เข็ดแล้วกินเหล้า กฏแห่งกรรมมีจริง

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย PalmPlamnaraks, 29 เมษายน 2005.

  1. PalmPlamnaraks

    PalmPlamnaraks เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2005
    โพสต์:
    764
    ค่าพลัง:
    +5,790
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=158 cellSpacing=2 width="80%" align=center bgColor=#f7f7f7 border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#fffeee bgColor=#fffeee height=26>
    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC][​IMG] [font=MS Sans Serif, Angsana New, sans-serif]เข็ดจริงๆ[/font] [/font][font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC][​IMG][/font]
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#f7f7f7 height=1482 width="80%" align=center border=1><TBODY><TR><TD vAlign=top height=1409>[font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC]
    นายแว่นตาโตชอบดื่มสุรา เวลารับศีลจากพระจึงรับแค่ศีล ๔ ภายหลังได้กลับใจมารับศีล ๕ นายแว่นตาโตเล่าสาเหตุให้เพื่อนฟังว่า

    เมื่อหลายปีมาแล้ว ผมได้ไปงานขึ้นบ้านใหม่ของเพื่อน ในงานมีเหล้าเลี้ยงอย่างไม่จำกัด เย็นวันนั้นหลังจากดื่มเข้าไปพอตึงๆ หน้า ผมเดินไปหลังบ้านเพื่อหาที่ปัสสาวะ เหลือบไปดูที่รั้วสังกะสี เห็นมะม่วงของข้างบ้านเป็นพวง ๕-๖ ผล โตกำลังทำน้ำปลาหวาน ผมเห็นแล้วน้ำลายไหลอยากเก็บไปแกล้มเหล้า ความเมาทำให้ผมลืมตัว จึงหากิ่งไม้แห้งๆ มาเขี่ยผลมะม่วงให้โน้มลงมาแล้วคว้าไว้สองผล กิ่งมะม่วงก็หลุดมือ ผลมะม่วงจึงดีดออกไปกระทบรั้วสังกะสีดังปังๆ ผมสะดุ้งตกใจเพราะการถือสิทธิ์เก็บมะม่วงของข้างบ้านเป็นเรื่องไม่งามแน่

    ทันใดก็มีเสียงเด็กร้องว่า แม่จ๋า มีคนมาขโมยมะม่วงข้างรั้วจ้ะ ดูซิแม่ เขาเด็ดไปสองลูกแล้ว เสียงหญิงผู้เป็นแม่ร้องบอกว่า อย่าไปว่าเขาอย่างนั้น เขาไม่ได้ขโมย แบ่งให้เขาไปกินบ้างเถิดลูก

    เสียงของผู้เป็นแม่ทำให้ผมเกิดความรู้สึกผิดชอบ นึกละอายใจขึ้นมาแวบหนึ่ง แต่แล้วความเมาก็ทำให้ความรู้สึกผิดชอบหมดไป

    คืนนั้นตอนดึกผมกลับถึงบ้าน ทางบ้านเข้านอนหมดแล้ว แต่ผมไม่ทุกข์ร้อนเพราะมีกุญแจสำรอง เมื่อไขประตูนอกแล้วก็เข้าไปถึงตัวบ้าน ผมหยิบกุญแจพยายามไขเข้าไปในห้องอย่างแผ่วเบาเพราะไม่อยากให้ใครตื่น แต่ไขอย่างไรก็ไม่ออก ทำให้จิตใจขุ่นมัวขึ้นมา

    ทันใดนั้น แมวสามสีตัวโปรดของลูกสาวผมก็วิ่งมาเคล้าเคลียแข้งขา ร้องเมี้ยว-เมี้ยว เบียดขากางเกงถูไปถูมาอย่างประจบประแจง แต่ความเมาและความไม่อยากให้คนในบ้านตื่นทำให้ผมเกิดอารมณ์เสีย เลยไล่เบี้ยเอากับแมวตัวนั้นทันที ผมยกเท้าขึ้นเตะแมวตัวเล็กกระเด็นไปตกข้างบันไดล่าง ผมตกตะลึงว่า ทำไมเราถึงใจร้ายอย่างนี้ก็ไม่รู้ และนึกตำหนิตัวเองที่ดื่มมากเกินไป

    เมื่อลองเปลี่ยนกุญแจ ผมก็ไขเข้าไปได้ ทำให้รู้ว่าหลงเอากุญแจผิดไปไขจึงไขไม่ออก ผมถอดรองเท้าและเสื้อนอกแล้วรีบเข้ามุ้ง แต่แล้วผมก็ต้องตกใจจนสะดุ้ง เพราะคนที่อยู่ในมุ้งตกใจกลัว รีบตะลีตะลานเปิดมุ้งออกมาร้องโวยวายให้คนช่วย และตะโกนว่า ขโมย ขโมย ช่วยด้วย ผมตกใจจนหายเมา นึกในใจว่า เดี๋ยวชาวบ้านคงแห่กันมา เราจะทำอย่างไรดี

    ขณะนั้น ภรรยาผมก็วิ่งออกมาถามเสียงสั่นว่า ไหน ขโมยอยู่ไหน

    เสียงน้องภรรยาตอบด้วยความตกใจกลัวว่า อยู่ในมุ้งของหนู ผมกำลังจะคลานออกจากมุ้งเพื่ออธิบาย แต่มุ้งก็ยุบลงมาคลุมตัวเสียก่อน ผมดิ้นขลุกขลักเหมือนปลาติดแห และตัวสั่นด้วยความกลัวเพราะรู้นิสัยภรรยาผมดี แกเป็นคนดุและเอาจริง ทั้งเป็นคนแข็งแรง

    ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีไม้ตะพดประเคนลงบนหัวผมสองทีซ้อน ผมทนไม่ไหวร้องออกมาเหมือนเสียงวัว แล้วก็ดิ้นไปดิ้นมาก็พอดีหัวโผล่ออกมานอกมุ้ง จึงรีบตะโกนว่า หยุดก่อน แม่ทูนหัว พี่เองไม่ใช่ขโมย

    เมื่อได้ยินเสียงผมร้อง ภรรยาผมก็ทิ้งตะพดลง นั่งหอบเพราะความเหนื่อย แล้วพูดว่า เกือบไปแล้ว ตั้งใจจะตีให้สลบคาไม้ทีเดียว

    เมื่อเหตุการณ์สงบลง ผมก็รู้ตัวว่าแว่นตาหาย ถ้าไม่มีแว่นตาผมก็มองอะไรไม่เห็น ผมจึงรีบคลำหาแว่นตา ภรรยาผมเห็นก่อน ก็เก็บไปไว้ไม่ยอมให้ผมแล้วก็บอกว่า ไม่ต้องหา แว่นตาอยู่ที่ฉันแล้ว ฉันถามอะไรคุณขอให้ตอบตรงๆ อย่าโกหกเป็นอันขาด

    ผมบอกว่า จะถามอะไรก็ถาม ฉันจะตอบตามความจริงทุกอย่าง แต่ขอแว่นตาฉันคืนก่อน

    ภรรยาผมตวาดด้วยความโกรธว่า ไม่ได้ ถ้าคุณตอบไม่เป็นที่พอใจฉัน แว่นตาอันนี้แตกละเอียดแน่

    ผมตอบด้วยความตกใจว่า เธออย่าทำอะไรแว่นตาฉันเลย ขอทีเถิด

    เสียงเธอตอบว่า เอาละ คุณฟังให้ดี แล้วตอบให้ดีนะ ทำไมคุณถึงเข้าไปในมุ้งน้องสาวฉัน ถ้าตอบไม่ตรงคำถามเกิดเรื่องแน่

    ผมชักไม่พอใจจึงบอกว่า เธอถามเองตอบเองก็แล้วกัน ฉันกลัวว่าเมื่อตอบไม่ถูกใจเธอก็ต้องมีเรื่อง

    เธอพูดเสียงอ่อนลงบ้างว่า คุณตอบตามความจริงก็แล้วกัน จะเชื่อหรือไม่เป็นเรื่องที่ฉันจะพิจารณาเอง

    ผมจึงบอกว่า เมื่อคืนฉันเมามากจึงเข้ามุ้งผิด ฉันจึงอยากขอโทษน้องสาวเธอด้วย แต่ไม่ทันจะขอโทษ น้องสาวเธอก็วิ่งแหกปากร้องออกมา เธอจะเชื่อหรือไม่เป็นเรื่องของเธอ

    เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า เรื่องนี้ขืนพูดไปมีแต่จะขายหน้า จะจริงเท็จอย่างไร
    [/font][font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC] ฉันคิดว่าจะไม่สนใจแล้ว แต่ฉันจะขออะไรอย่างหนึ่ง คุณจะต้องปฏิบัติตาม จะได้หรือไม่ได้ เมื่อเราผิดแล้วก็ต้องรับผิด

    ผมคิดว่าเธอคงใจดีจะยกน้องสาวให้ผม เพราะผมทำให้หล่อนเสียชื่อจึงพูดว่า ฉันทำไม่ได้หรอก เพราะมีเธออยู่ทั้งคนแล้ว

    เธอเสียงแข็งขึ้นมาว่า เพื่อไถ่โทษที่เข้ามุ้งผิด คุณจะปฏิเสธไม่ได้ ตกลงไหม

    ผมทำเป็นขัดไม่ได้บอกเธอว่า ถ้าเธอบังคับฉันก็ต้องยอมทำตาม เพื่อไถ่โทษที่ทำให้น้องสาวเธอเสียหาย

    เธอพูดว่า ดีแล้วคอยฟังนะ ฉันขอให้คุณเลิกดื่มเหล้า นับตั้งแต่วันนี้ไป จะอ้างเหตุผลใดๆ จะเป็นสังคมหรืออะไรไม่ได้ทั้งนั้น จำไว้นะ

    ผมสะดุ้งเพราะผิดหวังจึงพูดเสียงค่อยๆ ว่า ตกลงจ้ะ

    แต่นั้นมาผมก็เลิกดื่มเด็ดขาด

    เมื่อเล่าจบ พวกเพื่อนๆ ก็พากันหัวเราะ แล้วเพื่อนคนหนึ่งก็ถามนายแว่นตาโตว่า คุณว่าศีลขาดหมดไม่มีเหลือ แต่ก็ยังไม่แจ่มแจ้ง เพราะคุณยังไม่ได้ฆ่าสัตว์ ผิดเพียงไปลักมะม่วงเขา

    นายแว่นตาโตหัวเราะจนตาหยี แล้วพูดว่า ผมลืมเล่าต่อว่า เมื่อตกลงกันได้แล้ว กว่าจะหลับก็เกือบสว่าง เช้าวันนั้นผมจึงตื่นสายหัว ระบมด้วยฤทธิ์ไม้ตะพด เมื่อผมลืมตาตื่นขึ้น ก็ได้ยินเสียงลูกสาวคนเล็กร้องไห้สะอึกสะอื้น และแช่งด่าคนที่ทำให้แมวที่น่ารักของแกตาย เสียงแกทำให้ผมสะดุ้งเพราะนางสามสีมันตายเพราะเท้าผมแท้ๆ ส่วน ศีลข้ออื่นคุณคิดดูก็แล้วกัน อย่าให้ผมพูดเลย
    ( กฎแห่งกรรม โดย ท. เลียงพิบูลย์ เล่ม ๒)

    [/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC] ประเด็นที่ควรกล่าวถึงมีดังนี้
    ๑. เชื้อไวรัสเอดส์ทำลายภูมิคุ้มกันทางร่างกาย ฉันใด สุรา (รวมทั้งสิ่งมอมเมาอื่น ๆ) ก็ทำลายสติสัมปชัญญะซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันทางจิตใจ ฉันนั้น คนเมาย่อมทำบาปกรรมหรือแสดงกิริยาที่เลวทรามต่ำช้าต่าง ๆ โดยไม่ละอาย และไม่คำนึงถึงผลเสียใด ๆ ที่จะติดตามมา ชีวิตและทรัพย์สินที่สูญเสียไปเพราะสุราเป็นเหตุ มีมากมายนับไม่ถ้วน ดังนั้น ศีลข้อ ๕ จึงสำคัญมาก หากรักษาไม่ได้แล้ว ศีลข้ออื่นก็พลอยพินาศไปด้วย ดังที่นายแว่นตาโตได้ประสบมาด้วยตนเอง

    ๒. คนเราจะไม่ทำบาปเพราะเหตุ ๒ ประการคือ
    ๒.๑ หิริ หมายถึง ละอายบาป เห็นว่าการทำบาปเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ (ขณะที่กำลังลักมะม่วง เสียงของแม่และเด็กทำให้นายแว่นตาโตรู้สึกละอาย ความละอายนี้คือหิรินั่นเอง แต่แล้วก็หมดไปเพราะความเมา)
    ๒.๒ โอตตัปปะ หมายถึง กลัวบาป คือ กลัวว่าทำบาปแล้วจะถูกติเตียน ถูกลงโทษ หรือตกไปในอบายภูมิ
    ท่านเปรียบเทียบหิริกับโอตตัปปะว่า เปรียบเหมือนเหล็ก ๒ ก้อน ก้อนหนึ่งเย็นแต่เปื้อนอุจจาระ ก้อนหนึ่งร้อนไฟลุกโชน คนฉลาดไม่จับเหล็กที่เย็นเพราะรังเกียจว่าเปื้อนอุจจาระ ไม่จับเหล็กอีกก้อนเพราะกลัวความร้อน คนที่มีหิริโอตตัปปะจะไม่ก่อกรรมทำชั่วให้เป็นที่เดือดร้อนแก่สังคม ความเมาทำให้หิริโอตตัปปะหมดไป ดังนั้น สุราจึงเป็นตัวบ่อนทำลายความสงบสุขของสังคม

    ๓. ในสัพพลหุสสูตร (๒๓/๑๓๐) พระพุทธเจ้าตรัสถึงโทษของสุราว่า ผู้ที่เสพสุราเป็นอาจิณ เมื่อตายแล้วย่อมไปสู่นรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ปิตติวิสัย (เปรต) ส่วนโทษอย่างเบาที่สุดของการดื่มสุรา คือ ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะเป็นคนบ้า
    [/font]


    จากหนังสือ กรรมลิขิต
    รวบรวมเรียบเรียง โดย ธมฺมวฑฺโฒภิกฺขุ
    น.ธ.เอก, วศ.บ.(จุฬาฯ), m.s. (Computer)
    วัดโสมมนัสวิหาร กรุงเทพมหานคร

    http://www.dhammajak.net/dharmabook_02/d01.htm
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. PalmPlamnaraks

    PalmPlamnaraks เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2005
    โพสต์:
    764
    ค่าพลัง:
    +5,790
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=158 cellSpacing=2 width="80%" align=center bgColor=#f7f7f7 border=1><TBODY><TR><TD vAlign=center borderColor=#f7f7f7 align=middle bgColor=#ffffff height=124>[​IMG]</TD></TR><TR><TD borderColor=#fffeee bgColor=#fffeee height=26>
    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC][​IMG] [font=MS Sans Serif, Angsana New, sans-serif]เสียสัตย์เสียชีพ [/font][/font][font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC][​IMG][/font]
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#f7f7f7 height=1553 width="80%" align=center border=1><TBODY><TR><TD vAlign=top height=1480>
    วันนั้นเผอิญผม (ไม่ใช่ ท. เลียงพิบูลย์) อยู่ในเหตุการณ์จึงรู้เรื่องราวได้ตลอด คือมีควาญช้างคนหนึ่งรับเหมาขนไม้ซุงซึ่งกองไว้ใกล้ๆ โรงเลื่อย ขนลงไปไว้ที่ท่าน้ำ เพื่อรอเวลาน้ำมากจะได้ผูกแพล่องไป แกใช้ช้างลากจูงไม้ซุงกองนั้นตั้งแต่เช้าจนเที่ยง เหลืออีก ๒ ต้นก็จะหมดกอง เมื่อสัญญาณพักเที่ยงของโรงเลื่อยดังขึ้น ควาญผู้นั้นไสช้างขึ้นจากท่าน้ำพอดี แล้วไสช้างให้เข้าไปที่กองซุง แต่ช้างนั้นชะงักอยู่ไม่ยอมเดินเข้าไป เพราะถูกฝึกจนรู้จักเวลาพักเที่ยง ช้างอื่นๆ พากันหยุดพัก ควาญได้นำไปใต้ร่มไม้ใหญ่ให้หญ้าให้น้ำตามที่เคยปฏิบัติกันมา

    ควาญช้างผู้ขยันเห็นช้างชะงักจึงพูดว่า อ้ายเพื่อนยาก ลากลงไปตีนท่าอีกสักต้นเถิด แล้วค่อยพักผ่อนกินหญ้ากินน้ำ คงไม่เสียเวลามากนัก

    ช้างก็ยอมตรงเข้าฉุดลากซุงลงไปท่าน้ำต่อไป เมื่อช้างขนซุงลงไปท่าเสร็จเรียบร้อยแล้วควาญก็ไสช้างขึ้นทางเก่า เพื่อจะนำช้างไปพักใต้ร่มไม้ ครั้นผ่านกองซุงยังเหลืออีก ๑ ต้น ก็ไสช้างตรงเข้าไปแล้วพูดว่า มันเหลืออยู่ต้นเดียวเท่านั้นทิ้งไว้ทำไม ทำเสียให้มันเสร็จเรียบร้อย บ่ายจะได้ทำงานอื่นต่อ แต่คราวนี้ช้างไม่ยอม ดื้อนิ่งยืนเฉยหูกางอยู่

    ควาญเห็นเช่นนั้นก็โกรธ ร้องด่าด้วยคำหยาบ แถมยังว่า อ้ายมึงนี่มันสันดานขี้เกียจและจองหอง ซุงต้นเดียวแค่นี้มึงจะทำให้เสร็จก็ไม่ยอมทำ กูจะให้มึงอดหญ้าอดน้ำ มึงจะลองดีกับกูก็ให้รู้ไป ว่าแล้วก็เอาขอสับ เอาซ่นเท้ากระทุ้งหูสองข้างเพื่อเอาชนะช้างให้ได้

    ช้างเห็นควาญโกรธก็ยอมเข้าไปลากซุงต้นสุดท้ายลงไปท่าน้ำแต่โดยดี แต่ครวญยังไม่พอใจ แกบ่นด่าไปตลอดทาง

    ครั้นถึงท่าริมน้ำ ช้างก็วางซุงลงเรียบร้อย แล้วใช้งวงตวัดขึ้นบนหลังรัดตัวควาญ ซึ่งไม่ทันรู้ตัวและกำลังบ่นอย่างคนปากอยู่ไม่สุข แล้วจับฟาดกับพื้นริมตลิ่งท่าน้ำขาดใจตายทันที

    ช้างนั้นเมื่อจับควาญฟาดจนถึงแก่ความตายแล้ว เหมือนจะรู้สำนึกตัวได้ จึงตรงเข้าไปยืนเอาขาทั้งสี่คร่อมศพไว้ น้ำตาไหลพรากพลางส่ายหัวไปมา คร่ำครวญอาลัยควาญซึ่งเป็นคู่ทุกข์คู่ยาก ต้องมาดับชีพเพราะอารมณ์โกรธของตนเพียงวูบเดียว
    (กฎแห่งกรรม ของ ท. เลียงพิบูลย์ เล่ม ๑)



    ประเด็นที่ควรกล่าวถึงมีดังนี้
    ๑. อรรถกถาหริตจชาดกกล่าวว่า ความสัตย์เป็นคุณธรรมที่สำคัญมากอย่างหนึ่ง พระโพธิสัตว์อาจล่วงศีลข้ออื่นคือ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม และดื่มสุราบ้าง แต่จะไม่กล่าวมุสาวาทด้วยเห็นแก่ประโยชน์เลย เพราะผู้ที่ทิ้งความสัตย์เสียแล้ว ย่อมไม่สามารถบรรลุโพธิญาณได้

    ๒. ควาญช้างได้กระทำบาปกรรมคือเสียสัตย์ที่ให้ไว้กับช้าง นี้เป็นข้อแรก เมื่อช้างยืนนิ่งก็ด่าด้วยคำหยาบ นี้เป็นข้อสอง จากนั้นก็ทำร้ายด้วยการเอาขอสับและเอาซ่นเท้ากระทุ้งหู นี้เป็นข้อที่สาม การกระทำเหล่านี้ทำให้ช้างโกรธ (คงจะโมโหหิวด้วย) จึงจับควาญฟาดกับพื้นจนตาย บาปกรรมที่ทำกับช้างจึงให้ผลทันตาเห็น

    ๓. ช้างนี้ก็บาปหนักเพราะฆ่าควาญผู้มีคุณแก่ตน เมื่อฆ่าแล้วก็สำนึกได้ร้องไห้น้ำตาไหล จัดเป็นนรกในใจ แสดงว่าช้างก็ได้รับผลบาปกรรมทันตาเห็นเช่นกัน และคงต้องรับผลในชาติต่อๆ ไปด้วย

    ๔. ช้างฆ่าควาญเพราะความโกรธ ดังนั้นขึ้นชื่อว่าความโกรธ ไม่เคยให้คุณ มีแต่ให้โทษล้วนๆ


    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC]จากหนังสือ กรรมลิขิต
    รวบรวมเรียบเรียง โดย ธมฺมวฑฺโฒภิกฺขุ
    น.ธ.เอก, วศ.บ.(จุฬาฯ), m.s. (Computer)
    วัดโสมมนัสวิหาร กรุงเทพมหานคร
    [/font]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. PalmPlamnaraks

    PalmPlamnaraks เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2005
    โพสต์:
    764
    ค่าพลัง:
    +5,790
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=158 cellSpacing=2 width="80%" align=center bgColor=#f7f7f7 border=1><TBODY><TR><TD vAlign=center borderColor=#f7f7f7 align=middle bgColor=#ffffff height=124>[​IMG]</TD></TR><TR><TD borderColor=#fffeee bgColor=#fffeee height=26>
    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC][​IMG] [font=MS Sans Serif, Angsana New, sans-serif]บทเรียนจากชีวิตเพื่อน [/font][/font][font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC][​IMG][/font]
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#f7f7f7 height=1482 width="80%" align=center border=1><TBODY><TR><TD vAlign=top height=1409>
    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC] ชายผู้หนึ่งเล่าประสบการณ์อันน่าสลดใจของตนว่า

    ผมมาคิดดูว่า เราก็อายุมากแล้ว ร่างกายทรุดโทรมลงไปทุกวัน แทนที่จะอยู่บ้านกับลูกเมียกลับเมาอยู่นอกบ้านเป็นประจำ เราเอาเวลาที่มีค่ามาใช้โดยไม่มีประโยชน์กลับมีแต่โทษ เสียทั้งสุขภาพทั้งทรัพย์ เคยคิดจะหยุดในวันพระก็เป็นวันที่ไม่แน่นอน หมุนเวียนไปเรื่อย ผมเห็นเพื่อนๆ ใส่บาตรตรงกับวันเกิดของเขาทุกๆ ๗ วัน นับเป็นตัวอย่าง ที่ดี เพราะวันพระมีคนใส่บาตรมากจนพระขนไม่ไหว วันธรรมดาได้ข้าวน้อย บางทีไม่พอฉัน ผมควรเอาอย่าง รู้สึกชั่วที่ผิดศีลข้อ ๕ มานานแล้ว

    ตั้งแต่นั้นมา ทุกๆ วันเกิดผมจะงดดื่มเหล้า หากตรงกับวันหยุดผมจะอยู่บ้านอ่านหนังสือ ไม่ไปไหน ถ้าตรงกับวันงานก็ไปทำงาน เย็นกลับบ้านตรงเวลา ครั้งแรกทำท่าจะไปไม่รอด พอถึงเวลาเย็นอยากดื่มใจจะขาด ต้องทำใจแข็ง ไม่ยอมทำตามความรู้สึก พอเลิกงานก็กลับบ้านทันทีไม่ไถลไปที่อื่น

    ผมคิดต่อไปว่า ในวันเกิดเมื่อไม่ดื่มเหล้าและทำบุญใส่บาตรแล้ว ควรอธิษฐานขอรับศีลห้าต่อหน้าพระพุทธรูป ตลอดวันหนึ่งคืนหนึ่งด้วย ผมรู้สึกว่าจิตใจดีขึ้นและภูมิใจว่าได้เริ่มทำความดีให้แก่ตัวเอง

    ต่อมาวันหนึ่งเป็นวันหยุดและตรงกับวันเกิดของผมใน ๗ วัน ผมใส่บาตรเสร็จแล้วก็มารับศีลจากพระพุทธรูป เพื่อนก็ขับรถมาชวนไปเที่ยว และดื่มเหล้าที่ชายทะเล ผมขอตัวและขอโทษเพื่อนๆ โดยบอกว่า วันนี้ผมถือศีล ๕ งดดื่มของมึนเมา เพื่อนๆ บอกว่า ถึงไม่ดื่มก็ต้องไปเป็นเพื่อน ผมปฏิเสธว่าอย่าเอาผมไปเกะกะรถเลย แต่เพื่อนๆ ไม่ยอม ทำท่าจะฉุดผมขึ้นรถให้ได้ ภรรยาผมต้องช่วยพูดขอตัวแทน เพื่อนๆ จึงยอมขึ้นรถขับออกไปด้วยความไม่ค่อยพอใจ

    คืนนั้นสองทุ่มเศษ ผมกำลังนอนอ่านหนังสือในห้องรู้สึกเคลิ้มๆ ก็เห็นเพื่อนที่มาชวนไปเที่ยวเมื่อเช้านี้คนหนึ่ง เดินเข้าประตูมา ท่าทางเมามาก เสื้อผ้ายับยู่ยี่เต็มไปด้วยฝุ่นละออง ก้มหน้าคอตกเดินโซเซมานั่งตรงหน้าเก้าอี้ยาวที่ผมนอนอยู่ ผมลุกขึ้นนั่ง ตกตะลึงคิดว่า เมาขนาดไม่มองทางแล้วมาได้อย่างไร จึงชวนให้ค้างที่บ้านและถามว่าจะดื่มชาร้อนๆ ไหม

    เสียงเพื่อนตอบอย่างลำบากและก้มหน้าคอตกอยู่อย่างเดิมว่า

    ไม่ต้อง-อั๊วอยู่ไม่ได้-อั๊วต้องไป-อั๊วมาบอก-ว่า-เมื่อ-เช้า-นี้-ลื้อ-คิดถูก-แล้ว-ทำถูกแล้ว-อั๊วมา-ขอโทษ-ลื้อ-อั๊ว-ผิด-ความ-สนุก-คือทุกข์-ขออโหสิ-ให้อั๊ว-ด้วย !

    ผมไม่สนใจคิดว่าแกพูดตามประสาคนเมา จึงเดินไปที่ประตูห้อง ร้องเรียกภรรยาให้หาน้ำชาร้อนและผ้าขนหนูชุบน้ำร้อน จากนั้นก็ให้คนจัดที่นอนให้แก พอสั่งเสร็จก็หันหน้าเข้าไปในห้องแต่ก็มองไม่เห็นแกเสียแล้ว ผมตกตะลึงขนลุกไปหมดทั้งตัว เพราะห้องผมก็ไม่ใหญ่โต โปร่ง ไม่มีที่ซ่อน ประตูเข้าออกก็มีประตูเดียวที่ผมยืนอยู่

    พอดีภรรยาเดินเข้ามาผมก็รีบเล่าเรื่องให้ฟัง ภรรยาฟังแล้วตื่นเต้นจนถาดใส่น้ำชาเกือบตกจากมือ พูดเสียงสั่นว่า อิฉันสงสัยอยู่แล้ว อิฉันนั่งอยู่ไม่เห็นใครเดินผ่านเข้ามาในห้องคุณเลย ทำไมถึงมีเสียงคุยกันในห้อง นี่คงมีเหตุร้ายเกิดกับเพื่อนคุณ

    รุ่งเช้าก็ได้ข่าวว่า เพื่อนคนที่มาหาเมื่อคืนประสบอุบัติเหตุขณะขับรถกลับกรุงเทพ เขาเสียชีวิตทันทีเพราะคอหัก ส่วนคนอื่นในรถบาดเจ็บสาหัสตามๆ กัน

    นับแต่วันนั้น ภรรยาขอร้องให้ผมเลิกดื่มเหล้าตลอดไป แทนที่จะหยุดดื่มเฉพาะวันเกิด ซึ่งตรงกับที่ผมคิด ความตายของเพื่อนทำให้เห็นโทษของเหล้าชัดเจนยิ่งขึ้น
    (กฎแห่งกรรม ของ ท. เลียงพิบูลย์ เล่ม ๑)


    ประเด็นที่ควรกล่าวถึงมีดังนี้
    ๑. เพื่อนมาสำนึกเสียใจเอาเมื่อสายไปเสียแล้วสำหรับชาตินี้ แต่ยังไม่สายสำหรับชาติต่อๆ ไป และการที่เพื่อนมาปรากฏตัวให้เห็นเป็นข้อพิสูจน์ว่า ผี (เปรตหรืออสุรกาย) มีจริง ชาติหน้ามีจริง

    ๒. แม้ในสหรัฐอเมริกาก็มีเรื่องวิญญาณปรากฏตัวมากมาย มีตัวอย่างรายหนึ่งซึ่งสมาคมค้นคว้าทางจิตแห่งอเมริกา (American Society for Psychical Research) สนใจมาก จึงสืบสวนอย่างละเอียดและบันทึกไว้ มีความโดยย่อว่า

    นายเฮย์เวิร์ธ เป็นอาจารย์สอนวิชาดาราศาสตร์อยู่ที่สมาคม วายเอ็มซีเอ ในเมืองดัลลัส มลรัฐเท็กซัส วันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๗ เวลากลางคืน เมื่อเลิกสอน เขาก็กลับบ้านเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเข้านอน ขณะนั้นภรรยาของเขาหลับแล้ว ไม่กี่นาทีต่อมา เขาได้ยินเสียงคนบิดลูกบิดประตูจึงลุกขึ้นนั่ง แสงจากโคมที่ถนนซึ่งส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้เขาเห็นพ่อของเขาเอง ยืนอยู่ตรงธรณีประตู สีหน้าดูเคร่งขรึม เขาคิดว่าพ่อมาจากแคลิฟอร์เนียเพื่อเยี่ยมเขา พ่อเดินจากประตูมาที่เตียงของเขา ยื่นมือขวาให้ เขาเอื้อมมือไปจับ รู้สึกได้ว่ามือของพ่อกำมือเขาไว้แน่น พ่อไม่ได้พูดทักทาย เพียงแต่ส่ายหน้าช้าๆ แล้วหายวับไปกับตา ปล่อยให้เขายื่นมือค้างอยู่กลางอากาศ

    เสียงกริ่งที่ประตูทำให้เขาหายตกตะลึง เมื่อไปเปิดประตูก็ได้รับโทรเลขด่วนจากแคลิฟอร์เนีย น้องชายแจ้งข่าวว่า พ่อเพิ่งสิ้นใจเมื่อหัวค่ำนี้เอง เขาส่งโทรเลขให้ภรรยาซึ่งตื่นขึ้นเพราะเสียงกริ่ง และเล่าเรื่องการปรากฏตัวของพ่อ เขาจำได้ว่า พ่อสวมเสื้อผ้าชุดทำงาน ในกระเป๋าเสื้อมีปากกาหมึกซึมเหน็บอยู่ และมีดินสอกับวงเวียนด้วย การที่มีวงเวียนนั้นออกจะแปลกอยู่สักหน่อย

    รุ่งเช้า เขาเดินทางไปแคลิฟอร์เนียเพื่อเยี่ยมแม่และน้อง น้องชายเล่าถึงการตายของพ่อให้ฟัง และให้เขาดูชุดที่พ่อสวมอยู่ในขณะถึงแก่กรรม ซึ่งตรงกับที่เขาเห็นทุกอย่าง
    รวมทั้งวงเวียนที่น่าสงสัยอันนั้นด้วย
    เหตุที่สมาคมฯ ให้ความสนใจกับเรื่องนี้เพราะ

    ๒.๑. มีพยานหลักฐานแน่นแฟ้น ทั้งญาติพี่น้อง และเอกสารคือโทรเลขฉบับนั้น

    ๒.๒. วิญญาณน่าจะมาปรากฏตัวจริง เพราะรูปร่างที่มาปรากฏแก่ลูกชายตรงกับลักษณะในวาระสุดท้ายของผู้ตาย เรื่องเช่นนี้ลูกชายไม่มีทางทราบได้เลย และเสื้อผ้าที่ผู้ตายสวมอยู่ก็ไม่ใช่ชุดที่สวมอยู่บ่อยๆ จนคุ้นตา ลูกชายเองก็ไม่เคยเห็นพ่อสวมมาก่อนเลย จะนึกเดาเอาว่าพ่อสวมเสื้อผ้าอะไรก็เป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะวงเวียนที่ติดกระเป๋านั้น ไม่มีทางเดาเอาได้เลย

    ๒.๓. ร่างที่ปรากฏ ชัดเจน ไม่เลือนรางหรือโปร่งใส ทั้งยัง
     
  4. PalmPlamnaraks

    PalmPlamnaraks เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2005
    โพสต์:
    764
    ค่าพลัง:
    +5,790
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=158 cellSpacing=2 width="80%" align=center bgColor=#f7f7f7 border=1><TBODY><TR><TD vAlign=center borderColor=#f7f7f7 align=middle bgColor=#ffffff height=124>[​IMG]</TD></TR><TR><TD borderColor=#fffeee bgColor=#fffeee height=26>
    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC][​IMG] [/font][font=MS Sans Serif, Angsana New, sans-serif] คู่เวร[/font][font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC][​IMG][/font]
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#f7f7f7 height=1482 width="80%" align=center border=1><TBODY><TR><TD vAlign=top height=1409>[font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC]
    พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน สมัยนั้นมีพราหมณ์คนหนึ่งในหมู่บ้านคยา ได้ให้ธิดาแก่บุตรพราหมณ์คนหนึ่งในหมู่บ้านนั้น ธิดาพราหมณ์เป็นลูกสะใภ้แล้วได้ตั้งตัวเป็นใหญ่ในบ้าน นางเห็นลูกสาวของทาสีในบ้านนั้นแล้วไม่ชอบหน้า นับแต่เห็นมา นางก็แสดงอาการฮึดฮัดด่าว่าด้วยความโกรธ และชูกำปั้นแก่ลูกสาวทาสีนั้น เมื่อลูกสาวทาสีโตพอจะทำการงานได้ นางก็ใช้เข่า ศอก และกำปั้นทุบตีเหมือนผูกอาฆาตกันมาในชาติก่อนๆ หลายชาติทีเดียว

    เล่ากันมาว่า ในครั้งพระทศพลพระนามว่ากัสสปะ ทาสีนั้นได้เป็นนายและได้ทุบตีลูกสะใภ้ด้วยก้อนดินและชูกำปั้นให้เสมอๆ ลูกสะใภ้เหนื่อยหน่ายเพราะการกระทำนั้น ได้ทำบุญให้ทานตั้งความปรารถนาขอให้ได้เป็นนายบ้าง ในชาติปัจจุบันคนทั้งสองจึงมีสถานะกลับกัน

    วันหนึ่งโดยไม่มีเหตุสมควรเลย ลูกสะใภ้ได้จิกผมใช้ทั้งมือทั้งเท้าตบตีอย่างเต็มที่ ทาสีนั้นไปศาลาอาบน้ำ โกนผมเสียเกลี้ยง ลูกสะใภ้จึงกล่าวว่า อีทาสีชั่ว เพียงโกนผมเกลี้ยงก็จะพ้นหรือ แล้วเอาเชือกพันศีรษะ จับนางให้ก้มลงแล้วเฆี่ยน และไม่ให้นางเอาเชือกออก แต่นั้นมานางทาสีจึงได้ชื่อว่า รัชชุมาลา (รัชชุ = เชือก มาลา = หมวก)

    วันหนึ่งเวลาใกล้รุ่ง พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูสัตวโลก นางรัชชุมาลาได้ปรากฏในข่ายพระญาณ จึงเสด็จเข้าไปป่า ประทับนั่งที่โคนไม้แห่งหนึ่ง ฝ่ายนางรัชชุมาลาถูกรังแกทุกวัน จึงเบื่อหน่ายต่อชีวิต ประสงค์จะฆ่าตัวตาย ถือหม้อน้ำออกจากเรือนทำทีว่าไปตักน้ำ แล้ววางหม้อน้ำไว้ข้างทาง เข้าไปยังป่าชัฏ ผูกเชือกที่กิ่งของต้นไม้ซึ่งอยู่ใกล้ที่ ประทับ เพื่อทำเป็นบ่วงผูกคอตาย มองไปรอบทิศเห็นพระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ ดูน่าพอใจและน่าเลื่อมใส เกิดความคิดว่า ทำไฉนพระพุทธเจ้าจะทรงแสดงธรรมโปรดคนเช่นเราให้พ้นความลำเค็ญ

    เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสเรียก นางรัชชุมาลาก็เข้าไปเฝ้า ถวายบังคมแล้วฟังธรรมได้บรรลุโสดาบัน จากนั้นนางก็นำหม้อไปตักน้ำแล้วกลับเรือน คนในเรือนรู้เรื่องนางรัชชุมาลา จึงนิมนต์พระพุทธเจ้ามาฉันที่เรือน เมื่อฟังธรรมแล้วก็ดำรงอยู่ในสรณะและศีล การจองเวรของสองนางก็สิ้นสุดลง เมื่อนางรัชชุมาลาตายก็ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
    (อรรถกถารัชชุมาลาวิมาน)


    ต่อไปเป็นประสบการณ์ของจ่าสิบตรีหญิงชวนชื่น อุณหนันทน์ ที่ถูกวิญญาณพยาบาทเข้าสิง เจ้าตัวได้ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้เมื่อวันพุธที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๑๘ ที่วชิรพยาบาล ความว่า

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบกว่าปีมาแล้ว ขณะนั้นดิฉันอายุ ๑๕-๑๖ ปี ได้ไปร่วมงานทอดกฐินพระราชทาน ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการนำไปทอดที่วัดป่าเลไลยก์ จ.สุพรรณบุรี คืนนั้นมีการแสดงลิเกและเล่นละครเพื่อฉลององค์กฐิน ตอนเช้ามีการทำบุญเลี้ยงพระ ตอนสายก็มีการแห่รอบโบสถ์ ดิฉันอุ้มไตรกฐินเดินรอบโบสถ์ ยังไม่ทันถึง ๒ รอบ ก็รู้สึกอ่อนเพลียเวียนศีรษะ จึงให้เพื่อนช่วยอุ้มไตรแทน

    ขณะนั้นใกล้เพลแล้ว ดิฉันตั้งใจจะเดินไปพักผ่อนบนรถที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก แต่แล้วก็หน้ามืดหมดความรู้สึก มารู้ตัวลืมตาขึ้นก็เห็นตัวมานอนอยู่บนศาลาวัด เป็นเวลาบ่ายมากแล้ว รู้สึกงงไปหมด เพื่อน ๆ และครูที่นั่งล้อมรอบต่างมีสีหน้าเศร้า ดิฉันสงสัยจึงร้องถามว่า นี่ดิฉันเป็นอะไรไป ทำไมจึงมานอนอยู่บนศาลานี้ เพื่อนเล่าให้ฟังว่า

    เมื่อดิฉันหมดสติไป มีวิญญาณผีผู้ชายมาเข้าสิง แสดงกิริยาท่าทางโกรธมาก พูดเสียงห้าวๆ ว่า มาคอยกินเลือดอยู่ที่ใต้ต้นพิกุลนี้หลายสิบปีแล้ว ดิฉันตกใจถามว่า ทำไมต้องมาเจาะจงคอยเอาเลือดดิฉัน เพื่อนๆ ก็เล่าว่า วิญญาณชายนี้บอกว่า เมื่อชาติก่อนดิฉันเกิดเป็นลูกเศรษฐี มีอารมณ์ฉุนเฉียว เอาแต่ใจตัวเอง บ่าวไพร่ในบ้านได้รับความเดือดร้อนจากดิฉันเสมอ เพราะดิฉันถือว่าพ่อรักมากและตามใจทุกอย่างเนื่องจากเป็นลูกคนเดียว

    ครั้งหนึ่งบ่าวผู้ชายคนนี้ ได้แอบมองดูเห็นปานขาวใต้ร่มผ้าเมื่อดิฉันนุ่งโจงกระเบน แล้วเที่ยวพูดไปทั่ว ดิฉันโกรธมากไปฟ้องพ่อขอให้ลงโทษบ่าวคนนี้ พ่อจึงสั่งให้จับตัวไปตีตรวนแล้วเฆี่ยน ชายผู้นี้ถูกเฆี่ยนจนบอบช้ำมาก ข้าวปลากินไม่ลง ก่อนตายได้กล่าวอาฆาตว่า จะขอจองเวรกินเลือดดิฉันให้ได้ เมื่อตายแล้วศพของเขาถูกฝังอยู่ข้างกำแพงโบสถ์ใต้ต้นพิกุล เพื่อนเล่าว่าวิญญาณชายนี้ยังได้ชี้ให้ดูที่ฝังศพของเขา และบอกว่าในชาตินี้ดิฉันก็ยังมีปานขาวใต้ร่มผ้า

    ท่านผู้ไปในงานส่วนใหญ่ไม่เชื่อเรื่องนี้ หมอที่อยู่ในที่นั้นก็หาว่าดิฉันเพ้อเพราะพิษไข้ แต่มีผู้ใหญ่บางท่านขอร้องให้ทางวัดช่วยหาเครื่องมือและคนมาขุดตรงที่วิญญาณชี้ เพื่อพิสูจน์ความจริง เมื่อขุดลงไปลึกไม่มาก ก็เห็นโครงกระดูกศพแต่ไม่มีหัว กระดูกท่อนขายังมีโซ่ตรวนสวมอยู่ แต่เหล็กถูกสนิมกินจนผุกร่อนแทบจะขาดจากกันแล้ว จริงตามที่วิญญาณบอก นับเป็นเรื่องแปลก เพราะแม้แต่เจ้าอาวาสและพระที่อยู่มานาน ก็ไม่รู้ว่ามีศพฝังอยู่ตรงนั้น และเมื่อเพื่อนหญิงถลกผ้าดูในขณะที่ดิฉันยังไม่รู้สึกตัว ก็มีปานขาวจริงอย่างที่วิญญาณบอก

    วิญญาณนั้นยังบอกว่าถ้าไม่เอาเลือดไปรดที่กระดูกของเขา ดิฉันจะไม่ได้กลับกรุงเทพ ท่านเจ้าอาวาสจึงบอกให้เอาเลือดทาใบไม้แล้วไปแตะที่กระดูกที่ขุดขึ้นมา ให้โครงกระดูกดูดเลือดจากใบไม้ โดยให้หมอเจาะเลือดที่แขนพับ เมื่อจัดการเรียบร้อยแล้ว ก่อนวิญญาณจะออกจากร่างยังสั่งว่า ทุกวันขึ้น ๑๕ ค่ำให้ดิฉันใส่บาตรพระ ๙ องค์ แล้วอุทิศส่วนบุญไปให้จนกว่าเขาจะพอใจจึงจะเลิกจองเวร

    เมื่อกลับถึงกรุงเทพฯ ดิฉันใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลไปให้วิญญาณนั้นทุกวันเพื่อใช้หนี้กรรมให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็ว หลังจากกลับมาได้ ประมาณ ๒ เดือน เวลาประมาณ ๕-๖ โมงเย็น ดิฉันนั่งอยู่ในบ้าน ได้ยินเสียงหมาหอนก็กลัว และรู้สึกหนังตาหนักจะหลับ พอเคลิ้มๆ ไป ดิฉันก็เห็นร่างชายคนหนึ่ง เข้าใจว่าเป็นวิญญาณนั้นมาแสดงตัวให้เห็น เขาทำหน้าดุๆ ยิ้มแสยะอย่างเย้ยๆ แต่ก็ไม่แสดงท่าว่าจะทำร้ายดิฉัน ดิฉันกลัวมากนึกถึงเวรกรรมที่ทำไว้กับเขา จึงคิดว่า ต้องอดทนทำดีต่อไปจนกว่าเขาจะให้อโหสิกรรม หลังจากนั้นเขาก็มาเดือนละ ๑-๒ ครั้ง ส่วนมากมักมาเวลา ๕-๖ โมงเย็น ทำให้ดิฉันไม่กล้าอยู่คนเดียว

    หลังจากที่ดิฉันต้องอยู่อย่างหวาดหวั่นเป็นเวลาประมาณ ๑๑ เดือน เย็นวันหนึ่ง วิญญาณก็มาปรากฏตัวให้เห็นเป็นครั้งสุดท้ายและชัดเจนกว่าทุกครั้ง วิญญาณได้พูดขอบใจที่ได้ทำตามทุกอย่าง ขอให้อโหสิกรรมและจะไม่มาให้เห็นอีก
    (กฎแห่งกรรม ของ ท. เลียงพิบูลย์ เล่ม ๖)


    ประเด็นที่ควรกล่าวถึงมีดังนี้
    ๑. การที่เจ้านายเกลียดนางรัชชุมาลาทันทีที่เห็นหน้าครั้งแรก เนื่องจากเคยโกรธแค้นกันมาแต่ชาติก่อน นี้คือเหตุผลว่า ทำไมเราจึงไม่ชอบหน้าบางคนเพียงแรกเห็น

    ๒. นางรัชชุมาลาเคยเบียดเบียนทุบตีคนอื่นมาในชาติก่อน ชาตินี้จึงได้รับผลของบาปกรรมที่ตนทำไว้ ถูกเขารังแกจนทนไม่ไหว กลุ้มใจมากถึงกับคิดฆ่าตัวตาย จัดเป็นนรกในใจ การที่จ่าฯชวนชื่นต้องอยู่อย่างหวาดกลัว ก็จัดเป็นนรกในใจเช่นกัน

    ๓. เจ้ากรรมนายเวรมีอยู่จริง คงเป็นพวกเปรตหรืออสุรกายที่ผูกพยาบาท เพราะเราเคยสร้างกรรมเวรไว้กับเขา ดังนั้นเจ้ากรรมนายเวรที่แท้จริงก็คือตัวเราเอง ถึงแม้เจ้ากรรมนายเวรจะมีจริง แต่ก็ไม่อาจแก้แค้นได้ตามอำเภอใจ รู้จากการที่วิญญาณอาฆาตต้องรอนานหลายสิบปี จึงได้โอกาสเข้าสิง ถ้าจะถามว่ารออะไร คำตอบน่าจะเป็น รอกรรมเปิดโอกาสให้ หมายความว่า ตราบใดที่กรรมยังไม่ให้ผล วิญญาณก็ไม่มีโอกาสเข้าสิง

    ๔. การเข้าสิงในกรณีนี้น่าจะจริง เพราะมีหลักฐานยืนยันคือ โครงกระดูกที่ขุดพบและเรื่องปานขาวในร่มผ้า ผู้เรียบเรียงเองก็เคยเห็นเรื่องทำนองนี้ที่วัดญาณสังวราราม เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๙ ขณะกำลังทำวัตรค่ำ ผู้เรียบเรียงเห็นพระภิกษุองค์หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ (ถูกเข้าสิง) นั่งเท้าแขน ทำท่าเหมือนเล่นลิเกเป็นตัวเจ้า ไม่ได้พูดอะไร ทีแรกผู้เรียบเรียงรู้สึกตกใจกลัวถูกลูกหลง แต่พระอื่นไม่สนใจ (คงเห็นจนชิน) เลยทำเฉยเสีย ประมาณ ๒-๓ นาที (ก็ออก) ร่างนั้นก็ล้มหงายหลังลง

    ๕. เป็นการถูกต้องแล้วที่พยายามเอาชนะความชั่วด้วยความดี หมั่นใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลไปให้จนวิญญาณนั้นยอมให้อโหสิ ทำให้การจองเวรระงับลง แต่การจองกรรมยังไม่แน่ หมายความว่าบาปกรรมที่ทำไว้อาจยังให้ผลต่อไปอีก ไม่กลายเป็นอโหสิกรรมไปด้วย สุดแล้วแต่ว่าบาปกรรมนั้นหนักเบาแค่ไหน

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC]จากหนังสือ กรรมลิขิต
    รวบรวมเรียบเรียง โดย ธมฺมวฑฺโฒภิกฺขุ
    น.ธ.เอก, วศ.บ.(จุฬาฯ), m.s. (Computer)
    วัดโสมมนัสวิหาร กรุงเทพมหานคร
    [/font]
    [/font]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. PalmPlamnaraks

    PalmPlamnaraks เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2005
    โพสต์:
    764
    ค่าพลัง:
    +5,790
    ศึกษาดูครับ
     
  6. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,792
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,020
    ครับ การดื่มสุราเป็นสิ่งที่ไม่ดี ผิดศีลอีกต่างหาก ใครที่กําลังดื่มอยู่ เลิกได้ก็เลิกนะครับ เป็นกําลังใจให้ครับ เจริญในธรรมครับทุกท่าน
     

แชร์หน้านี้

Loading...