:-เครื่องดื่มสมุนไพร-:

ในห้อง 'เมนูอาหารและวิธีการทำอาหาร' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 21 มีนาคม 2006.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,494
    <TABLE width=780 border=0><TBODY><TR><TD width="100%" bgColor=#dfc4fd>
    ร้อยเรื่องเครื่องดื่มสมุนไพร​




    </TD></TR><TR><TD width="100%">
    <TABLE width="80%" border=0><TBODY><TR><TD width="90%">
    สมุนไพรคืออะไร

    คำว่า สมุนไพร ตามพระราชบัญญัติหมายความถึง ยาที่ได้จากพืช สัตว์ และแร่ ซึ่งยังมิได้มีการผสมปรุงหรือแปรสภาพ (ยกเว้นการทำให้แห้ง) เช่น พืชก็ยังคงเป็นส่วนของราก ลำต้น ใบ ดอก ผล ฯลฯ ยังไม่ได้ผ่านขั้นตอนการแปรรูปใดๆ เช่น การหั่น การบด การกลั่น การสกัดแยก รวมทั้งการผสมกับสารอื่นๆ แต่ในทางการค้า สมุนไพรมักจะถูกดัดแปลงในรูปแบบต่างๆ เช่น ถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กลง บดให้เป็นผง อัดให้เป็นแท่ง หรือปอกเปลือกออก เป็นต้น เมื่อพูดถึงสมุนไพร คนทั่วๆ ไปมักจะนึกถึงเฉพาะพืชที่นำมาใช้ประโยชน์ในทางยา ทั้งนี้เพราะ สัตว์ และแร่มีการใช้น้อย จะใช้เฉพาะในโรคบางชนิดเท่านั้น
    ประวัติของการใช้สมุนไพร
    สมุนไพร คือ ของขวัญที่ธรรมชาติมอบให้กับมวลมนุษยชาติ มนุษย์เรารู้จักใช้สมุนไพรในด้านการบำบัดรักษาโรค นับแต่ยุคนีแอนเดอร์ทัลในประเทศอิรัก
    ปัจจุบันที่หลุมฝังศพพบว่ามีการใช้สมุนไพร
    หลายพันปีมาแล้วที่ชาวอินเดียแดงในเม็กซิโก ใช้ต้นตะบองเพชร(Peyate) เป็นยาฆ่าเชื้อและรักษาบาดแผล ปัจจุบันพบว่า ตะบองเพชรมีฤทธิ์กล่อมประสาท
    ประมาณ 4,000 ปีมาแล้ว ที่ชาวสุเมเรียนได้เข้ามาตั้งรกราก ณ บริเวณแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติสปัจจุบัน คือ ประเทศอิรัก ใช้สมุนไพร เช่น ฝิ่น ชะเอม ไทม์ และมัสตาร์ด และต่อมาชาวบาบิโลเนียน ใช้สมุนไพรเพิ่มเติมจากชาวสุเมเรียน ได้แก่ใบมะขามแขก หญ้าฝรั่น ลูกผักชี อบเชย และกระเทียม
    ในยุคต่อมาอียิปต์โบราณมี อิมโฮเทป แพทย์ผู้มีชื่อเสียงซึ่งต่อมาได้รับการยกย่องให้เป็นเทพเจ้าแห่งการรักษาโรคของอียิปต์ มีตำราสมุนไพรที่เก่าแก่ คือ Papytus Ebers ซึ่งเขียนเมื่อ 1,600 ปี ก่อนคริสตศักราช ซึ่งค้นพบโดยนักอียิปต์วิทยาชาวเยอรมันนี ชื่อ Georg Ebers ในตำรานี้ได้กล่าวถึงตำราสมุนไพรมากกว่า 800 ตำรับ และสมุนไพรมากกว่า 700 ชนิด เช่น ว่านหางจระเข้ เวอร์มวูด(warmwood) เปปเปอร์มินต์ เฮนเบน(henbane) มดยอบ, hemp dagbane ละหุ่ง mandrake เป็นต้น รูปแบบในการเตรียมยาในสมัยนั้น ได้แก่ การต้ม การชง ทำเป็นผง กลั่นเป็นเม็ด ทำเป็นยาพอก เป็นขี้ผึ้ง
    นอกจากนี้ยังพบว่าชาติต่างๆ ในแถบยุโรปและแอฟริกา มีหลักฐานการใช้สมุนไพร ตามลำดับก่อนหลังของการเริ่มใช้สมุนไพร คือ หลังจากสมุนไพรได้เจริญรุ่งเรืองในอียิปต์แล้ว ก็ได้มีการสืบทอดกันมา เช่น กรีก โรมัน อาหรับ อิรัก เยอรมัน โปรตุเกส สวีเดน และโปแลนด์
    ส่วนในแถบเอเซีย ตามบันทึกประวัติศาสตร์พบว่ามีการใช้สมุนไพรที่อินเดียก่อน แล้วสืบทอดมาที่จีน มะละกา และประเทศไทย
    ประวัติการใช้สมุนไพรในประเทศไทย
    ประเทศไทยมีภูมิอากาศที่เหมาะสมต่อการเจริญงอกงามของพืชนานาชนิด โดยเฉพาะพืชสมุนไพรมีอยู่มากมายเป็นแสนๆ ชนิด ทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและจากการเพาะปลูก บางชนิดก็ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตยาแผนปัจจุบัน สมุนไพรหลายชนิด ถูกนำมาใช้ในรูปของยากลางบ้าน ยาแผนโบราณ รากฐานของวิชาสมุนไพรไทยได้รับอิทธิพลจากประเทศอินเดียเป็นส่วนใหญ่ เพราะตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชาติไทยได้อพยพถิ่นฐานมาจากบริเวณเทือกเขาอัลไตน์ประเทศจีน มาจนถึงประเทศไทยในปัจจุบัน จึงมีส่วนได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรม ประเพณี ศาสนา ตลอดจนการบำบัดรักษาโรคจากประเทศอินเดียเป็นจำนวนมาก ซึ่งปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าได้อาศัยคัมภีร์อายุรเวทของอินเดียเป็นบรรทัดฐาน คือ การวินิจฉัยโรค ชื่อสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคมีเค้าชื่อของภาษาบาลีสันสกฤตอยู่ไม่น้อย เช่นคำว่า มะลิ (ภาษาสันสกฤตว่า มัลลิ) เป็นต้น
    มีผู้ประมาณว่าในแต่ละปีมีผู้ใช้สมุนไพรในประเทศเป็นมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท (สมุนไพรเหล่านี้ได้มาจากทั้งในประเทศ และนำเข้าจากนอกประเทศโดยเฉพาะ จีน เกาหลี และอินเดีย) ทั้งนี้เนื่องจากป่าไม้ถูกทำลาย ทำให้ต้องมีการรณรงค์ให้มีการปลูกเป็นสวนสมุนไพรขึ้น ในปีพุทธศักราช 1800 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ซึ่งนับเป็นยุคทองของสมุนไพรไทย สวนป่าสมุนไพรของพระองค์ใหญ่โตมากอยู่บนยอดเขาคีรีมาศ อ.คีรีมาส จ.สุโขทัย มีเนื้อที่หลายร้อยไร่ ซึ่งปัจจุบันยังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้ เป็นป่าสงวนเพื่อเป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าของผู้ที่สนใจ
    ต่อมาในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเห็นว่าสมุนไพรเป็นทั้งยาและอาหาร
    ประจำครอบครัว ชาติจะเจริญมั่นคงได้ก็ด้วยครอบครัวเล็กๆ ที่มีความมั่นคงแข็งแรง มีสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์ทั้งทางกายและจิตใจ จึงทรงมีพระกรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ดำเนินโครงการตามพระราชดำริ สวนสมุนไพรขึ้นในประเทศในปีพุทธศักราช 2522 โดยทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการรวบรวมศึกษาค้นคว้า ในเรื่องเกี่ยวกับสมุนไพรทุกด้าน เช่น ด้านวิชาการทางชีววิทยา ทางการแพทย์ การบำบัด การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะพืชที่เป็นประโยชน์ก่อให้เกิดโครงการพระราชดำริ สวนป่าสมุนไพรขึ้นมากมายหลายแหล่ง อีกทั้งยังมีการศึกษาวิจัยอย่างกว้างขวางโดยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อหาสาระสำคัญของสมุนไพรที่มีพิษ ทางเภสัชมาสกัดเป็นยาแทนยาสังเคราะห์ที่ใช้กันในปัจจุบัน
    คนไทยไม่เพียงแต่ใช้พืชสมุนไพรเป็นยารักษาโรคเท่านั้น แต่ได้นำมาดัดแปลงเพื่อบริโภคในรูปของอาหาร
    และเครื่องดื่มสมุนไพร ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะ "สมุนไพรที่นำมาใช้เป็นเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพ"
    [​IMG]

    เครื่องดื่มสมุนไพรไทย
    ชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยนั้นมีรากฐานมานานนับร้อยนับพันปี อารยธรรมต่างๆ ที่ถือเป็นเอกลักษณ์ในการแสดงถึงชาติ แสดงถึงเผ่าพันธุ์ และความเป็นผู้ที่เจริญแล้ว สิ่งหนึ่งที่แสดงออกมาได้เป็นอย่างดีก็คือ ศิลปะที่ผสมผสานและผูกพันอยู่ในการใช้ชีวิตประจำวันของคนไทยนั่นเอง ศิลปะดังกล่าวนี้รวมไปถึงเรื่องการกินอยู่ด้วยอาทิ เช่น การจัดตั้งสำรับ และการประกอบจัดอาหาร ก็ไม่เพียงเพื่อความอร่อยลิ้นอย่างวิเศษเพียงประการเดียว ยังมีความสวยงามในการจัดแต่งเป็นองค์ประกอบของอาหารให้งามตายิ่งขึ้นไปอีก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เครื่องดื่มของไทยนั้นจะแฝงไว้ด้วยเจตนารมณ์ให้ผู้ดื่มได้ซึมซับทั้งรสชาติและคุณประโยชน์ไปพร้อมๆ กันอย่างชาญฉลาด
    หากจะสืบสาวถึงความเป็นมาของเครื่องดื่มสมุนไพรก็มีมาตั้งแต่ครั้งสมัยพุทธกาล มีน้ำชนิดหนึ่งเรียกว่า "อัชบาล" หรือ น้ำปานะ ซึ่งพระสงฆ์สามารถฉันน้ำชนิดนี้ได้ตลอดทั้งวันแทนการขบเคี้ยวอาหารหลังมื้อเพลตามบัญญัติของพุทธศาสนา น้ำปานะนี้ใช้สมุนไพร หรือพืชผลชนิดที่มีความเผ็ดร้อน เช่น ขิง ข่า กระทือ ตะไคร้ เป็นต้น ต้มในน้ำร้อนและผสมน้ำตาลทรายแดงให้พอมีรสปะแล่มๆ ซึ่งต่อมานิยมดื่มกันแพร่หลายมาถึงฆราวาสด้วย
    ประโยชน์ของสมุนไพร คือ
    1. ใช้เป็นยาบำบัดรักษาโรค
    2. ใช้เป็นอาหาร
    3. ใช้เป็นเครื่องสำอางค์
    4. ใช้เป็นอาหารเสริมบำรุงร่างกาย
    5. ใช้ขับสารพิษ
    6. ใช้เป็นเครื่องดื่ม
    7. ช่วยส่งเสริมความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจ
    [​IMG]
    ประเภทของสมุนไพร
    การจำแนกเครื่องดื่มสมุนไพรของไทยตามที่มาและกรรมวิธี นั้นแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
    1. น้ำดื่มธรรมดา ซึ่งใช้ตามประเพณี หรือพิธี ได้แก่
    - น้ำที่นำไปอบด้วย เครื่องหอมได้แก่กระดังงาลนไฟลอยด้วยดอกมะลิหรือกลีบกุหลาบมอญใช้ถวายพระสงฆ์ในงานพิธีตามประเพณี เช่น งานทำบุญเลี้ยงพระ งานประเพณีสงกรานต์ เป็นต้น หรือเป็นน้ำที่ถวายเจ้านายในวังเพื่อใช้เสวยเป็นประจำ
    2. น้ำผลไม้ และน้ำดื่มซึ่งเกิดจากการปรุงแต่ง
    -จากน้ำอัชบาล หรือน้ำปานะ อันเป็นเครื่องดื่มของพระสงฆ์ในสมัยพุทธกาลนั้น ในเวลาต่อมาเนื่องจากเมืองไทยเป็นเมืองที่มีพืชพันธ์อุดมสมบูรณ์ และมีผลไม้นานาชนิดที่สลับหมุนเวียนกันตลอดทั้งปี จึงเกิดความนิยมนำเอาพืชสมุนไพรและผลไม้มาทำเป็นเครื่องดื่ม โดยอาศัยการปรุงแต่งรสชาติด้วยการเติมน้ำตาล หรือเกลือบ้าง เพื่อให้เกิดความอร่อยขึ้น อาทิ น้ำมะตูม น้ำกระเจี๊ยบ น้ำมะนาว น้ำใบเตย น้ำตะไคร้ และน้ำใบบัวบก เป็นต้น
    แต่เดิมพืชและผลไม้ที่จะนำมาทำเป็นเครื่องดื่มนั้น มักจะเก็บมาสดๆ และใช้ทันที รสชาติที่ทำจึงมีความสด และทรงคุณค่าตามธรรมชาติ มาถึงปัจจุบันนี้เครื่องดื่มได้ถูกประยุกต์ขึ้นต่างรูปแบบ มีการนำวิทยาการสมัยใหม่มาใช้ในการผลิต มีการบรรจุในภาชนะแบบต่างๆ เพื่อความสะดวกต่อการใช้ในชีวิตประจำวัน เครื่องดื่มของไทยนั้นให้ทั้งรสชาติ และคุณประโยชน์ควบคู่กันไป คุณประโยชน์ที่กล่าวถึงคือ สรรพคุณทางยาที่ได้จากพืชผลที่นำมาเป็นเครื่องดื่มนั่นเอง อีกทั้งยังมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายตามธรรมชาติรวมอยู่ด้วย

    กาแฟ <TABLE width="100%" border=1><TBODY><TR><TD width="24%">ชื่อทางพื้นเมืองอื่น : </TD><TD width="76%">-</TD></TR><TR><TD width="24%">ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : </TD><TD width="76%">Coffea arabica Linn,Coffea Liberica Hiern,Coffea robusta Linden</TD></TR><TR><TD width="24%">ฤทธิ์และประโยชน์ทางยา : </TD><TD width="76%">ประโยชน์ของกาแฟคล้ายกับชา เพราะมีสารสำคัญเป็นคาเฟอีนเช่นกัน เพียงแต่ปริมาณคาเฟอีนในกาแฟมีน้อยกว่าในใบชา คาเฟอีนมีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางทำให้ร่างกายตื่นตัว กล้ามเนื้อทำงานดีขึ้นและยังมีฤทธิ์กระตุ้นระบบการหายใจและระบบขับปัสสาวะอีกด้วย ดังนั้นเมื่อดื่มกาแฟจึงรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่าและ รู้สึกอยากถ่ายปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ</TD></TR></TBODY></TABLE>

    หญ้าหนวดแมว <TABLE width="100%" border=1><TBODY><TR><TD width="24%">ชื่อพื้นเมืองอื่นๆ : </TD><TD width="76%">พยัพเมฆ,บางรักป่า(ประจวบคีรีขันธ์)
    อีตู่ดง (เพชรบูรณ์)

    </TD></TR><TR><TD width="24%">ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : </TD><TD width="76%">Orthosiphon aristatus Miq</TD></TR><TR><TD width="24%">ฤทธิ์และประโยชน์ทางยา : </TD><TD width="76%">ใช้ขับปัสสาวะ ขับนิ่ว ใบอ่อนใช้เป็นยาขับปัสสาวะที่มีประสิทธิภาพสูงเนื่องจากมี เกลือโปแตสเซียมมาก สามารถรักษาได้ทั้งนิ่วด่างที่เกิดจากแคลเซียม(หินปูน) นิ่วกรด ซึ่งเกิดจากกรดยูริก ใช้แก้โรคปวดตามสันหลังและบั้นเอว ใช้รักษาโรคเบาหวาน และลดความดันโลหิตอีกด้วย</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ว่านหางจระเข้ <TABLE width="100%" border=1><TBODY><TR><TD width="24%">ชื่อพื้นเมืองอื่นๆ : </TD><TD width="76%">ว่านไฟไหม้ (ภาคเหนือ) หางตะเข้ (กลาง)</TD></TR><TR><TD width="24%">ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : </TD><TD width="76%">Aloe barbaclensis Mill</TD></TR><TR><TD width="24%">ฤทธิ์และประโยชน์ทางยา : </TD><TD width="76%">ใช้รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
    แผลไหม้เกรียมจากแสงแดด แผลไฟไหม้จากการฉายรังสี รักษาแผลในกระเพาะอาหาร มีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ ใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางค์หลายชนิด ยางสีเหลืองจากบริเวณเปลือกในมีฤทธิ์เป็นยาถ่าย ยาระบาย

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    บัวบก <TABLE width="100%" border=1><TBODY><TR><TD width="24%">ชื่อพื้นเมืองอื่นๆ : </TD><TD width="76%">ผักหนอก (ภาคเหนือ) จำปาเครือ กะบังนอก,
    ผักหมอกช้าง ผักแว่น (จันทบุรี, ภาคใต้)

    </TD></TR><TR><TD width="24%">ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : </TD><TD width="76%">Centella asiafic (Linn) Urban</TD></TR><TR><TD width="24%">ฤทธิ์และประโยชน์ทางยา : </TD><TD width="76%">ใช้ในการสมานแผลและลดการอักเสพทำ
    ให้แผลหายเร็ว ใบและต้นสดตำคั้นน้ำพอก แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลฝีหนองยับยั้ง
    การแข่งตัวของเซลล์มะเร็ง ชนิด Ehnlich
    ascites และ Dalton's Lymyhoma ascites
    เจ็บอกแก้ช้ำใน พกซ้ำ และบำรุงกำลัง

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ขิง <TABLE width="100%" border=1><TBODY><TR><TD width="24%">ชื่อพื้นเมืองอื่นๆ : </TD><TD width="76%">ขิงเผือก(เชียงใหม่), ขิงแดง ขิงแกลง (จันทบุรี) สะเอ (แม่ฮ่องสอน)</TD></TR><TR><TD width="24%">ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : </TD><TD width="76%">Zingiber officnale Rose</TD></TR><TR><TD width="24%">ฤทธิ์และประโยชน์ทางยา : </TD><TD width="76%">มีฤทธิ์ เป็นยากันบูด กันหืน แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้จุกเสียด ขับลม
    บรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน แก้ไอ
    ขับเสมหะ ช่วยป้องกันการเกิดแผล
    ในกระเพาะอาหาร

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    บุก <TABLE width="100%" border=1><TBODY><TR><TD width="24%">ชื่อพื้นเมืองอื่นๆ : </TD><TD width="76%">บุกดาบดก(ชลบุรี) เมีย, เบือ (แม่ฮ่องสอน) บุกบ้าน, มันซูรัน(กลาง) หัวบุก(ปัตตานี)</TD></TR><TR><TD width="24%">ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : </TD><TD width="76%">Amorphohallus cam panulatus BL.ex Decne</TD></TR><TR><TD width="24%">ฤทธิ์และประโยชน์ทางยา: </TD><TD width="76%">สารที่มีความสำคัญที่พบได้ในหัวบุกบางพันธุ์ได้แก่ สารกลูโดแมนแนน ซึ่งใช้ประโยชน์ เป็นอาหาร ใช้ชื่ออุตสาหกรรมยา และเครื่องสำอางค์ เป็นสารที่ให้พลังงานต่ำช่วยลดน้ำตาลในเลือด ลดปริมาณโคเลสเตอรอลในเลือด และต้มได้อีกทั้งยังทำให้การดูดซึมของกูลโคสจากทางเดินอาหารลดลง</TD></TR></TBODY></TABLE>

    กระเจี๊ยบแดง <TABLE width="100%" border=1><TBODY><TR><TD width="24%">ชื่อพื้นเมืองอื่นๆ : </TD><TD width="76%">กระเจี๊ยบ กระเจี๊ยบเปรี้ยว ส้มพอเหมาะ
    (ภาคกลาง) ผักเก็งเค็ง ส้มเก็งเค็ง(ภาคเหนือ) ส้มตะเลงเครา(ตาก) ส้มปู (แม่ฮ่องสอน)

    </TD></TR><TR><TD width="24%">ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : </TD><TD width="76%">Hibiscus Sabdariffa Linn</TD></TR><TR><TD width="24%">ฤทธิ์และประโยชน์ทางยา : </TD><TD width="76%">ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยขับปัสสาวะ รักษา นิ่วและโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ ช่วยย่อยอาหารประเภทไขมัน ช่วยระบาย ขับกรดยูริก ช่วยรักษาและป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ลดอัตราการดูดซึมแอลกอฮอล์ สามารถยับยั้งการเจริญเติบโต และการสร้างสารพิษ แอลฟาทอกซินของเชื้อรา</TD></TR></TBODY></TABLE>


    คำฝอย <TABLE width="100%" border=1><TBODY><TR><TD width="24%">ชื่อพื้นเมืองอื่นๆ : </TD><TD width="76%">ดอกคำ คำ คำหยุม คำยอง</TD></TR><TR><TD width="24%">ชื่อวิทยาศาสตร์ : </TD><TD width="76%">Carthamus tinetorius Linn</TD></TR><TR><TD width="24%">ฤทธิ์และประโยชน์ทางยา : </TD><TD width="76%">มีฤทธิ์ยับยั้งไวรัสและเชื้อแบคทีเรียบำรุงโลหิต บำรุงประสาท แก้โรคผิวหนังลดไขมันในเลือด และช่วยป้องกันไขมันอุดตัน ช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในเลือด</TD></TR></TBODY></TABLE>


    ชุมเห็ดเทศ <TABLE width="100%" border=1><TBODY><TR><TD width="24%">ชื่อพื้นเมืองอื่นๆ : </TD><TD width="76%">ชุมเห็ดใหญ่ ชุมเห็ด(ภาคกลาง), ลับมื่นหลวง ขี้คาก ขี้เหล็กสาร หมากกะลิ่งเทศ(ภาคเหนือ) ส้มเห็ด(เชียงราย) ตะสีพอ(กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)</TD></TR><TR><TD width="24%">ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : </TD><TD width="76%">Cassia alata Linn</TD></TR><TR><TD width="24%">ฤทธิ์และประโยชน์ทางยา : </TD><TD width="76%">ใช้เป็นยาระบายแก้โรคท้องผูกได้ใบสดใช้ รักษาโรคกลาก และโรคผิวหนังอื่นๆ เช่นฝี แผลพุพองที่เป็นหนอง และโรคน้ำกัดเท้าได้</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]
    ตะไคร้ <TABLE width="100%" border=1><TBODY><TR><TD width="24%">ชื่อพื้นเมืองอื่นๆ : </TD><TD width="76%">ตะไคร้แกง(ภาคกลาง) ไคร(ภาคเหนือ)
    ไครไพเล็ก(ภาคใต้) คาหอม(เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน)

    </TD></TR><TR><TD width="24%">ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : </TD><TD width="76%">Cymbopogon citratus (DC.) Stapf</TD></TR><TR><TD width="24%">ฤทธิ์และประโยชน์ทางยา : </TD><TD width="76%">เป็นยาขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ ลดความร้อนในร่างกาย
    มีฤทธิ์ต้านเชื้อรา และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียบางชนิด


    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    ทองพันชั่ง <TABLE width="100%" border=1><TBODY><TR><TD width="24%">ชื่อพื้นเมืองอื่นๆ : </TD><TD width="76%">ทองคันชั่ง หญ้ามันไก่ (ภาคกลาง)</TD></TR><TR><TD width="24%">ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : </TD><TD width="76%">Rhinacanthus nasutus Kurz</TD></TR><TR><TD width="24%">ฤทธิ์และประโยชน์ทางยา : </TD><TD width="76%">ต้น ใบ ราก มีสารประกอบออกซีเมททิล
    แอนทราควิโนน(Oxymethylanthraquinone) ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา สารสกัดจากต้นและใบทองพันชั่งด้วยแอลกอฮอล์และคลอโรฟอร์ม มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนังต่างๆ รวมทั้งกลากได้ผลดี ในส่วนของใบชงน้ำดื่มเป็นยาระบายและขับปัสสาวะ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    ยอ <TABLE width="100%" border=1><TBODY><TR><TD width="24%">ชื่อพื้นเมืองอื่นๆ : </TD><TD width="76%">ยอบ้าน(ภาคกลาง) มะตาเสือ(ภาคเหนือ)
    แยใหญ่(กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)

    </TD></TR><TR><TD width="24%">ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : </TD><TD width="76%">Morinda Citrifolia Linn</TD></TR><TR><TD width="24%">ฤทธิ์และประโยชน์ทางยา : </TD><TD width="76%">ใช้เป็นยาแก้คลื่นไส้อาเจียน ผลยอสุกใช้รับ ประทานได้เพื่อช่วยบำรุงธาตุ เช่น ขับลม</TD></TR></TBODY></TABLE>


    หญ้าปักกิ่ง <TABLE width="100%" border=1><TBODY><TR><TD width="24%">ชื่อพื้นเมืองอื่นๆ : </TD><TD width="76%">หญ้าเทวดา</TD></TR><TR><TD width="24%">ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : </TD><TD width="76%">Murdannia Ioriformis (Hassk) Rolla Rao et Kammathy</TD></TR><TR><TD width="24%">ฤทธิ์และประโยชน์ทางยา : </TD><TD width="76%">ใช้รักษาอาการของโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งในลำคอ ตับ มดลูก ลำไส้ ผิวหนัง และเม็ดเลือด โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ และช่วยลดอาการข้างเคียงจากการฉายแสง</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]
    ใบเตย <TABLE width="100%" border=1><TBODY><TR><TD width="24%">ชื่อทางพื้นเมืองอื่นๆ : </TD><TD width="76%">เตยหอม, หวานข้าวไหม้, ทังลั้ง(จีน)
    ปาะแบ๊ะออริง (ปัตษ์ใต้)

    </TD></TR><TR><TD width="24%">ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : </TD><TD width="76%">Pandanus Odorus</TD></TR><TR><TD width="24%">ฤทธิ์และประโยชน์ทางยา : </TD><TD width="76%">เตยหอมมีรสเย็น หอม บำรุงหัวใจให้ชุ่มชื้น จิตใจผ่องใส ส่วนต้นและรากใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้กษัยช้าเบาพิการได้ดี</TD></TR></TBODY></TABLE>


    หม่อน <TABLE width="100%" border=1><TBODY><TR><TD width="24%">ชื่อทางพื้นเมืองอื่นๆ : </TD><TD width="76%">หม่อน, ซึงเฮียะ (จีน)</TD></TR><TR><TD width="24%">ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : </TD><TD width="76%">Morus Alba Linn</TD></TR><TR><TD width="24%">ฤทธิ์และประโยชน์ทางยา : </TD><TD width="76%">ใบต้มเอาน้ำมาล้างตา แก้ตาแดง ตาแฉะ
    ฝ้า ฟาง รับประทานเป็นยาแก้ไอ และ
    ระงับประสาท

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]
    มะตูม <TABLE width="100%" border=1><TBODY><TR><TD width="24%">ชื่อทางพื้นเมืองอื่นๆ : </TD><TD width="76%">มะตูม (ไทยภาคกลาง) มะปีน(เหนือ) กะทันตาเถร, ตุ่มตัง(ลานช้าง) ตูม</TD></TR><TR><TD width="24%">ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : </TD><TD width="76%">Aegle Marmelos</TD></TR><TR><TD width="24%">ฤทธิ์และประโยชน์ทางยา : </TD><TD width="76%">ผลอ่อนๆใช้เป็นยาบำรุงธาตุให้เจริญอาหารและขับลม ผลแก่แก้เสมหะและลม บำรุงธาตุไฟย่อยอาหารให้ละเอียด แก้ลมเสียดแทงในท้อง แก้มูกเลือด ส่วนรากมะตูมแก้พิษฝี พิษไข้ แก้สติเผลอ รักษาน้ำดี</TD></TR></TBODY></TABLE>


    มะนาว <TABLE width="100%" border=1><TBODY><TR><TD width="24%">ชื่อทางพื้นเมืองอื่นๆ : </TD><TD width="76%">มะนาว(ภาคกลาง) ส้มนาว(ภาคเหนือ)</TD></TR><TR><TD width="24%">ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : </TD><TD width="76%">Citrus Aurantifolia</TD></TR><TR><TD width="24%">ฤทธิ์และประโยชน์ทางยา : </TD><TD width="76%">ใบมะนาวใช้เป็นยากัดฟอกโลหิตระดูเมล็ด มะนาวคั่วให้เหลืองผสมเป็นยาขับเสมหะแก้โรคทรางของเด็ก รากใช้เป็นยาถอนพิษไข้กลับ หรือไข้ซ้ำ ฝนกับสุราทาแก้ปวดฝีได้ดีถอนพิษสำแดง แก้สติหลงลืม น้ำมะนาวให้
    วิตามินซี แก้โรคเลือดออกตามไรฟัน

    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    ฝรั่ง <TABLE width="100%" border=1><TBODY><TR><TD width="24%">ชื่อทางพื้นเมืองอื่นๆ : </TD><TD width="76%">มะแกล(แพร่), ย่ามู(ใต้) มะมั่น(เหนือ)
    มะสี ดา(อีสาน) ชมพู(ปัตตานี)
    มะปุ่น (สุโขทัย)

    </TD></TR><TR><TD width="24%">ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : </TD><TD width="76%">Psidium guajava Linn</TD></TR><TR><TD width="24%">ฤทธิ์และประโยชน์ทางยา : </TD><TD width="76%">ขับลม แก้ท้องเสีย ดับกลิ่นปาก มีวิตา มิน ซี สูง แก้โรคลักปิดลักเปิด ใบไม่แก่
    ไม่อ่อนนัก 10-15 ใบ ปิ้งไฟพอเหลืองชง
    กับน้ำร้อนดื่มแก้ท้องเสีย ผลดิบ 1 ผล
    ฝานตากแดด บด

    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    รางจืดหรือรางเย็น <TABLE width="100%" border=1><TBODY><TR><TD width="24%">ชื่อพื้นเมืองอื่นๆ : </TD><TD width="76%">รางจืด รางเย็น ฮางจืด ฮางเย็น เถายาเขียว เครือเช้าเย็น</TD></TR><TR><TD width="24%">ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : </TD><TD width="76%">Milletia Kityana</TD></TR><TR><TD width="24%">ฤทธิ์และประโยชน์ทางยา : </TD><TD width="76%">รางจืดมีรสเย็น ถอนพิษ และผาเบื่อเมา แพทย์ตามชนบทใช้ปรุงเป็นยาเขียวถอนพิษไข้ และพิษทั้งปวง รากและเถาใช้เป็นยาแก้ร้อนในกระหายน้ำแก้พิษร้อนทั้งปวง</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]


    บรรณานุกรม
    จันทน์ขาว. 2526. ของดีจากพืชสมุนไพร-ว่านยา.
    กรุงเทพฯ: ชีวิน. 199 หน้า.
    ธารธรรมแก้ว เชื้อเมือง, เรียบเรียง. 2537. น้ำดื่มสมุนไพรจากพืช และผลไม้. พิมพ์ครั้งที่ 7.
    กรุงเทพฯ: กำแก้ว. 111 หน้า.
    "ประวัติสมุนไพร". สมุนไพรเพื่อสุขภาพ. 1,2 (ธ.ค. 43)
    91-95.
    พเยาว์ เหมือนวงษ์ญาติ. 2524. คู่มือการใช้สมุนไพร.
    กรุงเทพฯ: เมดิคัล มีเดีย. 256 หน้า.
    พรสวรรค์ ดิษยบุตร. 2543. สมุนไพร: การใช้อย่างถูกวิธี.
    กรุงเทพฯ: คัมปายอิมเมจจิ้ง จำกัด. 88 หน้า.
    มูลนิธิโกมลคีมทอง. 2530. สมุนไพรชาวบ้าน. พิมพ์ครั้งที่ 2.
    กรุงเทพฯ: โกมลคีมทอง. 168 หน้า.
    วันดี กฤษณพันธ์. 2539. สมุนไพรน่ารู้. พิมพ์ครั้งที่ 2.
    กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. 267 หน้า.
    หมอเสงี่ยม พงษ์บุญรอด. 2519. ไม้เทศเมืองไทยสรรพคุณของยาเทศและยาไทย.
    กรุงเทพฯ: เกษมบรรณกิจ. 595 หน้า.
    อมราภรณ์ วงษ์ฟัก. น้ำผลไม้และเครื่องดื่มสมุนไพร.
    กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์แม่บ้าน. 41 หน้า. รวบรวมข้อมูลโดย : ฝ่ายวารสารและเอกสาร



    </TD></TR></TBODY></TABLE>​




    </TD></TR></TBODY></TABLE>ที่มา : lib.ru.ac.th
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2006
  2. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,494
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=526 align=left border=0><TBODY><TR><TD align=left width=526 colSpan=3>น้ำเก๊กฮวย
    </TD><TR><TD align=left width=426 colSpan=3>[​IMG]
    เก๊กฮวยช่วยแก้ร้อนใน ยิ่งอากาศร้อนๆ อย่างนี้ กินเก๊กฮวยแล้ว สดชื่นดีนักแล สูตรนี้เป็นสูตรไม่หวานค่ะ ซึ่งจะช่วยแก้ร้อนในให้ได้ผลดียิ่งขึ้น แต่ถ้าชอบหวาน ก็เติมน้ำตาลได้นิดหน่อยค่ะ


    ส่วนผสม
    </TD><TD align=middle width=100></TD><TR><TD align=left width=326> ดอกเก็กฮวยแห้ง
    </TD><TD align=middle width=100>10
    </TD><TD align=middle width=100>กรัม
    </TD><TR><TD align=left width=326> พุทราจีนแห้ง
    </TD><TD align=middle width=100>15
    </TD><TD align=middle width=100>ลูก
    </TD><TR><TD align=left width=326> อินทผลัม
    </TD><TD align=middle width=100>10
    </TD><TD align=middle width=100>ลูก
    </TD><TR><TD align=left width=326> น้ำ
    </TD><TD align=middle width=100>2
    </TD><TD align=middle width=100>ลิตร
    </TD><TR><TD align=left width=526 colSpan=3>
    วิธีทำ
    </TD><TR><TD vAlign=top colSpan=3>
    1. ต้มเก็กฮวย พุทราจีน อินทผลัมเข้าด้วยกัน เคี่ยวจนพุทราจีน และอินทผลัมเปื่อย
    2. กรองเอากากออก พักไว้ให้เย็น แล้วนำไปแช่เย็น ให้เย็นจัด
    3. ตักเสิร์ฟยามบ่าย คลายร้อนดีนักแล
    ที่มา มะลิลา.คอม
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,494
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=526 align=left border=0><TBODY><TR><TD align=left width=526 colSpan=3>น้ำตะไคร้ใบเตย
    </TD><TR><TD noWrap align=left width=426 colSpan=3>[​IMG]
    นับเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรอีกเมนูหนึ่ง เพราะตะไคร้ช่วยขับลม ทำให้เจริญอาหาร แก้โรคทางเดินปัสสาวะ บำรุงธาตุไฟ ข่าช่วยขับลมในลำไส้ แก้ท้องอืด ขับเสมหะ แก้หลอดลมอักเสบ ส่วนใบเตยหอม ช่วยขับปัสสาวะ และมีกลิ่นหอม


    เครื่องปรุง
    </TD><TD align=middle width=100></TD><TR><TD align=left width=326> ตะไคร้
    </TD><TD align=middle width=100>
    2
    </TD><TD align=middle width=100>ต้น
    </TD><TR><TD align=left width=326> ใบเตยหอม
    </TD><TD align=middle width=100>
    4
    </TD><TD align=middle width=100>ใบ
    </TD><TR><TD align=left width=326> ข่าหั่นแว่น
    </TD><TD align=middle width=100>
    5
    </TD><TD align=middle width=100>แว่น
    </TD><TR><TD align=left width=326> น้ำสะอาด
    </TD><TD align=middle width=100>
    4
    </TD><TD align=middle width=100>ถ้วย
    </TD><TR><TD align=left width=326> น้ำตาลทราย
    </TD><TD align=middle width=100>
    1/2
    </TD><TD align=middle width=100>ถ้วย
    </TD><TR><TD align=left width=326> เกลือป่น
    </TD><TD align=middle width=100>
    1/8
    </TD><TD align=middle width=100>ช้อนชา
    </TD><TR><TD align=left colSpan=2> น้ำแข็งหลอด
    </TD><TD align=middle width=100>
    </TD><TR><TD align=left width=526 colSpan=3>
    วิธีทำ
    </TD><TR><TD vAlign=top colSpan=3>
    1. ล้างใบเตยหอมให้สะอาด หั่นเป็นท่อนจำนวน 2 ใบ ล้างตะไคร้ให้สะอาด ทุบพอแตก หั่นเป็นท่อนยาวประมาณ 3 นิ้ว เกลาข่าแล้วล้างให้สะอาด หั่นเป็นแว่นบางๆ ตวงน้ำใส่ลงในหม้อเคลือบ ใส่ทุกอย่างลงในหม้อ ปิดฝา ยกขึ้นตั้งไฟ ต้มให้เดือดรุมๆ ประมาณ 5-6 นาที ยกลง พักไว้ 5 นาที (ขณะพักไม่ควรเปิดฝาหม้อ)
    2. กรองเอากากทิ้ง ใส่น้ำตาลและเกลือป่นลงในน้ำที่กรองไว้ คนให้ละลาย ตักเสริฟได้เลยหากต้องการรับประทานร้อนๆ
    3. หั่นใบเตย 2 ใบที่เหลือให้เป็นฝอย โขลกให้ละเอียด ใส่กระชอนตาถึ่ๆ จุ่มลงในหม้อเคลือบ ใช้ช้อนคนให้สีเขียวจากใบเตย ละลายลงน้ำจนมีสีเขียวตามต้องการ
    4. เสริฟโดยใส่น้ำแข็งลงในแก้ว ตักน้ำตะไคร้ใส่ให้น้ำมีปริมาณต่ำกว่าขอบแก้วเล็กน้อย รอให้เย็นจัด จึงเสริฟ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=20 cellPadding=0 width=701 align=left border=0><TBODY><TR><TD width=175></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,494
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=526 align=left border=0><TBODY><TR><TD align=left width=526 colSpan=3>น้ำนมมังกร
    </TD><TR><TD align=left width=426 colSpan=3>[​IMG]

    เป็นเครื่องดื่มที่ดื่มขณะร้อนๆ เหมาะกับฤดูหนาว เพราะทำให้อบอุ่นและสดชื่น จำได้ว่าแรกที่ผลไม้แก้วมังกรเข้าเมืองไทย ราคาสูงจนไม่กล้าคิดจะรับประทาน แต่ตอนนี้ราคาไม่แพงแล้ว คุณที่ชอบรับประทานผลไม้ชนิดนี้ คงจะถูกใจกับเครื่องดื่มชนิดนี้ เพราะเพิ่มรสชาติให้กับผลไม้ชนิดนี้ได้อีกแยะ


    ส่วนผสม
    </TD><TD align=middle width=100></TD><TR><TD align=left width=326> ถั่วลิสงอบ
    </TD><TD align=middle width=100>10
    </TD><TD align=middle width=100>เม็ด
    </TD><TR><TD align=left width=326> ข้าวกล้อง
    </TD><TD align=middle width=100>1/4
    </TD><TD align=middle width=100>ถ้วย
    </TD><TR><TD align=left width=326> น้ำต้มสุก
    </TD><TD align=middle width=100>10
    </TD><TD align=middle width=100>ถ้วย
    </TD><TR><TD align=left width=326> นมข้นหวาน
    </TD><TD align=middle width=100>1/2
    </TD><TD align=middle width=100>ถ้วย
    </TD><TR><TD align=left width=326> กะทิ
    </TD><TD align=middle width=100>1
    </TD><TD align=middle width=100>ถ้วย
    </TD><TR><TD align=left width=326> เนื้อผลแก้วมังกรบดละเอียด
    </TD><TD align=middle colSpan=2>
    </TD><TR><TD align=left width=326> เกลือป่น เล็กน้อย
    </TD><TD align=middle colSpan=2>
    </TD><TR><TD align=left width=526 colSpan=3>
    วิธีทำ
    </TD><TR><TD vAlign=top colSpan=3>
    1. ซาวข้าวกล้อง แช่น้ำไว้ 3 ช.ม. ใส่ตะแกรงพักให้สะเด็ดน้ำ
    2. บดข้าวกล้องและถั่วให้ละเอียด ผสมกัน ใส่น้ำพอประมาณ กรองด้วยข้าวขาวบาง
    3. ผสมน้ำจำนวน 6 ถ้วย นำไปต้มจนเดือดและแป้งสุก คนให้ทั่วเป็นระยะๆ
    4. เติมกะทิ นมข้นหวาน และเกลือป่น คนพอให้เข้ากัน ยกลง
    5. ตักใส่ถ้วย เติมเนื้อผลแก้วมังกร คนพอเข้ากัน ดื่มขณะร้อน เติมรสหวานตามชอบใจ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,494
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=526 align=left border=0><TBODY><TR><TD align=left width=526 colSpan=3>น้ำเบต้าเข้มข้น
    </TD><TR><TD align=left width=426 colSpan=3>[​IMG]
    น้ำผลไม้สูตรนี้เน้นเบต้า แคโรทีน ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ต่อต้านมะเร็ง ช่วยบำรุงสายตา ทำให้ผิวพรรณดี ป้องกันหวัดได้ ดีขนาดนี้ จะรอช้าทำไมละคะ วิธีทำก็แสนจะง่าย


    ส่วนผสม
    </TD><TD align=middle width=100></TD><TR><TD align=left width=326> บีทรูท
    </TD><TD align=middle width=100>1
    </TD><TD align=middle width=100>หัว
    </TD><TR><TD align=left width=326> แครอท
    </TD><TD align=middle width=100>2
    </TD><TD align=middle width=100>หัว
    </TD><TR><TD align=left width=326> แอ๊ปเปิล
    </TD><TD align=middle width=100>1/2
    </TD><TD align=middle width=100>ลูก
    </TD><TR><TD align=left width=526 colSpan=3>
    วิธีทำ
    </TD><TR><TD vAlign=top colSpan=3>
    1. คั้นน้ำจากแครอท บีทรูท และแอ๊ปเปิล ด้วยเครื่องคั้นน้ำผลไม้ (Juicer) ถ้าไม่มีเจ้าเครื่องนี้ ให้สับผลไม้ให้ละเอียด แล้วห่อด้วยผ้าขาวบาง บีบคั้นน้ำแทน
    2. เติมน้ำแข็งทุบ รับประทานทันที หรือจะแช่ช่องฟรี๊ซไว้ 10-15 นาที ก็ได้ค่ะ
    <TR><TD vAlign=bottom colSpan=3>ขนาดรับประทาน 2-3 คน
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=20 cellPadding=0 width=701 align=left border=0><TBODY><TR><TD width=175></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,494
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=526 align=left border=0><TBODY><TR><TD align=left width=526 colSpan=3>น้ำเบต้าสีหวาน
    </TD><TR><TD align=left width=426 colSpan=3>[​IMG]
    น้ำผลไม้สูตรนี้เน้นเบต้า แคโรทีน ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ต่อต้านมะเร็ง ช่วยบำรุงสายตา ทำให้ผิวพรรณดี ป้องกันหวัดได้ ดีขนาดนี้ จะรอช้าทำไมละคะ วิธีทำก็แสนจะง่าย


    ส่วนผสม
    </TD><TD align=middle width=100></TD><TR><TD align=left width=326> แคนตาลู้ป ลูกใหญ่ ไม่ต้องสุกมาก
    </TD><TD align=middle width=100>1/4
    </TD><TD align=middle width=100>ลูก
    </TD><TR><TD align=left width=326> แครอท
    </TD><TD align=middle width=100>1/2
    </TD><TD align=middle width=100>หัว
    </TD><TR><TD align=left width=326> มะนาว
    </TD><TD align=middle width=100>1
    </TD><TD align=middle width=100>ลูกเล็ก
    </TD><TR><TD align=left width=526 colSpan=3>
    วิธีทำ
    </TD><TR><TD vAlign=top colSpan=3>
    1. คั้นน้ำจากแครอท และแคนตาลู้ปด้วยเครื่องคั้นน้ำผลไม้ (Juicer) ถ้าไม่มีเจ้าเครื่องนี้ ให้สับผลไม้ให้ละเอียด แล้วห่อด้วยผ้าขาวบาง บีบคั้นน้ำแทน
    2. บีบน้ำมะนาวใส่ แช่ช่องฟรี๊ซไว้ 10-15 นาที
    3. ยกเสริฟ ถ้าขยันหน่อย อาจฝานมะนาวบางๆ ตกแต่งปากแก้วให้สวยงาม
    <TR><TD vAlign=bottom colSpan=3>ขนาดรับประทาน 3-4 คน
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=20 cellPadding=0 width=701 align=left border=0><TBODY><TR><TD width=175></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,494
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=526 align=left border=0><TBODY><TR><TD align=left width=526 colSpan=3>น้ำผลไม้เบต้าซี
    </TD><TR><TD align=left width=426 colSpan=3>[​IMG]
    รับประทานน้ำผลไม้นี่ดีนะคะ ร่างกายจะสดชื่นมากทีเดียว ยิ่งสูตรนี้อุดมไปด้วย วิตามินซี วิตามินเอ และเบต้าแคโรทีน รับประทานเป็นประจำ หวัดไม่กล้าแหยมเชียวค่ะ


    ส่วนผสม
    </TD><TD align=middle width=100></TD><TR><TD align=left width=326> ส้มลูกเล็กสำหรับคั้นน้ำ
    </TD><TD align=middle width=100>10
    </TD><TD align=middle width=100>ผล
    </TD><TR><TD align=left width=326> เสาวรส
    </TD><TD align=middle width=100>2
    </TD><TD align=middle width=100>ผล
    </TD><TR><TD align=left width=326> แครอท
    </TD><TD align=middle width=100>1/2
    </TD><TD align=middle width=100>หัว
    </TD><TR><TD align=left width=326> บีทรูท
    </TD><TD align=middle width=100>1
    </TD><TD align=middle width=100>หัว
    </TD><TR><TD align=left width=326> น้ำ
    </TD><TD align=middle width=100>1/2
    </TD><TD align=middle width=100>ถ้วย
    </TD><TR><TD align=left width=326> เกลือป่น
    </TD><TD align=middle width=100>นิดหน่อย
    </TD><TD align=middle width=100>
    </TD><TR><TD align=left width=526 colSpan=3>
    วิธีทำ
    </TD><TR><TD vAlign=top colSpan=3>
    1. คั้นน้ำจากแครอท และบีทรูทด้วยเครื่องคั้นน้ำผลไม้ (Juicer) ถ้าไม่มีเจ้าเครื่องนี้ ให้สับผลไม้ให้ละเอียด แล้วห่อด้วยผ้าขาวบาง บีบคั้นน้ำ เสร็จแล้ว แช่ช่อง Freeze พักไว้
    2. ผ่าครึ่งลูกเสาวรสตามขวาง ควักเอาเนื้อสีเหลืองๆ ออกมาใส่ที่ปั่นน้ำผลไม้ (Blender) ใส่เกลือ ใส่น้ำเปล่า ปั่นประมาณ 20 วินาที กรองด้วยผ้าขาวบาง เทใส่รวมกับข้อ 1 นำไปแช่ช่องฟรี๊ซไว้ตามเดิม
    3. คั้นส้มด้วยที่คั้นน้ำส้ม (แบบมือหมุนดีที่สุด ได้ออกกำลังด้วย) เทน้ำส้มรวมกับข้อ 2
    4. รับประทานทันที ชอบแบบเย็นเจี๊ยบก็เติมน้ำแข็งเอานะคะ
    <TR><TD vAlign=bottom colSpan=3>ขนาดรับประทาน 3-4 คน
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,494
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=526 align=left border=0><TBODY><TR><TD align=left width=526 colSpan=3>น้ำผลไม้รวมรส
    </TD><TR><TD align=left width=426 colSpan=3>[​IMG]
    รับประทานผลไม้ หลังอาหารคาวมาก็มากแล้ว ลองเปลี่ยนเป็นน้ำผลไม้บ้างดีกว่าค่ะ สูตรนี้อุดมไปด้วย วิตามินเอ เบต้าแคโรทีน และวิตามินซี รับประทานแล้วแข็งแรง หายห่วงค่ะ


    ส่วนผสม
    </TD><TD align=middle width=100></TD><TR><TD align=left width=326> แอ๊ปเปิล
    </TD><TD align=middle width=100>2
    </TD><TD align=middle width=100>ผล
    </TD><TR><TD align=left width=326> เสาวรส
    </TD><TD align=middle width=100>2
    </TD><TD align=middle width=100>ผล
    </TD><TR><TD align=left width=326> แครอท
    </TD><TD align=middle width=100>1/2
    </TD><TD align=middle width=100>หัว
    </TD><TR><TD align=left width=326> บีทรูท
    </TD><TD align=middle width=100>1
    </TD><TD align=middle width=100>หัว
    </TD><TR><TD align=left width=326> น้ำ
    </TD><TD align=middle width=100>1/2
    </TD><TD align=middle width=100>ถ้วย
    </TD><TR><TD align=left width=326> เกลือป่น
    </TD><TD align=middle width=100>นิดหน่อย
    </TD><TD align=middle width=100>
    </TD><TR><TD align=left width=526 colSpan=3>
    วิธีทำ
    </TD><TR><TD vAlign=top colSpan=3>
    1. คั้นน้ำจากแอ๊ปเปิล แครอท และบีทรูทด้วยเครื่องคั้นน้ำผลไม้ (Juicer) ถ้าไม่มีเจ้าเครื่องนี้ ให้สับผลไม้ให้ละเอียด แล้วห่อด้วยผ้าขาวบาง บีบคั้นน้ำ เสร็จแล้ว แช่ช่อง Freeze พักไว้
    2. ผ่าครึ่งลูกเสาวรสตามขวาง ควักเอาเนื้อสีเหลืองๆ ออกมาใส่ที่ปั่นน้ำผลไม้ (Blender) ใส่เกลือ ใส่น้ำเปล่า ปั่นประมาณ 20 วินาที กรองด้วยผ้าขาวบาง
    3. นำน้ำในข้อ 1 และ 2 ผสมกัน แล้วรับประทานทันที ถ้าชอบเย็นๆ ก็เติมน้ำแข็ง
    <TR><TD vAlign=bottom colSpan=3>ขนาดรับประทาน 3-4 คน
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=20 cellPadding=0 width=701 align=left border=0><TBODY><TR><TD width=175></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,494
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=526 align=left border=0><TBODY><TR><TD align=left width=526 colSpan=3>น้ำฝรั่งมรกต
    </TD><TR><TD align=left width=426 colSpan=3>[​IMG]
    สูตรนี้รับประทานเป็นประจำแล้วหวัดไม่มาเยือนแน่ๆ เพราะอุดมไปด้วยวิตามินซี ที่มีฤทธิ์เป็น Anti oxidant ช่วยต่อต้านเจ้ามะเร็งร้าย ป้องกันภูมิแพ้ เสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย และทำให้ไม่แก่เร็วด้วยค่ะ


    ส่วนผสม
    </TD><TD align=middle width=100></TD><TR><TD align=left width=326> ฝรั่งขนาดกลาง
    </TD><TD align=middle width=100>2
    </TD><TD align=middle width=100>ลูก
    </TD><TR><TD align=left width=326> เกลือ
    </TD><TD align=middle width=100>นิดหน่อย
    </TD><TD align=middle width=100>
    </TD><TR><TD align=left width=526 colSpan=3>
    วิธีทำ
    </TD><TR><TD vAlign=top colSpan=3>
    1. คั้นน้ำจากฝรั่งด้วยเครื่องคั้นน้ำผลไม้ (Juicer) ถ้าไม่มีเจ้าเครื่องนี้ ให้สับผลไม้ให้ละเอียด แล้วห่อด้วยผ้าขาวบาง บีบคั้นน้ำแทน
    2. เติมเกลือ คนให้เข้ากัน เติมน้ำแข็งทุบ แล้วรับประทานทันที
    <TR><TD vAlign=bottom colSpan=3>ขนาดรับประทาน 2-3 คน
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,494
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=526 align=left border=0><TBODY><TR><TD align=left width=526 colSpan=3>น้ำพุทรา
    </TD><TR><TD noWrap align=left width=426 colSpan=3>[​IMG]
    พุทราเป็นผลไม้อุดมด้วยวิตามินซี แต่การนำไปต้มจะทำให้วิตามินซีหายไปเกือบหมด... ส่วนดีที่เหลืออยู่คือ น้ำตาลฟรุคโตส ซึ่งเป็นน้ำตาลที่ร่างกายนำไปใช้ได้ทันที โดยไม่ต้องย่อยสลาย


    เครื่องปรุง
    </TD><TD align=middle width=100></TD><TR><TD align=left width=326> พุทราสด
    </TD><TD align=middle width=100>
    1
    </TD><TD align=middle width=100>กิโลกรัม
    </TD><TR><TD align=left width=326> น้ำสะอาด
    </TD><TD align=middle width=100>
    6
    </TD><TD align=middle width=100>ถ้วย
    </TD><TR><TD align=left width=326> เกลือป่น
    </TD><TD align=middle width=100>
    1
    </TD><TD align=middle width=100>ช้อนโต๊ะ
    </TD><TR><TD align=left width=326> น้ำตาลทราย
    </TD><TD align=middle width=100>
    1
    </TD><TD align=middle width=100>ถ้วย
    </TD><TR><TD align=left width=526 colSpan=3>
    วิธีทำ
    </TD><TR><TD vAlign=top colSpan=3>
    1. ล้างพุทราให้สะอาด ตวงน้ำใส่หม้อตั้งไฟ เมื่อเดือด ใส่พุทราลงต้ม ไฟอ่อน ประมาณ 15-20 นาที จนลูกพุทราที่ต้มแตกและเปื่อย
    2. ใส่เกลือป่น น้ำตาล พอเดือดอีกครั้ง เทลงกระชอน กรองด้วยผ้าขาวบาง
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,494
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=526 align=left border=0><TBODY><TR><TD align=left width=526 colSpan=3>น้ำฟักทองสดใส
    </TD><TR><TD align=left width=426 colSpan=3>[​IMG]

    ฟักทองอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน และวิตามินเอ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ไม่แก่เร็ว และป้องกันมะเร็ง อีกทั้งยังฃ่วยบำรุงสายตา มาทานน้ำฟักทองกันดีกว่า เพราะดีด้วยประการ ทั้งปวงค่ะ


    ส่วนผสม
    </TD><TD align=middle width=100></TD><TR><TD align=left width=326> ฟักทองนึ่งสุก บดละเอียด
    </TD><TD align=middle width=100>1
    </TD><TD align=middle width=100>ถ้วย
    </TD><TR><TD align=left width=326> น้ำเปล่า
    </TD><TD align=middle width=100>2 1/2
    </TD><TD align=middle width=100>ถ้วย
    </TD><TR><TD align=left width=326> น้ำตาลทรายขาว
    </TD><TD align=middle width=100>3/4
    </TD><TD align=middle width=100>ถ้วย
    </TD><TR><TD align=left width=326> เกลือ
    </TD><TD align=middle width=100>1/2
    </TD><TD align=middle width=100>ช้อนชา
    </TD><TR><TD align=left width=526 colSpan=3>
    วิธีทำ
    </TD><TR><TD vAlign=top colSpan=3>
    1. ผสมส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน นำไปตั้งไฟจนเดือด
    2. กรองเอาแต่ส่วนที่เป็นน้ำ
    3. รอให้เย็น ยกเสริฟเย็นโดยใส่น้ำแข็ง
    <TR><TD vAlign=bottom colSpan=3>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=20 cellPadding=0 width=701 align=left border=0><TBODY><TR><TD width=175></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,494
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=526 align=left border=0><TBODY><TR><TD align=left width=526 colSpan=3>น้ำมะม่วงอำพัน
    </TD><TR><TD align=left width=426 colSpan=3>[​IMG]
    มะม่วงสุกมีเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยลดอัตราเสี่ยงของมะเร็งค่ะ และยังมีกากใยอาหาร ช่วยให้ขับถ่ายสะดวก น้ำมะม่วงสูตรนี้ รับประทานเย็นๆ แล้วชื่นใจ จะรับประทานหลังอาหาร ล้างคาว หรือจะรับประทานเป็นอาหารเช้าก็เข้าท่าดีนะคะ


    ส่วนผสม
    </TD><TD align=middle width=100></TD><TR><TD align=left width=326> มะม่วงน้ำดอกไม้ลูกใหญ่
    </TD><TD align=middle width=100>1
    </TD><TD align=middle width=100>ลูก
    </TD><TR><TD align=left width=326> น้ำ
    </TD><TD align=middle width=100>1
    </TD><TD align=middle width=100>ถ้วย
    </TD><TR><TD align=left width=326> น้ำมะนาว
    </TD><TD align=middle width=100>1
    </TD><TD align=middle width=100>ช้อนโต๊ะ
    </TD><TR><TD align=left width=326> เกลือ
    </TD><TD align=middle width=100>นิดหน่อย
    </TD><TD align=middle width=100>
    </TD><TR><TD align=left width=526 colSpan=3>
    วิธีทำ
    </TD><TR><TD vAlign=top colSpan=3>
    1. ปอกมะม่วง แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก
    2. ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงปั่นในเครื่องปั่นผลไม้ เสร็จแล้วนำไปแช่ให้เย็นจัด ก่อนยกเสิร์ฟ
    <TR><TD vAlign=bottom colSpan=3>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=20 cellPadding=0 width=701 align=left border=0><TBODY><TR><TD width=175></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,494
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=526 align=left border=0><TBODY><TR><TD align=left width=526 colSpan=3>น้ำรากบัวสด
    </TD><TR><TD align=left width=426 colSpan=3>[​IMG]

    รากบัวเป็นยาเย็นค่ะ ช่วยระบบหายใจ แก้ไซนัส นอกจากจะนำไปตุ๋นเป็นแกงจืดแล้ว ยังนิยมนำทำเป็นน้ำรากบัว รับประทานดับร้อนอีกด้วยค่ะ ถ้าใครไม่ชอบหวานมาก ก็ปรับแต่งปริมาณน้ำตาลได้ตามชอบใจนะคะ


    ส่วนผสม
    </TD><TD align=middle width=100></TD><TR><TD align=left width=326> รากบัวสด
    </TD><TD align=middle width=100>1
    </TD><TD align=middle width=100>ก.ก.
    </TD><TR><TD align=left width=326> น้ำตาลทราย
    </TD><TD align=middle width=100>1/2
    </TD><TD align=middle width=100>กิโลกรัม
    </TD><TR><TD align=left width=326> น้ำต้ม
    </TD><TD align=middle width=100>3
    </TD><TD align=middle width=100>ลิตร
    </TD><TR><TD align=left width=526 colSpan=3>
    วิธีทำ
    </TD><TR><TD vAlign=top colSpan=3>
    1. นำรากบัวมาล้างให้สะอาด แล้วปอกเปลือก จากนั้นล้างน้ำซ้ำอีกครั้ง แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
    2. นำไปต้มกับน้ำ ประมาณ 20 นาที ยกลงทิ้งไว้ให้เย็น แล้วนำไปปั่นให้ละเอียด
    3. นำไปต้มอีกครั้ง นานประมาณ 15 นาที โดยหมั่นคนไม่ให้ติดภาชนะ เสร็จแล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง เพื่อแยกกากออก
    4. เติมน้ำตาลทราย คนให้ละลาย ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วนำไปแช่เย็น รอเสิร์ฟ
    <TR><TD vAlign=bottom colSpan=3>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=20 cellPadding=0 width=701 align=left border=0><TBODY><TR><TD width=175></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,494
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=526 align=left border=0><TBODY><TR><TD align=left width=526 colSpan=3>น้ำว่านหางจระเข้
    </TD><TR><TD align=left width=426 colSpan=3>[​IMG]

    ว่านหางจระเข้เป็นสมุนไพรไทย ที่มีสรรพคุณในการรักษาโรคมากมาย เช่น รักษาแผลพุพอง แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย รักษาความดันสูง หรือแม้กระทั่งรักษาสิว แต่การบริโภคว่านหางจระเข้มีข้อพึงระวัง คือ ต้องล้างยางสีเหลืองๆ ออกให้หมดค่ะ เพราะยางนี้อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อร่างกายได้ค่ะ


    ส่วนผสม
    </TD><TD align=middle width=100></TD><TR><TD align=left width=326> เนื้อว่านหางจระเข้ต้มสุก
    </TD><TD align=middle width=100>1
    </TD><TD align=middle width=100>ก.ก.
    </TD><TR><TD align=left width=326> น้ำสะอาด
    </TD><TD align=middle width=100>5
    </TD><TD align=middle width=100>ก.ก.
    </TD><TR><TD align=left width=326> น้ำตาลทรายขาว
    </TD><TD align=middle width=100>750
    </TD><TD align=middle width=100>กรัม
    </TD><TR><TD align=left width=326> ใบเตย
    </TD><TD align=middle width=100>4-5
    </TD><TD align=middle width=100>ใบ
    </TD><TR><TD align=left width=526 colSpan=3>
    วิธีทำ
    </TD><TR><TD vAlign=top colSpan=3>
    1. ล้างว่านหางจระเข้ให้สะอาด ปอกเปลือก เอาแต่เนื้อวุ้นด้านใน ล้างยางสีเหลืองออกให้หมด
    2. ต้มว่านหางจระเข้ให้เดือด กรองน้ำออก พักไว้
    3. ต้มน้ำให้เดือด ใส่ใบเตย น้ำตาลทราย พอเดือด ยกลง กรองด้วยผ้าขาวบาง เป็นน้ำเชื่อม
    4. นำเนื้อว่านหางจระเข้ในข้อ 2 ใส่ลงในน้ำเชื่อม บรรจุใส่ภาชนะ พร้อมเสิร์ฟ
    ที่มา มะลิลา.คอม
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  15. pea

    pea Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2005
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +32
    อนุโมทนาสาธุกับน้องสาวด้วยครับ ตอนนี้ที่บ้านก็ได้ประโยชน์จากสูตรนี้เลย
     
  16. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,494
    เสียดายรูปหายหมดเลยอ่ะกอล์ฟ...หลังๆมาพยายามเซพรูปไว้ด้วยเลยทุกครั้ง
     
  17. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,026
    เครื่องดื่มน้ำสมุนไพร
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="26%"> <tbody> <tr> <td>[​IMG]</td></tr></tbody></table>

    ด้วยว่าดิฉันเคยป่วยเป็นมะเร็ง หน้าที่ทุกวันนี้ต้องคอยดูแลกาย (กายานคร) ไว้ให้ดี ไม่ให้ข้าศึกศัตรู (มะเร็ง) หวนกลับมาเล่นงานได้อีก ก็ได้ใช้วิชาการแพทย์แผนไทยคอยช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา ก็ได้ผลดีเป็นอย่างยิ่ง เมื่อดูแลตัวเองได้แล้ว ก็ดูแลทุกคนในครอบครัวและญาติมิตรสนิทกันทั้งหลาย เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว (30 ส.ค.  3 ก.ย. 2549) ได้มีโอกาสไปแสดงผลงานในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ โดยได้รับความอนุเคราะห์จากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ให้ไปออกบู๊ธในนาม สมุนไพรแห่งเมืองปทุมธานี ดิฉันได้พูดได้เล่าถึงสรรพคุณสมุนไพรซึ่งได้รับความสนใจอย่างมาก ดิฉันได้ปรุงยาดีๆ ไว้ใช้เองหลายตำรับและได้คิดผสมเครื่องดื่มสมุนไพร เช่น น้ำมะขามป้อม น้ำสมอรสน้ำผึ้ง น้ำพุทราจีนผสมกระเจี๊ยบแดง เป็นตำรับ ไม่ใช่สมุนไพรเชิงเดี่ยว ซึ่งคนรุ่นใหม่ไม่รู้จักกันแล้ว ก็ได้พยายามพูดแนะนำและให้ชิมกัน ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทำให้ชื่นใจมาก แม้จะเหนื่อยมาก แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเคยบอกแล้วนะคะว่า​
     
  18. Memdream

    Memdream สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2011
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +0
    เครื่องดื่มสมุนไพร

    [URLI="http://www.YaDeeThai.com"]เครื่องดื่มสมุนไพร[/URLI]
    http://www.YaDeeThai.com

    [​IMG]

    [​IMG]

    http://www.YaDeeThai.com
    [URLI="http://www.YaDeeThai.com"]เครื่องดื่มสมุนไพร[/URLI]
     

แชร์หน้านี้

Loading...