เจโตปริยญาณของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย สันโดษ, 15 พฤษภาคม 2009.

  1. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    เจโตปริยญาณของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ

    [​IMG]





    มีอีกเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับอำนาจทิพยจักษุและเจโตปริยญาณของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ที่น่าพิจารณาว่า น่ามหัศจรรย์เพียงไร

    สมัยเมื่อพระอาจารย์มั่นไปพักบำเพ็ญเพียรกรรมฐานอยู่ที่ถ้ำสาริกา เขาใหญ่ นครนายก ท่านเล่าว่า ที่ชายเขาทางขึ้นไปถ้ำสาริกาที่ท่านพักอยู่นั้น มีสำนักบำเพ็ญวิปัสสนาอยู่แห่งหนึ่ง มัขรัวตาองค์หนึ่งพักอยู่ บำเพ็ญสมณธรรม

    คืนวันหนึ่งพระอาจารย์มั่นคิดถึงขรัวตาองค์นี้ว่า ขรัวตากำลังทำอะไรอยู่หนอเวลานี้ แล้วพระอาจารย์มั่นก็กำหนดจิตส่งกระแสจิตลงมาดู ขณะนั้นพอดีเป็นเวลาที่ขรัวตากำลังคิดวุ่นวายไปกับกิจการบ้านเมืองครอบครัวของตนให้ยุ่งไปหมด เรื่องที่ขรัวตาคิดเกี่ยวกับอดีตของตัวเอง

    พอตกดึกพระอาจารย์มั่นก็ส่งกระแสจิตลงมาดูขรัวตาอีกก็พบว่า ขรัวตากำลังคิดห่วงลูกคนนั้นหลานคนนี้อยู่ร่ำไป

    จวนสว่างท่านส่งกระแสจิตลงมาดูอีก ขรัวตาก็ยังไม่หลับไม่นอนกระสับกระส่ายคิดห่วงหน้าพะวงหลัง ห่วงลูกห่วงหลานให้วุ่นวายไปหมด

    ท่านถอนใจเวทนายิ่งนักที่ขรัวตาอุตส่าห์มาบวชแล้ว ยังตัดภาระความผูกพันกับครอบครัวไม่ขาด คิดแต่จะสร้างบ้านสร้างเรือนสร้างภพสร้างชาติ สร้างวัฏฏสงสารไม่มีสิ้นสุดวิถีแห่งการปรุงแต่งเอาเสียเลย

    ตอนเช้าพระอาจารย์มั่นลงจากถ้ำมาบิณฑบาค ขากลับจึงแวะไปเยี่ยมขรัวตาถึงที่พัก แล้วพูดเป็นเชิญปัญหาว่า เป็นอย่างไรหลวงพ่อ ปลูกบ้านใหม่ แต่งงานกับคู่ครองใหม่ แต่เป็นแม่อีหนูคนเก่าเมื่อคนนี้ตลอดคืนไม่ยอมนอน เสร็จเรียบร้อยแล้วไปด้วยดีมิใช่หรือ

    คืนต่อไปคงจะสบายใจไม่ต้องวุ่นวายจัดแจงสั่งลูกคนนั้นให้ทำสิ่งนั้น สั่งหลานคนนี้ให้ทำงานสิ่งนี้อีกละกระมัง เมื่อคืนนี้รู้สึกว่าหลวงพ่อมีงานมากวุ่นวายพอดู แทบมิได้พักผ่อนหลับนอนมิใช่หรือ

    ขรัวตาได้ฟังแล้วถึงกับตะลึงด้วยความอัศจรรย์ใจ แล้วยิ้มอาย ๆ ถามว่า ท่านพระอาจารย์รู้ด้วยหรือครับ

    พระอาจารย์มั่นยิ้มตอบว่า ผมเข้าใจว่าหลวงพ่อจะรู้เรื่องของตัวเองดียิ่งกว่าผมผู้ถามเป็นไหน ๆ แต่ทำไมกลับมาถามผมเช่นนี้อีก ผมเข้าใจว่า ความคิดปรุงของหลวงพ่อเป็นไปด้วยเจตนาและพอใจในความคิดนั้น ๆ จนลืมหลับนอนไปทั้งคืนแม้แต่รุ่งเช้าตลอดมาจนถึงขณะนี้ ผมก็เข้าใจว่าหลวงพ่อจงใจคิดเรื่องนั้นอยู่อย่างเพลินใจ จนไม่มีสติจะยับยั้งและยังพยายามทำตัวให้เป็นไปตามความคิดนั้น ๆ อยู่อย่างมั่นใจมิใช่หรือ

    ขรัวตาได้ฟังถึงกับหน้าซีดเหมือนคนจะเป็นลม ทั้งอายและทั้งกลัว พูดออกมาด้วยเสียงอันสั่นเครือว่า ท่านพระอาจารย์เป็นพระอัศจรรย์มาก ผมคิดอะไรอยู่ในใจท่านรู้หมด

    พระอาจารย์มั่นเห็นขรัวตางก ๆ เงิ่น ๆ ทั้งกลัวทั้งอาย ท่านทำท่าจะเป็นลมเป็นแล้ง ไม่สบายไปอย่างปัจจุบันทันด่วน ก็ให้มีจิตเมตตาคิดสงสาร ขืนพูดอะไรอีกต่อไป เดี๋ยวขรัวตาจะเป็นอะไรไปก็จะแย่ จึงเลยหาอุบายพูดไปเรื่องอื่นพอให้เรื่องจากไป แล้วก็ลาขึ้นถ้ำสาริกา

    สามวันต่อมา โยมผูปฏิบัติขรัวตาองค์นั้น ได้ขึ้นไปนมัสการพระอาจารย์มั่นในถ้ำแล้วกราบเรียนให้ทราบว่า ขรัวตาองค์นั้นหนีไปอยู่ที่อื่นเสียแล้วตั้งแต่เมื่อเช้าวานนี้

    ให้เหตุผลว่า อยู่ที่นี่ต่อไปไม่ไหวแล้ว เพราะพระอาจารย์มั่นมาหา แล้วเทศน์อาตมาเสียยกหนึ่งหนัก ๆ อาตมาอายพระอาจารย์มั่นแทบเป็นลมสลบไปต่อหน้าท่าน

    ถ้าพระอาจารย์มั่นขืนเทศน์ต่อไปอีกสักประโยคสองประโยค อาตมาต้องล้มตายต่อหน้าท่านแน่ ๆ อาตมาอยู่ไม่ได้แล้ว อับอายขายหน้าเหลือประมาณ ต้องไปให้ไกลจากที่นี่ให้สุดหล้าฟ้าเขียว อาตมาคิดอย่างไร พระอาจารย์มั่นท่านรู้เสียหมด

    ธรรมดาปุถุชนก็ย่อมมีคิดดีคิดชั่วบ้างเป็นธรรมดา จะห้ามไม่ให้คิดได้อย่างไร ทีนี้พอเราคิดอะไร พระอาจารย์มั่นรู้เสียหมดอย่างนี้อาตมาอยู่ไม่ได้แน่ หนีไปตายที่อื่นดีกว่า อย่าอยู่ให้พระอาจารย์มั่นท่านคอยเป็นห่วงกังวลหนักใจด้วยเลย

    พระอาจารย์มั่นทราบแล้วก็บังเกิดความสลดใจ ที่ทำคุณให้โทษ โปรดสัตว์ได้บาป ที่พูดไปก็เป็นการเตือนขรัวตาด้วยเจตนาดีมีเมตตาสงสาร อยากให้หยุดคิดห่งกังวลครอบครัวลูกเมียและหลาน ๆ เสีย

    เพราะการสละเพศฆารวาสออกมาบวชพระนี้ก็เป็นการตัดขาดจากครอบครัวลูกเมีย และญาติพี่น้องโดยสิ้นเชิงแล้ว ตัดขาดจากทรัพย์สมบัติ ตัดขาดจากทางโลกโดยสิ้นเชิง

    เมื่อมุ่งบำเพ็ญเพียรสมณธรรม ทำให้แจ้งซึ่งมรรค ผล นิพพาน ตามคำสั่งสอนของพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    จากวันนั้นเป็นต้นมา พระอาจารย์มั่นก็ระวังมิได้สนใจคิดและส่งกระแสจิตไปถึงขรัวตาอีก และถือเป็นบทเรียนที่จะไม่ทักดักใจคนอื่นถึงความคิดนึกทั้งทางดีและชั่ว โดยไม่พิจารณาให้รอบคอบเสียก่อน เดี๋ยวเจ้าตัวผู้ฟังจะเสียขวัญได้รับความกระทบกระเทือนใจโดยไม่จำเป็น

    อันการทักดักใจคนด้วยเจโนปริยญาณนี้ ดุจมีดดาบสองคม พึงใช้ให้เป็นให้ถูกกาลเทศะและตัวบุคคล ถึงจะชอบถึงจะควร

    เพราะใจคนเราย่อมเหมือนเด็กอ่อนเพิ่งฝึกหัด เดินเปะปะไปตามเรื่อง ผู้ใหญ่เป็นเพียงคอยดูแลสอดส่อง เพื่อมิให้เด็กเป็นอันตรายเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องไปกระวนกระวายกับเด็กให้มากไป

    ใจของสามัญชนก็เช่นกัน ปล่อยให้คิดไปตามเรื่อง ถูกบ้างผิดบ้าง ดีบ้างชั่วบ้างเป็นธรรมดา จะให้ถูกต้องดีงามอยู่ตลอดเวลาย่อมเป็นไปไม่ได้

    ที่มา http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=all4u&month=11-2007&date=17&group=38&gblog=5
     
  2. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    ขออนุโมทนาสาธุธรรม เป็นอย่างสูง ครับ<O:p</O:p
     

แชร์หน้านี้

Loading...