เข้าไม่ได้ ...จุกอก หายใจไม่ออก เหมือนจะตาย ช่วยแนะนำกระผมทีครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ถิรวิริโย, 16 กุมภาพันธ์ 2013.

  1. ถิรวิริโย

    ถิรวิริโย สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +15
    เรื่องมีอยู่ว่าผมบวชเมื่อช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมา แล้วตอนนั่งสมาธิอยู่ขั้นอุปจารมาตลอด แต่ตอนออกพรรษาปรากฎว่าเกิดเวทนาแก่กล้าขึ้น คือลมหาย จุกอก ถูกบีบ ภาวนา"รู้ๆๆๆ" รู้ว่าเกิดขึ้น ก็ให้มันเกิดไป เราแค่ดูอยู่ รู้อยู่ มีสติอยู่แค่นั้น
    แต่ผมต้านไม่ไหว กลัวตาย... ตอนออกจากสมาธิเกิดภาพไม่น่าดูนัก คือเหมือนถูกถีบกระเด็นหงายหลัง จีวงจีวรกระจาย เพื่อนพระ ญาติโยมที่นั่งสมาธิบนศาลาด้วยกันก็ตกใจ สอบถามหลวงพ่อ ท่านก็ว่า"ต้องไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวตาย ผ่านได้ก็จะรู้เอง" หลวงพ่อท่านได้กสิณทั้งสี่กอง ท่านเป็นพระผู้ใหญ่
    พอสอบถามไปทางพระอาจารย์อีกสองท่าน ที่ท่านอ่อนพรรษากว่าหลวงพ่อ ท่านก็ว่าเราจะดิ่งลงไปแล้ว ให้ทำไปเลย อย่ากลัวตาย มันไม่มีใครตายจริงหรอก

    ตั้งแต่ออกพรรษามา จนผมสึกเมื่อเดือนมกรา(เพราะต้องกลับมาเลี้ยงลูก) จนบัดนี้ (16/02/56) ผมก็สู้กับอาการนั้นมาตลอด แพ้มาเป็น100-200ครั้งแล้ว แม้ว่าช่วงหลังๆ จะคุ้นชินกับอาการไม่หายใจ จุกอก ถูกบีบ แต่ก็ยังคงไม่ผ่านปราการด่านนี้สักที บางครั้ง นั่งนิ่งๆกลั้นหายใจแว่บเดียวมันก็เข้าไปตรงนั้นเลย

    กรรมฐานที่ผมใช้คือ อาณาปานสติ แต่ไม่ได้บริกรรม พุท-โธ แค่มองลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออก เหมือนเราอยู่บนระเบียงแล้วมองรถที่วิ่งอยู่ข้างล่าง ให้มันออโตเมติกไปของมันเอง ไม่ได้ไปกำหนดอะไร แค่มีสติดูอยู่ รู้อยู่ สักพักลมละเอียด เบาลง แล้วลมก็หายไป แน่นหน้าอก คอแข็ง-หนัก คิ้วขมวด หน้าแดง บีบบี้ เหมือนคนเบ่งอุจจาระสุดแรง ตัวสั่นเพราะเวทนานั้นๆ ...ทนไม่ไหว ...แพ้(การแพ้ของผมคือเริ่มต้นหายใจใหม่ เลิกปล่อยอารมณ์ไหลเข้าสู่จุดนั้น ก็เหมือนกับกลับมาตั้งต้นมองลมใหม่อีกครั้งนั่นเอง)

    ถ้าท่านใดเมตตาช่วยแนะนำ แก้อาการ หรือผมต้องแก้ตัวเองด้านไหน ประการใด โปรดชี้แนะด้วย ส่วนตัวผมเป็นพวก พุทธิจริตผสมกับราคะจริต อย่างล่ะครึ่งๆ
     
  2. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ทำตามที่ อาจารย์ท่านสอนไว้ ครับ

    "ต้องไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวตาย ผ่านได้ก็จะรู้เอง"

    จะแก้ก็แก้ที่ ใจ ตัว จขกท. เองครับ อย่าไปกลัว

    .
     
  3. khun ae

    khun ae เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +159
    คล้ายๆกับที่ผมประสบอยู่บ้างแต่ของผมไม่มากเท่าคุณครับ ส่วนตัวผมความรู้น้อยก็เลยไม่กล้าบอกอะไรครับ แต่อยากให้ฟังเทศน์ลำดับญาณ ของเจ้าคุณโชดกครับใน youtube ก็มี อันแรกเลยครับผมฟังแล้วดีมากครับลองฟังดู
     
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    มันมีหลายวิธีนะ ในการ "วางใจให้ถูกมุม" หรือ โยนิโสมนสิการ

    ถ้า อ้างว่า เป็น พุทธจริต ก็ไม่ยาก

    อันแรกเลย ลองหา "ทิฏฐิ" ที่มีอยู่ขณะนั้นก่อน เห็นปั๊ป ขาดหมด
    ทั้งกาย ทั้งจิต ทั้งเวทนา

    แต่ถ้า ราคะจริตมันกล้า ในเวลานั้น ก็ต้องใช้คาถา ตอนที่คุณรู้เท่าเอา
    ทันอยู่บ้าง ไม่เกรงกลัวการบีบคั้น แล้วเห็นมันห่างๆได้ ( จะเป็น อารมณ์
    เดียวกันที่ใช้ หน่ง ลัดเข้ามาใน สมาธิ หน่วงปั๊ปจะเข้ามาได้ หลังจาก
    นั้นการบีบคั้นต่างๆ จะเกิดตามมาทีหลัง )

    ถ้าทันแบบนี้ แต่ ราคะกล้า ไอ้ตอน หน่วงอารมณ์ลัดเข้ามา พอใช้แล้ว
    ต้องรีบถีบ อารมณ์ที่ใช้ลัดเข้ามานั้นให้ห่างออกไปทันที อย่าคาไว้
    อย่าไปสำคัญว่าจะอยู่ หรือ จะให้เที่ยง ( ราคะจริต มันเข้ามาครอบ )
    เลยทำให้ ไม่เกิดความคล่องแคล้ว ไม่สามารถพิจารณาลงด้วยไตรลักษณ์
    อันถือเป็นอาวุธอันคมกล้า


    ทีนี้ เหลืออีกสิ่งเดียว สำหรับธรรมะที่เคยสดับมา

    อานาปานสติ นั้น จะไม่มี การขาดการรู้ลม ลมหายใจหายไป ของ
    อานาปานสตินั้น คือ การเจอจิต กำหนดรู้จิต รู้อยู่ที่จิต แต่ จะยัง
    รู้ลมหายใจเข้า รู้ลมหายใจออกอยู่ปรกติ แต่ มันห่าง จนเห็นว่าไม่
    ใช่ สัตว์ หรือ ตัวคน หรือ ตัวเรา กำลังหายใจ เห็น การหายใจเป็น
    เพียง รูปธรรมที่เกิดจากเวรกรรม วาสนา อย่างหนึ่งเท่านั้น

    แต่ เราจะพลาดตรงนี้ ตรงที่พยายามทำให้ ลมมันหมดไปจากกาย
    ซึ่งเป็นเรื่องของการเข้า สมาบัติชั้นสูง เป็นการเข้า และ การอยู่
    ในสมาบัติ คนที่เริ่มฝึกหัด มีราคะกล้า อยากได้ สมาบัติ ก็เลยทำ
    ให้จิต จงใจจะหา"ช่องลัด"ให้ลมหายไป ตรงนี้เลยทำให้ ไปคว้า
    อาการแน่นหน้าออกขึ้นมา ไปเผลอเห็นว่า ตรงนั้นเป็นจุดตัดสิน
    ส่วนมาก จะเอาอารมณ์สมาธิกล้าแบบโง่ๆ (ไม่มีไตรลักษณ์ญาณ)
    เข้าไปสร้างทิฏฐิ เจตนาว่า ตัด เสร็จแล้วก็เหมือน ขาด ระเบิด โปร่ง
    สว่างจ้า สบาย ( แต่ โดนกิเลสหลอกเต็มๆ ออกจากสมาธิมา มักมี
    กูเก่งเรือหาย ไม่สร่างซา ครอบกบาลไปตลอดชีวิต จนกว่า ผิดศีล
    แล้ว เห็นตามจริงว่า ผิดศีล ก็จะหลุดออกมาได้ )

    จริงๆแล้ว เราควรเอา ไตรลักษณ์ญาณ มาใช้จะดีกว่า เพราะเป็น
    วิธีที่พระพุทธองค์ทรงชี้แนะ และ กำชับให้ใช้ พอฝึกฝนไตรลักษณ์
    ญาณได้ ไอ้ความคล่องตัวในการ นมสิการอารมณ์สมาธิ จะปริเฉท
    อัศจรรย์กว่าที่ ฤาษี ชี ไพร ที่ไหน จะสามารถเห็นได้ทั่วถึง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2013
  5. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    ผมก็เป็นอย่างคุณมาก่อน แต่ผมทำอาณาปานสติ โดยบริกรรม พุท-โธ ผมก็เป็นในขณะที่เป็นพระเช่นคุณ เป็นจนทนไม่ไหวสุดท้ายก็ต้องลาสิกขาบทมา ใครไม่เป็นไม่รู้หรอกว่ามันทุกข์ขนาดไหน ผมเป็นจนแสบที่คอแทบจะบ้าเลยทีเดียว
    ผมได้ลองกับวิธีปฏิบัติมาเกือบทุกชนิดก็สู้เวทนานี้ไม่ได้ เช่นว่า ยุบหนอ-พองหนอ(สายวัดพุทธบาทตากผ้า), พอง-ยุบ(สายวัดเขาสมโภชน์), เพ่งดวงอาทิตย์(เพ่งได้ทั้งวันจนแทบตาบอด), ดูรูปนาม(หลวงปู่ชา) และพุทโธหน้าอก(หลวงตามหาบัว) ผมเป็นอยู่อย่างนี้เกือบ 20 ปี
    และมาวันหนึ่งผมก็ได้พบกับวิธีทางฌานสมาบัติของหลวงปู่สาวกโลกอุดร ผมไม่ลังเลสงสัยอะไรทั้งนั้น ปฏิบัติทันทีใช้เวลาปฏิบัติแบบต่อเนื่องชนิดทำกันตลอด ใช้เวลา 7 วันอาการนี้ลดลงมากกว่าครึ่ง ผมดีใจ ปลื้มใจมาก ขณะนั้นเกิดปิติจนมีน้ำตาไหล ปัจจุบันผมปฏิบัติมาประมาณ 3 ปีครับ จนแน่ใจว่านี้ละคือธรรมแท้ที่ผมแสวงหา
    การปฏิบัติฌานสมาบัติจะเป็นสภาวะทุกข์แก้ทุกข์ การปฏิบัติจะพบกับทุกข์มากมาย ผู้ปฏิบัติพึงต้องทำใจแต่ไม่ต้องกลัว เพราะเราจะมีอาวุธเด็ดที่จะทำลายล้างทุกข์นี้ได้
    วิธีปฏิบัติฌานสมาบัติ ให้เราเพ่งสติจี้หยุดที่จุดมโนทวาร ถ้ามันออกมาก็เพ่งกลับเข้าไปอีก ให้ทำสติประหนึ่งว่าหลักศิลาซึ่งจะไม่หวั่นไหวกับลมที่พัดมาทุกทิศทาง มันหลุดออกมาก็เพ่งกลับมันเข้าไปใหม่ ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น
    จุดมโนทวารอยู่ตรงกลางระหว่างลูกตาทั้งสองข้าง หรือจุดดั้งจมูกหัก รายละเอียดดูเพิ่มเติมที่กระทู้ "ศาสนา ของผู้เริ่มต้น-ฌานสมาบัติเป็นธรรมสูงสุดของพุทธศาสนา" ผมโพสต์ไว้ในเวปนี้ หรือจะเปิดฟังธรรมของเวปหลวงปู่สาวกโลกอุดรก็ได้ มีธรรมมะให้ฟังอยู่แยะมากครับ
    เจริญในธรรมครับ
     
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ข้างบนนั้น( #5 ) เป็น วิธี สำหรับ พุทธจริต

    แต่ถ้า เอาเข้าจริงๆ เป็น ราคะจริต ก็อย่าไปใช้การตรึก การไตร่ตรอง แบบข้างบน
    นั้น ให้เอาเท้าทั้งสองถีบทิ้งไปเลย ไม่ให้เหลือ

    แล้ว........................

    พิจารณา เห็นแค่ว่า ความพยายามทั้งหมด ความไม่ทิ้งสิกขาบท การยัง
    ปรารภความเพียร ล้มลุกคุกคลาน บีบเค้น หนักหนา แค่ไหน คุณอย่าไป
    เล็งเห็นว่า มันติดปัญหาเดิม

    ให้คุณ เอาราคะจริต นำหน้าออกมาเลย แล้ว เล็งเห็นไปโต้งๆว่า

    ก็ลำบากมาขนาดนั้น ดูดีๆ สิ วันนี้ มีวิธีลัดเข้าสู่สมาธิและ เอาแค่
    ตรงนี้แหละ เห็นแค่ตรงนี้แหละ แล้วมันจะมา ทำธรรมวิจัยโพชฌงค์
    เห็น อารมณ์การลัดเข้าสู่สมาธิ ดั่งคู้แขนเข้า เหยียดแขนออก .....

    เอา สมถะนำหน้าวิปัสสนาไปแบบนี้ ก็สำเร็จมรรคผลได้

    แต่ ต้องราคะให้มันจริงๆ นะ

    คือ ไม่ว่าจะยิน จะนั่ง จะนอน จะกิน จะดื่ม จะทำ จะพูด จะคิด จะเยี่ยว
    จะขี้ จะอี้.......ต้อง ลัดเข้าสมาธิให้ได้คล่องให้หมด ทุกจังหวะชีวิต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2013
  7. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ทำที่สุดแห่งทุกข์ให้ปรากฎ ไม่มีสิ่งไหนคงทนสภาพเดิมได้ ผ่านได้ก็จะเกิดสติปัญญาที่มีพลังมาก เพราะเห็นสภาพทุกข์อย่างแท้จริง มันไม่ตายช่วงนี้แหล่ะครับ ศรัทธาจริงก็ไม่ต้องกลัวตาย ถ้าตายก็ถวายพระพุทธองค์ไปเลยไหนก็ต้องตายจะกลัวทำไม โอกาสมาถึงแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2013
  8. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ด้วยความเคารพ..ผมอ่านของคุณแล้ว ไม่รู้เรื่องครับ คุณลองสื่อชัดๆซิครับ
    ได้อุปจารสมาธิแล้ว..หงายท้องจากสมาธิ.. ลมจุกอกแล้วมีสติแต่กลัวตาย..ผมไม่เข้าใจครับ เหตุการณ์มันไม่เชื่อมต่อกันเลย ขออภัย:'(
     
  9. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    โดนอุปาทานมันหลอกเอา

    อุปาทานนั้นก็มีสองอย่าง

    มีความกลัว และ ความไม่กลัว

    ปล่อยอุปาทานทั้งสองอย่างให้สลายไป ไม่ต้องให้มีเกิดทั้งฝั่งกลัว และฝั่งไม่กลัว เหลือแต่สภาวะที่ไม่มีการปรุงแต่ง แล้วดูมันต่อไป

    เมื่อนั้นจะได้เห็นความจริง ที่ไม่มีอุปาทานของตนเข้าไปปิดบัง
     
  10. ถิรวิริโย

    ถิรวิริโย สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +15
    ขอขอบคุณทุกท่านครับ ผมได้อ่านทุกความเห็นและจะลองน้อมนำไปปฏิบัติให้เห็นผล ติดขัดยังไงจะกลับมารายงานให้ทราบครับ
    ผมเคยลองเทสต์กลั้นหายใจดูว่าอาการจะเหมือนหรือต่างกับเวทนาบีบคั้นตรงนี้ ปรากฏว่าการกลั้นหายใจเองนั้นอยู่ได้ประมาณ1นาทีนิดๆจึงจะแสบคอ แต่ก็ไม่จุกอก บีบคั้นอะไรเหมือนเวทนาของผมที่เกิดจากการนั่งสมาธิ แสดงว่ามันต้องเป็นตัวหลอกแน่นอน ขันธ์มารหรืออย่างไร แต่สุดท้ายมันก็ปวดทรมานปานจะขาดใจ เลยต้องถอยออกมา
    บางครั้งผมนอนหงายทำสมาธิดูจะเกิดเวทนาบีบคั้นนี่เบากว่านั่ง แต่สุดท้ายก็แพ้มันอยู่ดี
    คนอื่นอ่านอาจจะคิดว่า ผมมันไม่สู้หรือผมมันป๊อดหรือเปล่า มีแต่แพ้กับแพ้ มันก็เหมือนจะใช่ เหมือนผมยังไม่เด็ดเดี่ยวพอ ลักษณะมันเหมือนกับการฆ่าตัวตายเพื่อให้เป็นพุทธบูชา ยังไงไม่รู้ แต่ผมก็พยายามมาตลอด เข้าใจอยู่เต็มอกว่ามันเกิดขึ้นมันก็ต้องดับไปเป็นธรรมดา น้อมนำความเจ็บปวดนั้นว่าเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติ แต่ก็ไม่ผ่านมันสักที
    บางครั้งนั่งสมาธิอยู่รู้สึกเสมือนอยู่จุดหนึ่งที่สูงขึ้นไป และลมหายใจเหมือนอยู่อีกจุดหนึ่งที่ห่างออกไป ถ้าเป็นแบบนี้พอเกิดเวทนานั้นขึ้นดูจะไม่ทรมานสักเท่าไหร่ เพราะเหมือนเรากำลังมองไอ้ที่มันเกิดขึ้น เหมือนไม่ใช่ตัวเรา
    ตอนเป็นพระ นอกจากนักธรรมตรีแล้วก็ไม่ได้ศึกษาหาอ่านด้านสมาธิครับ เพราะหลวงพ่อท่านห้ามไว้ ท่านกลัวจะไปติดเป็นสัญญา แต่ผมก็แอบหาอ่านอยู่ดี และที่วัดก็ไม่มีอินเตอร์เนท ไม่มีทีวี ไม่ให้ใช้เงิน ท่านให้ศึกษาจากตัวเองเป็นหลัก เคยอดอาหาร ปิดวาจา เนสัชชิก แต่เวลามันอาจจะน้อยไปแค่พรรษาเดียว แล้วต้องมาติดอยู่กับเวทนาตัวนี้ก่อนจะสึกออกมาโลกภายนอกเสียด้วย มันค้างคาใจจริงๆ (ไม่อยากสึกเล้ยยย)
    หลวงพ่อท่านก็บอกทั้งพระทั้งโยมมักจะมาติดตัวนี้เป็นส่วนมาก เลยก้าวผ่านไม่ได้ บางคนเป็นสิบๆปี ท่านว่าเหมือนร้อยด้ายเข้ารูเข็ม รูมันเล็กต้องแม่นยำ ผมก็รู้สึกเหมือนกับว่าเวทนาที่เกิดขึ้นเหมือนมันจะจูนเราเข้าไปสู่จุดๆหนึ่ง ซึ่งผมเข้าใจว่าคือ ฌาน หรือ อัปนาสมาธิ ผมจึงสู้เต็มที่แต่ก็แพ้มันทุกคราวไป...:'(
     
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    มันก็อยู่ตรงนี้แหละ

    เชื่อไหมว่า ตอนไปเจอะสภาวะ แทนที่จะรู้อยู่ที่ จิต

    หลายคนจะไป ออก.... แล้วไป เงี่ยะหูฟัง สิ่งที่เคยฟังในอดีต

    ตรงเนี่ยะ เสร็จแล้ว ตัณหาแทรกแล้ว ส่งจิตออกนอกไปแล้ว

    หากกลับเข้ามา จะกลับด้วย อุปทาน เอ๊ะอย่างงี้ แล้วก็ วื๊ดเข้ามา
    ซึ่ง มันอาจจะหลอกให้เห็น สังขารอย่างอื่น สารพัด เพื่อให้เรา
    "เอ๊ะ" แล้วก็ออกไปฟังข้างนอกอีก จะให้มีเสียงมาคอยบอก
    บทอีก

    ตรงที่ ต้องการได้ยินคำสอนนอกๆ คำสอนครู คำสอนใคร หรือ
    ที่เรียกกันว่า "เสียง" มันไม่ใช่ เสียงผ่านรูหู เรานั่งของเรา
    คนเดียว ดังนั้น เสียงที่ไม่ได้ยิน(แต่มาจากข้างใน) อันนั้นนัน
    แหละ ข้าสึกตัวจริงต่อฌาณ

    ดังนั้น

    อย่าให๊ ทิฏฐิ ขยับหลอก เพื่อให้ กายปรากฏ(อัตวา) แล้ว จึงคิดได้อย่างงั้น
    อย่างงี้(อุปาทาน) รวมเรียกว่า " ทิฏฐิอัตาทุปาทาน "

    ให้ พิจารณารู้ลงที่จิต และ อย่าสำคัญว่า จิต นั้นเป็นเรา ซ้อนขึ้น
    ไปอีกทีหนึ่ง ( ไอ้ที่ รู้ รู้ รู้ นั่นใคร รู้ , หากมี กูรู้ รู้ นั้น ใช้ไม่ได้ )

    เช่น

    ตอนที่รู้หนัก แล้ว จิตมันรู้ห่างๆ หนักเท่าไหร่ก็คลายได้ เพราะมันห่าง
    จากจิต ตอนนั้น ให้ระลึก สติ พิจารณา ผู้รู้ ที่กำลังรู้ ว่ามันห่าง ให้ ห่าง
    ออกไปจากอีก ชั้นหนึ่ง แล้ว จะพบว่า อัตวาทุปาทานมันจะยังไม่เกิด
    หากเรายังไม่ ฉวยจิตมาเป็นเรา

    แต่พอ ฉวยจิตเป็นเรา จิตนั้นห่างจากทิฏฐิอยู่ มันจะพาตรึก แล่นไปสู่
    การตรึก การฟังธรรมนอกๆ ธรรมในอดีตทั้งหลาย จะผุดขึ้น ซึ่งจัดว่า
    ตกจากสมาธิ

    เว้นแต่ จะทวนกระแสไปเห็นจิต (ไม่ใช่เรา) อีกคำรบหนึ่ง ก็จะกลาย
    เป็น วิปัสสนา ( รูเข็ม ที่ควร เอาด้าย สอยเข้าไป )

    พิจารณา ทบทวนภายหลัง จะพบว่า ฌาณ ญาณ จะ ประกอบอยู่
    กับจิตอยู่แล้ว ไม่ใช่ ต้องไปสร้างมันขึ้น ไปเอ๊ะอย่างนั้น เอ๊ะหรือ
    อย่างนี้ ไปยุ่งวุ่นวายสร้างปัญญา มันจะ อุปทานไม่เลิก อุปทาน
    สูงสุดคือเห็นเมืองแก้ว เห็นอะไรต่อมิอะไร

    *********************

    ตรงนี้ พิจารณาดีๆ อัตาวทุปาทาน เรากำจัด หรือ ข้ามความ ตายนั้น ด้วยการเห็น ทิฏฐิ

    ไม่ใช่เรื่อง ไปข้ามเส้นความตายแบบ ตัดชีวิต อันนั้น มัน อริยะเฮียๆ มาหลอกให้หลงทาง

    คนที่ชื่อ "ใหม่พิสดาร" อะไรนั่น ข้ามเส้นความตายได้ ออกมา ชักว่าว เฉยเลย บอกเครียด
    และ ไม่ผิดศีล สกิคาทาคามี อย่างเขาทำได้

    เวลาฟังธรรม ต้อง ระมัดระวังหน่อย ระวัง โดนหลอก ด้วยการ ก๊อปปี้ ธรรมบท เพื่อมาหลอก
    เรา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2013
  12. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    อาการที่เกี่ยวกับลมหายใจนี่ ผมเองเป็นบ่อยในขณะนั่งสมาธิแล้วเราไปจับที่ลมหายใจ
    บังคับลมแทนที่จะไปรู้ลมเฉยๆจนทำให้มีอาการอึดอัดบ้าง เข้าออกไม่สุดบ้าง หลายๆอาการครับ ทีนี้พอลองปรับท่านั่งให้สบายแล้วหายใจเข้าแรงๆสุดๆ ออกแรงๆสุดๆสักห้าหกรอบ
    หรือจนกว่าจะรู้สึกว่าเบา ผ่อนคลายแล้วก็นั่งตามปกติ
     
  13. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้แหละ คือเชื้ออาหาร ของอาการที่คุณเจอ
    หากหยุดให้อาหารอุปาทาน หยุดปรุงแต่งความมีตัวตนขึ้นมา มันก็เข้าสู่ตรงกลาง

    ที่มันยังผ่านไม่ได้ ก็เพราะยังอุปาทานในอาการ อุปาทานในตัวตน

    ในสภาวะนั้น คุณไม่ได้กำลังสู้กับเวทนา หรืออาการทางร่างกาย คุณกำลังสู้กับนิสัยเก่าๆ ของการยึดตัวตน
    หากละความเป็นตัวตน ละการเกิดความคิดมีตัวตนเข้าไปรับเวทนา มีตัวตนเข้าไปคิด ไปสร้างความกลัว ก็ผ่านทันที
     
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ทีนี้ ถ้าเข้าใจ เพ่งที่ "ทิฏฐิ" ที่มันเกิด ทิฏฐิ ที่เป็น บ่อเกิด ให้สำคัญว่า เราเป็นสัตว์
    เราเป็นคน มีตัวเราในทิฏฐิ มีทิฏฐิในเรา ตรงนี้ได้ เรียกว่า "มีปรกติตัดราก"

    ตัดดำริได้ พยามาร หน้าไหนก็มาหลอกเราไม่ได้อีก ยิ้มเยาะได้เลย แต่ อย่ามาก
    ถ้ามาก มารหลอกให้เราเยาะเย้ยมัน อันนีก็เสร็จ

    ทิฏฐิ เกิดไม่ได้ นายช่างเรือน(ผู้สร้างอัตตา) ไม่อยู่ มารก็แทรกไม่ได้

    เมื่อนั้น

    เวทนาจะกระจายตัวออก เป็นเพียง สักแต่เวทนา
    จิต สักแต่ว่า จิต
    กาย สักแต่ว่า กาย

    ไม่มีเรา ไม่มีตัวคน ไม่มีสัตว์แทรกขึ้นมาอีก ถ้าแทรกมา ก็ สันนตติยังไม่ขาด

    แต่ถ้าไม่แทรก ตอนนั้น พึงทราบว่า แยกธาตุ แยกขันธ์ ได้

    เมื่อแยก ธาตุแยกขันธ์ได้ ธรรมเอกปรากฏ(ไม่ใช่ตัวใคร ตัวเรา ตัวเขา) ตอนนั้น
    ก็พิจารณา จริต หรือ อาสวะของตนว่า เป็นไปทางใด

    เป็น ตัณหาจริต ก็พิจารณาลงที่ กาย ที่ถูกบีบคั้น จนกว่า อัตตา จะโพ่ลหัวมาว่า มี
    ก็เห็นมันไปตามนั้น

    ถ้าเป็น พุทธจริต ก็ พิจารณาที่ ทิฏฐิธรรมใด เช่น เห็น เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว
    นิวรณ์ หรือ กิเลส เห็นแล้ว อัตตา จะโพล่หัวมาว่า มี ก็เห็นมันไปตามนั้น

    ถ้าเป็น กึ่งๆ จะล่วงส่วนทั้งสอง ก็พิจารณา อาการบีบเค้น ซ่าน เสียว สุข/ทุกข์
    และ ความวางเฉย เห็นแล้ว อัตตา จะโพล่หัวมาว่า มี ก็เห็นมันไปตามนั้น

    พิจาณาไปเรื่อยๆ เรียกว่า เจริญปัญญา จนกว่า มะม่วงจะสุกงอมปลิดจากขั้ว

    **********

    ตรงนี้ต้องฟงัให้เข้าใจนะ อัตตา ที่คอยโผล่หัวมาว่า มี อันนี้ ไม่ต้องไปยุ่ง
    มัน ให้เห็นไปตามความเป็นจริง การเพียรเผา ก็คือ การเผ่ง หรือ การเห็น

    ตัวนี้กว่ามันจะตัดได้ ก็โน้นนนนนน สำเร็จกิจ จบสิกขา โน้นเลย ถึงจะเห็น
    ว่า กิจอื่นเพื่อการอย่างนี้ไม่มีอีก

    กิจในการเผ่งเห็น ตน ไม่มีอีก นั่นแหละ คือ ตน มันไม่ปรากฏขึ้นมา

    *****************

    ที่นี้ ขอกราบอนุญาติ เตือนเอาไว้หน่อย เวลา เข้าได้เข้าเข็ม ให้ระวัง ทิฏฐิ
    ที่มาขยับหรอกทำนองว่า "ขั้นไหน ...."

    มรรคญาณ ก็คือ มรรคญาณ มรรคมีหนึ่งเดียว อิสรจากขั้น ดังนั้น จะขั้น
    ไหนก็พึงแต่ทราบว่า มรรค มันก็อันเดิม ถ้า มรรคมีหลายมรรค มีหลาย
    ท่า ก็จะเกิด " ขั้นบ้า บ้าขั้น " เสร็จแล้วก็ไปนั่ง ชักว่าว เรื่อยเปื่อย ไม่เอา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2013
  15. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ^จะทำให้เห็นอาการของลมเข้าออก กับอาการของลมหายใจเราต้องเข้าออก
    พอมีตัวตนในลมปรากฏปรุงแต่งเป็นกูรู้ลม ลมเข้าออกหนักเบา สั้นยาวเป็นกูรู้เวทนา กูรู้อึดอัดแน่น มันจะยิ่งเข้าไปสำคัญตนว่าต้องข้ามเวทนาให้ได้จะสิ้นกันเจอคุณวิเศษ
    หากสติระลึกทันจะน้อมเข้ามาเห็นปกติลมได้ ค่อยๆจางคลายกูรู้ เป็นรู้ รู้
    เมื่อตัวตนถอยออก เวทนาถูกแยกออกจากตัวกู เป็นเวทนา เป็นกาย เข้าสู่จิต ก็จะ รู้เฉยๆอยู่
    จะเข้าสู่อาการในฌาณต่อไปอีก หากจะเห็นเข้าสู่พระไตรลักษณ์ก็เห็นความไม่เที่ยงตรงนี้ไว้
    มี ไม่มี เฉย ปรากฏ ดูไปเรื่อยๆย้ำไปเรื่อยๆในทาง
     
  16. ถิรวิริโย

    ถิรวิริโย สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +15
    ใช่เลยครับ ไอ้คำว่า "..ขั้นไหน"เนี่ย คอยตามมาหลอกหลอนผมมาก ทั้งๆที่รู้ หลายท่านก็เตือนแล้ว พอถึงเวลาก็ถูกดึงไปคิดอีกแล้ว "...เดี๋ยวจะต้องเป็นแบบนู้นแบบนี้" ตามมาเป็นพรวนเลย ต้องทำตัว"รู้..เฉย" เข้าว่า กว่าจะดึงกลับมาที่ลมเดิมได้
     
  17. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ผู้ที่ อาณาปานสติภาวนาได้ถูกต้อง จะต้องเป็นแบบประโยคที่คุณพูดข้างล่างคือ

    +++ "แค่มองลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออก เหมือนเราอยู่บนระเบียงแล้วมองรถที่วิ่งอยู่ข้างล่าง ให้มันออโตเมติกไปของมันเอง ไม่ได้ไปกำหนดอะไร แค่มีสติดูอยู่ รู้อยู่"

    +++ ตรงนี้ถูกต้อง แต่เหตุของคุณน่าจะอยู่ที่ "ช่วงที่กำลังจะวางลมหายใจ มาอยู่ที่ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม" มากกว่า เพราะตรงนี้เป็นการ "ย้ายฐาน" จากฐานลม มาเป็น ฐานกาย แต่ สติ ไม่สามารถ ย้ายตามสถานการณ์ได้ทันท่วงที จึงเกิดอาการ เครื่องน็อค

    +++ ส่วนการท่องคำว่า "รู้ ๆๆ" นี้ ไม่สามารถช่วยอะไรได้ กลับกลายเป็น การแย่งสติ ที่กำลังจะย้ายฐาน มายังฐานกาย แต่ต้องแบ่งกำลังไปที่คำท่องอีก ทำให้เกิดอาการพะวักพะวน หนักกว่าเดิม เหมือนกับกินยาผิดประเภท กลายเป็นหนักกว่าเดิม

    ถ้าท่านใดเมตตาช่วยแนะนำ แก้อาการ หรือผมต้องแก้ตัวเองด้านไหน ประการใด โปรดชี้แนะด้วย ส่วนตัวผมเป็นพวก พุทธิจริตผสมกับราคะจริต อย่างล่ะครึ่งๆ

    +++ คำแนะนำเบื้องต้นคือ ให้ทิ้งจริตต่าง ๆ ไปจากใจให้ได้เสียก่อน เพื่อเป็นการ "วางสมมุติ บัญญัติ ที่ตีล้อมกรอบตัวเอง และจำกัดขอบเขตของตัวเองออกไปให้ได้ ให้หมดไม่ให้เหลือ"

    +++ บุคคลที่มักเกิดอาการ แน่นหน้าอก จุก ต่าง ๆ จากการฝึกมาทาง อาณาปานสติ ควรจะพิจารณาด้วยว่า "การเดินจงกรม" นั้นได้สัดส่วนกับการนั่งหรือไม่ เพราะ การเดินจงกรม จะช่วยให้ สติ ขยายฐานได้มากกว่าเดิม ยามใดก็ตามที่ สติ กำลังจะย้ายฐาน อานิสสงค์จากการเดินจงกรม จะช่วยได้มากในการฝ่าด่านนี้ออกไปได้
     
  18. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    มันเป็นวิบาก เป็นจริตนิสัย ที่เคยสะสมมา ก็เท่านั้น

    ดังนั้น โดยตัวของมันเองแล้ว ไอ้ตัวสงสัยนี่ จริงๆ มันก็ไม่ใช่เรา เป็นแค่สิ่งที่ติดมา เพราะเราเคยทำแบบนั้นมาหลายภพชาติ

    ก็เหมือนเดิม กำหนดสติ รู้ไป รู้ในไอ้ตัวสงสัยนี่แหละ รู้มันเข้าไปด้วย

    เพราะทั้งหมดทั้งสิ้น แม้กระทั่งตอนอ่านข้อความนี่อยู่แล้วมันเกิดความคิด ความเข้าใจ อะไรก็แล้วแต่ นั่นก็ไม่ใช่ตัวเรา เป็นแค่สิ่งที่ติดสะสมมา ที่เรากำลังจะเรียนรู้พฤติกรรมของมัน

    ให้มีสติ รู้ในทุกอย่าง ในทุกสภาวะ ไม่ต้องเว้นในสภาวะใด ไม่ต้องเว้นในความคิดใดๆ เพราะ หากเราละเว้นในการมีสติรู้ ในสิ่งใด สิ่งนั้นแหละ มันจะมาหลอกว่ามันคือตัวเรา มันคือของเรา
     
  19. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419
    การทำงานของขันธ์ทั้ง5 ในรูปฌานยังมีอยู่ สาเหตุเกิดจากไม่กลั้นหายใจไปเองหรือมันระเอียดลึกไปเอง ถ้ามันระเอียดไปเองจริงๆ เวลาที่คุณรู้ว่าลมหายใจกำลังระเอียดขึ้น จนเเทบจะเหมือนว่าไม่มี จริงๆนั้นมีอยู่ เพราะลมหายใจมันจะดับไปจริงๆต่อเมื่อเข้าอรูป โดยการมนสิการว่าอาการไม่มีที่สุด จึงไม่ต้องกลัวว่าลมจะไม่มี เเต่ปัญหาอาจจะเกิดตอนที่ลมหายใจมันเหมือนหายไป ต่อจากตรงนี้จิตของคุณกำลังหาลมหายใจอยู่ ธรรมชาติของมันคือมันจะพยายามกลับไปหาลมหายใจตามอนุสัยความเคยชินของสัตว์มีชีวิต ให้สังเกตุดู พอเราลองกลั้นลมหายใจเล่นๆ. ไม่ช้ามันก็จะวิ้งหาลมหายใจของมันอยู่ดี จึงต้องเข้าใจว่า จริงๆเเล้ว ลมหายใจเข้าออกเนี่ยมคือเสี้ยนหนามของจตุตฌาน ฉนั้นมันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่เเล้วที่จะผ่านมันไม่ได้ง่ายๆ. เเต่ที่รู้สึก จุกๆหลังจากลมระเอียดนั้น มันก็เกิดจากความกลัวเท่านั้นเอง หรือไปเครียดไปให้ความสำคัญ. ไปเพ่งเล่งมัน ไปยึดอะไร ทำให้มันเป็นอย่างนั้น ส่วนในเรื่องการปฏิบัติคุณก็ทำได้ถูกต้อง ให้มองลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว อย่าไปคิด อย่าไปนึกไปปรุงเเต่ง พุทโธ อะไร ให้สร้างความเคยชินไว้ที่กายเท่านั้น คือให้จิต มันรู้ที่เดียว ไม่ต้องไปตามรู้ความคิดอะไรเวลาหลุดฟุ้งไปหรือมีความคิดผุดๆขึ้น ให้ใช้สติที่พระองค์เรียกว่าสติปฏิฐานไว้ระลึกดึงกลับมาเเค่นี้ เเล้วใช้วิปัสสนาที่ไม่ใช่นึกเห็นการเปลี่ยนแปลงอนุปัสสนา ก็ชื่อเห็น เกิด_ดับเเล้ว (สมถะวิปัสสนาต้องเคียงคู่เเบบนี้)อย่าไปสร้างความเพลินตรงไหนทั้งสิน ขอฟากตรงนี้ไว้หน่อย
    อีกอย่างขอให้รู้ไว้ว่าสมาธิทุกระดับคืออนุปุพพนิโรธสมาบัติ ไม่ใช่เอกัคคตาจิต เเท้จริงมันเกิดดับทุกๆสมาธิชื่อจริงๆมันบอกไว้อยู่ ลองพิจรณาเห็นโทษของมันดูตามคำสอนศาสดา เพราะมันมีอาพาธอยู่อาจจะเเก้ฉันทราคะที่ยึดตรงไหนอยู่ได้ เเล้วน้อมจิตเข้าจตุจฌานดู
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2013
  20. ไซตอน

    ไซตอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +118
    แหมเล่าปัง เอ๊ยเอกวีร์ ก็โม้ไปเรื่อย
     

แชร์หน้านี้

Loading...