ฮือฮา “ผึ้ง”ทำรังใต้คางรูปเหมือน”หลวงปู่มั่น”คล้ายเครา ชาวบ้าน แห่ไหว้

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย navycom33, 10 เมษายน 2014.

  1. navycom33

    navycom33 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    676
    ค่าพลัง:
    +6,732
    [​IMG]

    เมื่อวันที่ 16 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานถึงบรรยากาศวันหวยออกว่า ที่บริเวณวัดป่าประชานิยม บ้านหนองหลวง ต.หนองหลวง อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร ปรากฏมีชาวบ้านพากันเดินทางมาสักการะและกราบไหว้รูปหล่อเหมือนหลวงปู่มั่น ภูริฑัตโต สูงกว่า 19 เมตร โดยฐานกว้าง 9 เมตร สูง 10 เมตร และฐานล่างเป็นศาลา สูง 9 เมตร รวมความสูงทั้งหมด 19 เมตร เป็นรูปหล่อใหญ่ที่สุดในประเทศ พบว่า.ต้คางรูปหล่อดังกล่าวมีผึ้งหลวงมาทำรังขนาดใหญ่กว่า 1 เมตร มองดูคล้ายมีเครา โดยชาวบ้านอ้างว่า รูป“หลวงปู่มั่น ฯ”ให้โชคลาภกับผู้มากราบไหว้หลายคนแล้ว



    นายประมวล ศรีมา อดีตยากเทศบาลตำบลหนองหลวง กล่าวว่า รูปหล่อเหมือนหลวงปู่มั่น สูงขนาด 19เมตร รวมฐาน สร้างเมื่อ พ.ศ.2553 งบประมาณ 9 ล้านบาท เสร็จสิ้นเมือวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2557 มีพิธีพุทธาภิเษก และบวชชีพราหมณ์ไปแล้วโดยก่อสร้างเสร็จแล้วได้มีชาวบ้านพบว่ามีผึ้งหลวง มาทำรังบริเวณใต้คาง และแขนจำนวนหนึ่ง



    โดยเฉพาะที่คางมีรังผึ้งยาวกว่า 1 เมตร ทำให้ชาวบ้านฮือฮา และเชื่อว่าเป็นสิริมงคล แก่บ้านเมือง มีชาวบ้านนำเลข พ.ศ.ที่สร้างรูปหลวงปู่มั่น คือ 2553 และวัดสร้างเมื่อพ.ศ.2472 ไปซื้อลอตเตอรี่ ปรากฏว่าเคยออกเลขท้ายสองตัวล่าง 35 ส่วนตนซื้อลอตเตอรี่ไว้ถูกไปหนึ่งใบ นำเงินทั้งหมดไปทำบุญแล้ว ครั้งนี้ชาวบ้านเชื่อกันว่า ผึ้งที่มาทำรังน่าจะให้โชคลาภอีก จึงนำอายุของเจ้าอาวาส และพ.ศ.สร้างวัดไปซื้อลอตเตอรี่

    [​IMG]

    ด้านพระราชญาณมุนี (หลวงปู่บุญมี) อายุ 86 ปี เจ้าอาวาสวัดป่าประชานิยมกล่าวว่า เรื่องหวยนั้นทางวัดไม่ได้ส่งเสริมให้ไปชื้อ ต้องบอกว่าการพนันทุกชนิดเป็นสิ่งไม่ดี เป็นทางไปสู่ความฉิบหาย อยากให้หันมาทำสิ่งดีงามกันดีกว่า อย่าไปหลงกับสิ่งเหล่านั้น



    ที่นี่ไม่เคยบอกใบ้ให้หวย หากมาวัดเพื่อหวังอย่างนั้นไม่ดี มาวัดขอให้ทำแต่สิ่งดีงาม ชีวิตก็จะเจริญรุ่งเรือง เรื่องใครจะชื้อจะเล่นทางวัดไม่ขอยุ่ง ทุกอย่างอยู่ที่บุญ และกรรมเท่านั้น ไม่ส่งเสริมให้เล่นการพนัน การจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นเรื่องของแต่ละคน มาวัดขอให้มาทำบุญอย่าหลงงมงายกับเรื่องการพนัน



    “วัดเปิดให้ประชาชนเข้ามากราบไหว้ ได้ทุกวัน ทุกเวลา ไม่เคยปิด ขนาดไม่มีประตู ไม่มีรั้วและไม่ได้ปิดประตู คนทุกวันนี้ยังไม่อยากเข้าวัด “หลวงปู่บุญมีกล่าว

    [​IMG]

    ข่าวจาก www.khaosod.co.th
     
  2. Tom & Jerry

    Tom & Jerry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    294
    ค่าพลัง:
    +536
    ไปสกลฯ ครั้งหน้า จะเข้าไปกราบและทำบุญค่ะ
     
  3. navycom33

    navycom33 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    676
    ค่าพลัง:
    +6,732
    ข้อมูลจาก Youtube

    <iframe width="500" height="375" src="//www.youtube.com/embed/YfH-fQw_onY" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  4. sirigul

    sirigul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +2,515
    แหม..พระสงฆ์ในรูปนี่ไม่สำรวมเลย จะชี้รูปท่านก็ใช้มือก็พอ นี่ชี้ด้วยไม้กวาด ยังไงท่านก็เป็นพระอริยเจ้า เป็นที่เคารพของมวลชน ต่อไปช่วยระวังด้วย
     
  5. Piagk3

    Piagk3 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    606
    ค่าพลัง:
    +1,223
    บ่องตง ไม่อยากเห็นชาวพุทธ หลงทาง เดินทางผิด เมื่อเกิดมา ไดัอัตภาพเป็นมนุษย์ ศาสนาคำสอนของพระพุทธเจ้าก็มีอยู่ แต่ไปปฏิบัติผิด ก็เท่ากับเกิดมาสูญเปล่า
     
  6. daowdeaw

    daowdeaw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2013
    โพสต์:
    537
    ค่าพลัง:
    +1,558
    หลักพุทธศาสนาสอนไม่ให้เชื่อในเรื่องงมงาย เรื่องงมงายก็คือเรื่องที่ขาดเหตุผล และขาดความจริงมารองรับ อย่างเช่นเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือผู้วิเศษ เป็นต้น ซึ่งอย่างดีก็เพียงทำให้สบายใจขึ้นมาหน่อยเท่านั้น แต่พอจะเอาจริงก็พึ่งพาอะไรไม่ได้ มีแต่จะทำให้โง่ยิ่งขึ้นและเสียทรัพย์มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งเรื่องเหล่านี้พุทธศาสนาไม่สอนให้เชื่อ ไม่ว่ามันจะมีจริงหรือไม่ก็ตาม การเชื่อตนเองและพึ่งตนเองจึงเป็นสิ่งดีที่สุด
     
  7. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,828
    มัวแต่ตำหนิกรรมผู้อื่นไม่ดูใจตัวเอง

    คนเค้าได้ไปทำบุญ ได้ไปเข้าวัด กราบไหว้บูชา

    ได้บุญ กุศลกรรม


    ก็ยังดีกว่า พวกที่อยู่เฉยๆ ดูหนังเกาหลี เที่ยวเล่น ต่างๆนาๆ แล้วคอยแต่จับผิดผู้อื่น
     
  8. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,828
    <center> [FONT=&quot][FONT=&quot]อย่าตำหนิกรรมของผู้อื่น[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot][FONT=&quot](โ ด ย ส ม เ ด็ จ อ ง ค์ ป ฐ ม) [/FONT] [/FONT]
    </center> <center>[​IMG]</center>
    [FONT=&quot] ทรงเมตตาสอนไว้เมื่อ ๒๗ กันยายน ๒๕๓๕ พิจารณาแล้วเห็นว่ามีประโยชน์มากสำหรับผู้ที่อ่าน แล้วนำไปปฏิบัติให้เกิดผล มีความสำคัญโดยย่อดังนี้[/FONT][FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot] ในวันนี้ข้าพเจ้าและเพื่อนผู้ปฏิบัติธรรม มองเห็นชายคนหนึ่งที่แพเลี้ยงปลาของวัด จับปลาสวายตัวใหญ่ (ปลาของวัดเชื่องมาก) ขึ้นมาจากน้ำ ปลาก็ดิ้นจนหลุดจากมือตกน้ำไป เขาก็จับปลาขึ้นมาใหม่ด้วยความสนุกสนาน ในครั้งนี้ปลาดิ้นแล้วตกลงที่พื้นกระดานของแพปลา แล้วจึงตกลงไปในน้ำเมื่อพวกเราเห็นการกระทำ (กรรม) ของเขา ก็เกิดอารมณ์ปฏิฆะ (ไม่พอใจ) พูดขึ้นว่า [/FONT][FONT=&quot]”บ้า” อีกท่านหนึ่งพูดว่า “ทะลึ่ง” ซึ่งเป็นการคิดชั่ว พูดชั่ว (สอบตกในมโนกรรมและวจีกรรมทั้งคู่)[/FONT]
    [FONT=&quot] สมเด็จองค์ปฐมทรงเมตตาตรัสสอนว่า (เพื่อสะดวกในการจดจำ แล้วนำไปปฏิบัติต่อ ขอเขียนเป็นข้อๆ) ดังนี้[/FONT]
    [FONT=&quot] ๑. "เหตุที่จิตมีอุปาทาน ยึดเอากรรมของผู้อื่นมาใส่จิตของเรา จึงกล่าวเป็นวจีกรรมหลุดออกไป เพราะเหตุไม่รู้เท่าทันอารมณ์ของจิต ที่ยึดเอาอุปาทานนั้นๆ(บุรุษผู้สร้างกรรมกับปลา) ถ้าไม่ใช่อดีตกรรมส่งผลให้เขาทำกับปลา กล่าวคือ ถ้าไม่ใช่ปลาเคยเป็นคนมาแล้ว จับคนที่เป็นปลาอยู่อย่างนี้แล้ว กรรมนี้ก็เป็นกรรมปัจจุบัน คือ มีอารมณ์ฟุ้งซ่านเหลวไหล เห็นสิ่งที่ไม่เป็นสาระว่าเป็นสาระ มีอารมณ์สนุกไปกับการเบียดเบียนปลา จึงสร้างกรรมนี้ให้เกิดขึ้น ซึ่งกรรมนี้เมื่อลุล่วงไปแล้ว ก็เป็นกายกรรมอันส่งผลให้เกิดกรรมในอนาคตได้ กล่าวคือจะต้องมีชาติหนึ่งในต่อไปข้างหน้า บุรุษนี้ก็จะเกิดมาเป็นปลาสวาย และปลานั้นกลับชาติมาเกิดเป็นคนจับเงี่ยงปลาชูให้ดิ้นรน จนกระทั่งตกลงกระแทกแพอีก นี่คือกรรมภายนอก แต่เจ้าทั้งสองเอามาเป็นกรรมภายใน สร้างวจีกรรมให้เกิด เท่ากับเห็นคนผิด เห็นปลาถูก จึงไปตำหนิกรรมอยู่อย่างนั้น วจีกรรมคือนินทากับสรรเสริญนั่นเอง[/FONT]
    [FONT=&quot] ๒. "[/FONT][FONT=&quot]ถ้าจิตยังละการตำหนิกรรมไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นมโนกรรมหรือวจีกรรม ก็เท่ากับสร้างผลกรรมให้ต่อเนื่องกันไป ในการตำหนิกรรมไม่รู้จักสิ้นสุด ในเมื่อโลกนี้มันเป็นวัฏจักรอยู่อย่างนี้ ผิดถูกในโลกนี้ไม่มี มันมีแต่กรรมล้วนๆ [/FONT]
    [FONT=&quot] ๓. [/FONT][FONT=&quot]"ในเมื่อเจ้าทั้งสองตำหนิกรรมอย่างนี้แล้ว พอไปชาติหน้าก็ประสบมาเป็นคน จากคนที่เป็นปลาก็ต้องมาตำหนิกรรมอีก เมื่อมัวแต่ตำหนิธรรมหรือกรรมของผู้อื่น อันสืบเนื่องเป็นสันตติประดุจกงกำกงเกวียน หมุนเวียนต่อเนื่องกันไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แล้วพวกเจ้าจะเอาชาติไหนมาตัดสินว่าใครผิด-ใครถูก โลกทั้งโลกมันเป็นอยู่อย่างนี้ เพราะกิเลส-ตัณหา-อุปาทาน-อกุศลกรรมเป็นเหตุ ทำให้จิตของคนกระทำกรรมให้เกิดแก่มโน-วจีและกายได้อยู่เป็นอาจิณ[/FONT]
    [FONT=&quot] ๔. "[/FONT][FONT=&quot]เจ้าต้องการพ้นกรรม ก็จงหมั่นปล่อยวาง มองเห็นเหตุแห่งกรรม อะไรจักเกิดก็ต้องคิดว่า กรรมใครกรรมมัน รู้สันตติของกฎแห่งกรรมว่ามันเป็นอย่างนี้ ถ้าเขาไม่ทำกรรมกันมาก่อน กรรมนี้ก็จักไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นมาได้ ตถาคตจึงได้ตรัสยืนยันว่า กรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เมื่อเรารู้เหตุก็จงดับที่เหตุแห่งกรรมนั้น จงอย่ามองว่าใครผิดใครถูก กรรมถ้าไม่ใช่เขาก่อขึ้นเอง มันก็เกิดขึ้นไม่ได้เองหรอก” [/FONT]
    [FONT=&quot] ๕. [/FONT][FONT=&quot]"เมื่อพวกเจ้าเข้าใจดีแล้ว [/FONT][FONT=&quot]ก็จงหมั่นทำจิตให้พ้นจากการตำหนิธรรมเถิด ค่อยๆวางค่อยๆทำ กายกรรม-วจีกรรม-มโนกรรม ก็จะละเอียดขึ้นตามลำดับ กำหนดจิตให้ตั้งมั่นอยู่ในวิมุติธรรม ทำอารมณ์สังขารุเบกขาญาณ ยอมรับนับถือกฎของกรรมให้เกิดขึ้นในจิต ทำบ่อยๆเข้ามรรคผลก็จะปรากฏขึ้นเอง อย่าละความเพียรเสีย กระทบเท่าไหร่-เมื่อไหร่-ที่ไหนก็ต้องรู้ อย่าตำหนิธรรมให้เกิดขึ้นกับจิต เห็นกรรมที่เป็นสภาวะอย่างนี้อยู่ให้ชัดเจนอยู่ตลอดเวลาอยู่กับจิต ผู้ไม่รู้ย่อมกอปรกรรมให้เกิดด้วยจิตอุปาทานในกรรมนั้น ๆ กรรมใครกรรมมัน พวกเจ้าอย่าไปเกาะยึดเอากรรมนั้นๆมาตำหนิดีเลว เพราะเท่ากับว่ามีอุปาทานเห็นกรรมนั้น ๆ ว่าดี-เลว เมื่อจิตมีอุปาทานตำหนิดี-เลวจนเป็นมโนกรรม แล้วยับยั้งไม่อยู่ ก็ออกปากตำหนิดี-เลว จนเป็นวจีกรรมอีก[/FONT][FONT=&quot][FONT=&quot][/FONT] [/FONT]
    [FONT=&quot] ๖. [/FONT][FONT=&quot]"ถ้าบุคคลไม่รู้อุปาทานนี้ ทำกรรมโดยลงแพไปต่อว่าต่อขานคนที่จับปลาเข้า ถ้ายังอารมณ์ปฏิฆะให้เกิด ก็จะทะเลาะกัน ดีไม่ดีก็จักทำร้ายร่างกายกัน จนเป็นกายกรรมสืบเนื่องต่อกันไปได้ ดังมีตัวอย่างมามากมาย คนอื่นเขาทะเลาะกัน สร้างกรรมกัน คนนอกเข้าไปสอดแทรก เป็นกรรมการห้ามปราม คู่กรณีไม่ยอมฟังเกิดอารมณ์โทสะขึ้นหน้า ลงมือทำร้ายกรรมการเสียจนตายไปด้วยความหมั่นไส้ เพราะฉะนั้น เมื่อพวกเจ้าปรารถนามรรคผลนิพพาน ก็ไม่ควรต่อกรรมกันไปอีก ยุติการตำหนิกรรมลงเสียให้ได้ ไม่ว่าจักเป็นกายกรรม-วจีกรรม-มโนกรรม ก็ต้องยุติลง ใช้ศีล-สมาธิ-ปัญญาอันเกิดแก่จิต พิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริงในสันตติวงล้อวัฏจักรกรรมว่ามันเป็นอยู่อย่างนี้เอง พยายามทำจิตให้ยอมรับกฎของกรรมโทษของกรรมไม่ว่าดีหรือเลวนั้นไม่มี เห็นแต่กงกำกงเกวียนหมุนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด จงยอมรับกฎของกรรมซึ่งยุติธรรมที่สุด ใครทำใครได้ อย่าไปมีหุ้นส่วนกรรมกับใครๆเขาโดยการตำหนิกรรมเป็นอันขาด จำไว้นะ[/FONT]
    [FONT=&quot] ขอยกตัวอย่างอารมณ์ที่สอบตกสัก ๒ เรื่อง[/FONT][FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot] เรื่องแรก...มีความโดยย่อว่า มีคนมาเล่าให้ฟังว่า หญิงแก่คนหนึ่งว่าจ้างรถจากในเมืองให้มาส่งที่วัดท่าซุงในราคา ๕๐ บาท พอรถมาส่งที่วัด หญิงแก่กลับให้ค่ารถเพียง ๑๐ บาท บอกว่าฉันมีแค่นี้จะเอาหรือไม่เอา คนรถก็ตำหนิหญิงคนนั้นว่า อะไรกัน คนมาปฏิบัติธรรมที่วัดใหญ่โต แต่ไม่มีสัจจะ พอได้ยินเขาเล่าเพียงแค่นี้ จิตก็ปรุงแต่งตำหนิหญิงแก่นั้นเสียยืดยาว คือ ร่วมวงนินทาปสังสากับผู้เล่าเสียเพลิน กว่าจะรู้ตัวว่าสอบตก ผิดทั้งมโนกรรมและวจีกรรม ก็ว่าไปครบสูตรแล้ว จึงต้องขอขมาพระรัตนตรัย[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] เรื่องที่ ๒ คือ ตัวของข้าพเจ้าเอง พอขอขมาพระรัตนตรัยเรื่องการตำหนิกรรมของบุรุษผู้สร้างกรรมกับปลาแล้ว ตาก็เห็นหนังสือพิมพ์พาดหัวโต ๆ ว่า เมืองไทยมีคดีฆ่าคนตายมากเป็นอันดับ ๒ ของโลก จิตก็ตำหนิกรรมทันทีว่าไม่จริง เป็นอุปาทานของนักข่าวเอง เพราะประเทศอื่นๆอีกหลายประเทศที่มีคดีฆ่าคนมากกว่าเรา แต่หนังสือพิมพ์เขาไม่ประโคมข่าวในหนังสือพิมพ์หน้าแรกเหมือนเมืองไทย เมืองไทยชอบประโคมข่าวชั่วร้ายข่าวไม่ดีในหน้าแรกตัวโตๆ ชอบขายข่าวบนความทุกข์ของชาวบ้าน ว่าเสียยาวกว่าจะรู้ตัวว่าสอบตก ผลก็คือต้องขอขมาพระรัตนตรัยอีกครั้ง[/FONT]
    [FONT=&quot] : หมายเหตุ[/FONT]
    [FONT=&quot] นี่คือตัวอย่างเมื่อ ๑๕ ปีที่แล้ว ผู้อ่านพระธรรมบทนี้แล้วหากหวังก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม เมื่อรู้ตัวเองว่าผิดก็ควรจะละอายแก่ใจ (มีเทวธรรมหรือหิริ - โอตตัปปะ) ให้ขอขมาพระรัตนตรัยทุกครั้งจนเป็นนิสัย [/FONT]
    [FONT=&quot] ผมขออาราธนาบารมีคุณพระศรีรัตนตรัยเป็นที่ตั้ง ขอให้ผู้อ่านด้วยความศรัทธาทุกท่าน จงโชคดีในธรรมที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ ในชาติปัจจุบันนี้[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]<center>รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน</center>[/FONT]
    [FONT=&quot]กลับหน้าหลัก[/FONT]
     
  9. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,828
    มัวแต่ไปยึดติด ตำหนิ เพ่งโทษผู้อื่นแบบนี้ หึๆ ^^

    กฏแห่งกรรม ทำกรรมอะไรไว้ ย่อมได้รับผลกรรมนั้น

    .
     
  10. sirigul

    sirigul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +2,515
    นี่ไม่ใช่เพ่งโทษนะเจ้าคะคุณ Saber เจ้าขา แต่ไม่บอกกล่าวหรือพูดในสิ่งที่ควรพูด อีกหน่อยคงมีคนยกรองเท้าแล้วชี้ไปที่สิ่งศักดื์ ที่เป็นที่เคารพของมวลชน มันจะไม่ดีนะเจ้าคะ นี่บางทีอาจจะมีน้องๆเด็กเล็กเข้ามาอ่านก็ได้ แล้วเอาเป็นแบบอย่างมันก็ไม่ดีแน่ จริงๆแล้วท่านเป็นพระก็น่าจะรู้อะไรควรไม่ควร เมื่อตอนไปกราบพระบาทสี่รอย เห็นพระท่านดูหนุ่มๆหน่อยมากันหลายองค์ มาจากวัดอื่น เหมือนมากราบพระบาทเหมือนประชาชนทั่วไป แต่ที่ไม่เหมือนคือ ดันปืนเข้าไปในพระบาทดูแล้วกำลังตักน้ำมนต์ซึ่งก็ไม่น่าจะมี เห็นแล้วแทบลมใส่ ต้องเบือนหน้าหนี ท่านมีสิทธ์ไรถึงได้ขึ้นไป เหยียบพระบาทสี่รอยนั้น ชาวบ้านเค้าเคารพศรัทธา นี่ไม่พูดอีกหน่อยคงมีพระหรือชาวบ้านปืนขึ้นไปเก็บเหรียญตักน้ำมนต์กันให้วุ่นแน่ พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เราไม่คัดค้านหรอก แต่เราก็ต้องทำเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนาบ้าง ใช่ว่าทุกคนจะมีธรรม และรู้ไรควรมิควรกันทุกคนซะเมื่อไหร่ ขาดสติก็มีถมไป
     

แชร์หน้านี้

Loading...