เกร็ดธรรมะจากเกร็ดชีวิตพุทธทาสภิกขุ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย โสภา จาเรือน, 18 มิถุนายน 2008.

  1. โสภา จาเรือน

    โสภา จาเรือน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    2,013
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,332
    อริยบุคคล 8 ประเภท
    <O:p

    อริยบุคคล 8 ประเภท (และการละกิเลส)<O:p


    ผู้ที่เจริญวิปัสสนากรรมฐานไปตามลำดับขั้นได้รู้ได้เห็นธรรมชาติรวมทั้งความเป็นไปต่าง ๆ ของรูป/นาม หรือกาย/ใจ มากขึ้นเรื่อยๆ ได้เห็นถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่น่ารักน่าใคร่น่าปรารถนาไม่สามารถยึดมั่นถือมั่นได้เพราะไม่อยู่ในอำนาจ จึงไม่เป็นไปอย่างที่ใจต้องการ ฯลฯจนกระทั่งจิตคลายความยึดมั่นในสิ่งทั้งปวงลงไปอย่างถาวรคือความยึดมั่นถือมั่นในระดับนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีกเลยเพราะเห็นชัดด้วยปัญญาของตนเองอย่างแท้จริง จนหมดความเคลือบแคลงและความลังเลสงสัยใดๆ ทั้งปวงแล้วนั้น จะได้ชื่อว่าเป็นอริยบุคคลคือบุคคลอันประเสริฐ ซึ่งจำแนกอย่างละเอียดได้ 8 ประเภท ตามลำดับขั้นของการละกิเลสหรือตามลำดับขั้นของความยึดมั่นถือมั่น
    ก่อนจะกล่าวถึงอริยบุคคลขั้นต่าง ๆ นั้นจะขออธิบายถึงความเจริญก้าวหน้าในการทำวิปัสสนากรรมฐาน ตั้งแต่เริ่มต้นก่อนเพื่อจะได้เข้าใจเรื่องของอริยบุคคลได้ง่ายขึ้น ดังนี้
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    บุคคลทั่ว ๆ ไปที่ยังมีความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่าง ๆอยู่อย่างปกติทั่วไปนั้นได้ชื่อว่าปุถุชน (ปุถุ แปลว่าหนา)คือชนผู้หนาแน่นด้วยกิเลสนั่นเอง ปุถุชนนั้นแบ่งได้ 2 ระดับคือ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    1.) อันธปุถุชน คือปุถุชนที่มืดบอดต่อธรรมมากจิตใจหยาบกระด้าง เป็นผู้ยากแก่การรู้ธรรม<O:p</O:p
    <O:p

    2.) กัลยาณปุถุชนคือปุถุชนที่แม้จะยังมีกิเลสหนาแน่นอยู่ แต่จิตใจก็มีความประณีตเบาสบายกว่าอันธปุถุชน จึงเข้าถึงธรรมได้ง่ายกว่า<O:p

    เมื่อบุคคลใดได้เจริญวิปัสสนากรรมฐานมากขึ้นเรื่อย ๆแล้ว ก็จะเกิดปัญญามองเห็นธรรมชาติที่แท้จริงของสิ่งต่าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆที่เรียกว่าญาณขั้นต่าง ๆ (คำว่าญาณนี้เป็นชื่อของปัญญาในวิปัสสนาต่างจากฌานซึ่งเป็นขั้นต่าง ๆ ของสมาธิ)จนกระทั่งปัญญาญาณนั้นแก่กล้าจนสามารถทำลายความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่าง ๆอย่างถาวรอันเป็นผลให้กิเลสที่เกิดจากความยึดมั่นในขั้นนั้นถูกทำลายลงไปอย่างสิ้นเชิงจิตในขณะที่เห็นแจ้งในความที่ไม่สามารถยึดมั่นในสรรพสิ่งทั้งปวงได้อย่างชัดเจนจนสามารถทำลายกิเลสได้นี้เรียกว่ามรรคจิต ซึ่งจะเกิดขึ้นเพียงแค่ขณะจิตเดียวคือเกิดอาการปิ๊งขึ้นมาแว้ปเดียวกิเลสและความยึดมั่นในขั้นนั้นก็จะไม่เกิดขึ้นอีกเลย
    บุคคลในขณะที่มรรคจิตเกิดขึ้นนี้เรียกว่ามรรคบุคคลซึ่งนับเป็นอริยบุคคลประเภทหนึ่ง

    บุคคลจะเป็นมรรคบุคคลแค่เพียงชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้นหลังจากนั้นก็จะได้ชื่อว่าผลบุคคล คือบุคคลผู้เสวยผลจากมรรคนั้นอยู่ไปจนกว่ามรรคจิตในขั้นที่สูงขึ้นไปจะเกิดขึ้นอีกครั้งเพื่อทำลายความยึดมั่นและกิเลสที่ประณีตขึ้นไปอีกมรรคจิตแต่ละขั้นนั้นจะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้นแล้วจะไม่เกิดขึ้นในขั้นเดิมซ้ำอีกเลย จะเกิดก็แต่ขั้นที่สูงขึ้นไปเท่านั้นเพราะความยึดมั่นในขั้นที่ถูกทำลายไปแล้วจะไม่มีโอกาสกลับมาให้ทำลายได้อีกเลย<O:p

    อริยบุคคล 8 ประเภทนั้นประกอบด้วยมรรคบุคคล 4 ประเภทและผลบุคคล 4 ประเภท ดังนี้คือ<O:p

    1.) โสดาปัตติมรรคบุคคลคือบุคคลในขณะที่มรรคจิตเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่เรียกว่าโสดาปัตติมรรคจิต โสดาปัตติมรรคบุคคลนี้นับเป็นอริยบุคคลขั้นแรกและได้ชื่อว่าเป็นผู้หยั่งลงสู่กระแสพระนิพพานแล้วมรรคจิตในขั้นนี้จะทำลายกิเลสได้ดังนี้คือ
    (ในที่นี้จะใช้สัญโยชน์ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการแบ่งประเภทของกิเลส เป็นหลักในการอธิบาย -ดูเรื่องสัญโยชน์ 10 ประกอบ)
    - สักกายทิฏฐิ
    - วิจิกิจฉา
    - สีลพตปรามาส
    รวมทั้งโลภะ(ความโลภ) โทสะ(ความโกรธ, ขัดเคืองใจ, กังวลใจ, เครียด, กลัว) โมหะ(ความหลง คือไม่รู้ธรรมชาติที่แท้จริงของสรรพสิ่ง) ในขั้นหยาบอื่น ๆอันจะเป็นผลให้ต้องไปเกิดในอบายภูมิ (เดรัจฉาน, เปรต, อสุรกาย, นรก)ด้วย

    <O:p2.) โสดาปัตติผลบุคคลหรือที่เรียกกันทั่วไปว่าโสดาบันคือผู้ที่ผ่านโสดาปัตติมรรคมาแล้ว
    คุณสมบัติที่สำคัญของโสดาบันก็คือ
    - พ้นจากอบายภูมิตลอดไป คือจะไม่ไปเกิดในอบายภูมิอีกเลยเพราะจิตใจมีความประณีตเกินกว่าที่จะไปเกิดในภูมิเหล่านั้นได้ (ใครจะไปเกิดในภูมิใดนั้น ขึ้นกับสภาพจิตตอนใกล้ตายที่เรียกว่ามรณาสันนวิถีถ้าขณะนั้นจิตมีสภาพเป็นอย่างไรก็จะส่งผลให้ไปเกิดใหม่ในภูมิที่มีสภาพใกล้เคียงกับสภาพจิตนั้นมากที่สุด)
    - อีกไม่เกิน 7 ชาติจะบรรลุเป็นพระอรหันต์
    - มีศรัทธาในพระรัตนตรัยอย่างมั่นคงไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน จะไม่คิดเปลี่ยนศาสนาอีกเลย
    - มีศีล 5 บริบูรณ์ (ไม่ใช่แค่บริสุทธิ์) คือความบริสุทธิ์ของศีลนั้นเกิดจากความบริสุทธ์/ความประณีตของจิตใจจริง ๆ ไม่ใช่ใจอยากทำผิดศีลแต่สามารถข่มใจไว้ได้คือใจสะอาดจนเกินกว่าจะทำผิดศีลห้าได้<O:p


    3.) สกทาคามีมรรคบุคคลหรือสกิทาคามีมรรคบุคคลคือบุคคลที่เจริญวิปัสสนาต่อไปอีกจนกระทั่ง มรรคจิตเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ที่เรียกว่าสกทาคามีมรรคจิต มรรคจิตในขั้นนี้ไม่สามารถทำลายกิเลสตัวใหม่ให้หมดไปได้อย่างสิ้นเชิงเหมือนมรรคจิตขั้นอื่น ๆเป็นแต่เพียงทำให้ โลภะ โทสะเบาบางลงเท่านั้น โดยเฉพาะกามฉันทะ และปฏิฆะถึงแม้ว่าความยึดมั่นที่มีอยู่จะน้อยลงไปก็ตามทั้งนี้เพราะกามฉันทะและปฏิฆะนั้นมีกำลังแรงเกินกว่า จะถูกทำลายไปได้ง่าย<O:p

    4.) สกทาคามีผลบุคคลหรือสกิทาคามีผลบุคคลคือผู้ที่ผ่านสกทาคามีมรรคมาแล้ว
    คุณสมบัติสำคัญของสกทาคามีผลบุคคลก็คือถ้ายังไม่สามารถบรรลุธรรมที่สูงขึ้นไปได้ในชาตินี้ก็จะกลับมาเกิดในกามภูมิอีกเพียงครั้งเดียวก็จะบรรลุธรรมที่สูงขึ้นไปได้แล้วจะพ้นจากกามภูมิตลอดไปเพราะอริยบุคคลขั้นนี้เป็นขั้นสุดท้ายที่จะเกิดในกามภูมิได้อีก
    คำว่ากามภูมินั้นได้แก่ สวรรค์ 6 ชั้น มนุษยภูมิ เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย นรกแต่สกทาคามีบุคคลนั้นพ้นจากอบายภูมิไปแล้วตั้งแต่เป็นโสดาบันจึงเกิดได้เพียงในสวรรค์ และมนุษย์เท่านั้น<O:p


    5.) อนาคามีมรรคบุคคลคือบุคคลที่เจริญวิปัสสนาต่อไปอีกจนกระทั่งมรรคจิตเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ที่เรียกว่าอนาคามีมรรคจิตทำลายกิเลสได้เด็ดขาดเพิ่มขึ้นอีก 2 ตัวคือ
    - กามฉันทะ
    - ปฏิฆะ<O:p


    6.) อนาคามีผลบุคคลคือผู้ที่ผ่านอนาคามีมรรคมาแล้ว
    คุณสมบัติที่สำคัญของอนาคามีผลบุคคลคือถึงจะยังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์ ก็จะไม่กลับมาเกิดในกามภูมิอีกเลยแต่จะไปเกิดในภูมิที่พ้นจากเรื่องของกามคือรูปภูมิ หรืออรูปภูมิเท่านั้น (ดูหัวข้อรูปราคะ และอรูปราคะในเรื่องสัญโยชน์ 10 ประกอบ)
    ในรูปภูมิ 16 ชั้นนั้นจะมีอยู่ 5 ชั้นที่เป็นที่เกิดของอนาคามีผลบุคคลโดยเฉพาะซึ่งรวมเรียกว่าสุทธาวาสภูมิ ดังนั้น ในสุทธาวาสภูมิทั้ง 5 ชั้นนี้จึงมีเฉพาะอนาคามีผลบุคคล อรหัตตมรรคบุคคล และพระอรหันต์ (ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ในภูมินี้แล้วยังมีชีวิตอยู่) เท่านั้น
    สุทธาวาสภูมิ 5 ชั้นประกอบด้วย
    - อวิหาภูมิ
    - อตัปปาภูมิ
    - สุทัสสาภูมิ
    - สุทัสสีภูมิ
    - อกนิฏฐาภูมิ<O:p


    7.) อรหัตตมรรคบุคคลคือบุคคลที่เจริญวิปัสสนาต่อไปอีกจนกระทั่งมรรคจิตเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 ที่เรียกว่าอรหัตตมรรคจิตทำลายกิเลสที่เหลือทุกตัวได้อย่างหมดสิ้น จนไม่มีกิเลสใด ๆ เหลืออีกเลยสัญโยชน์ที่มรรคจิตขั้นนี้ทำลายไป ได้แก่
    - รูปราคะ
    - อรูปราคะ
    - มานะ
    - อุทธัจจะ
    - อวิชชา<O:p


    8.) อรหัตตผลบุคคลหรือที่เรียกกันทั่วไปว่าพระอรหันต์คือผู้ที่ปราศจากกิเลสอย่างสิ้นเชิงแล้วเพราะกิเลสตัวสุดท้ายถูกทำลายไปในขณะแห่งอรหัตตมรรคจิตที่ผ่านมาแล้วเป็นผู้ที่พ้นจากทุกข์ทางใจทั้งปวง เพราะไม่ยึดมั่นในสิ่งใดเลยแต่ยังคงต้องทนกับทุกข์ทางกายต่อไป จนกว่าจะปรินิพพานเพราะตราบใดที่ยังมีร่างกายอยู่ก็ไม่อาจพ้นจากทุกข์ทางกายไปได้<O:p



    นิพพานนั้นมี 2 ชนิด คือ<O:p

    - สอุปาทิเสสนิพพานหรือนิพพานเป็น หมายถึงนิพพานที่ยังมีส่วนเหลือ คือกิเลสทั้งหลายดับไปหมดแล้วพ้นจากทุกข์ทางใจทั้งปวงแล้ว แต่ยังมีร่างกายอยู่ ทำให้ต้องทนทุกข์ทางกายต่อไปอีกได้แก่พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่นั่นเอง<O:p></O:p>

    - อนุปาทิเสสนิพพานหรือนิพพานตาย หมายถึงนิพพานโดยไม่มีส่วนเหลือคือพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ทั้งทางกาย และทางใจอย่างสิ้นเชิงได้แก่พระอรหันต์ที่ตายแล้วนั่นเอง ซึ่งเรียกได้อีกอย่างว่าปรินิพพาน (ปริ =โดยรอบ, ปรินิพพาน = นิพพานโดยรอบทุกส่วน คือทั้งร่างกายและจิตใจคือนิพพานจากทุกข์ทั้งปวงนั่นเอง)<O:p


    พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบชีวิตในวัฏสงสารว่าปุถุชนทั้งหลายเหมือนผู้คนที่ผุด ๆ โผล่ ๆ อยู่กลางน้ำลึก ต้องทนทุกข์ทรมานสำลักน้ำอยู่อย่างไม่รู้อนาคต ต้องเสี่ยงภัยจากปลาร้ายทั้งหลายโสดาบันเปรียบเหมือนผู้ที่พยุงตัวพ้นจากผิวน้ำขึ้นมาได้จนสามารถมองเห็นฝั่ง(แห่งพระนิพพาน) แล้วเตรียมตัวว่ายเข้าหาฝั่งนั้นสกทาคามีบุคคลเปรียบเหมือนผู้ที่กำลังว่ายเข้าหาฝั่งอนาคามีบุคคลเปรียบเหมือนผู้ที่เข้าใกล้ชายฝั่งมากคือถึงจุดที่น้ำตื้นพอที่จะหยั่งเท้าถึงพื้นดินได้ แล้วเดินลุยน้ำเข้าหาฝั่งจึงพ้นจากการสำลักน้ำแล้วพระอรหันต์เปรียบเหมือนผู้ที่เดินขึ้นฝั่งได้เรียบร้อยแล้วพ้นจากอันตรายทั้งปวงแล้วรอวันปรินิพพานอยู่
    ท่านผู้อ่านอยากอยู่ในสภาพไหนก็เชิญเลือกเอาเองเถิด

    <O:p


    ที่มา http://www.dhammathai.org/treatment/nivorn/nivorn10.php<O:p></O:p>
     

แชร์หน้านี้

Loading...