อ่าน ลังกาวตาลสูตรข้อ๑ แล้วไม่กล้าทานเนื้อสัตว์เลยอ่ะ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย maknum, 27 กรกฎาคม 2010.

แท็ก: แก้ไข
  1. maknum

    maknum Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +56
    pity_pig เป็นบทความที่นำมาให้อ่านเป็นบางส่วนนะค่ะ
    ที่มาของเนื้อหาจากเว็ป
    HTML:
    http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:iQipDQwXACMJ:www.calintertrade.co.th/F_tinfoor/text3.html+%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B8%B0&cd=5&hl=th&ct=clnk&gl=th
    จากประเด็นที่มีข้อคลางแคลงใจกันอยู่โดยทั่วไปว่าพระพุทธองค์ฉันเนื้อหมู ที่นายจุณฑะนำมาถวายจนประชวรสิ้นพระชนม์ ซึ่งแท้จริงท่านฉันเห็ดชนิดหนึ่งที่หมูชอบกินมีชื่อว่า สุกรมัทวะ ท่านพระครูได้ปรารภว่า
    คัมภีร์ทางหินยานที่เกี่ยวกับคำสอนของพระพุทธองค์ในข้อการทานเนื้อสัตว์ได้ถูกตัดทอนหายไปและ
    ขอให้ช่วยกันค้นหาว่ามีคัมภีร์ใดมีข้อมูลเหล่านี้ ต่อประเด็นนี้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสอ่านหนังสือลังกาวตาลสูตรซึ่งท่านพุทธทาสแปลไว้จากคำเทศนาของพระพุทธองค์
    เมื่อครั้งเสด็จไปประเทศลังกา ในหนังสือเล่มนี้บ่งว่า คำตรัสของพระพุทธองค์ในข้อการให้ละเนื้อสัตว์มีอยู่ในหลายคัมภีร์และ
    ในคัมภีร์และในคัมภีร์ลังกาวตาลสูตรภาคที่ ๘ เป็นส่วนที่ปรากฏรายละเอียด ดังข้าพเจ้าขอคัดมาศึกษาร่วมกับท่านบางส่วนดังนี้



    ลังกาวตาลสูตร

    ๑)โอม มหาบัณฑิต ในวัฏสงสารอันไม่มีใครทราบในที่สุด ในเบื้องต้นนี้สัตว์ผู้มีชีพว่ายเวียนในการเกิดอีก ตายอีก
    ไม่มีสัตว์แม้แต่ตัวเดียว ที่ในบางสมัย ไม่เคยเป็นแม่ พ่อ พี่น้องชาย พี่น้องหญิง ลูกชาย ลูกหญิง หรือเครือญาติอย่างอื่นๆ แก่กัน สัตว์ตัวเดียวกัน ย่อมถือปฏิสนธิในภพต่าง ๆ เป็นสัตว์สี่เท้า สัตว์สองเท้าเป็นนก ซึ่งนับได้ว่าเป็นเครือญาติของเราโดยตรง สัตว์เหล่านี้ ทั้งหมดเป็นภราดรของตน แล้วจะเชือดเถือเนื้อหนังของเขาอีกหรือ


    ๒)เนื้อย่อมเกิดจากเลือดและน้ำอสุจิ เป็นสิ่งไม่ควรบริโภคสำหรับสาวกแห่งพระพุทธศาสนาผู้ประสงค์ต่อความสะอาดบริสุทธิ์
    (เพื่อหลุดพ้นทุกข์ทางจิตใจ) สัตบุรุษย่อมบริโภคเฉพาะอาหารที่สมควรแด่ท่านผู้บริสุทธิ์ ไม่ยอมบริโภคเนื้อละเอียด เพราะฉะนั้นควรที่สาวกแห่งพระพุทธศาสนา จะต้องไม่บริโภคเนื้อสัตว์เลย

    ๓)โอ,มหาบัณฑิต ก็ในปัจจุบันชาติ เขาเหล่านั้นซึ่งเคยชินในการกินเนื้อสัตว์ ย่อมเป็นผู้ละโมบในการกิน ครั้นถึงอนาคตชาติหน้า เพราะอำนาจจิตติดฝังแน่นในการอยากกินเนื้อ เขาย่อมตกไปสู่กำเนิดแห่งสัตว์ที่กินเนื้อเป็นอาหาร เช่น สิงโต เสือ สุนัขป่า สุนัขไน แมว สุนัขจิ้งจอก ฯลฯ

    ๔)โอ,มหาบัณฑิต ในกรณีแห่งอาการที่เราได้บัญญัติแก่สาวกนั้น มิใช่เนื้อชนิดใดชนิดหนึ่งเลย ซึ่งเป็นของควรกิน ในอนาคตกาล
    ในหมู่สงฆ์ของเรา จะเกิดมีบางคนซึ่งสมาทานข้อปฏิบัติแห่งบรรพชิต ผู้กำลังครองผ้ากาสาวพัสตร์ จะเป็นผู้มัวเมาและประกอบตน คลุกเคล้าอยู่ในความเพลิดเพลิน เขาเหล่านั้นจะเรียบเรียงคัมภีร์ให้มีข้อความเท็จอันจะเป็นเครื่องยืนยันและโต้แย้งอย่างเพียงพอ
    สำหรับการกินเนื้อสัตว์กัน เขาจะบัญญัติสิ่งที่ตถาคตมิได้บัญญัติไว้ เขาจะกล่าวข้อความที่ส่งเสริมการกินเนื้อสัตว์และพระภควันต์
    ก็ทรงเสวยเนื้อสัตว์โดยพระองค์เอง
    ที่กล่าวไปนั้นเป็นส่วนของพระสงฆ์ ที่เกี่ยวกับฆราวาสมีดังนี้


    ๕)เขาผู้ฆ่าสัตว์ใดๆ ก็ตามเพื่อเงิน และเขาผู้ซึ่งจ่ายเงินซื้อเนื้อนั้นทั้งสองพวกชื่อว่าเป็นผู้ประกอบอกุศลกรรมและจักจบลงในนรก
    ๖)ทรงตรัสกับพญานาคว่า บุคคลใดหยุดการฆ่าสัตว์ และงดการเสพเลือดเนื้อสัตว์ อีกทั้งชี้นำส่งเสริมในหมู่ชนทั้งหลายให้หยุดฆ่า

    หยุดเสพชีวิตเลือดเนื้อผู้อื่นบุคคลนั้นย่อมห่างไกลจากกุศลทั้งปวง และบริบูรณ์พร้อมด้วยอานิสงส์ ๑๐ ประการ
    เมื่อพิจารณาคำของพระพุทธองค์ ตรงที่ว่าถ้าตัวเองไม่เสพเนื้อและยังชักนำส่งเสริมให้ชนหมู่อื่นไม่เสพ จะห่างไกลจากอกุศล
    อีกความหมายก็คือเราไม่ได้ทำอกุศลพูดเพ้อเจ้อ พูดส่อเสียด มโนกรรม ๓ คือละโมบ พยาบาท ผิดทำนองคลองธรรม ทำไมเพียงไม่นานเนื้อสัตว์ถึงจะละอกุศลทั้ง ๑๐ ประการได้ พระพุทธองค์ก็ได้ตรัสต่อไว้แล้วว่าการไม่ทานเนื้อจะได้อานิสงส์ ๑๐ ประการ ซึ่งช่วยส่งเสริมให้บุคคลสามารถปฏิบัติการละอกุศลได้ง่ายขึ้น การไม่ทำอกุศลกรรม ๑๐ ก็คือการปฏิบัติมรรค ๘ ไปในตัว คือ เรามีความเห็นชอบ เป็นผู้นำของความคิด วาจา การกระทำ และการเลี้ยงชีพที่ถูกต้อง นั่นก็คือมรรค ที่ ๑ – ๕ ซึ่งตรงกับศีล และถ้าเรามีความเพียร มีสติ มีจิตใจจดจ่อตั้งมั่น เข้าไปช่วยส่งเสริม คือ มรรค ๖ – ๘ เป็นเรื่องของสมาธินำสู่ปัญญา จะเห็นได้ว่าการละอกุศล ๑๐ ได้ก็คือเรื่องที่ท่านพระอาจารย์มหาเวียง ฌาณนันโท แห่งวัดอุโมงค์ จังหวัดเชียงใหม่ อุปมาอุปมัยว่า วิ่ง
    Super Highway 8 lanes เข้าสู่ทางสายกลางคือ มัชฌิมาปฏิปทาและตรงนี้เราได้ปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา
    หรือไตรสิกขา แล้วนั่นเอง


    การเว้นไม่ทานเนื้อสัตว์ จะทำให้เราปฏิบัติธรรมได้ง่ายขึ้น เพราะเราได้รับอานิสงส์ ๑๐ ประการ ดังที่พระพุทธองค์ตรัสคือ
    ๑.เป็นที่รักของ เทพ พรหม มนุษย์ สัตว์
    ๒.บังเกิดจิตมหาเมตตา
    ๓.ดับอารมณ์ แค้น อาฆาต โหดเหี้ยม
    ๔.ปราศจากโรคภัย
    ๕.มีอายุยืน
    ๖.วัชรเทพทั้งแปดทิศปกปักรักษา
    ๗.นิมิตเห็นแต่สิ่งเป็นศิริมงคล
    ๘.ระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้น
    ๙.ไม่ตกสู่อบายภูมิ
    ๑๐.เมื่อจะสังขาร จิตญาณมุ่งสู่สุคติภพ
    ;aa19อ่านในข้อที่๑)แค่ข้อเดียวก็ไม่กล้าทานเนื้อสัตว์แล้วอ่ะ
    เพราะกลัวว่าจะทานไปเจอญาติพี่น้องตัวเองเมื่อหลายๆชาติปางค์ก่อนอ่ะ:':)':)'(
     
  2. ลุงมหา

    ลุงมหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,092
    เชิญพิจรณาธรรมจากหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ประกอบด้วยนะครับ

    ขออนุญาติครับ
    ได้ยินญาติธรรมพูดเรื่อง กินเจบ้าง มังสวิรัตน์บ้าง ผมก็เลยสงสัยเพราะท่านอาจารย์ของผมจริงๆ ท่านก็สอนแค่ว่า ให้หลีกเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์ใหญ่เท่านั้น
    เมื่อครั้งที่ญาติธรรมชาวกรุงเทพ ดั้นด้นไปกราบนมัสการ ท่านอาจารย์ปู่ทวด หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เป็นคันรถบัสนั้น ได้กราบเรียนท่านว่า "ที่มากันทั้งคณะนี้ล้วนทานมังสะวิรัตทั้งหมด" ท่านอาจารย์ปู่ทวดก็ตอบตามแบบของท่านว่า "ผมไม่ใช่วัวใช่ควาย ผมจะไปกินผัก กินหญ้า ทำไม?"
    แม้กาลต่อมาท่านอาจารย์ปู่ หลวงปู่มหาบัว ญาณสัมปัญโณ ก็มักตอบขยายความข้อนี้อยู่บ่อยๆว่า "ผมเป็นลูกศิษย์ พระพุทธเจ้า ไม่ใช่ ลูกศิษย์เทวะทัต"
    เพราะว่าการให้พระฉันท์ได้เฉพาะผักนี้ พระเทวะทัต เคยทูลขอพระพุทธองค์ เป็น 1 ใน 5 ข้อที่ทูลขอพระพุทธองค์ให้บัญญัติเป็นพระวินัย แต่พระพุทธองค์ก็ไม่ทรงอนุญาติ ด้วยเหตุผลว่า พระนั้นต้องขอบิณฑบาตรข้าวจากชาวบ้าน ไม่ควรไปเรียกร้องให้เขาเดือดร้อนเพิ่มขึ้นอีก
    ในความเห็นของผมใครอยากกินก็กินไปเถอะครับ แต่คำสอนของพระพุทธองค์ก็ดี ของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ก็ดี เราจะละเลยได้หรือ
    ฝากเอาไว้พิจรณาประกอบด้วยนะครับ
    ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ
    ลุงมหา
     
  3. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,166
    ทำด้วยสิ่งใดเป็นเหตุ ย่อมรับผลจากสิ่งนั้น
    ทำด้วยเมตตาจิตเป็นเหตุ ย่อมได้รับเมตตาบารมี
    ทำด้วยปัญญา ย่อมได้รับปัญญาบารมี
    อนุโมทนาในกุศลจิตครับ
     
  4. กิดากร

    กิดากร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    268
    ค่าพลัง:
    +1,047
    พิจารณาจาก rep บนแล้วขอแสดงความเห็นครั้งแรกในรอบปี เอิก ๆ

    เมื่อพิจารณาด้วยปัญญา (ของผมเท่านั้น)
    - เห็นด้วยกับการไม่กินเนื้อสัตว์ครับ แต่ผมก็ยังกินอยู่ แต่ถ้ามีมังสวิรัตให้เลือกกิน ผมก็จะไม่กินเนื้อสัตว์ เพราะเมื่อตอนเด็ก ๆ ผมเป็นคนใจคอโหดร้าย สัตว์ทุกตัวที่ผมเลี้ยง ตายหมด ไม่มีตัวไหนรอดเลย ลูกแมวผมก็บีปคอมันจนมันเยี่ยวแตกเลย ผมเห็นมดมันมาแย่งอาหารผมกินก็รู้สึกไม่พอใจ เหมือนเป็นศัตรูกันมาหลายชาติ ต้องฆ่าสถานเดียว ฯลฯ แล้วตอนนี้ล่ะ กรรมชั่วที่มันฝังจิตใจของผมมันน้อยลงกว่าเมื่อก่อนมากเพราะ กรรมฐานตัวเดียวเท่านั้นเอง ที่ทำให้เกิดปัญญามากขึ้นและทำให้จิตใจของเราอ่อนโยนลง มีเมตตามากขึ้น

    -แล้วปัญญาที่เกิดมันทำให้มองเห็นอะไร ก็มองเห็นว่าเราเบียดเบียนเค้าน่ะ จะทางตรงหรือทางอ้อมมันก็ทำให้เกิดความรู้สึกที่...... มันบอกไม่ถูก รู้แต่เพียงว่าเราแค่โดนมดกัน มีดบาท เรายังร้อยโอ้ยเลย แต่นั้นเป็นการฆ่าเพื่ออะไรก็ตาม แต่กว่าเค้าจะตายมันเจ็บกว่าที่เราเจ็บมาก ไม่มีมนุษย์หน้าไหนถ้าไม่โดนเชือดมันไม่รู้หรอกว่าเจ็บแค่ไหน น้ำตาเราไหลได้เพราะอะไร แล้วน้ำตาของสัตว์ที่มันไหลเพราะรู้ตัวว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตมันน่ะ คนไม่ใกล้ความตายไม่มีวันได้รู้หรอก ผมเคยเกือบตายมาแล้ว คุณรู้ไหมว่า 1 วินาทีที่เรารู้ว่าตัวเองจะต้องตาย มันมีความคิดเกิดขึ้นมาในสมองเยอะแค่ไหน ความคิดความรู้สึกที่เกิดขึ้นเพียง 1 วินาที ที่รู้ว่า เห้อ วันนี้มันจะต้องเป็นวันสุดท้ายของเราแล้วเหรอ แล้วเราต้องมาตายอย่างนี้เหรอน่ะ มันเป็นอะไรที่น่าเศร้าสลดขนาดไหน แน่นอนคุณไม่มีวันรู้จนกว่าคุณจะได้ใกล้ตาย

    -แล้วเมื่อพิจารณาเกี่ยวกับคำสอนของครูล่ะ ก็ในเมื่อพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้กินมังสาวิรัต นิ แล้วมันผิดเหรอ คุณก็ดูที่เจตนาของผู้สอนสิ พระองค์บอกให้กินแล้วก็แผ่เมตตาให้เค้านิ ถ้าพระไม่กินแล้วใครจะแผ่เมตตาให้เค้า เป็นความฉลาดของพระพุทธองค์นิ แล้วก็อีกหลายเหตุผล แต่ถ้าเลี่ยงที่จะไม่กินได้ก็ดีไม่ใช่เหรอสำหรับฆราวาส ถ้าฆราวาสไม่กินแล้วพระจะเอาเนื้อมาจากไหน จริงไหม ก็แค่นี้เองไม่เห็นจะต้องคิดยากเลย

    -ทุกวันนี้ผมนะ เห็นมดตัวเดียวมันกำลังจะจมน้ำตายผมก็ช่วย ตัวไหนที่ช่วยไม่ทันมันไหลลงน้ำไปซะก่อนผมจะรู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก คุณรู้ไหมว่าทุกครั้งที่ผมนั่งสมาธิไม่ว่าจะที่ไหน เมื่อไร เวลาใด ถ้ามีจิ๊งจก ตุ๊กแก มันจะต้องร้องทักทุกครั้งไปเมื่อก่อนไม่รู้สึก แต่มันบ่อยจนสังเกตุได้ + กับมีครั้งหนึ่งนั่งสมาธิแล้วเห็นนิมิตเป็นมด 5 ตัว พิจารณาแล้วว่าทั้งชาติที่แล้ว + ชาตินี้ผมทำเค้าไว้เยอะเหมือนกัน + กับอะไรอีกหลาย ๆ อย่างที่เกิดในชีวิต สามารถสรุปรวมได้ว่า กรรมชั่วใด ๆ ขึ้นชื่อว่าชั่ว เลี่ยงได้ก็เลี่ยง เลิกได้ก็เลิก เลิกไม่ได้ก็ทำให้มันน้อยที่สุดอ่ะ เหมือนที่เค้าว่า มีศีลข้อเดียวยังดีกว่าไม่มีเลย จริงไหม..

    ฝากคำคมไว้หน่อย - ความดีคนดีทำง่าย คนชั่วทำยาก ความชั่ว คนชั่วทำง่ายคนดีทำยาก
     
  5. sassyblue

    sassyblue Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +52
    ปัญหาที่คุณมีตอบได้


    การที่พระท่านคิดว่า การฉันเนื้อไม่ผิดบาปอะไรเนื่องมาจากความเป็นจริงมันก็ไม่ผิดบาปมากและพระพุทธองค์ทรงสอนไว้ด้วย ว่าฉันได้ เนื่องงมาจาก ตอนแรก พระเทวทัต คิดไปว่าพระองค์ตั้งกฎมาให้ฉันเนื้อเพราะเห็นแก่ตัวเอง ไม่เห็นแก่ความถูกต้องในกฎของสัจธรรมที่ว่าเราไม่ควรฉันเนื้อ เทวทัตจึงขอเพื่อลองใจพระพุทธองค์ แต่พระพุทธองค์ทรงปฎิเสธเนื่องจากเห็นโทษล่วงหน้าจากการตั้งกฎนี้ คือ หากตั้งกฎว่าภิกษุ ห้ามฉันเนื้อ อนาคตกาลท่านเล็งเห็นว่าจะไม่มีผู้ใดเข้ามาสนใจพระพุทธศาสนาเลยหรือมีแต่น้อยมากเพราะกฎแรกเริ่มนี้เอง พระพุทธองค์จึงอยากให้ทุกคนเข้ามาลองปฎิบัติธรรมก่อนแล้วพระองค์ทรงอยากให่ภิกษุเห็นโทษเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ตัดสินใจไม่กินด้วยตัวเอง เข้าใจหลักธรรมด้วยตัวเอง ถ้าหากตั้งเป็นกฎก็เหมือนเราสร้างกำแพงสูงไปทำให้เสียผู้คนที่อนาคตจะบรรลุธรรมไปอีกเยอะ ข้าพเจ้าเปรียบเทียบประมาณว่า
    หากเราตั้งกฎห้ามกินเนื้อจักมีคน10คนบวชโดยไม่ฉันเนื้อสัตว์และบรรลุธรรม กับไม่ตั้งกฎจักมี100คนบวชแต่ฉันเนื้อสัตว์และบรรลุธรรม พระพุทธองค์เลือกข้อสองอยู่แล้ว เพราะพระพุทธองค์ทรงหวังว่า กลุ่ม100คนนั้นจะเข้าใจเรื่องการไม่ควรฉันเนื้อหลังบรรลุธรรม
    dannce_dannce_rabbit_run_away:z6:z6:z6rabbit_run_awaydannce_dannce_
     

แชร์หน้านี้

Loading...