"เจ้าถ่อย"

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ถิ่นธรรม, 12 มิถุนายน 2009.

  1. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    เห็นหลายท่านขอบติเตียนวิพากษ์วิจารณ์หมู่คณะอื่น ติเตียนพระสงฆ์องค์เจ้า โดยไม่รู้ตนว่ากำลังเล่นกับไฟ เที่ยวกล่าวโทษผู้มีคุณวิเศษโดยไม่รู้ตัวว่ากำลังไปลงนรกโดยอาศัยการเห็นเพียงผิวเผินเท่านั้น

    เราลองมาศึกษาประวัติพระอรหันต์องค์หนึ่งที่ได้รับการยกย่องในทางผู้เป็นที่รักของเทวดา นั่นคือ พระปิลินทวัจฉเถระ เพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจว่าเราอาจปรามาสพระอรหันต์โดยไม่รู้ตัวก็ได้

    พระปิลินทวัจฉเถระ เป็นพระอรหันต์ที่เป็นที่รักยิ่งของเหล่าเทวดาทั้งหลาย เหล่าเทวดามาเฝ้าแวดล้อมท่านเป็นประจำ จึงได้รับการสถาปนาจากพระบรมศาสดาให้อยู่ในตำแหน่งที่เป็นเลิศกว่าเหล่าภิกษุสาวกทั้งหลายผู้เป็นที่รักของเทวดา แต่ท่านก็มีวาจาหยาบเป็นที่ระคายหูสำหรับคนบางคน ซึ่งทั้งหมดก็เนื่องด้วยบุพกรรมที่ท่านสั่งสมไว้ในอดีตดังต่อไปนี้

    บุพกรรมที่ทำให้ท่านได้รับการสถาปนาให้ดำรงตำแหน่งเอตทัคคะในทางผู้เป็นที่รักของเทวดา
    ก็เพราะ เนื่องจากในสมัยพระปทุมุตตรพุทธเจ้า ในกัปที่แสนนับถอยไปจากภัทรกัปนี้ ท่านได้บังเกิดในตระกูลนายประตู ในหังสวดีนคร เป็นคฤหบดีได้มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติ มาก เขาแลดูกองทรัพย์สมบัติที่สั่งสมไว้เป็นจำนวนโกฏิแล้ว จึงไปนั่งอยู่คนเดียวในปราสาท คิดว่า เราควรจะใช้ทรัพย์ทั้งหมดนี้ในทางที่ถูกที่ควรก่อนที่เราจะตายไป ดังนี้แล้ว จึงตกลงใจว่า ท่านจักถวายทานในสงฆ์อันเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุด ทานอันประเสริฐที่ใครยังไม่เคยถวาย ท่านจักถวายเป็นคนแรก ท่านคิดที่จะถวายทานหลายวิธี จึงได้เห็นว่าการถวายเครื่องบริขารจะเป็นเครื่องทำความดำริของท่านให้เต็ม ท่านจักถวายบริขารในสงฆ์ อันมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข อันเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุด

    ท่านคิดดังนั้นแล้วจึงให้ช่างกระทำเริ่มต้นแต่ฉัตรแสนคัน จนถึงเครื่องบริโภคและบริขารทั้งหมดอย่างละแสนชิ้นแล้ว สิ่งใดที่ได้ชื่อว่าเป็นของควรให้ทาน และสิ่งนั้นสมควรแก่พระศาสดา ท่านได้ให้รวบรวมสิ่งนั้นทั้งหมด แล้วจึงเข้าเฝ้าพระเจ้าอานนท์ ถวายบังคมแล้ว กราบทูลว่า ข้าพระองค์มีทุกข์ทางใจอยู่ ถ้าพระองค์สามารถช่วยได้ ก็ขอได้ทรงพระกรุณาบรรเทาทุกข์นั้นเถิด

    พระราชาตรัสว่า ทุกข์ของท่านก็เป็นทุกข์ของเรา

    ท่านคฤหบดีทูลว่า ข้าแต่พระราชาผู้ใหญ่ ขอจงทรงทราบ ทุกข์ของข้าพระองค์บรรเทาได้ยาก

    พระราชาตรัสว่า ท่านกังวลมากไป สิ่งใดที่มีอยู่ในแว่นแคว้นเรา แม้ชีวิตของเรา สิ่งนั้นแม้เป็นทรัพย์ที่สละได้ยาก ถ้าท่านต้องการสิ่งเหล่านี้ เราก็จักให้โดยไม่หวั่นไหวเทียว

    ท่านคฤหบดีทูลว่า ข้าแต่พระราชาผู้ใหญ่ ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะได้นิมนต์พระสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐเพื่อเสวยภัตตาหาร

    พระราชาตรัสว่า ท่านอย่าขอพระตถาคตเลย เราจะให้พรอย่างอื่นแก่ท่าน พระพุทธเจ้า เปรียบเหมือนแก้วมณีรัศมีรุ่งเรือง ใครไม่พึงให้

    ท่านคฤหบดีทูลว่า ขอเดชะ พระองค์ทรงกล่าวแล้วมิใช่หรือว่า จะพระราชทานสิ่งใดๆ ตลอดถึงชีวิตอันมีอยู่ เมื่อพระองค์ประทานชีวิตได้ ก็ควรพระราชทานพระตถาคตได้

    พระราชาตรัสว่า เรื่องพระมหาวีรเจ้าควรงดไว้ เพราะใครๆ ไม่พึงให้พระชินเจ้า ท่านจงรับเอาทรัพย์จนนับไม่ถ้วนไปเถิด

    ท่านคฤหบดีทูลว่า เราต้องการให้ตุลาการเป็นผู้ตัดสิน เราจะถามผู้วินิจฉัยทั้งหลาย

    แล้วท่านก็ได้พากันไปสู่ศาลพิพากษา กับพระราชา ท่านได้กล่าวต่อหน้าตุลาการและผู้พิพากษาทั้งหลายว่า ขอตุลาการและผู้พิพากษาจงฟังเรา พระราชาได้พระราชทานพรแก่เราว่า ท่านไม่ยกเว้น อะไรๆ แม้ชีวิตก็ปวารณาให้ได้ เมื่อเราขอพระราชทานพร เราจึงขอพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ดังนั้นพระพุทธเจ้าเป็นอันพระราชทานแก่เราแล้ว ท่านทั้งหลายจงตัดความสงสัยของเรา เราทั้งหลายจะเชื่อฟังคำท่าน

    ตุลาการทั้งหลายกล่าวว่า เราทั้งหลายฟังคำของทั้งสองฝ่ายแล้ว จักตัดความสงสัยในข้อนี้ ขอเดชะ พระองค์ได้ตรัสว่า พระองค์พระราชทานสิ่งทั้งปวง ท่านผู้นี้จงเป็นผู้ถือเอาสิ่งทั้งปวงตามที่ขอหรือ พระเจ้าข้า

    พระราชาตรัสว่า เราได้พูดว่า เราไม่ยกเว้นอะไรๆ เราปวารณาแม้ชีวิต เป็นผู้ถึงความยากตลอดชีวิต เพราะเรารู้ว่าผู้นี้เป็นผู้มีทุกข์ จึงได้ให้ถือเอาสิ่งทั้งปวง

    ตุลาการทั้งหลายกล่าวว่า ขอเดชะ พระองค์เป็นผู้แพ้ ควรพระราชทานพระตถาคตให้กับคฤหบดีผู้นี้ เราตัดความสงสัยของทั้งสองฝ่ายแล้ว เหมือนที่ท่านทั้งสองที่ตั้งอยู่ในคำมั่นของท่าน

    พระราชาประทับอยู่ ณ ที่นั้นแล ได้ตรัสกะท่านว่า ท่านจงทำตามที่ท่านดำริเถิด ท่านจงนิมนต์พระตถาคตให้เสวยแล้ว พึงคืน พระสัมพุทธเจ้าให้แก่เราเถิด

    เราไหว้ตุลาการและผู้พิพากษา และถวายบังคมพระเจ้าอานนท์จอมกษัตริย์ เป็นผู้ยินดีปราโมทย์ เข้าไปเฝ้าพระสัมพุทธเจ้า ครั้นเข้าไปเฝ้าพระสัมพุทธเจ้าผู้ข้ามโอฆะ ผู้ไม่มีอาสวะ ถวายบังคมด้วยเศียรเกล้าแล้ว ได้ กราบทูลดังนี้ว่า ขอพระองค์ผู้มีจักษุพร้อมด้วยพระอรหันต์หนึ่งแสนโปรดทรงรับนิมนต์ ขอจงทรงยังจิตของข้าพระองค์ให้รื่นเริง เสด็จเข้านิเวศน์ของข้าพระองค์

    พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ ทรงรู้แจ้งโลก สมควรรับเครื่องบูชา ผู้มีจักษุทรงรู้ความดำริของเรา จึงทรงรับนิมนต์ (ด้วยดุษณีภาพ)

    เราทราบว่า พระองค์ทรงรับนิมนต์แล้ว ถวายบังคมแด่พระศาสดา มีจิตร่าเริง เบิกบาน เข้ามายังนิเวศน์ของตน ประชุมมิตรและอำมาตย์แล้ว ได้กล่าวดังนี้ว่า เราได้สิ่งที่ได้โดยยากนักแล้ว เปรียบเหมือนแก้วมณีมีรัศมีโชติช่วง เราจักบูชาองค์พระพุทธเจ้าด้วยอะไร พระชินเจ้ามีคุณหาประมาณมิได้ หาที่เปรียบมิได้ ไม่มีใครเสมอเหมือน เป็นนักปราชญ์ ประเสริฐกว่านระ ก็อธิการอันสมควรแก่พระพุทธเจ้า เราทำได้โดยยาก

    เราทั้งหลายจงรวบรวมดอกไม้ต่างๆ เอามาทำมณฑปดอกไม้เถิด สิ่งนี้ย่อมสมควรแก่พระพุทธเจ้า เราจึงให้ทำดอกบัวเผื่อน ดอกบัวหลวง ดอกมะลิ ดอกลำดวน ดอกจำปา ดอกกถินพิมาน ให้เป็นมณฑป

    ปูลาดอาสนะหนึ่งแสนที่ไว้ภายในเงาฉัตร จัดแจงข้าวและน้ำเสร็จ แล้วให้คนไปทูลเวลาภัตกาล เมื่อคนไปทูลภัตกาลแล้ว พระมหามุนีพระนามว่าปทุมุตระ พร้อมด้วยพระอรหันต์หนึ่งแสนเสด็จเข้ามาสู่นิเวศน์ของเรา ฉัตรทรงอยู่ในเบื้องบน ในมณฑปดอกไม้อันบานดี พระพุทธเจ้าผู้อุดมบุรุษ ประทับนั่งพร้อมด้วยพระอรหันต์หนึ่งแสน เรา ทูลว่าขอพระองค์ผู้มีจักษุ โปรดทรงรับฉัตรหนึ่งแสนและอาสนะหนึ่ง แสน อันควรและไม่มีโทษเถิด

    พระมหามุนีพระนามว่าปทุมุตระ ทรงรู้แจ้งโลก ผู้ควรรับเครื่องบูชา พระองค์ประสงค์จะช่วยเหลือเรา จึงทรงรับไว้ เราได้ถวายบาตรแก่ภิกษุเฉพาะรูปละหนึ่งบาตร พระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ในมณฑปดอกไม้ตลอด ๗ คืน ๗ วัน ทรงยังสัตว์เป็นอันมากให้ตรัสรู้ ทรงประกาศพระธรรมจักร เมื่อทรงประกาศพระธรรมจักรภายใต้มณฑปดอกไม้ ธรรมาภิสมัยได้มีแก่ เทวดาและมนุษย์ ๘๔,๐๐๐

    เมื่อถึงวันที่ ๗ พระมหามุนี พระนามว่า ปทุมุตระ ประทับนั่งอยู่ภายในเงาฉัตร ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า มาณพ ผู้ใดได้ถวายทานอันประเสริฐ ไม่พร่องแก่เรา เราจักพยากรณ์มาณพนั้น ท่านทั้งหลาย จงฟังเรากล่าว

    มาณพนั้น จักรื่นรมย์อยู่ในเทวโลกตลอด ๓ หมื่นกัป จักได้เป็นจอมเทวดาเสวย รัชสมบัติในเทวโลก ๑,๐๐๐ ครั้ง และจักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช ๑,๐๐๐ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์ โดยคณนานับมิได้

    มาณพนี้ จุติจากเทวโลกแล้ว อันกุศลตักเตือนประกอบด้วยบุญกรรม จักเกิดเป็น บุตรพราหมณ์ในอีกแสนกัลป พระศาสดามีพระนามว่าโคดม ซึ่งมีสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติในโลก พระศากยโคดมผู้ประเสริฐ จักประทับนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ทรงตั้งไว้ในเอตทัคคสถาน มาณพผู้นี้จักได้เป็นพระสาวกของพระ ศาสดา มีชื่อว่าปิลินทวัจฉะ จักเป็นผู้อันเทวดา อสูร คนธรรพ์ ภิกษุ ภิกษุณี และคฤหัสถ์ทั้งหลายสักการะ จักเป็นที่รักของคนทั้งปวง จักไม่มีอาสวะ นิพพาน

    บุพกรรมที่ทำให้ท่านเป็นที่รักยิ่งของเทวดา ก็เพราะท่านเป็นผู้นำบุญให้แก่ชาวโลก เป็นผู้เปิดทางสวรรค์ให้แก่ชาวโลก

    เมื่อครั้งพระโลกนาถพระนามว่า สุเมธ เป็นบุคคลผู้เลิศ เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ท่านได้มีจิตเลื่อมใส มีใจโสมนัส ได้ทำการบูชาพระสถูป ท่านได้นิมนต์พระขีณาสพผู้ได้อภิญญาณ ๖ มีฤทธิมากที่มีอยู่ทั้งหมด แล้วได้ทำสังฆภัตถวาย เวลานั้นมีภิกษุผู้อุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคเจ้าได้กระทำอนุโมทนาในเวลานั้น ด้วยกุศลอันนั้น เมื่อท่านจุติจากมนุษยโลกนั้นแล้ว ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

    ในกัปที่ ๒๕ ท่านได้เกิดกษัตริย์พระนามว่า วรุณ ในกาลนั้น ท่านได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ยังมหาชนให้ดำรงอยู่ในศีล ๕ ได้กระทำให้เป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า เหล่ามหาชนพวกนี้ที่ได้เสวยสุขคติในสวรรค์นี้ เมื่อครั้งที่ท่านได้มาบังเกิดในมนุษย์โลกในสมัยของพระพุทธเจ้าของเรานี้ ต่างก็ได้รำลึกถึงพระคุณที่ท่านได้เป็นผู้ทำให้ตนได้รับเทวสมบัติที่ตนมีอยู่ จึงได้พากันมาเฝ้าท่านท่านพระเถระทุกเช้าทุกเย็น จึงเป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าสถาปนาท่านเป็นเอตทัคคะเลิศกว่าเหล่าภิกษุสาวกทั้งหลายผู้เป็นที่รักของเทวดา


    การบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ของท่านปิลินทวัจฉะในสมัยพระสมณโคดมพุทธเจ้า

    เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย ยังไม่เสด็จอุบัติขึ้น เขานั่นแลบังเกิดในเรือนแห่งพราหมณ์ ในพระนครสาวัตถี คนทั้งหลายขนานนามเขาว่า ปิลินทะ ส่วนคำว่า วัจฉะ เป็นโคตร ด้วยเหตุนั้น เวลาต่อมาเขาจึงมีนามปรากฏว่า ปิลินทวัจฉะ ก็เขาบวชเป็นปริพาชก เพราะเป็นผู้มากไปด้วยความสลดใจในสงสาร สำเร็จวิชชา ชื่อว่า จูฬคันธาระ ท่องเที่ยวไปในอากาศได้ด้วยวิชชานั้น ทั้งเป็นผู้รู้จิตของผู้อื่น ถึงความเป็นผู้เลิศด้วย ลาภ และยศ อาศัยอยู่ในกรุงราชคฤห์.

    ครั้งนั้น จำเดิมแต่เวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ เสด็จเข้าไปสู่กรุงราชคฤห์โดยลำดับ ด้วยพระพุทธานุภาพ ทำให้วิชชานั้นของเขาเสื่อมไป (ไม่สมบูรณ์) ไม่สามารถยังกิจของตนให้สำเร็จได้ เขาคิดว่า ก็เราได้ฟังมาดังนี้ว่า เมื่ออาจารย์และปรมาจารย์ทั้งหลายกล่าวมนต์นี้อยู่ มหาคันธารวิชชา อยู่ในที่ใด จูฬคันธารวิชชาย่อมเสื่อม (ไม่สมบูรณ์) ในที่นั้น ดังนี้ ก็นับจำเดิมแต่พระสมณโคดมเสด็จมาแล้ว วิชชานี้ของเราไม่สมบูรณ์เลย พระสมณโคดมต้องรู้มหาคันธารวิชชาโดยไม่ต้องสงสัย ไฉนหนอ เราพึงเข้าไปนั่งใกล้พระสมณโคดมนั้น แล้วเรียนวิชชานั้นในสำนักของพระองค์ ดังนี้

    เขาเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว กราบทูลดังนี้ว่า ข้าแต่พระมหาสมณะ ข้าพระองค์ประสงค์จะเรียนวิชชาอย่างหนึ่งในสำนักของพระองค์ ขอพระองค์จงให้โอกาสแก่ข้าพระองค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ถ้าเช่นนั้นท่านจงบวช เขาสำคัญว่า บรรพชาเป็นการ บริกรรมวิชชาจึงยอมบวช พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมแก่ท่าน แล้วทรงประทานกัมมัฏฐานอันเหมาะแก่จริต ท่านเจริญวิปัสสนาบรรลุพระอรหัตแล้วต่อกาลไม่นานเลย เพราะความเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยอุปนิสัย
     
  2. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    พระเถระแม้เป็นพระอรหันต์แล้วยังเรียกผู้อื่นว่า คนถ่อย

    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน ใกล้พระนครราชคฤห์ ก็สมัยนั้นแล ท่านพระเถระเมื่อท่านบรรลุพระอรหัตแล้ว แต่เมื่อพูด กับคฤหัสถ์ก็ดี ภิกษุก็ดี ใช้โวหารว่าถ่อยทุกคำ เช่น “มาซิเจ้าถ่อย ไปซิเจ้าถ่อย นำไปซิเจ้าถ่อย ถือเอาซิเจ้าถ่อย”

    ภิกษุเป็นอันมาก ภิกษุเหล่านั้นเห็นพระเถระร้องเรียกเช่นนั้น เมื่อไม่รู้ว่า พระเถระเป็นพระอรหันต์ และที่ท่านมักกล่าวอย่างนั้นเพราะท่านยังละวาสนาไม่ได้ จึงคิดว่า พระเถระนี้เห็นจะเป็นผู้มุ่งร้ายจึงร้องเรียกอย่างนี้ จึงกราบทูลแด่พระผู้มีพระ ภาคเจ้า เพื่อจะให้พระเถระออกจากความเป็นผู้มุ่งร้ายนั้น ก็นำไปทูลถามพระตถาคตว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ธรรมดาพระอริยะย่อมไม่กล่าวคำหยาบ

    ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุรูปหนึ่งว่า ดูกรภิกษุ เธอจงไปเรียกปิลินทวัจฉภิกษุมาตามคำของเราว่า ดูกรอาวุโสวัจฉะ พระศาสดารับสั่งให้หาท่าน ภิกษุนั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้วเข้าไปหาท่านพระปิลินทวัจฉะถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกะท่านปิลินทวัจฉะว่า ดูกรอาวุโส พระศาสดารับสั่งให้หาท่าน ท่านพระปิลินทวัจฉะรับคำภิกษุนั้นแล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามท่านพระปิลินทวัจฉะว่า ดูกรปิลินทวัจฉะ ได้ยินว่า เธอย่อมร้องเรียกภิกษุทั้งหลายด้วยวาทะว่าคนถ่อยจริงหรือ ท่านพระปิลินทวัจฉะทูลรับว่า อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

    ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเมื่อทรงรำพึงว่า วัจฉะนี้ ไม่สละวาทะว่าคนถ่อย เพราะวาสนาอันเศร้าหมองในอดีตที่เธอได้เกิดในชาติพราหมณ์ หรือหนอ จึงทรงมนสิการถึงขันธสันดานที่เธอเคยอยู่ในอดีตชาติ ด้วยบุพเพนิวาสญาณ และสัพพัญญุตญาณ คือ กระทำไว้ในพระทัยของพระองค์ โดยกระทำให้ประจักษ์ แล้วตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายอย่ายกโทษวัจฉภิกษุเลย วัจฉภิกษุ ย่อมไม่มุ่งโทษ เรียกภิกษุทั้งหลายด้วยวาทะว่าคนถ่อย วัจฉภิกษุเกิดในสกุลพราหมณ์ ๕๐๐ ชาติ โดยไม่เจือปนเลย วาทะว่าคนถ่อยนั้นวัจฉภิกษุประพฤติมานาน จริงอยู่ พราหมณ์ทั้งหลายเป็นผู้กระด้างด้วยมานะ (ความถือตัว) ว่าอยู่ในวรรณะอันสูงสุดยิ่งกว่าวรรณะอื่น จึงร้องเรียก ผู้อื่นด้วยวาทะว่าคนถ่อย เพราะเหตุนั้น วัจฉภิกษุนี้ย่อมร้องเรียกภิกษุทั้งหลายด้วยวาทะว่าคนถ่อย ฯ

    ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้น ว่า

    มายา มานะ ย่อมไม่เป็นไปในผู้ใด ผู้ใดมีความโลภสิ้นไปแล้ว ไม่มีความยึดถือว่าเป็นของเรา ไม่มีความหวัง บรรเทาความโกรธได้แล้ว มีจิตเย็นแล้ว ผู้นั้นชื่อว่าเป็นพราหมณ์ ผู้นั้นชื่อว่าเป็นสมณะ ผู้นั้นชื่อว่าเป็นภิกษุ ฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มิถุนายน 2009
  3. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    วาจาสิทธิ์ของพระเถระกับชายผู้ถือดีปลี

    อยู่ต่อมาวันหนึ่ง พระเถระเข้าไปบิณฑบาตกรุงราชคฤห์ พบชายผู้หนึ่งถือดีปลีมาเต็มตะกร้า กำลังเข้าไปในกรุง จึงถามว่า เจ้าถ่อย ในภาชนะของแกมีอะไร ชายผู้นั้นคิดว่า สมณะรูปนี้กล่าวคำหยาบกับเราแต่เช้าเทียว เราก็ควรกล่าวคำที่เหมาะแก่สมณะรูปนี้เหมือนกัน จึงตอบว่า ในภาชนะของข้ามีขี้หนูซิท่าน พระเถระพูดว่า เจ้าถ่อย มันจักต้องเป็นอย่างว่านั้น

    เมื่อพระเถระคล้อยหลังไป ดีปลีก็กลายเป็นขี้หนูไปหมด เขาคิดว่า ดีปลีเหล่านี้ ปรากฏเสมือนขี้หนู จะเป็นจริงหรือไม่หนอ ลองเอามือบี้ดูที่นั้น เขาก็รู้ว่าเป็นขี้หนูจริงๆ ก็เกิดความเสียใจอย่างยิ่ง เขาคิดว่าเป็นเฉพาะดีปลีในตะกร้าเหล่านี้เท่านั้นหรือ หรือในเกวียนก็เป็นอย่างนี้ด้วย จึงเดินไปตรวจดูที่เกวียน ก็พบว่าดีปลีทั้งหมดก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน ด้วยความเสียใจ ชายผู้นั้นเอามือกุมอกแล้วคิดว่า นี้ไม่ใช่การกระทำของคนอื่น ต้องเป็นการกระทำของภิกษุที่เราพบตอนเช้านั่นเอง พระเถระจักรู้มายากลอย่างหนึ่งเป็นแน่ จำเราจะตามหาสถานที่ๆ ภิกษุนั้นเดินไป จึงจักรู้เหตุ

    ดังนี้แล้วจึงเดินไปตามทางที่พระเถระเดินไป ลำดับนั้น บุรุษผู้หนึ่งพบชายผู้นั้นกำลังเดินเครียด จึงถามว่า พ่อมหาจำเริญ เดินเครียดจริง ท่านกำลังเดินไปทำธุระอะไร เขาจึงบอกเรื่องนั้นแก่บุรุษผู้นั้น บุรุษผู้นั้นฟังเรื่องราวของเขาแล้ว ก็พูดอย่างนี้ว่า พ่อมหาจำเริญ อย่าคิดมากเลย จักเป็นด้วยท่านพระปิลินทวัจฉะ พระผู้เป็นเจ้าของข้าเอง ท่านจงถือดีปลีนั้นเต็มภาชนะ ไปยืนข้างหน้าพระเถระ แม้เวลาที่พระเถระกล่าวว่า นั่นอะไรล่ะ เจ้าถ่อย ก็จงกล่าวว่าดีปลี ท่านขอรับ พระเถระจักกล่าวว่า จักเป็นอย่างนั้น เจ้าถ่อย มันก็จะกลายเป็นดีปลีไปหมด ชายผู้นั้นก็ได้กระทำอย่างนั้น ขี้หนูก็กลับกลายเป็นดีปลีดังเดิม
    (น่าจะบอกพระเถระว่าเป็นเพชรหรือทองก็คงดีนะ 555)
     
  4. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    ถูกกล่าวโทษเพราะแสดงฤทธิ์

    ครั้งหนึ่งสกุลอุปัฏฐากของท่านพระปิลินทวัจฉะในเมืองพาราณสี ถูกพวกโจรปล้น และเด็ก ๒ คน ถูกพวกโจรนำตัวไป ครั้งนั้นท่านพระปิลินทวัจฉะนำเด็ก ๒ คน นั้นมาด้วยฤทธิ์แล้วให้อยู่ในปราสาท ชาวบ้านเห็นเด็ก ๒ คน นั้นแล้ว ต่างพากันเลื่อมใสในท่านพระปิลินทวัจฉะเป็นอย่างยิ่งว่า นี้เป็นฤทธานุภาพของพระปิลินทวัจฉะ

    ภิกษุทั้งหลายพากัน เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนท่านพระปิลินทวัจฉะจึงได้นำเด็กที่ถูกพวกโจรนำตัวไปแล้ว คืนมาเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไม่เป็นอาบัติ เพราะวิสัยแห่งฤทธิ์ของภิกษุผู้มีฤทธิ์
     
  5. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    พระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา

    ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระปิลินทวัจฉะได้เป็นพระกุลุปกะ (พระที่เขาอุปถัมภ์และเป็นที่ปรึกษาประจำของครอบครัว) ในหมู่บ้านตำบลนั้น ครั้นเช้าวันหนึ่ง ท่านครองอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังตำบลบ้านปิลินทวัจฉะ สมัยนั้น ในตำบลบ้านนั้นมีมหรสพ พวกเด็กๆ ตกแต่งกายประดับดอกไม้เล่นมหรสพอยู่พอดี ท่านพระปิลินทวัจฉะเที่ยวบิณฑบาตไปตามลำดับตรอกในตำบลบ้านปิลินทวัจฉะ ได้เข้าไปถึงเรือน คนทำงานวัดผู้หนึ่ง ครั้นแล้วนั่งบนอาสนะที่เขาจัดถวาย

    ขณะนั้น ธิดาของสตรีผู้ทำการวัดนั้น เห็นเด็กๆ พวกอื่นตกแต่งกายประดับดอกไม้แล้ว ร้องอ้อนว่า ขอจงให้ดอกไม้แก่ดิฉัน ขอจงให้เครื่องตกแต่งกายแก่ดิฉัน

    ท่านพระปิลินทวัจฉะจึงถามสตรีผู้ทำงานวัดคนนั้นว่า เด็กหญิงคนนี้ร้องอ้อนอยากได้ อะไร ?

    นางกราบเรียนว่า ท่านเจ้าข้า เด็กหญิงคนนี้เห็นเด็กๆ พวกอื่นตกแต่งกายประดับดอกไม้ จึงร้องอ้อนขอดอกไม้ ดิฉันบอกว่า เราเป็นคนจนจะได้ดอกไม้มาจากไหน จะได้เครื่องตกแต่งมาจากไหน

    ท่านพระปิลินทวัจฉะจึงหยิบขดหญ้าพวงหนึ่งส่งให้นางผู้เป็นแม่เด็กหญิงนั้นแล้วกล่าวว่า เจ้าจงสวมขดหญ้าพวงนี้ลงบนศีรษะเด็กหญิงนั้น ครั้นเมื่อนางได้รับขดหญ้าจึงสวมลงที่ศีรษะเด็กหญิงนั้น ทันใดนั้นขดหญ้านั้นได้กลายเป็นมาลาดอกไม้ทองคำงามมาก น่าดู น่าชม มาลาดอกไม้ทองคำเช่นนั้น แม้ในพระราชฐานก็ไม่มี

    คนทั้งหลายกราบทูลแด่พระเจ้าพิมพิสารว่า ขอเดชะ มาลาดอกไม้ทองคำที่เรือนของคนทำงานวัดที่หมู่บ้านปิลินทวัจฉะงามมาก น่าดู น่าชม แม้ในพระราชฐานก็ไม่มี เขาเป็นคนเข็ญใจจะได้มาแต่ไหน เป็นต้องได้มาด้วยโจรกรรมแน่นอน

    พระเจ้าพิมพิสารจึงสั่งให้จองจำตระกูลคนทำงานวัดนั้น

    ครั้นเช้าวันรุ่งขึ้น ท่านพระปิลินทวัจฉะครองอันตรวาสกแล้วถือบาตรจีวรเข้าไปบิณฑบาต ถึงตำบลบ้านปิลินทวัจฉะ เมื่อเที่ยวบิณฑบาตไปตามลำดับตรอกในตำบลบ้านปิลินทวัจฉะได้เดิน ผ่านไปทางเรือนคนทำงานวัดผู้นั้น ครั้นแล้วได้ถามคนที่คุ้นเคยกันว่า ตระกูลคนทำงานวัดนี้ไป ไหนเสีย ?

    คนพวกนั้นกราบเรียนว่า เขาถูกรับสั่งให้จองจำ เพราะเรื่องมาลาดอกไม้ทองคำ เจ้าข้า

    ท่านพระปิลินทวัจฉะทราบดังนั้นจึงได้เข้าไปสู่พระราชนิเวศน์ นั่งเหนืออาสนะที่เขาจัดถวาย

    ขณะนั้น พระเจ้าพิมพิสาร เสด็จเข้าไปหาท่านพระปิลินทวัจฉะ ทรง อภิวาทแล้วประทับเหนือพระราชอาสน์อันควรส่วนข้างหนึ่ง

    ท่านพระปิลินทวัจฉะได้ทูลถามพระเจ้าพิมพิสารว่า ขอถวายพระพร ตระกูลคนทำงานวัดถูกรับสั่งให้จองจำด้วยเรื่องอะไร ?

    พระเจ้าพิมพิสารตรัสตอบว่า ข้าแต่พระคุณเจ้า เพราะที่เรือนของเขามีมาลาดอกไม้ทองคำอย่างงามมาก น่าดู น่าชม แม้ที่ในวังก็ยังไม่มี เขาเป็นคนจนจะได้มาแต่ไหน เป็นต้องได้มาด้วยโจรกรรมอย่างแน่นอน

    ท่านพระปิลินทวัจฉะจึงได้อธิษฐานปราสาทของพระเจ้าพิมพิสารว่า จงเป็นทอง บัดนั้นปราสาททั้งหลังก็ได้กลายเป็นทองไปทั้งหมด แล้วได้ถวายพระพรถามว่า ขอถวายพระพร ก็นี่ทองมากมายเท่านั้นมหาบพิตรได้มาแต่ไหน ?

    พระเจ้าพิมพิสารตรัสว่า ข้าพเจ้าทราบแล้ว นี้เป็นอิทธานุภาพของพระคุณเจ้า ดังนี้ แล้วรับสั่งให้ปล่อยตระกูลคนทำงานวัดนั้นพ้นพระราชอาญาไป
     
  6. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    จะเห็นได้ว่า แม้เป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังไม่สามารถละสิ่งที่ไม่ดีได้หมดสิ้น เป็นเพียงละกิเลสได้หมดเท่านั้น แต่วาสนาที่ไม่ดีบางอย่างก็ยังอาจคงอยู่ ถ้าพวกเราถูกเรียกว่า "เจ้าถ่อย" มีหวังปรี๊ดแตก สวนกลับไปทันที แต่ถ้าเราตั้งจิตด้วยโทสะต่อพระอรหันต์หรือผู้มีคุณวิเศษก็เป็นบาปมหันต์
    ถ้าเห็นพระหรือหมู่คณะใดที่เราไม่ชอบใจ ก็ให้พิจารณาให้ถ่องแท้ พยายามพิจารณาในแง่
    ดี ไม่ใช่ตั้งแง่ตำหนิว่า "ไม่ใช่พระ" "เดียรถีย์" "มารศาสนา" เที่ยวปรับอาบัติในความไม่จริง หรือเกินเลยจากที่เป็น บางท่านที่เคยเห็นในเว็บนี้ ขอบใช้ตรรกะแบบ "ผิดน้อยก็ว่าผิดหมด" แม้จะถูกติติงว่ากล่าวหาเกินจริง ก็ไม่ยอมรับความผิดของตน ถ้ากล่าวหาเกินความผิดที่เขาทำจริงๆ ส่วนที่กล่าวหาเกินจริงก็เป็นบาปล้วนๆ หรือบางทีพระท่านอาจผิดจริง แต่ปลงอาบัติหรืออยู่กรรมจนพ้นตามพระธรรมวินัยแล้ว ก็ถึงความเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว ไม่ควรติเตียนอีก เพราะถ้าไปติในยามที่ท่านบริสุทธิ์แล้ว ก็บาปอีก ทางที่ดีให้พระท่านจัดการกันเองตามพระธรรมวินัยดีกว่าจ๊ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มิถุนายน 2009
  7. applegreen

    applegreen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +555
    ด้วยบุญกุศลที่เผยแผ่พระธรรมนี้ ขอจงเป็นปัจจัยให้ คุณถิ่นธรรม มีปัญญาบารมียิ่งๆ ขึ้นไปนะคะ สาธุ สาธุ
     
  8. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,568
    ค่าพลัง:
    +4,560
    เหมือนหลวงปู่ตื้อ และหลวงปู่เจี๊ย
    หลวงปู่เจี๊ยมีศิษย์หลายรุ่น บางรุ่นรับของดีจากท่านไม่ได้เลยเพราะไม่มีวาสนาต่อกัน ไปเห็นว่าท่านไม่ใช่อรหันต์
    แต่ศิษย์ที่มีวาสนาต่อกัน ่เห็นว่าความตึงตังของท่านเป็นวาสนาเก่าติดตัวมา จึงเคารพและได้ดีไป
    เห็นด้วยที่เวลาพิจารณาว่าองค์ใดเป็นสมมุติสงฆ์หรืออริยะสงฆ์ต้องใช้ความสังเกตุและวาสนาเดิมเป็นทุนในการรู้จัก"พระดี"ที่เป็นอริยะสงฆ์
     
  9. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ขออนุโมทนากับคุณถิ่นธรรมด้วยนะคะ คงเริ่มอธิษฐานบ้างแล้ว อิอิ..


    -Happy Smile_
     
  10. มนตรา_นาคี

    มนตรา_นาคี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    211
    ค่าพลัง:
    +179
    ยินดี
     
  11. อวิปลาส

    อวิปลาส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    211
    ค่าพลัง:
    +353

    ดีครับ...อนุโมทนาสาธุการ...



    yimm

     

แชร์หน้านี้

Loading...