุ่มข้าวบิณฑ์สีแดง เขียนบน พื้นขาวเต็มทั้งสี่ด้าน บานหน้าต่างเป็นไม้ ด้านในเขียนภาพทวารบาล ด้านนอกเขียนลายรดน้ำเป็นจิตรกรรม สมัยรัตนโกสินทร์

    ธรรมาสน์ เป็นศิลปกรรม เครื่องไม้ จำหลักสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น รูปทรงจำลอง มาจากพระแท่นประทับของพระมหากษัตริย์ ประดับ ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ซุ้มรังไก่ ยอดปราสาท

    ศาลาการเปรียญ เป็นอาคารครึ่งตึก ครึ่งไม้ ลักษณะทรงไทย หลังคามุงกระเบื้อง สร้างเมื่อปี พ.ศ.2524

    หอระฆัง เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก หลังคามุงกระเบื้อง ขนาดกว้าง 3 เมตร ยาว 3 เมตร

    (ไม่ได้ถ่ายรูปมาสักรูป)
     
  2. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536
    ?temp_hash=1bbdaaa3566a6137e37ab15ed4e1cfd5.jpg


    ?temp_hash=1bbdaaa3566a6137e37ab15ed4e1cfd5.jpg

    ตัวเดียวกันป่าวเนี่ยะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536
    ?temp_hash=1bbdaaa3566a6137e37ab15ed4e1cfd5.jpg

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536
    ?temp_hash=1bbdaaa3566a6137e37ab15ed4e1cfd5.jpg

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536
    จากประตูรั้วข้างวัดเดินมาถึงพระอุโบสถ์ไกลพอดู ตอนนี้แดดเริ่มร้อนได้เหงื่อเลย พอเดินมาใกล้จะถึง เห็นกลุ่มวัยรุ่นเดินวนๆ อยู่ใกล้ๆ โบสถ์ ได้ยินเสียงพระสวดมนต์อยู่ คงจะยังเข้าโบสถ์ไม่ได้ แต่ว่าพอสร้อยฟ้ามาลาเดินเข้าซุ้มประตูกำแพงแก้ว พระสงฆ์กำลังทยอยออกจากโบสถ์ มีหลวงตามองมาเห็นสร้อยฟ้ามาลากำลังเดินไปใกล้ถึงเสมาหน้าโบสถ์ หลวงตาบอกว่า มาๆๆ เข้ามาไหว้พระได้นะ ส่วนกลุ่มวัยรุ่นก็เดินๆ ตามกันเข้ามาไหว้พระเหมือนกัน เวลาประจวบเหมาะพอดีเลย เป็นอีกวัดนึงที่มีคนมาไหว้พระน้อยมาก แต่พอเดินเข้าไปมองดูแล้วเหมือนเสาโบสถ์เอียงๆ ไปด้านซ้าย ไม่ได้สอบเข้าหากัน ก็ทำบุญไหว้พระแล้วเดินออกมาข้างนอกถ่ายรูปอีกนิดหน่อยก็เดินกลับไปที่รถเพื่อไปยังวัดต่อไป

    ขับรถย้อนออกมาทางเดิม ทางด้านซ้ายมือมีวัดโบราณอีกวัดหนึ่งเป็นวัดราษฎร์ ทีแรกตอนขาเข้ามาจะไม่แวะ แต่ไหนๆ มาแล้ว... แวะสักหน่อย
     
  6. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536
    วัดพนมยงค์

    ตั้งอยู่ตำบลท่าวาสุกรี อำเภออำเภอพระนครศรีอยุธยา

    ไปเจอบทคัดย่อมาจาก หนังสือพิมพ์ มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 15 พฤษภาคม 2526 กล่าวถึงประวัติของวัดไว้ว่า

    ....“เวลาอาตมาเข้ากรุงเทพฯ พอบอกว่าอยู่ที่วัดพนมยงค์ คนชอบร้องว่า อ้อ… วัดปรีดี พนมยงค์นั่นเอง จริงๆ ไม่ใช่หรอก วัดพนมยงค์เป็นวัดเก่าแก่มานมนานแล้ว ทางปรีดีเขามาเอาชื่อวัดไปเป็นชื่อนามสกุลอีกทีหนึ่งต่างหาก” พระเกษม อติเมโธ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพนมยงค์เล่าให้ฟัง

    บริเวณหน้าวัดเป็นคลองเมืองที่มีความสำคัญอีกประการหนึ่งที่เกี่ยวพันกับบุคคลในประวัติศาสตร์ก็คือ ริมฝั่งตรงข้ามวัดพนมยงค์เป็นที่ตั้งเรือนแพบ้านเดิมของปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโสของประเทศไทยนั่นเอง

    “วัดพนมยงค์เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ในสมัยพระเทียนราชา” พระอธิการเอื้อ สุณฑริโก เจ้าอาวาสวัดพนมยงค์ (พ.ศ. 2526) เล่าว่า “สมัยพระไชยราชาธิราช กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาได้ยกทัพขึ้นไปตีเมืองศรีสัตนาคนหุต และได้นำนางแก้วแจ่มฟ้า ธิดาเจ้าเมืองศรีสัตนาคนหุตมาเป็นมเหสี มีโอรสด้วยกันหนึ่งพระองค์คือพระแก้วฟ้า

    นางแก้วแจ่มฟ้าเมื่อคลอดโอรสได้เพียง 7 วันก็สิ้นพระชนม์ ทางเจ้าเมืองศรีสัตนาคนหุตได้ส่งพระนม นามว่า “มะยงค์” มาดูแลพระแก้วฟ้าต่างพระเนตรพระกรรณ

    เมื่อพระแก้วฟ้าอายุ 11 ปี พระไชยราชาธิราชสิ้นพระชนม์ บรรดามุขอำมาตย์ทั้งหลายก็ยกพระแก้วฟ้าขึ้นครองราชย์ มีพระเทียนราชา อนุชา พระไชยราชาธิราชเป็นผู้สำเร็จราชการ และนางศรีสุดาจันทร์มเหสีพระไชยราชาธิราชเป็นพระเจ้าแม่อยู่หัว นางศรีสุดาจันทร์นั้นเป็นชู้กับขุนวรวงศาลอบวางยาพิษสิ้นพระชนม์

    หลังจากนั้นนางศรีสุดาจันทร์และขุนวรวงศาก็ร่วมกันกลั่นแกล้งบรรดาข้าราชการที่เป็นฝ่ายพระแก้วฟ้าและพระเทียนราชา จนพระเทียนราชาทนไม่ได้ หนีไปบวชอยู่ที่วัดราชประดิษฐาน บ้านเมืองจึงเริ่มระส่ำระส่าย

    ขุนพิเรนทรเทพจึงคิดวางแผนลอบฆ่านางศรีสุดาจันทร์และขุนวรวงศา โดยบอกแก่นางศรีสุดาจันทร์ว่า ขณะนี้ทางเมืองเชียงใหม่แจ้งมาว่าพบช้างเผือก ขอให้นางศรีสุดาจันทร์และขุนวรวงศาเสด็จไปคล้องช้าง เมื่อทั้งสองออกนอกเมืองก็ถูกขุนพิเรนทรเทพลอบฆ่า แล้วนำหัวไปเสียบประจานที่วัดแร้ง หลังจากนั้นก็อัญเชิญพระเทียนราชาขึ้นครองราชย์ สถาปนาเป็นพระมหาจักรพรรดิ

    พระมหาจักรพรรดิทรงปูนบำเหน็จรางวัลให้แก่ข้าราชการที่จงรักภักดี รวมทั้งนางมะยงค์ พระนมของพระแก้วฟ้าซึ่งถูกขังไว้ที่กรุสนมขณะที่นางศรีสุดาจันทร์เรืองอำนาจ นางมะยงค์หรือเจ้าจอมมะยงค์ขอร้องให้พระมหาจักรพรรดิทรงสร้างวัดให้แก่ตนให้อยู่คู่กับวัดแก้วฟ้า ซึ่งสร้างขึ้นภายหลังการสิ้นพระชนม์เนื่องมาจากเจ้าเมืองศรีสัตนาคนหุตทรงฝันเห็นพระแก้วฟ้ามาขอร้องให้หาที่อยู่ให้แก่ตน ทางอยุธยาจึงสร้างวัดแก้วฟ้าน้อยให้

    วัดที่สร้างให้แก่นางมะยงค์นั้น ทรงพระราชทานนามว่า “วัดพระนมมะยงค์” ต่อมาเนื่องกรุงศรีอยุธยาเสียกรุง วัดนี้ถูกเผาไปด้วย ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์จึงได้บูรณะขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และชื่อได้เพี้ยนเป็น “วัดพนมยงค์” ดังที่ปรากฏในปัจจุบัน....

    แต่ข้อมูลอีกหลายแห่งบอกว่า

    .... เป็นวัดโบราณสร้างขึ้นในราวรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ระหว่าง พ.ศ. 2173-2198 เดิมบริเวณที่ตั้งวัดเป็นสวนของพระนมในราชสำนักของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีนามว่า โยง หรือ ยง เมื่อพระนมโยงได้ถึงแก่อนิจกรรมลงแล้ว เจ้านายบางองค์ได้ระลึกถึงอุปการคุณ จึงได้สร้างวัดขึ้นที่สวนของพระนมเพื่ออุทิศส่วนกุศลแด่พระนม วัดที่สร้างขึ้นจึงได้มีนามว่า วัดพระนมโยง ต่อมาเรียกว่า วัดพนมโยง วัดจอมมะยงค์ หรือ วัดพนมยงค์ภายหลังเสียกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. 2310 วัดนี้ได้ถูกทิ้งร้าง และได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาตระกูลพนมยงค์ได้เป็นโยมอุปถัมภ์วัดนี้มาจนถึงในปัจจุบัน….

    แต่อ่านแล้วได้เค้าความว่า เป็นวัดที่สร้างขึ้นให้แก่ พระนม ชื่อ โยง หรือ ยง หรือ มะยงค์ ประมาณนี้
     
  7. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536
    ?temp_hash=1bbdaaa3566a6137e37ab15ed4e1cfd5.jpg

    พระอุโบสถท้องสำเภา เป็นคติทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายานที่แฝงอยู่กับคติเถรวาท หมายถึงพุทธศาสนาเป็นดั่งสำเภาที่จะพาปุถุชนข้ามโอฆสังสารไปสู่ความสิ้น ทุกข์ พระพุทธรูปในพระอุโบสถเป็นพระพุทธรูปสมัยอู่ทอง หน้านางสร้างด้วยทองสัมฤทธิ์ อีกองค์หนึ่งเป็นรูปหล่อพระศรีอาริยเมตตรัยสมัยปลายสมัยอยุธยา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536
    ?temp_hash=1bbdaaa3566a6137e37ab15ed4e1cfd5.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536

    ?temp_hash=1bbdaaa3566a6137e37ab15ed4e1cfd5.jpg

    วิหารพระพุทธไสยยาสน์นองค์ใหญ่ทำด้วยปูนปั้น พระนอนองค์นี้มีพุทธลักษณะศิลปะสุโขทัย เพราะพระศกท่านคล้ายก้นหอยขม พระเศียรหันไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ พระพักตร์หันไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ น่าจะเป็นปางปรินิพพาน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536
    ?temp_hash=1bbdaaa3566a6137e37ab15ed4e1cfd5.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536
    ?temp_hash=1bbdaaa3566a6137e37ab15ed4e1cfd5.jpg

    เคยไหว้พระพุทธไสยยาสน์มาหลายแห่ง
    แต่ที่นี่ยังไม่เคยเห็นเหมือนที่ไหนเลย
    มีความโค้งองค์พระ อ่อนช้อยไปหมด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536
    ทำบุญไหว้พระแล้วก็ขึ้นรถมุ่งหน้าไปวัดหลวง วัดที่แปด

    แต่ว่าตอนนี้ดูเวลาปาเข้าไปบ่ายสองโมง ต้องหาอะไรทานก่อนจะเป็นลม แวะร้านอาหารร้านแรกๆ ที่เจอใกล้แถวนั้นแหล่ะ ถ้าเลือกมากสร้อยฟ้ามาลาขับรถเลยหมด ตอนทานข้าวก็มือสั่นไปเพราะความหิว... ไหว้พระเพลินไปหน่อย

    ?temp_hash=1bbdaaa3566a6137e37ab15ed4e1cfd5.jpg


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536
    ?temp_hash=1bbdaaa3566a6137e37ab15ed4e1cfd5.jpg

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536
    ?temp_hash=1bbdaaa3566a6137e37ab15ed4e1cfd5.jpg

    อิ่มแล้วก็ขับรถไปวัดหลวง วัดที่แปด


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536
    วัดตูม พระอารามหลวง


    ?temp_hash=1bbdaaa3566a6137e37ab15ed4e1cfd5.jpg
    พระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ ตั้งอยู่ตำบลวัดตูม อำเภอพระนครศรีอยุธยา

    เป็นวัดโบราณเก่าแก่ มีมาก่อนตั้งกรุงอยุธยาเป็นราชธานี ครั้งกระนั้นเป็นยุคสมัยเมืองอโยธยา วัดตูมอยู่นอกเกาะเมืองกรุงศรีอยุธยา เป็นวัดประจำชุมชน ต่อมาชาวบ้านได้พบพระพุทธรูปทรงเครื่องซ่อนอยู่ในป่า จึงอัญเชิญประดิษฐานที่วัดตูมแห่งนี้ พระพุทธรูปทรงเครื่ององค์นี้ เมื่อครั้งสมัยหลวงพ่อหมื่นอุดม อดีตเจ้าอาวาสวัดตูม ประดิษฐาน ณ หอสวดมนต์ เมื่อชาวบ้านเข้ามาดูดวง ดูฤกษ์แต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ หลวงพ่อท่านนั่งหลับตาแล้วก็ตอบทันที แล้วท่านจะให้มากราบขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์คือองค์พระพุทธทรงเครื่อง ต่อมาทางวัดตูมได้ทำความสะอาดองค์พระพุทธรูปทรงเครื่อง ปรากฏว่าไปกระทบกับพระเศียร จึงทำให้รู้ว่าพระเศียรเปิดได้ หลวงพ่อท่านมาดูเห็นมีน้ำอยู่ในพระเศียร ก็ให้มีการพิสูจน์ว่าเป็นจริงหรือไม่ โดยจัดให้มีคนเฝ้าดูนานหลายเดือนพอเปิดพระเศียรมีน้ำอยู่ในพระเศียรเหมือนเดิม ประมาณ 1 แก้ว ชาวบ้านถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มหัศจรรย์ยิ่งนัก เมื่อข่าวเผยแพร่ออกไปก็มีผู้คนเดินทางมาขอพรกันมากทุกวัน โดยเฉพาะขอน้ำพระพุทธมนต์ไปอาบเพื่อเป็นสิริมงคล และเรียกชื่อหลวงพ่อทองสุขสัมฤทธิ์ ปัจจุบันวัดตูมได้สร้างวิหารเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อทองสุขสัมฤทธิ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536

    ?temp_hash=1bbdaaa3566a6137e37ab15ed4e1cfd5.jpg

    หลวงพ่อทองสุขสัมฤทธิ์เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 87 เซนติเมตร สูง 150 เซนติเมตร สร้างแต่สมัยใดไม่ปรากฏหลักฐาน มีลักษณะงดงาม ทรงเครื่องแบบมหาจักรพรรดิราชาธิราช สวมมงกุฎ มีกุณฑล ทับทรวงสังวาล พาหุรัด ประดับด้วยเนาวรัตน์ ประทับนั่งขัดสมาธิ เมื่อเสียกรุงก็ยังอยู่ในสภาพบริบูรณ์ ชาวบ้านผู้สูงอายุเล่าว่าเคยเห็นเพชร พลอย ทับทิม ประดับตามพระอุระและพาหา บนพระอังสะทั้งสองข้างประดับด้วยอินทรธนู แต่ในปัจจุบันไม่มีแล้ว พระพุทธรูปองค์นี้มีลักษณะพิเศษอยู่คือ พระเศียรตอนเหนือพระนลาฎ (หน้าผาก) เปิดออกได้และพระเกศมาลาถอดได้ ภายในพระเศียรที่เป็นบ่อกว้างลึกจนถึงพระศอ มีน้ำไหลซึมออกมาตลอดเวลา เป็นน้ำใสเย็นที่ไม่เคยแห้ง

    เล่ากันว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงนำน้ำในพระเศียรหลวงพ่อทองสุขมาใช้ร่วมกับน้ำในบ่อพระพุทธมนต์ วัดพระพายหลวง บ่อพระร่วง เมืองเก่าสุโขทัย ในพิธีชุบพระแสงและเครื่องศาสตราวุธเพื่อออกรบกับข้าศึกอีกด้วย

    ในสมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะเป็นพระอารามหลวง

    (ในหนังสือทำเนียบพระอารามหลวงฉบับกรมธรรมการ พ.ศ.2465 กล่าวประวัติของวัดไว้ว่า
    “...วัดตูม พระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ เป็นวัดโบราณครั้งกรุงศรีอยุธยา เป็นวัดสำหรับลงเครื่อง... ”
    “ลงเครื่อง” หมายถึง การทำพิธีชุบพระแสงตามตำราพิชัยสงคราม โดยนำผงฝุ่นที่ทำเป็นเลขยันต์มาให้พระเถระผู้ใหญ่สลับกันสวดพระพุทธมนต์เป็นเวลา 7 วัน 7 คืน จากนั้นจะนำน้ำศักดิ์สิทธิ์ภายในพระเศียรของหลวงพ่อทองสุขมาละลายผงฝุ่นเลขยันต์นั้น จนมีลักษณะเหมือนดินสอพองละลายน้ำ จึงนำมาเขียนเป็นอักขระลงที่พระแสงดาบ ทิ้งไว้ให้แห้งก่อนนำพระแสงดาบเข้าไปเข้าเตาเผา แล้วจึงไปชุบลงในสระน้ำที่อยู่ข้างพระอุโบสถอีกแห่งหนึ่ง เมื่อพระแสงเย็นแล้วจะเกิดเป็นตัวนูนขึ้นมาเป็นที่อัศจรรย์ หลังจากนั้นจึงนำมาล้างด้วยน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในพระเศียรของหลวงพ่อทองสุขอีกครั้งหนึ่ง)

    ในสมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เคยเสด็จพระราชดำเนินไปบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน และโปรดฯ ให้นำน้ำในสระที่อยู่ข้างพระอุโบสถไปใช้ในพิธีลงเครื่องพิชัยสงคราม ชุบพระแสง ซึ่งปรากฎในพระราชหัตถเลขา เรื่อง เสด็จประพาสลำน้ำมะขามเฒ่า เมื่อปี พ.ศ.2451 ฉบับที่ 3 ลงวันที่ 23 พฤศจิกายน รัตนโกสินทร์ศก 127 มีเรื่องราวเกี่ยวกับวัดตูมปรากฏว่า

    ...วัดตูมนี้ ลานวัดมีต้นไม้ร่มชิด เป็นวัดอย่างสมถะแท้ พระอุโบสถใหญ่ แต่มีหน้าต่างข้างละช่อง จั่นหับหน้าหลัง หน้าบันเทพนมก้านขดโต ๆ ปั้นลมเป็นรูปตุ๊กตา... แต่พระเจดีย์เป็น 2 องค์ องค์หนึ่งตรงหลังโบสถ์ องค์หนึ่งไม่ตรงพระพุทธรูปในนั้นมีแถวหน้า 3 แถว แถวหน้ามีพระทรงเครื่องที่มีน้ำในพระเศียรองค์หนึ่ง อีกองค์หนึ่งว่าเชิญลงไปวัดเบญจมบพิตร แท่นว่างจะให้หาพระขึ้นมาตั้งเปลี่ยน พระ 3 องค์แถวใน ปิดทองแต่เฉพาะที่พระองค์ ผ้าทาชาด...


    ในสมัยรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างธงพระกระบี่ธุชซึ่งเป็นธงประจำตำแหน่งจอมทัพ โดยโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ จัดทำขึ้น โดยมีพระครูธรรมเสมาจารย์ (พระวิสุทธาจารย์เถร เลื่อง) รองเจ้าคณะเมืองกรุงเก่าแห่งวัดประดู่ทรงธรรม พระนครศรีอยุธยา ได้ทำพิธีลงยันต์และอักขระที่วัดตูมนี้

    ต่อมา กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2478

    ในรัชสมัยรัชกาลที่ 10 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้นำน้ำภายในพระเศียรหลวงพ่อทองสุขสัมฤทธิ์และบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ของวัดตูมนำมาใช้ประกอบในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536
    ?temp_hash=1bbdaaa3566a6137e37ab15ed4e1cfd5.jpg

    ขับรถมาถึงวัดตึกประมาณ เกือบบ่ายสามโมง จอดรถหน้าพระวิหารได้แล้ว ฝนก็โปรยลงมาเป็นละอองให้อากาศได้เย็นขึ้น เดินเข้าไปทำบุญไหว้พระในวิหาร ภายในมีรูปลอยองค์ของอดีตบูรพกษัตริยาธิราชหลายพระองค์ พอเดินออกมาเห็นเขาเดินเวียนเทียนกันบนพระวิหารอีกหลังซึ่งตั้งอยู่ข้างๆ ก็เลยเดินขึ้นไปบ้าง เห็นป้ายบอกว่าเป็นที่ประดิษฐาน หลวงพ่อทองสุขสัมฤทธิ์ ซึ่งตอนนั้นยังไม่รู้ประวัติของหลวงพ่อ จนได้มาเขียนกระทู้นี้แหล่ะ เดินเวียนเทียนรอบพระวิหารแล้วก็เข้าไปไหว้หลวงพ่อ ทำบุญหยอดตู้แล้ว เดินลงมาจะไปไหว้พระในพระอุโบสถ ปรากฏว่าไม่เปิด...

    ?temp_hash=7cbcce5084183079d185764714b74f94.jpg


    ขึ้นรถไปวัดหลวงต่อไปวัดที่เก้า วัดนี้สร้อยฟ้ามาลาเคยมาแล้วครั้งนึง แล้วได้เขียนกระทู้ สร้อยฟ้ามาลาพาเที่ยว : ยามบ่ายที่พระนครศรีอยุธยา ,เมื่อปี 2552 ก็ 13 ปีที่แล้ว ก็ขอนำข้อมูลมาลงใหม่อีกครั้ง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2022
  18. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536

    วัดบรมวงศ์อิศรวรารามวรวิหาร
    พระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรวิหาร
    ตั้งอยู่ที่ตำบลสวนพริก อำเภอพระนครศรีอยุธยา

    เป็นวัดโบราณ ตั้งอยู่ริมคลองน้ำยาใกล้กับเพนียดคล้องช้าง อยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำป่าสัก เดิมชื่อ วัดทะเลหญ้า พวกกรมพระคชาบาลสร้างขึ้นเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ในแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ โปรดฯ ให้ย้ายเพนียดเดิมที่ตั้งอยู่วัดซอง ย้ายไปตั้งที่ตำบลทะเลหญ้า(ตำบลสวนพริกในปัจจุบัน) อยู่ในเขตอำเภอกรุงเก่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ โปรดฯ ให้ขุดคลองสระบัวซึ่งเป็นคลองแยกจากแม่น้ำลพบุรีทางทิศเหนือ จากท่าข้างกำแพงพระนครต่อออกไปจนถึงเพนียด เพื่อทรงใช้เป็นทางเสด็จทอดพระเนตรการจับช้างป่าที่เพนียดที่โปรดฯ ให้สร้างขึ้นใหม่นี้

    ?temp_hash=8685c4530b6bf09aa4f896e5d24421ad.jpg

    วัดบรมวงศ์อิศรวรารามวรวิหาร หรือ วัดทะเลหญ้า เดิมมีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่ตลอดมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ทรุดโทรมเรื่อยมา ถึงในสมัยรัชกาลที่ ๔ เสด็จไปทอดพระเนตรการซ่อมเพนียดคล้องช้างที่พระนครศรีอยุธยาทอดพระเนตรเห็นว่าวัดทะเลหญ้าซึ่งอยู่ใกล้กับเพนียดเป็นวัดที่ชำรุดทรุดโทรมหมดทั้งวัด โบสถ์ วิหารการเปรียญและศาลาต่างๆ ตลอดจนกุฏิสงฆ์ ซึ่งชำรุดไปมาก จึงทรงพระราชดำริว่า “วัดนี้ไม่ใช่วัดร้างยังมีพระสงฆ์

    จำพรรษาอยู่ ถ้าจะปล่อยให้ชำรุดทรุดโทรมอย่างนี้ต่อไป อีกไม่นานก็ไม่สามารถจะใช้ประโยชน์ในศาสนกิจได้” อีกประการหนึ่งเมื่อแขกบ้านแขกเมืองที่จะไปชมการจับช้างเถื่อนที่เพนียด เห็นสภาพของวัดเข้าแล้วจะทำให้ขายหน้าไปตลอดถึงประเทศชาติได้ จึงเป็นเหตุให้สมเด็จเจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ทรงสร้างวัดทะเลหญ้าขึ้นใหม่ ซึ่งผู้ที่เคยเห็นเหตุการณ์ตอนนั้นเล่าว่า “สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ ได้ทรงปรารภว่า วัดทะเลหญ้าอยู่ใกล้เพนียด เป็นวัดของพวกกรมช้างมาแต่ก่อน คนภายนอกจะมาทำบุญก็ยากเพราะกลัวช้าง บริเวณนี้เป็นที่เลี้ยงช้าง ส่วนพวกเลี้ยงช้างก็ไม่มีเวลาจะไปทำบุญตามวัดต่างๆ ได้ ควรจะสร้างวัดขึ้นใหม่ให้พวกกรมช้างได้อาศัยทำบุญ พระองค์ท่านทรงมีพระปิติโสมมนัสเปี่ยมด้วยศรัทธาอันแรงกล้า จึงได้ทรงเริ่มก่อสร้างวัดทะเลหญ้าขึ้นใหม่ทั้งหมด เริ่มตั้งแต่ในรัชกาลที่ ๔ เสร็จเรียบร้อยบริบูรณ์ เมื่อปีพุทธศักราช 2418 ในรัชกาลที่ 5 แล้วทรงถวายเป็นพระอารามหลวง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดพระราชทานชื่อใหม่ว่า วัดบรมวงศ์อิศรวราราม วรวิหาร

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536
    ?temp_hash=8685c4530b6bf09aa4f896e5d24421ad.jpg

    วัดบรมวงศ์อิศรวรารามวรวิหาร ปรากฏในจดหมายเหตุพระราชกิจรายวันของรัชกาลที่ 5 ว่า

    พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จไปพระราชทานพระกฐินหลายคราว โดยเสด็จด้วยเรือพระที่นั่งจากพระราชวังบางปะอินบ้าง และเสด็จตรงไปจากกรุงเทพฯ บ้าง การเสด็จไปพระราชทานพระกฐินในแต่ละครั้งนั้น มีขบวนตามเสด็จมากมาย มีทั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายใน และเมื่อพระราชทานพระกฐินเสร็จแล้ว ก็เลยเสด็จประพาสตามแม่น้ำลำคลองต่างๆ ในพระนครศรีอยุธยา เป็นที่สำราญพระราชหฤทัยอย่างยิ่ง

    ครั้ง พ.ศ.2444 หลังจากสมเด็จกรมพระยาบำราบปรปักษ์สิ้นพระชนม์แล้ว 15 ปี ปรากฏว่าผนังอุโบสถด้านทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ได้ทรุด พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงช่วยเหลือซ่อมแซม ส่วนเสนาสนะอื่นๆ นั้น


    ?temp_hash=e4116491b6bb08328f4c8e390c67f93f.jpg

    พระยาปริยัติวงศาจารย์ ได้บูรณปฏิสังขรณ์เรื่อยมา สิ่งก่อสร้างภายในวัดเป็นรูปแบบของสถาปัตยกรรมไทย พระอุโบสถทำเป็นซุ้มรูปพระมหามาลา บานประตูบานหน้าต่างเขียนลายรดน้ำ ผนังพระอุโบสถตอนล่างประดับด้วยกระเบื้องเคลือบลายคราบสลับหินอ่อน พื้นพระอุโบสถปูหินอ่อน มีเจดีย์ฐานย่อเป็น 8 เหลี่ยม สูงประมาณ 10 เมตร เจดีย์องค์นี้บรรจุพระอังคารของสมเด็จฯ กรมพระยาบำราบปรปักษ์ มีแท่นหินอ่อนอยู่ทางทิศเหนือแท่น 1 ซึ่งเป็นแท่นทรงกราบ ส่วนในพระวิหารนั้นมีพระพุทธรูปทรงเครื่องสูงประมาณ 2 เมตร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2022
  20. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536
    ?temp_hash=8685c4530b6bf09aa4f896e5d24421ad.jpg

    หลวงพ่อเพชร
    พระประธานในพระอุโบสถ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...