อุปมาแห่งชีวิต

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย wisarn, 15 เมษายน 2010.

  1. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    741
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,505
    อุปมาแห่งชีวิต
    ธรรมบรรยายโดย เขมานันทภิกขุ
    แสดงแก่คณาจารย์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิ โรฒ บางเขน
    [FONT=&quot]๒๕ กันยายน ๒๕๑๘[/FONT]
    [​IMG]
    ท่านรองอธิการบดี ท่านคณาจารย์ และนักศึกษาผู้สนใจในธรรมบรรยายทั้งหลาย
    จำเดิมตั้งแต่เราเกิดขึ้นมาในโลกนี้ ชีวิตของคนทุกคนจำเป็นจะต้องผ่านเส้นทางของชีวิตอยู่ในตัวมันเอง ไม่มีใครเลยที่จะปฏิเสธชีวิตนี้ได้ สิ่งที่เรียกว่าชีวิตนี้เป็นสิ่งที่คลุมเครือที่สุด ไม่มีอะไรน่าศึกษาเท่าเรื่องราวของชีวิต สถาปนิกผู้ชำนาญงานอย่างยอดเยี่ยม เมื่อเขาเหลือบตาดูอาคาร ก็ย่อมอาจเห็นโครงสร้างตั้งแต่ฐานรากจนถึงจันทันและแป วิศวกรหรือนักสถิติหรือนักเคมีที่ฉลาดในการหาสูตรสมการ อาจที่จะมองทุกสิ่งด้วยวิถีทางของวิชาการของเขา เขาอาจจะเขียนสูตรสมการของวิชานั้น ๆ ออกมาได้ แต่ว่าใครเล่าจะเขียนสูตรและสมการของชีวิตออกมาให้เราเห็น เพราะว่าสิ่งนี้มันไม่เหมือนกับศาสตร์แขนงอื่นๆ ไม่ว่าชีวิตในอดีตกาลนานไกลและชีวิตในปัจจุบัน และชีวิตที่จะมีอีกในอนาคต อีกกี่พันกี่หมื่นปีตัวชีวิตก็จะเป็นตัวปัญหา ซึ่งต้องมองกันไม่ออกเสมอไป เว้นไว้แต่บุคคลจะเริ่มหันมาหาธรรมะเท่านั้น
    หลายท่านกำลังวิตกกังวลว่า พระธรรมจะสาบสูญเสียแล้วทุกวันนี้ ข้อนั้นอย่าไปเข้าใจผิดเป็นอันขาด ข้อที่อาจเห็นไปได้ก็คือ พระสงฆ์อาจจะไม่มีเหลือในโลกนี้ แต่พระธรรมนั้นไม่มีทางที่จะสาบสูญไปได้ เพราะว่าสิ่งที่เรียกว่าพระธรรม คือ เรื่องราวของชีวิต ใครที่ไหนจะปฏิเสธชีวิตได้ ผู้ใดปฏิเสธชีวิต ผู้นั้นปฏิเสธพระธรรม ผู้ใดปฏิเสธพระธรรม ผู้นั้นก็ไร้ชีวิต นั้นเขาประมาทมัวเมา และไม่มีวันพบกับความคลี่คลายแจ่มแจ้งอิสระในชีวิตได้เลย แม้ดูทีท่าภายนอกมีเสรีภาพก็ตาม
    แต่ว่าดู ให้ดีเถิด ในขณะที่ตาเราลืมอยู่ในตอนกลางวันและหลับไปในตอนกลางคืน เรารู้สึกว่าหูเราได้ยินเสียง หรือเราอ่านอะไร ฟังอะไรเข้าใจ ตาเรารู้สึกสว่างไสวในการดูอะไรอย่างชัดเจน แหลมคม ลึกซึ้งในทางวิชาการที่เราร่ำเรียนมา แต่ท่านทั้งหลายพิจารณาดูให้ดีสักหน่อยว่า ทั้งๆ ที่มันสว่างไสวนี่แหละ มันก็ยังมีอะไรคลุม ๆ เครือๆ อยู่ในตัวมันเอง เหมือนกับที่โอมาคัยยัมพูดว่า มาใยในโลกแจ้ง จริงไฉน กูเอย ดู ๆ เหมือนกับแจ้งสว่างไสว ชีวิตนี้ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร แต่ดู ๆ มันคลุมเครือแล้วก็มาทำไมก็ไม่รู้ มันไหลมาอย่างไรก็ไม่รู้ หรือว่าชีวิตนี้มันจริงหรือเท็จก็ไม่รู้ หรือดังที่ดังเต (Dante) เขียนบทประพันธ์ที่ลือชื่อที่รู้จักกันดีคือว่า Divine Comedy มีประโยคหนึ่งว่า ชีวิตที่ข้าพเจ้ามิได้จงใจจะเดินมา คือมันไหลมาๆๆ ดูเหมือนว่าความตายกำลังดูดเข้าไปสู่มัน แล้วจะมีสิ่งที่เรียกว่าชราและความทุกข์ตามไล่ต้อนทุบตีอยู่รอบข้าง มีความเพลินในอารมณ์เป็นเครื่องรึงรัด ชีวิตจึงหลงทางระหกระเหินอยู่ในชีวิตเอง
    นี่คือเรื่องราวของชีวิต เราควรจะมองชีวิตในแง่ของอุปมา เพราะชีวิตในแง่ของเหตุผลนั้น มันเป็นแง่นิดเดียวของมันสมอง ส่วนอุปมานั้นเป็นการมองชีวิตอย่างรวบยอดเบ็ดเสร็จ เป็นการมองชีวิตที่จำเดิมตั้งแต่อุบัติขึ้นมาในโลก ในอดีต ปัจจุบันและในอนาคต เพราะโดยลำพังแล้วไม่มีใครเลยที่จะอาจพยากรณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า แม้แต่ในวินาทีข้างหน้าและไม่มีใครเลยที่จะยึดหน่วงอารมณ์ที่เป็นอดีตเอาไว้ ได้ให้เป็นปัจจุบันหรืออนาคต ด้วยเหตุนั้น เรื่องราวของชีวิตจึงเป็นเรื่องราวที่ค่อนข้างสับสนซับช้อน คลุมเครือ สลับกับความสว่างชนิดตาพร่า จึงหลงให้ค่าในสิ่งที่ไร้ค่า ขณะที่เรากำลังเต้นรำอยู่ในงานบอลล์ ขณะที่เรากำลังหัวเราะร่าเริงอยู่กับเพื่อน ๆ ในงาเราตรีสโมสร แต่ดูให้ดี บางทีขณะที่เรากำลังเต้นรำอยู่อย่างสนุกสนานนั้น เราอาจจะสะดุดความคิดของเราเองขึ้นมาก็ได้ เราอาจจะมีความรู้สึกเศร้าซึมอยู่ลึกๆ ในขณะที่เราเห็นผู้หญิง หรือเพื่อนหญิง เพื่อนชายของเราสวมใส่ไข่มุกที่งดงามและราคาแพง เราอาจจะตีหน้าที่ยิ้มย่องชมเชยเขาว่า แหมสวยเหลือเกิน คุณโชคดีเหลือเกิน แต่ข้างในเราอาจจะกัดกราม หรือรู้สึกมีปมอะไรบางอย่างอยู่ในใจ แล้วเราก็เศร้าซึมรู้อยู่คนเดียวในขณะที่เขากำลังเต้นรำอยู่นั้นเอง แต่ชีวิตนั้นถ้าเรามัวมองไปในรายละเอียดทีละประเด็น เราก็ไม่อาจสานเรื่องทั้งหมดได้ เหมือนคนที่ไปดูเขาสานเสื่อหรือสานตะกร้อ ไปดูเอาช่วงเดียว ไม่อาจทำให้เห็นรูปทรงกลมของตะกร้อนั้นได้ฉันใด ในเรื่องชีวิตก็ฉันนั้น ชีวิตจำเป็นเหลือเกินที่จะดูในแง่อุปมาเท่านั้นจึงจะเห็นโครงร่างทั้งหมด ไม่มีอะไรน่าเรียน ไม่มีอะไรน่าพิจารณาเท่าตัวของชีวิต และรางวัลของมันนั้นไม่มีอะไรเกิน เพราะ สันติสุขต้องเกิดจากมองเห็นในโครงร่างของชีวิตเบ็ดเสร็จไปแต่ต้นมือ เหมือนนายช่างสถาปนิกจะสร้างอาคาร จำเป็นต้องมีหุ่น หรือไม่ก็แบบแปลนที่สำเร็จแล้ว ไม่เช่นนั้นถ้าขืนไปสร้างอาคารที่ปราศจากแบบแปลน ตอหม้อที่ไม่แข็งแรงจะเป็นตัวกำหนดให้อาคารนั้นพังพินาศ มนุษย์ทั่วไปนั้นไม่ค่อยสำนึกถึงเรื่องราวเช่นนี้ เขาจึงต้องโผขึ้นไปในชีวิต แล้ววันหนึ่งเขาก็พบว่าฐานความรู้จักตัวเองของเขาน้อยเกินไป และจึงประสบกับหายนะ แม้ว่าท่าทีของเขาดูประหนึ่งว่าเป็นคนอาจหาญ เขาไม่รู้ว่า ชีวิตนี้ต้องการความกล้าหาญ ชนิดที่มีเหตุผลอยู่ในตัวของมันด้วย ฉะนั้นคนไหนที่เคยขลาดกลัวต่อชีวิต แล้วเป็นเหตุให้เพ่งพินิจ คนนั้นจะกลับเป็นผู้กล้าอย่างแท้จริง ส่วนผู้ใดที่กล้าอย่างหลับหูหลับตา ทำทีเป็นกล้าหาญ ผู้นั้นจะต้องแอบร้องไห้อยู่บ่อยๆ เพราะฉะนั้นเองขอให้อาตมภาพได้ชี้แจงให้ท่านผู้คงแก่เรียนทั้งหลายหรือผู้ ชำนาญงานแขนงพิเศษ ๆ ได้โปรดถอนตนออกมาจากความพิเศษนั้น ขึ้นมาสู่ความรู้ชนิดเป็นสาธารณะ เพื่อว่าสายตาที่ได้ถอนออกมาแล้วนั้นจะได้มองชีวิตให้รอบด้านขึ้นมา
    ประการ แรกที่สุด ชีวิตนี้อุปมาเหมือนกับการค้าขายด้วยเรือสำเภาที่เร่ร่อนไปในท้องทะเล ท่องเที่ยวไปในมหาสมุทรแห่งชีวิต บรรทุกสินค้าเพื่อไปค้าขายตามเกาะแก่ง หรือประเทศเล็กประเทศน้อย ได้กำไรและขาดทุนสลับกันเรื่อยไป เมื่อมันมีกำไรมากกว่าขาดทุน นายวานิชผู้นั้นก็ยังคงชื่นชมยินดี ทะเยอทะยานในการค้าหากำไรเรื่อยไป แต่ถ้าจะมีสักหนหนึ่งที่เรือนั้นเกิดสะดุด หรือไปชนกับหินโสโครกเข้า อันเป็นเหตุให้เรืออับปางลง นายเรือจำเป็นต้องสละเรือ ความรู้สึกที่จะหน่วงเอากำไรและกลัวต่อความขาดทุนนั้นก็สิ้นสุดลง ชีวิตคงเหลือเพียงประการเดียว คือความปรารถนาให้รอดพ้นจากความตาย พระพุทธองค์ได้อุปมาว่า พ่อค้าประเภทแรกได้จมลงในมหาสมุทรแล้ว และถ้าจมหายไปเลย นั้นคือ พาลปุถุชน หมายความว่าพอเกิดวิกฤตการณ์ในชีวิต เขาไม่อาจที่จะช่วยตัวเองได้เลยด้วยอำนาจความเสียใจที่พลาดจากกำไรและประสบ กับความขาดทุนอย่างย่อยยับ
    ส่วนพ่อค้าประเภทที่สองนั้น เมื่อเรืออับปางก็จมลง แล้วโผล่มาหน่อยหนึ่ง แล้วกลับจมไปอีก นั้นคือคนธรรมดาที่ดีขึ้นหน่อยหนึ่งคืนกัลยาณปุถุชน
    ส่วนพ่อค้าอีกประเภทหนึ่งนั้น เมื่อจมลงมาแล้ว โผล่ขึ้นมา กำหนดทิศทางให้ถึงซึ่งที่ปลอดภัย เขาเริ่มลงมือว่ายเข้าหาฝั่ง พระพุทธองค์ท่านเปรียบบุคคลเช่นกันว่า คือพระอริยเจ้าขั้นต้นสุดคือ พระโสดาบัน คือ ผู้กำหนดฝั่งได้ว่าอะไรเป็นอันตราย และอะไรเป็นที่สุดแห่งอันตราย
    ต่อมาเมื่อบุคคลนั้นได้ทำความเพียรว่ายน้ำไปหาฝั่ง จนกระทั่งเข้ามาใกล้ตลิ่ง เท้าแตะพื้นทราย บุคคลประเภทนั้น พระพุทธเจ้าท่านอุปมาเหมือน พระสกทาคามี เริ่มปลอดภัยจากอันตรายของชีวิต
    อีกระยะ หนึ่งนั้น ท่านได้เดินลุยน้ำอยู่แค่เข่า นั้นคือ พระ อนาคามี และขั้นสุดท้าย บุคคลนั้นมานั่งผึ่งตัวให้แห้งจากน้ำทะเลอยู่ใต้ต้นไม้ดกดื่นบริบูรณ์ไปด้วย เสื้อผ้าธัญญาหาร นั้นคือบุคคลที่เป็นพระอรหันต์ขีณาสพถึงจุดสูงสุดแห่งชีวิต ปลอดภัยจากมรสุม สิ้นอันตรายจากวิกฤตการณ์ของชีวิต นี่คืออุปมาที่ท่านทั้งหลายพึงกำหนดให้ดี เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว ท่านทั้งหลายวกวนอยู่ในทะเล หรือในมหาสมุทรแห่งชีวิต ซึ่งมีกำไรและขาดทุนเป็นเครื่องล่อ ให้นายวานิชนั้นวิ่งวุ่นระเหเร่ร่อนสัญจรไปในทะเล ทะเยอทะยานแต่จะสร้างเสริมฐานะหรือกำไรของตัว จนกว่าเขาจะสะดุดความรู้สึกนั้นขึ้นมาสักหน
    ดูให้ดี แล้ว ชีวิตมันยุ่งเหมือนกับด้ายที่ขอดกันเป็นปม เงื่อน ดูเหมือนว่าคนที่ไม่กำหนดเงื่อนให้ดีแล้ว ยิ่งไปแก้มันเข้ามันกลับยิ่งยุ่งขึ้นไปอีก ไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนผู้ที่ประพฤติตนให้สงบสงัดแล้วเริ่มเอาจริงกับชีวิต ก็คือว่าเขาต้องยอมรับก่อนว่า ชีวิตนี้ เหมือนโรงศาล และยังมีปัญหาของชีวิต ที่ตัวชีวิตเองจะเป็นผู้พิพากษา และตัวเองมันจะเป็นโจทก์ที่ยื่นฟ้องชีวิตที่ไม่ยอมรับรู้กับตัวชีวิต และชีวิตนั้นเองเป็นจำเลยที่อยู่ในศาลนั้น จนกว่าเราจะแก้คดีอันแสบเผ็ดของชีวิตนี้ได้ จำเลยผู้นั้นจึงจะยิ้มออก ถ้าท่านทั้งหลายยิ้มในวันนี้ แน่นอนที่สุดจะต้องร้องไห้เศร้าซึมอีก ไม่มีทางหลีกเลี่ยง สำหรับบุคคลที่เริ่มเห็นปัญหาของชีวิตนั้น ท่านจะเริ่มเครียดสักหนหนึ่ง เอาเป็นเอาตายกับชีวิต เพื่อว่าวันหนึ่งจะค่อยๆ ยิ้มขึ้นมาทีละน้อย ในขณะที่ผู้ยิ้มชนิดที่ครอบงำด้วยโมหะนั้น ไม่มีทางเลี่ยงจากอาการของร้องไห้เลย..
    จริงอยู่ชีวิตในแง่หนึ่งนั้นดูประหนึ่งว่าเป็นสุขหรรษา ในเมื่อเราได้อะไร ได้ดังใจ เพราะเหตุนั้น ชีวิตในช่วงนั้น อุปมาได้กับเด็กสาวที่เห็นดอกไม้มีกลิ่นหอมและตัวเองโปรดปราน วิ่งถลาเข้าไปหยิบ หวังจะได้ดมกลิ่นหอมของมัน และลืมสนิทว่าดอกไม้ทีมีกลิ่นหอมนั้น วางอยู่บนขนดของอสรพิษที่กำลังแผ่พังพานอยู่ เมื่อเป็นเช่นนั้น บุคคลผู้หวังแต่จะตะกละตะกรามความสุขอย่างโง่เขลา ก็ต้องถูกส่วนที่เป็นโทษฉกตอดให้ถึงแก่ความตายลงเร็วพลัน จำเป็นเหลือเกินที่เราต้องมองชีวิตไปให้กว้างขวางเบ็ดเสร็จรอบด้าน มิใช่ดูในแง่ที่เขาชอบอุปมาว่าประดุจทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ ที่จริงมันโรยด้วยงูเห่าพิษและเสี้ยนหนามอยู่รอบด้านด้วย เมื่อบุคคลมาพิจารณารอบด้านเช่นนี้แล้ว เขาก็พึงได้เสวยผลโดยมีอุบายหลีกจากพิษภัยไม่ยอมติดกับ หรือโดยไม่ยอมให้พิษสงของชีวิตฉกตอดเอาก็พึงได้อยู่ แต่ทั้งหมดนี้จะต้องเกิดจากความรอบคอบเอาจริงเอาจัง ไม่ใช่ของเล่น ด้วยความรู้อันถูกต้อง ความเพียรและไม่ประมาทเท่านั้น
    ตั้งแต่เราถูกโปรยลงในลู่กรีฑาแห่งชีวิต เราจะต้องถูกบังคับให้วิ่งสุดแรงเกิดโดยเราไม่มีโอกาสที่จะอุทธรณ์ฎีกากับ ชีวิตนี้ เพราะสูตรสำเร็จที่สังคมวางไว้ ทำให้เด็กหนุ่มสาวของเราวิ่งอย่างสุดแรงเกิด เขาไม่รู้ว่าชีวิตตนต้องการอะไรกันแน่ แต่เขารู้อย่างเดียวว่าต้องทันเพื่อน ต้องได้อะไรๆ เหมือนเพื่อน ทางชีวิตของแต่ละชีวิตจึงกลับกลายเป็นทางแห่งการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น อิจฉาอาฆาตกันจนวันตาย เมื่อเป็นเช่นนั้นความระหกระเหินของชีวิตจะทำให้เขาเกิดความสับสน ระส่ำระสายอย่างน่าสงสารที่สุด ชีวิตจึงกลายเป็นของน่าหวาดกลัว ชีวิตจึงเป็นอันตราย น่าหวาดเสียวเหมือนกับว่าเรานั้นอยู่ในหลุมเป็นแอ่งใหญ่ ซึ่งก้อนหินกลิ้งมาทุกทิศ คนที่นั่งอยู่ในก้นกระทะแห่งหลุมนั้น เกิดอาการสั่นระรัว ไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยง ด้วยเหตุว่า ชีวิตนี้จะหลบจากตัวมันเองไม่ได้
    ปัญหาของชีวิตมันเหมือนรถแทรกเตอร์มหาภัย ที่เดินมาในซอกแคบแต่เราจำเป็นต้องผ่านมัน ไม่มีทางที่จะหลบหรือยอมแพ้ ชีวิตที่ยอมพ่ายแพ้นั้น ไม่อาจจัดเป็นชีวิตของบัณฑิต หรือผู้ที่แสวงหาคุณค่าของชีวิตได้ ชีวิตนั้นจำเป็นจะต้องตะลุยมันเข้าไป แต่ต้องกระทำไปด้วยความรู้มิใช่ด้วยโมหะด้วยเหตุนี้เอง เราจำเป็นที่จะต้องกำหนดชีวิตให้เหมือนดังการ เดินทาง ต้นทางของชีวิต คือความสับสนหรือความทุกข์ และในท่ามกลางคือการต่อสู้ และในที่สุดคือการถึงซึ่งชัยชนะคือหลักชัยในลู่กรีฑาแห่งชีวิต ด้วยเหตุนี้เองการเดินทางนั้นจึงจำเป็นต้องรู้เงื่อนไข จำเป็นจะต้องรู้เป้าหมาย จำเป็นจะต้องรู้ที่ควรจะหยุด
    ชีวิตเสมือนกับรถที่เครื่องยนต์กำลังเรรวนหรือเบรกไม่ทำงาน และรถคันนั้นกำลังวิ่งถลาลงจากหน้าผาหรือถนนลาดไหล่เขา สำหรับคนที่ประมาทก็ยังไม่คิดที่จะกระโดดลงจากรถฉันใด ก็คือเขายังเยื่อใยหรือชื่นชมกับชีวิตในแง่เดียวไม่ได้เพ่งเล็งในแง่อันตราย ส่วนบัณฑิตนั้นรู้อยู่ กำหนดรู้ว่าชีวิตนี้มันมีอันตรายอยู่ในตัวของมันเอง แต่ใครสักกี่คนกลัวอันตรายนี้ หรือใครสักกี่คนที่จะมานั่งคำนึงว่าวิถีทางของชีวิตของเรานี้กำลังเดินไปสู่ อันตราย หรือว่ากำลังเดินไปสู่ที่สุดแห่งอันตราย คือการคลี่คลายออกซึ่งปมปัญหา ถึงซึ่งอิสรภาพ ถ้าชีวิตเปรียบด้วยรถยนต์ที่เครื่องเสีย คนขับผู้กำหนดรู้สิ่งนี้แล้ว แม้ยังจำเป็นที่จะต้องขับมันไปเรื่อยก็จริง แต่เขากำหนดว่า เมื่อใดหยุดมันได้เมื่อนั้นก็คือปลอดภัย ส่วนผู้ไม่รู้จุดหมายของชีวิตเพราะที่จริงแล้วที่สุดของชีวิตก็คือการหยุด ขวนขวายกระวนกระวาย หายทะยานอยากในสิ่งทุกสิ่ง จริงอยู่เราไม่อาจหยุดมันได้ เพราะรถของชีวิตนี้กำลังพุ่งแรงด้วยฤทธิ์ของตัณหา แต่ขืนไปหยุดมันอย่างโง่เขลา ชีวิตตนเองจะพังพินาศ เหมือนกับคนนั้นทำให้รถหยุดโดยให้มันชนกับผนังหินของหน้าผานั้น ซึ่งเมื่อทำเช่นนั้นก็พลิกกลิ้งลงในเหว ส่วนผู้รู้นั้นแม้รู้ว่าจะต้องหยุด แต่ก็ค่อยชะลอเรื่อยไป หน่วงไปเรื่อย ขับคล้อยไปเรื่อย โดยหมายกำหนดว่า เมื่อรถชะลอลงเมื่อไร จะกระโดดลงทันที นี่คือผู้ที่กำหนดเรื่องราวของชีวิตได้ ตัวชีวิตมีอันตรายอยู่ในตัวของมันเองและพร้อมกันนั้นอิสรภาพของชีวิตก็รอคอย มนุษย์อยู่ด้วยแล้ว
    ดูให้ดี เถิด ชีวิตนี้มันมีทั้งสุขทั้งทุกข์สลับกันไปเหมือน ฤดูกาล เหมือนฟ้าดินที่มีทั้งหน้าฝนและหน้าแล้ง ไม่มีต้นไม้ไหนที่ปฏิเสธหน้าแล้ง รับเอาแต่หน้าฝน เพราะเนื้อของมันจะต้องฟ่ามตาย และไม่มีต้นไม้ไหนต้องการแต่หน้าแล้งอย่างเดียว ปฏิเสธหน้าฝน เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น มันจะต้องแกร็นตาย ชีวิตก็ฉันนั้น มันก็ต้องมีทั้งสุขทั้งทุกข์ อันเป็นฤดูกาลของชีวิตที่จะผ่านเข้ามา แต่ว่าเราต้อนรับสุขและทุกข์นั้นอย่างไร นี่เป็นปัญหาสำหรับบุคคลที่ไม่รู้เรื่องราวของชีวิต เมื่อมีความสุข เขาก็ตีปีกร่าเริง แต่ครั้นเมื่อถึงความทุกข์เขาก็ห่อเหี่ยวเหมือนนกกะเรียนแก่ ๆ ซบเซาอยู่ เมื่อเป็นเช่นนั้น สุขทุกข์ได้กลับเป็นโทษในชีวิตของเขา เพราะว่าเสมอมีสุขเขาร่าเริงและหวาดกลัวว่าสุขจะหายไป ครั้นทุกข์มีมา เขาเรียกหาสุขและเกลียดชังความทุกข์ ส่วนต้นไม้ที่กำลังเริงระบำอยู่ในสายฝน หรือลมกล้าหรือเมื่อขณะแดดแผดกล้าในหน้าแล้ง ทั้งแล้งทั้งฝนทำให้เกิดวงปี ซึ่งจะทำให้ต้นไม้นั้นแข็งแกร่งขึ้นทุกปี ๆ เพราะมันต้อนรับฤดูกาลนั้นได้อย่างถูกต้อง ข้อนี้ฉันใด ชีวิตจำเป็นต้องแสวงหาความรู้ เพื่อต้อนรับฤดูกาลแห่งใจคือสุขและทุกข์นี้อย่างถูกต้อง เมื่อกระทำได้เช่นนั้น ชีวิตจะมีแก่นสาร คือวงปีของชีวิตที่แข็งแกร่งขึ้น
    ชีวิตนี้มันเหมือนกับเครื่องปั้นดินเหนียว ถ้าว่ายังไม่ถูกเผาในเตาเผา.เพราะว่าเครื่องเซรามิค (Ceramic) นั้นไม่ได้ถูกเข้าเผาในเตาแล้ว มันจะแข็งแกร่งได้อย่างไรกัน ถ้าเป็นเช่นนั้นชีวิตมันเหมือนเตาเผาเครื่องเคลือบที่ร้อนระอุ แต่มันจะทำให้เครื่องดินกรอบนั้นแข็งแรงทานทาน เพราะฉะนั้นอย่าปฏิเสธความทุกข์เลย แต่ก็อย่ายินดีในความทุกข์ และไม่พึงยินดีมัวเมายึดถือในความสุข แต่ก็ต้องไม่ปฏิเสธความสุข จนกระทั่งให้ชีวิตประหนึ่งว่าเป็นต้นไม้ ที่งอกขึ้นตามเงื่อนไขของฤดูกาล เมื่อชีวิตมันถูกแผดเผาด้วยความทุกข์และถูกโลมลูบด้วยความสุข เครื่องปั้นดินเผาคือตัวชีวิต เมื่อเอาออกมาจากเตานั้นแล้ว มันก็แข็งแกร่งใช้งานได้ฉันใด ท่านทั้งหลายจงกำหนดสิ่งนี้ให้ดี ชีวิตนี้เหมือนยิมเนเซี่ยม ผู้ที่วิ่งลงบนลู่กรีฑาแห่งชีวิต คือขึ้นเวทีแห่งชีวิตแล้วจะต้องสู้อย่างเดียวเท่านั้น แต่ถ้าสู้โดยความโง่เขลาปราศจากความรู้ที่ต้องถูกต้องในเรื่องเป้าหมายแล้ว การสู้นั้นคือความบ้าบิ่น แล้วเขาจะไม่พบกับชัยชนะ คืออิสรภาพอันเด็ดขาดได้ เขาจะต้องถูกกักอยู่ในคุกมืด ชีวิตของเขาจะต้องได้ยินแต่เสียงกระซิบของตัณหาและเสียงกัดกรามกรอดอยู่ลึก ๆ สลับกับเสียงเค้นหัวเราะอย่างเคียดแค้นต่อเพื่อนมนุษย์ เคียดแค้น ชิงชังสิ่งที่แวดล้อมตัวเขาอยู่เรื่อยไปตราบวันตาย
    สำหรับคนชราที่ผ่านวัยหนุ่มสาวมาแล้ว ชีวิตดูเหมือนจะเลื่อนไปอยู่กับอดีต ท่านผู้เฒ่ามักชื่นชมยินดีกับอดีตจนน้ำตาไหล เมื่อได้พูดกับเด็ก ๆ ว่า หลานเอ๊ย คราวนี้ปู่เคยเป็นอย่างนั้น เคยเป็นอย่างนี้ และสนใจที่เด็กๆ ล้อมหน้าล้อมหลังซักถามเรื่องราวในอดีต สำหรับความทะยานในอนาคตของท่าน ผู้เฒ่าดูเหมือนจะระเหิดระเหยแห้งไปหมด เพราะว่าชีวิตมันสอนให้สำนึกที่เคยคิดว่าเป้าหมายของชีวิตอยู่ข้างหน้ามันก็ ลางเลือน แล้วสำนึกว่าที่แท้มันย้อนไปอยู่ข้างหลังประสงค์จะกลับไปมีวันอันสดชื่นไร้ เดียงสาตามประสาเด็ก ๆ ที่นั่นแต่ความเบาสบายบริสุทธิ์เหมือนดอกไม้แรกตูม เมื่อย้อนไปดูข้างหลัง มันคิดว่าไปอยู่ข้างหน้า พะว้าพะวังหลังให้ลูกหลานได้แทนคุณ โดยสนองตัณหาของตนที่ยังหลงเหลืออยู่อีก ในที่สุดชีวิตก็ถูกแดดเผาอยู่ในปัจจุบัน เหมือนอะไรเงาๆ เหมือนกับไอ้โกหกหรือเหมือนกับฉากละครที่มันเล่นสลับไปสลับมาให้คนแก่ระลึก ถึงความหลังด้วยตาที่ชุ่มฉ่ำละเมอถึงอดีต ให้เด็กหนุ่มเกลียดอดีตของตัว ทะยานไปในอนาคต มันหลอกต้มเราเช่นนี้ ชีวิตก็ไม่อาจที่จะดำเนินไปเป็นสองทางในชีวิตเดียวกันได้ มันไม่อาจให้ซีกหนึ่งแล่นไปสนองความอาลัยในอดีต และมันไม่อาจอนุญาตให้แล่นไปชิมอนาคตได้ นอกจากหลงละเมอเอาเองอยู่ในปัจจุบัน ด้วยเหตุนั้นท่านผู้เฒ่าจึงถูกหลอกด้วยอดีต เด็กหนุ่มสาวจึงถูกลวงด้วยอนาคต เมื่อเป็นเช่นนี้เราควรจะเอาอดีตและอนาคตของหนุ่มและสาว แก่และเฒ่านั้นเอามาบวกกัน แล้วพึงจับกลลวงของกาละให้ได้ในปัจจุบัน
    คนหนุ่มสาวควรจะเป็นมือของคนชรา ไม่ใช่เป็นหัวคิดในเรื่องราวของชีวิต อาตมภาพขอชี้แจงให้ท่านทั้งหลายเห็นว่า คนชรานั้นผ่านวัยแห่งความทะเยอทะยานเมื่อสมัยเป็นเด็ก คิดว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งจะทำให้เราเต็มเปี่ยมในอนาคต เมื่อวิ่งไป ๆ ปลายแหลมของความทะเยอทะยานมันค่อย ๆ ทู่เข้าๆ ในที่สุดมันมานั่งปรึกษากับกรัชกายอยู่ทุกค่ำคืน รำพึงถึงแต่อนิจจัง และไม่มีอะไรที่เป็นความปลื้มบีติของคนชรามากเท่ากับได้เห็นหลานที่เติบโต ขึ้นมา เพื่อที่จะได้เล่าเรื่องถึงวันคืนที่คุณปู่คุณย่าได้ผ่านมาแล้ว เพื่อปลอบประโลมให้เด็ก ๆ เหล่านั้นได้บทเรียน แต่ว่ามันจะเป็นบาปเก่าในหมู่มนุษย์หรืออะไรเล่า ขอให้ท่านทั้งหลายคิดดูให้ดี ที่เด็กหนุ่มๆ เหล่านี้จะต้องถูกปิดเปลือกตาให้เห็นอนาคต เห็นแต่ความผิดพลาดของผู้ชรา เขาไม่มีวันที่จะรู้จักตักตวงเอาประโยชน์จากผู้ชราเลย ส่วนบุคคลที่ไม่ประมาทในชีวิต เขาจะเข้าหาผู้ชราผู้เฒ่า สอบถามเรื่องราวของชีวิต ในที่สุดเขาก็รับช่วงความรู้หรือประสบการณ์ของคนชรา เข้ามาผนวกกับกำลังกายและกำลังจิตของเขา เขาจึงกลายเป็นลูกธนูแห่งความเป็นหนุ่มสาวของคันธนูแห่งความชรา เด็กหนุ่มสาวทุกคนควรใช้กำลังกายกำลังจิตของตัว บวกกับปัญญาในประสบการณ์ของคนชรา เมื่อเป็นเช่นนั้น คันธนูแห่งประสบการณ์แห่งชีวิตจะมีลูกธนูแห่งความแข็งแกร่งของวัยและพระธรรม คือกำลังดีดตัวของธนู ลูกธนูของความหนุ่มสาวนั้นก็พุ่งไปสู่เป้าหมายอย่างแม่นยำฉันใด หนุ่มสาวเฒ่าชราควรมีความสัมพันธ์กันโดยนัยนี้
    ขอให้ท่านทั้งหลายกำหนดให้ดีถึงอดีตและอนาคต สำหรับผู้รู้ธรรมะนั้นอดีตและอนาคตไม่อาจทำให้ท่านหวั่นไหวด้วยว่าเป็นเพียง ภาพเงา ๆ ในปัจจุบันประดุจฉากผ่าน ชีวิตนี้ดูๆ เหมือนละคร เหมือนที่เช็คส์เปียร์กล่าวไว้ แต่ว่าเขาพิจารณาแง่เดียว ชีวิตเหมือนฉากละครที่ผ่านมาเป็นฉาก ๆ แล้วต้องโบกมืออำลาเข้าหลืบของชีวิต และดูให้ดีเถิด.เขาลืมแง่หนึ่งของชีวิตก็คือผู้ดูละครนั้นจำเป็นเหลือเกิน ที่ดาราละครนั้น เมื่อเล่นบทบาทของตัวแล้วต้องลงมานั่งดูบ้าง หรือดูเวทีอันว่างเปล่า หรือดูคนอื่นเล่น หรือถ้าให้อัศจรรย์กว่านั้น ก็คือลงมาเป็นผู้นั่งดูตัวเองเล่นละครอยู่บนเวทีชีวิต เราคงจะได้รับความหรรษาหาน้อยไม่ แม้ขณะเล่นบทโศกเศร้า แสบเผ็ด
    ชีวิตเปรียบด้วยหนังตะลุง ผู้ที่ไม่เคยดูหนังตะลุงอาจจะนึกไม่ออกก็คือว่านายหนังตะลุงผู้เชิดนั้น อาจจะหลอกต้มผู้ดูให้ร้องไห้หรือหัวเราะก็ได้ด้วยการเชิดภาพเงาๆ ของหนังตะลุงนั้น ถ้าใครจับเคล็ดความจริงข้อนี้ได้โดยจะพบว่าเมื่อหนังตะลุงเลิก ตัวหนังตะลุงทุกตัว ทั้งตัวที่เล่นเป็นท้าวพระยามหากษัตริย์ เจ้าบ้านผ่านเมือง ทั้งตัวที่เล่นเป็นยักษ์เป็นมาร หรือเป็นเมียน้อยเมียหลวง จะต้องกระโดดผลุงลงในแผงสงบนิ่งลงไปทุกตัวฉันใด ชีวิตไม่ว่าจะเป็นอธิบดี เป็นรัฐมนตรี เป็นสามเณร เป็นคนงาน เป็นคนยาม เป็นคนขับรถ ในที่สุดก็ต้องกระโดดผลุงลงแผง จบกันสำหรับชีวิตทางกายภาพ นี่คือหนังตะลุงที่มีแต่เงาของชีวิต
    ด้วยเหตุนี้เพระพุทธองค์ท่านจึงตรัสว่า ชีวิตนี้เหมือนความฝัน ครั้นตื่นนอนแล้ว ฝันก็สลาย ชีวิตนี้เป็นความคลุมเครือ โพล้เพล้เหมือนยามสนธยากาลที่เหมือนโอมาคัยยัมกล่าวว่า มาใยในโลกแจ้งจริงไฉน กูเอย ทั้ง ๆ ที่มันเห็นกันอยู่ เห็นหน้ากันอยู่ระหว่างแม่กับลูก แต่เราแน่ใจได้อย่างไรว่า คนที่เรานั่งดูนี้เป็นแม่จริง ๆ หรือเป็นใครกันแน่ ท่านทั้งหลายกำหนดมั่นหมายว่า แม่คือผู้ชรา และลูกคือเด็กพึ่งเกิด แต่ถ้าผู้รู้พิจารณาอย่างลึกซึ้งจะพบว่า ทั้งคู่เหมือนหนังตะลุงที่จะต้องถูกเชิดวูบวาบอยู่ แล้วก็จะต้องลงแผงนิ่งสงบไป ขณะที่หญิงกำลังสวมกอดกับชายผู้เป็นคู่รัก ขณะที่แม่กำลังกอดเชยชมลูกน้อย ขณะนั้นเขากำลังกอดใครและเขากำลังกอดอะไรกันอยู่ ไม่ใช่เขากำลังกอดสิ่งที่เป็นชราธรรมหรอก หรือ พอแม่คลอดลูกออกมานั้น ทั้งแม่ทั้งลูกพลัดพรากกันเรียบร้อยแล้ว ระหกระเหินไปในทะเลแห่งความเป็นไป แต่แม่นั้นอาจจะกอดอีกสิ่งหนึ่งอยู่ แต่ไม่อาจควบคุมยึดหน่วงสิ่งนั้นไว้ได้ ไม่มีแม่คนไหนไม่เคยเห็นลูก และไม่มีลูกคนไหนที่จะไม่เป็นแม่ แม้เขาผู้นั้นจะเป็นผู้ชาย เขาจะต้องมีความเป็นแม่ เขาจะต้องสร้างสิ่งหนึ่งเรื่อยไป กระแสแห่งมนุษยชาติมันเหมือนสาหร่ายในมหาสมุทรที่แตกแขนงออกไปไม่มีที่สิ้น สุด ฉะนั้น เมื่อคำนึงถึงความจริงนี้แล้ว บุคคลผู้มีปัญญาย่อมไม่อาจที่จะเบียดเบียนใครได้ เหมือนพุทธภาษิตที่พระองค์ตรัสว่า : สพฺเพ ตสนฺติ อิญฺฉิตา สพฺเพ ภยนฺติ มจจุโน อตฺตานํ อุปมํ กตฺตวา โส หเรยฺย น ฆาตเย สัตว์ทั้งหลายรักชีวิต สัตว์ทั้งหลายสะดุ้งกลัวต่อมัจจุราช เมื่อรำลึกถึงเรื่องนี้ เอาตนเป็นอุปมาในเรื่องนี้แล้ว ไม่พึงฆ่า ไม่พึงใช้ผู้อื่นมาฆ่าเป็นอันขาด เพราะสรรพชีวิตเป็นกลีบของดอกไม้ดอกเดียว เป็นกิ่งแขนงของสาหร่ายกอเดียวในมหาสมุทรของชีวิต เพราะฉะนั้นผู้ที่รำลึกถึงเงื่อนไขนี้ ไม่มีวันที่จะเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ได้
    สรรพชีวิตเหมือนกับฝูงโคที่เขาจึงจะไปโรงประหาร สำหรับโคที่โง่เขลาก็ขวิดเพื่อนอยู่ตลอดทาง ส่วนโคที่สำนึกถึงชีวิตว่า ความตายเป็นที่สุดทางกายภาพ แข้งขาจะสั่น ไม่มีโอกาสที่จะขวิดใครได้ แม้แต่มโนภาพก็ไม่กล้าที่จะทำ ข้อนี้แหละขอให้ท่านทั้งหลายกำหนดให้ดี ชีวิตของผู้ประมาทมันเหมือนโคที่ขวิดเพื่อนในท่ามกลางทางที่เขาจูงไปสู่ ตะแลงแกง หรือเหมือนไก่ที่เขาเอาไปเชือดคอในวันสารท วันตรุษ แต่ยังจิกกันได้ด้วยฤทธิ์โมโหฉันใด ผู้ประมาทจะต้องเจ็บในท่ามกลาง และมืดมัวในที่สุด ผู้ที่เห็นเงื่อนไขของชีวิตเช่นนี้ไม่อาจน้อมจิตประทุษร้ายได้ แม้ด้วยมโนกรรมจะกล่าวถึงวจีกรรมและกายกรรมไปไฉนได้
    ชีวิตนี้มันเหมือนกับการวิ่งไล่คว้าเงา ดูเอาเถิด มันมีความทะเยอทะยานเหมือนแมลงตัวเล็ก ๆ ฝันถึงการท่องเที่ยวไปดวงดาว หรือเหมือนคางคกที่มีความทะเยอทะยานจะแลบลิ้นหมายกินพระจันทร์วันเพ็ญ หลายครั้งที่เราวิ่งไล่เงาของตัวเอง เราสร้างอนาคตไว้อย่างสวยงาม และเราก็วิ่งไล่สิ่งที่เราสร้างอย่างเอาเป็นเอาตาย เหน็ดเหนื่อยไปทั้งชีวิต พอใกล้ๆ จะจบเราคว้าตะครุบมัน แล้วก็ได้แต่ลมว่างเปล่า แล้วก็วิ่งไล่คว้าเงา คือภาพพจน์ หรือสิ่งที่ตัวสร้างตนเองแท้ ๆ
    ไม่มีอะไรใหม่ภาคใต้ดวงอาทิตย์นี้ หรือดวงอาทิตย์ไหน ไม่มีอะไรใหม่เลยนอกจากประสบการณ์ทางตา รูปทั้งสวยทั้งงามในอดีต ในอนาคตที่จะมีอีกหรือที่มีแล้ว มันวิ่งวูบผ่านไปเหมือนเอาผ้าแพรวูบผ่านบนพื้นหิน เสียงวูบผ่านหู กลิ่นวิ่งผ่านจมูก ไม่มีอะไรใหม่ นอกจากอาการถูกกระตุ้นซู่ขึ้น แล้วทะเยอทะยานวิ่งไล่มันไป ผู้ที่จับเงื่อนไขสิ่งนี้ได้จะเกิดสลดสังเวชขึ้นในชีวิต ความสลดอันนี้แหละจะกระทำให้ปากที่เคยหัวเราะร่านั้น กลับเม้มสนิทขึ้นหนหนึ่ง น้ำตาก็ร่วงลง แต่ว่าปากที่เม้มนั้นค่อย ๆ คลี่คลายออก เมื่อเห็นเงื่อนไขของชีวิตถูกต้อง ไม่หัวเราะร่าอีก แต่ค่อย ๆ ยิ้มขึ้น และจะขอบใจชีวิตในบั้นปลายที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์
    ชีวิตนี้มีตัณหาเป็นเครื่องล่อ มีความเพลินเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง มีอวิชชาเป็นเครื่องห่อหุ้ม มีความประมาทเป็นฉากหรือเป็นเกล็ดฝ้าของดวงตา จนกว่าเขาจะสะดุดขาของตัวเอง ล้มลงสักหนหนึ่ง หรือประดุจว่าเขากำลังดูภาพยนตร์ที่ฉายติดต่อกันไป เขาก็ถูกลวงโดยเรื่องราวให้ยินดียินร้าย คอยโศกคอยเศร้ากับเรื่องราวในภาพยนตร์นั้น จนกว่าหนามเตยของเครื่องฉายจะทำให้ภาพมันเกิดแฉลบล้มลงมา เขาก็ตื่นขึ้นและรู้จักตัว หลังจากที่ได้หลงร้องไห้หรือหัวเราะไปกับเรื่องราวของภาพยนตร์นั้นไปตั้งนาน จิตใจนี้เหมือนจอภาพยนตร์ขาว ๆ แต่พอเผลอสติ มันคิดเรื่องราวขึ้นมาเหมือนภาพที่กำลังฉายบนจอ ท่านทั้งหลายจะไปดูหนังที่ไหนเล่า ขอให้ดูข้างในเถิด ดูหนังข้างในให้ดี และวันหนึ่งคงจะพบภาพที่มันล้ม ก็คือ จะพบว่าเรื่องราวบนจอนั้นเป็นคนละสิ่งกับจอ ส่วนจอนั้นเป็นความว่างที่บริสุทธิ์อยู่เองแล้ว และจะไม่ติดกลลวงของมันอีกเลย เมื่อเป็นเช่นนั้น การดูภาพยนตร์ข้างในนี่จะพบเรื่องราวที่สำคัญของชีวิต ที่จะเป็นเหตุให้ไม่ใช้แรงแห่งตัณหาแสวงหาอะไรๆ อีก แต่จะใช้แรงแห่งปัญญารู้เห็นความว่างเปล่าของจอคือใจนี้เท่านั้น ที่จะแสวงหาอะไรมาจุนเจือครอบครัวหรืออัตภาพของตัวที่ประดุจการเล่นละครเท่า นั้น โดยไม่ยอมให้สูญเสียหรือหลงลืมความบริสุทธิ์ของจออีก
    ขอให้ท่านทั้งหลายกำหนดอดีตและอนาคตให้ดี มันล่อลวงเราอย่างน่าฉงนฉงายที่สุด ไม่มีใครกล้ายืนยันว่าพรุ่งนี้จะมีจริงได้ นอกจากความรู้สึกของอดีตที่ว่าน่าจะมี และความรู้สึกของอดีตนั้นมันผ่านไปแล้ว เราไม่อาจจะยื่นมือไปทำให้มันเป็นอะไรขึ้นมาอีก ชีวิตมนุษย์แล่นล่องค้าขายไประหว่างอดีตและอนาคต ทะเยอทะยานและกังวลเป็นอนาคต อาลัยถึงเหยื่อในอดีต ถึงกามในอดีตที่ตัวเองยังไม่พอ ยังเสียดายที่ตัวเองพลาดโอกาส ถึงกับคิดจะแก้ตัวคืนในอนาคต แต่ถ้าเขาสะดุดความรู้สึกนี้เข้า เป็นเหตุให้เพ่งพินิจจนเกิดสมาธิขึ้นสักหนหนึ่ง เขาจะพบว่าอดีตและอนาคตไม่ได้ตรงกันเลยสักนิดเดียว มันก็คือความคิดที่ถลุงหลอมอยู่ในโรงงานคือปัจจุบันนั่นเอง ถ้าจับสิ่งนี้ได้ ท่านจะพบความแปลกประหลาดของชีวิต และความแปลกประหลาดนั้นเอง ที่ทำให้ชีวิตวิ่งทะเยอทะยานอย่างเหนื่อยหน่าย เหงื่อแตกตั้งแต่เช้าจรดเย็น กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นไฟ กลางคืนนั่นนอนวางแผน กลางวันก็ออกวิ่งไล่แผนของตัว พอใกล้ๆ จะบรรลุผลกระโจนเข้าตะครุบ ปรากฏว่าพบแต่ลม หรือพอประสบความสำเร็จเข้าอีกทีแล้ว ก็พบว่ามันแค่นั้นไม่เห็นได้อะไรขึ้นมาให้อิ่มหรือหยุดกระวนกระวายได้จริง ๆ สักที นอกจากคนที่มีมายาสาไถยเกินไปที่แสดงท่าทีอวดโอ่ว่า เขาบรรลุถึงอะไร ส่วนพระอรหันต์ขีณาสพเหล่านั้นจะพูดว่าไม่มีอะไรในชีวิตตน ไม่มีการบรรลุถึงอะไร นอกจากการสิ้นไปแห่งตัณหาเท่านั้น แม้ทางธรรมก็ไม่มีอะไรให้ท่านได้ แม้ทางโลกย์ก็ยิ่งกลวงว่างเปล่าเหมือนหยดน้ำค้างที่จะต้องสาบสูญอย่างรวด เร็วด้วยแสงแดดอันร้อนแรง ชีวิตนี้มันมีแวบเดียววาบเดียวเหมือนน้ำค้างที่หยดลงบนใบหญ้า เหมือนสุภาษิตของพระพุทธองค์ ชนที่ประมาทคิดว่าชีวิตนี้จะอยู่นานนับร้อยปี เขาหวังให้ชื่อเสียงของเขาคู่ฟ้าดิน เขาต้องเอาชื่อของเขาไปตั้งติดอยู่ที่อาคารที่เขาลงทุนในการกุศลนั้น เพื่อให้ปรากฏชื่อชั่วกัลปาวสาน เขาเอาชื่อของเขาไปตั้งชื่อไร่นาสาโทด้วยความรู้สึกที่น่าหัวร่อที่สุด อนึ่งมนุษย์หลงจับจองที่ดินว่าเป็นของตัวและปัญหาของรัฐบาลก็เกิดขึ้นเรื่อง ที่ดินอย่างใหญ่หลวง ต่างก็เข้าไปจับจองที่ดินของตัว เขาไม่ทันได้เฉลียวใจว่าตัวของตัวนั้นเป็นของที่ดินต่างหาก ไม่กี่วันกระดูกนี้จะต้องโรยผงขาวลงในผืนแผ่นดินนี้ แม้ว่าจะจัดสรรมันเพื่อคนกลุ่มน้อยหรือคนกลุ่มมาก ชีวิตจะต้องทอดร่างลงผืนแผ่นดินไม่ถึงหนึ่งตารางวา แล้วก็จบสิ้นลงไป
    นี่คือเรื่องราวที่ท่านทั้งหลายต้องกำหนดให้ดีว่า ชีวิตซึ่งเหมือนกับทะเลแห่งความสับสน เมื่อไม่สามารถกระทำความกระจ่างให้มันได้ จะต้องวิ่งไล่ตัณหาอย่างตามืดตามัว เหมือนกับเราวิ่งฝ่าหมอก หรือวิ่งเข้าไปในโคลนที่เหลว ๆ อาการที่โคลนนั้นมันอัดเข้าไปในตานั่นเอง มันเป็นเงื่อนไขให้ไม่เห็นโคลนนั้น เพราะฉะนั้น เมื่อยิ่งแสบตาเท่าใด เขายิ่งวิ่งเข้าไปเพื่อจะให้หายแสบ เขาจะพบว่าตาของเขาจะยิ่งถูกอัดเต็มด้วยโคลนเข้าไปอีก อัดเข้าไปอีก แต่ชีวิตนั้นถ้าจะให้สว่างไสวต้องถอยออก ต้องสลัดออก ต้องชะล้างออก และจะค่อย ๆ สว่างไสวขึ้นในตัวของชีวิตเอง จะค่อย ๆ มีอิสระขึ้น ไม่มีใครมากดขี่ท่านได้ ไม่มีใครมากำกับจิตใจของท่านได้ ถ้าท่านยังไม่กำกับกดขี่จิตใจของตัวเอง แม้นักโทษที่อยู่ในคุก ไม่มีใครมาขังจิตวิญญาณที่อิสระนี้ได้จนกว่าเขาจะคิดผิดขึ้นมา พระพุทธองค์ท่านจึงตรัสว่า ไฟ น้ำท่วม ศาสตราไม่อาจจะฆ่าบุรุษได้เลย เว้นไว้แต่มิจฉาทิฏฐิจะทำให้เขาตายยิ่งกว่านั้น
    ชีวิตดู ให้ดี ๆ เถิด มันเหมือนกับแสงสว่าง เขายิ่งเรียนมากเท่าใด เขารู้สึกว่าเขารู้อะไรขึ้นมาก แต่ดูให้ดี ๆ เขาจะแปลกหน้ากับตัวเอง เขาจะรู้จักตัวเองน้อยลง ๆ ๆ แต่เขารู้จักโลก รู้จักสังคมมากขึ้น ๆ ๆ ในที่สุดชีวิตเขาเหลือแต่ซากของมัน ส่วนแก่นของมันนั้นเริ่มตายเสียแล้ว เหลือแต่ซากเหมือนกับบวบแห้ง ๆ เหี่ยว ๆ ก็คือเขามีชีวิตอยู่บนมายาสาไถย เป็นเงื่อนไขที่ถูกกำหนดจากสังคม มันเหมือนหนังตะลุง หรือเหมือนหุ่นกระบอกที่เชิดอยู่โดยตัวมันเอง แห้งแล้งเพราะมันไม่มีชีวิต
    ส่วนชีวิตจริงนั้นต้องหมายถึง อาการที่สลัดมายาสาไถยทิ้งจากการเสแสร้งแกล้งทำ ไปอยู่กับความเป็นจริง หรือสัจจะของมัน ในขณะที่เราเต้นรำอยู่ในงานบอลล์ ขอให้ดูให้ดี ๆ ต่างคนต่างออกท่าเข้าหากัน กำกับ กำหนดกดขี่ซึ่งกันและกัน อาตมาจะไม่ใช้คำว่าสวมหน้ากาก ที่จริงหน้ากากนั้น ตัวเองมิได้เจตนาจะสวม ต่างคนต่างช่วยกันสวม ช่วยกันแต่ง เหมือนสามีแต่งหน้าให้ภรรยา และภรรยาแต่งหน้าให้สามี เพื่อจะได้โลดแล่นไปในโลกแห่งความจอมปลอมด้วยกันและกัน และกอดคอกันจนกระทั่งตายไป.เรื่องนี้มันเป็นเรื่องลึกซึ้งถึงขนาดแม่และลูก ก็ต้องเป็นเช่นนั้น ความรักระหว่างแม่และลูกนั้น จะดูในแง่ที่ว่ามันเป็นความรักของอวิชชาก็มีอยู่ แม่พยายามยัดเยียดบางสิ่งที่แม่ปรารถนาให้ลูก และลูกพยายามที่จะช่วยแม่ให้ได้ดี มีหน้าตา ตามกิเลสแม่ปรารถนา ในที่สุดทั้งคู่กอดกันแน่นในวัฏฏสงสาร ในวังวนของค่านิยมผิด ๆ ของระบบสังคมแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น อย่างดีที่สุดเราจะเรียกการตอบสนองคุณแม่เพื่อพอกพูนกิเลสนี้ได้ว่าความ กตัญญูของอวิชชา และชีวิตแม่ลูกจบลงอย่างน่าเศร้าที่สุด ก็คือว่าทั้งคู่ตายอย่างสัตว์สามัญไม่หนีพ้นความตายไปได้ แล้วแทนที่จะช่วยกันและกันให้ออกจากวัฏฏะ กลับสร้างเสริมกันและกันให้ถูกขังอยู่ในคุกของความไร้อิสรภาพ
    ชีวิตเช่นนั้นก็คือตายแล้วตั้งแต่แรกเกิด คือตายจากอิสรภาพ ห่างจากสันติ และยิ่งวิ่งทะเยอทะยานหนักขึ้น ความตายชนิดนี้อาจจะกลับเป็นชีวิตชีวาของเขา เมื่อเป็นเช่นนี้ ชีวิตชีวาเช่นนั้นคือชีวิตชีวาของหุ่นไล่กาที่ดูท่าทีให้นกกากลัว แต่ที่จริงมันตายแล้ว. ส่วนชีวิตที่แท้จริงนั้นต้องตายจากชีวิตชีวาชนิดนั้นก่อน เมื่อนั้นแหละจึงจะเกิดความรักกตัญญูแท้ แม่และลูกจึงอาจช่วยกันและกันให้หลุดจากพันธนาการ เมื่อตายจากชีวิตชนิดนั้นชีวิตใหม่จะเริ่มเกิดขึ้นเหมือนกับเมล็ดพืชถ้ามัน ยังไม่เปื่อย พืชอ่อนๆ จะงอกขึ้นมาไม่ได้ ถ้าไม่ตายจากกิเลสของชีวิตนี้ ชีวิตใหม่ในสันติสุขจะเกิดขึ้นไม่ได้
    เพราะฉะนั้นพระเยซูจึงตรัสว่า ผู้ใดรักชีวิต ผู้นั้นจะต้องตาย ส่วนผู้ใดเกลียดชังชีวิตนี้ ผู้นั้นจะได้ชีวิตนิรันดร์ คำพูดเช่นนี้จะสะดุดสำหรับผู้ที่ผ่านชีวิตแห่งความตายซาซาก มายาสาไถยมาจนเอือมระอา เขาเริ่มสะดุด มิใช่สะดุดด้วยขา แต่สะดุดเข้าในสำนึก เป็นเหตุให้ตาเขาเครียดและปากเม้มเข้า จริงจังกับชีวิต ถึงขนาดที่จะต้องทุ่มเทชีวิตตนให้แก่ชีวิตใหม่อย่างแท้จริง ชนิดเอาหัวเป็นเดิมพัน ไม่เยื่อใยชีวิตอย่างโลกย์ เขาจึงอาจเข้าใจโลกและคลายปมยุ่งได้
    ข้อนี้อย่าเข้าใจเป็นเรื่องของการออกบวชชนิดที่ท่านทั้งหลายเข้าใจ แต่เพราะว่าท่านทั้งหลายได้เข้าใจผิดต่อเรื่องราวของชีวิต และเห็นว่าชีวิตทางธรรมเป็นเรื่องจืดชืด แต่ดูให้ดี ๆ เถอะ ชีวิตทางธรรมนั้นแหละคือชีวิตที่แท้จริง ส่วนชีวิตทางโลกย์ที่รุ่งเรืองในความรู้ ท่าทีฟุ้งเฟ้อ ดู ๆ คล้าย ๆ แสงสว่างของสังคมเมือง ซึ่งท่านทั้งหลายคงกำหนดได้ว่า สังคมเมืองยิ่งมีแสงสว่างมากเท่าใด มุมมืดยิ่งมากขึ้นเท่านั้น มันเป็นเงาตามตัวขึ้นมา แสงสว่างที่ฉายกล้าขึ้นมานั้น จะเป็นเครื่องกำหนดให้ความมืดแรงเท่านั้น แต่ท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ ใครบ้างที่สนใจแสงสว่างของหิ่งห้อย แสงสว่างแห่งสังคมเมือง คือ แสงสว่างแห่งชีวิตจอมปลอม ชีวิตที่เราคิดว่าเรามีความรู้แต่ว่าความรู้นั้นสร้างมุมมืดให้ตัวเอง เพราะความรู้นั้นเป็นเรื่องเปรียบเทียบให้สังคมเขาวัดให้ว่ามีความรู้ มีปริญญาหรืออะไรต่าง ๆ ต่อชื่อนามสกุล แต่แสงสว่างของปริญญาชนิดนั้นจะช่วยตัวเองไม่ได้ แม้แต่จะถอนราคะ โทสะ โมหะสักนิดหนึ่ง
    คราวนี้มาดูแสงสว่างของหิ่งห้อย มันแลบออกมาจากตัวเองทีละขณะ ด้วยเหตุนั้น แม้จะไปในหุบเหวที่มืดมืด มันก็ไม่เคยหลงทิศหลงทางเลย เพราะมันเป็นแสงสว่างในตัวเอง มันแลบออกทีละนิด แล้วมันก็ไม่หลงทิศ ความหยิ่งยะโสในความรู้ มันเหมือนแสงสว่างข้างนอกที่เจิดจ้า ที่สร้างเงาแห่งความลังเล คลุมเครือ ว้าเหว่ขึ้นเอง แม้ในตัวของความรู้นั้นนั่นเอง ส่วนแสงสว่างอย่างหิ่งห้อยแลบออกทีละขณะ และมันก็เดินทางเท่าที่เงื่อนไขแห่งแสงสว่างมันกำหนดให้ ข้อนี้ชีวิตของบุคคลที่เริ่มมีแสงสว่างชนิดของหิ่งห้อย จะเริ่มพบกับสันติสุข ไม่กังวลถึงอนาคต ไม่อาศัยในอดีตที่ผ่านมา ไม่เสียดายเหยื่อ ไม่ตะกละ หรือทะเยอทะยานไปในอนาคต และยืนชีวิตอยู่บนปัจจุบันอย่างแท้จริง
    แม้จะ เป็นหิ่งห้อย แต่จงดูให้ดี ๆ เถิด ในขณะใจของท่านเป็นเช่นนั้น มันกลับรุ่งโรจน์กว่าแสงภายนอกสักกี่เท่า เพราะมันมาจากตัวมันเองแล้วไม่รู้ดับ จนกว่าชีวิตจะเข้าหลืบหายไป แล้วมันก็จบกันสำหรับชีวิตทางกายภาพ แต่ตลอดเวลาเขาได้บริโภคผลแห่งความไร้กังวล สำหรับชีวิตที่ไร้กังวลนั้น ดู ๆ จะมีคุณค่าหรือราคาน้อยสำหรับคนที่ตะกละความสุขและอำนาจ
    แต่ถ้าท่านทั้งหลายผ่านชีวิตมามากพอ เพ่งชีวิตมานานพอ จะพบว่าความสุขนั้นเป็นเรื่องจอมปลอมเหมือนกับสหาย ๒ คน ควานสุขหรือความทุกข์นี้เหมือนกับเพื่อน ๒ คน คนแรกมันเดินยิ้มเข้ามาหา แต่มือไหว้หลังอยู่ และมันมีมีดอยู่ข้างหลัง เราคิดว่ามันเป็นมิตร เราเข้าไปสวมกอดแล้วมันก็เสียบแทงที่หน้าอกตัดขั้วหัวใจ แล้วล้มลงขาดใจ ไม่ได้ทันได้โบกมืออำลาแก่อะไร ๆ ในโลกนี้ แต่ความทุกข์นั้นเหมือนเพื่อน มันเหมือนศัตรูผู้เกรี้ยวโกรธ. กัดกรามเดินเข้ามา ถือมีดตรงเข้ามาจะฆ่า มันเปิดโอกาสให้เราต่อสู้ หรือวิ่งหนีก็ยังทัน ด้วยเหตุฉะนั้น ดูให้ดี ๆ เถิด ระหว่างสุขกับทุกข์ และอย่าได้ตะกละความสุข เพราะว่าความสุขมันเป็นของจอมปลอม แต่เริ่มพิจารณาตัวความทุกข์ และเริ่มเห็นคุณของความทุกข์ เพราะมันเป็นครูซึ่งสอนอะไรให้เราอย่างดีที่หนึ่ง เมื่อเผลอสติ มันตบหน้าให้ เมื่อง่วงงุนมันตบหน้าให้ทีหนึ่ง มันก็ตื่นขึ้น เพราะฉะนั้นผู้ใดทะเยอทะยานในความสุขเขาจะไม่พบกับความสุขได้ เพราะความทะเยอทะยานอยากนั้นเองเป็นความทุกข์ ส่วนผู้ใดไม่ทะเยอทะยานในความสุข เขาจะพบกับความสุขอันไพบูลย์และแท้จริง
    ฟังความ ข้อนี้แล้ว ท่านอาจจะฉงนฉงาย ถ้าท่านประสงค์จะได้มัน ท่านจะพลาดจากมัน แต่ถ้าท่านสลัดมันออก แล้วท่านจะได้มันมา เพราะว่าถ้าท่านต้องการมันด้วยความรู้สึกสามัญนี้ ตัวมันเองจะสร้างปัญหาให้ แต่ถ้าท่านสลัดมันออกไปแล้วท่านจะได้มันมา อุปมาเหมือนเด็ก ๆ คนหนึ่งที่เขาปลูกกุหลาบขึ้นมากอหนึ่ง เมื่อมันออกดอกขึ้นมาแล้ว ถ้าเขาตัดดอกนั้นมาดม มันก็ดมได้ชั่วโมง ๒ ชั่วโมง แล้วกลีบมันก็โรย แต่ถ้าเด็กคนนั้นฉลาดพอ เมื่อตัดแล้วก็ยื่นให้เพื่อนคนหนึ่ง แม้ว่ากุหลาบมันจะโรย แต่ว่ามันกลับไปบานอยู่ในใจของเพื่อนทันทีด้วยไมตรีอันนั้น เพราะฉะนั้นอีกกี่บี ๆ พบหน้ากัน มันรู้สึกอย่างกับว่าดอกกุหลาบนั้นบานอยู่ทั้งในใจเพื่อน และในใจตัวเองที่ได้สละอะไรออกไป นี่คือสิ่งที่เรียกว่าไมตรี อันมนุษย์ผู้ตระหนี่จะไม่ยินดีเลย .
    พระพุทธองค์ท่านตรัสว่า พวกมารเท่านั้นจะไม่ยินดีในการให้ทานส่วนสัตบุรุษหรือบัณฑิตนั้น เมื่อเห็นชีวิตเป็นเพียงฉากผ่าน เป็นละคร เขาจะไม่เยื่อใยอะไรอีก ต้องสละสิ่งนั้นออกไปให้มากที่สุด เพราะฉะนั้นพระพุทธองค์จึงตรัสว่า นาญฺญตฺร โสตฺถึ คจฺฉติ สพฺพนิสฺสคฺคา ตถาคตมองไม่เห็นความสวัสดีของสัตว์ทั้งหลาย เว้นไว้แต่สลัดมันออกไปให้หมด เมื่อสลัดมันออกไปหมด มันจะเติมในตัวของมันเอง เมื่อวิ่งหามาเพื่อให้มัน ภาชนะรองรับมันจะขยายออก นี่คือตัณหาที่พอกพูนขึ้น และจะรู้สึกพร่องอยู่เรื่อยไป เหมือนกับพระชื่อรัฐปาละ ภิกษุหนุ่มที่ออกบวชครั้งแรก ท่านอุทานว่า โลกพร่องเป็นนิจเติมไม่เต็ม โลกนี้จึงไม่มีอิสระได้เลย ยิ่งเติมให้เต็มมันยิ่งพร่องครั้นสละออกไป มันกลับเต็มอยู่ได้โดยตัวของมันเอง เท่านั้นเองที่ท่านเปล่งอุทานว่า โลกพร่องเป็นนิจ เป็นทาสแห่งตัณหาไม่รู้จักจบ ท่านได้ออกแสวงหาโมกษะ จนถึงวันแห่งการสิ้นสุดตัณหา จึงกลับไปเยี่ยมบ้าน เมื่อคุณพ่อได้ขนทรัพย์สมบัติมากองไว้ที่นอกชานเพื่อล่อ ภรรยาเข้ามาจับข้อเท้าว่า ทำไมหรือ รังเกียจอะไรตัวดิฉันหรือ ท่านได้เปล่งอุทานว่า หามิได้ แต่เพราะมองเห็นปัญหาแห่งชีวิต ท่านจึงละทั้งบ้านเรือน เมื่อท่านฉันอาหารเสร็จแล้ว จึงลุกขึ้นเปล่งอุทานคาถาที่น่าสนใจว่า เนื้อตัวฉลาด เมื่อนายพรานวางบ่วงดักไว้ เมื่อมันกินเหยื่อเสร็จแล้ว ทำให้บ่วงเป็นหมัน หนีกลับเข้าไพรสณฑ์ไปฉันใด ท่านก็เป็นดังเนื้อตัวนั้น แล้วโลดแล่นไปสู่อิสรภาพของชีวิต นั่นก็หมายความว่าชีวิตนี้ไม่ใช่หมายความว่าจะไร้อิสรภาพเสียเลย หนทางยังมีอยู่ อาตมภาพยกเรื่องพระรัฐปาละขึ้นเป็นอุทาหรณ์นั้น มิใช่จะยุยงส่งเสริมให้ท่านหนีลูกเมียออกบวช แต่ประสงค์เพียงชี้ให้เห็นว่า อิสรภาพนั้นมีอยู่แน่ แต่ท่านต้องการมันหรือไม่ นี่เป็นปัญหาที่ท่านจะต้องปรึกษากับตัวเอง
    ดูให้ดี เถิด ชีวิตนี้เหมือนกับการเล่นคดข้าวหอยเรียง ท่านทั้งหลานที่มีอายุยังน้อยและเป็นหนุ่มสาวรุ่นใหม่ อาจจะไม่เคยเล่นสิ่งนี้ แต่คนที่มีอายุผ่าน ๓๐-๔๐ ปี มาแล้ว จะจำได้ เมื่อเล็กๆ ในระหว่างพี่ ๆ น้อง ๆ ของเรา เราจะเอาทรายใส่หม้อเล็ก ๆ ประหนึ่งว่าเป็นข้าวสารหุงข้าว หักกิ่งไม้เล็ก ๆ ทำเป็นฟืน เอาใบไม้ต่างว่าเป็นกับข้าว แล้วทำเสียงหม้อข้าวเดือดด้วยลิ้น ครั้นสุกแล้ว ก็ตักมาแบ่ง ทำท่ากินกันอย่างสนุกสนาน เรียกว่าเล่นคดข้าวหอยเรียง ชีวิตนี้เหมือนกับการเล่นคดข้าวหอยเรียง เด็กๆ เหล่านั้นก็เพลิดเพลินอยู่กับการเล่นจนกระทั่งเวลาเย็นแล้ว มารดาผู้ปรารถนาดีก็ออกมาตะโกนว่า ลูกเอ๋ย ถึงเวลากินอาหารแล้ว เลิกกันเถิด เด็ก ๆ เหล่านั้นของพระพุทธองค์ก็ยกฝ่าเท้า ฝ่ามือ กวาดสิ่งที่เล่นนั้นให้พังพินาศ เพื่อกลับไปกินข้าว
    ท่านยังจำได้หรือไม่ สมัยเมื่อเราเด็ก ๆ เราอาจจะเคยเล่นทำปราสาทเมื่อเราไปริมทะเล เราเอาทรายผสมกับน้ำให้เหลว ๆ แล้วหยอดระหว่างนิ้วให้เป็นปราสาท แล้วก็จับจองว่า อันนี้เป็นของฉัน อันนั้นเป็นของเธอ ของฉันสวยกว่าของเธอ ของเธอไม่สวย ครั้นเราได้ยินเสียงแม่ตะโกนว่า กลับมากินข้าวได้แล้ว ถึงเวลาเลิกเล่นแล้ว เด็กๆ เหล่านั้นก็โผนเอาเท้าเข้าเหยียบย่ำ แล้ววิ่งกลับไปกินอาหาร ข้อนี้ฉันใด ประสบการณ์ในชีวิตของมนุษย์จะฟ้องว่า เรามัวเพลิดเพลินกับการเล่นที่ไร้สาระมาตั้งแต่เช้า ตั้งแต่อรุโณทัยแห่งชีวิตจนเกือบอัสดงคต จนกว่าได้ยินเสียงกระซิบแห่งสำนึกว่า ลูกเอ๋ย ถึงเวลากินอาหารแห่งชีวิตนิรันดรแล้ว เลิกเสียทีเถิด สำหรับอาหารคดข้าวหอยเรียงนั้น เลิกเสียทีเถิดสำหรับปราสาททรายที่ไร้สาระนั้น
    ส่วนคนที่เพลิดเพลินหลงใหลในเรื่องกาม เรื่องเกียรติ เรื่องการเล่นคดข้าวหอยเรียง เขาจะพลาดจากอาหารมื้อเย็น และชีวิตของเขาจึงไม่มีอัสดงคต มีแต่แสงแดดกล้าแห่งเที่ยงวัน ซึ่งเผาให้เร่าร้อน เพราะชีวิตมันเหมือนกับการเดินผ่านทะเลทราย ถ้าไม่กำหนดให้ดี จะหลงวกวนอยู่ท่ามกลางทะเลทราย ชีวิตคู่หรือชีวิตเดี่ยวก็ต้องเป็นการเดินทางเหมือนกัน แต่ว่าสำหรับผู้เดินชีวิตคู่นั้นจะต้องมีลูกเมียจูงไปด้วย ด้วยเหตุนั้นในการเดินทาง ถ้าผู้ที่เป็นต้นหนของชีวิตไม่รู้เป้าหมายแล้ว จะทำให้ทั้งลูกทั้งเมียถูกย่างให้ตายอยู่กลางทะเลทรายนั้นนั่นเอง แต่ว่าไม่มีใครเตือนสำนึกเขาได้ว่า ด้วยเหตุว่าทะเลทรายเช่นนี้มันชุ่มชื้นไปด้วยตัณหา ที่ทำให้มองเร่าร้อนกระสับกระส่ายเป็นความสนุกร่าเริง และเมื่อมนุษย์มันเมามันสิ่งนั้นเสียแล้ว เขาถูกย่างให้ตายโดยไม่รู้สึกตัว
    แต่สำหรับผู้รู้สำนึกขึ้นมา อย่าว่าแต่การถอยหลังเลย แม้แต่การหยุดอยู่นี้ยังไม่พอ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอย่าว่าแต่การถอยคืนของคุณธรรมเลย การบรรลุคุณธรรมแล้วหยุดอยู่เราไม่ชื่นใจเลย ถ้าเธอคิดได้เช่นนี้เราจะต้องไป ไม่รู้จักหยุดจนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง เพราะฉะนั้นพระพุทธองค์ท่านจึงตรัสว่า เราจะขนาบแล้วขนาบอีก ไม่รู้จักหยุด ผู้ใดมีแก่นสาร คือมีมรรคผลเป็นแก่นสาร ผู้นั้นจะทนได้ ท่านตรัสกับพระอานนท์ว่า เราจะด่าแล้วด่าอีก เตือนแล้วเตือนอีก นี่เพราะว่าบรรพชิตมีหน้าที่เป็นผู้พร่ำเตือนถึงพันธสัญญาของสรรพสัตว์ ที่เดินวนอยู่ในทะเลทรายแห่งตัณหา เขาไม่รู้ว่าเป้าหมายของเขาอยู่ที่ไหน บรรพชิตจึงต้องทำหน้าที่ตะโกนโหวกๆ ว่า อย่า หยุด อย่าหยุดเป็นอันขาด ฝั่งอยู่ข้างหน้า เมื่อมนุษย์ได้ยินคำเตือนเช่นนั้นแล้ว ยังรื่นเริงอยู่กับตัณหา.สำเภาแห่งชีวิตตนก็วกวนอยู่กลางมหาสมุทรไม่ถึงฝั่ง เมื่อไม่ถึงฝั่ง วันหนึ่งเรือมันก็รั่ว ก็ต้องจมอยู่ในมหาสมุทรแห่งวัฏฎสงสาร ด้วยเหตุนั้นพระพุทธองค์จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอจะวิดน้ำในเรือนี้ แล้วกำหนดทิศให้ได้แล้วใช้วิริยารัมภะ ปรารภความเพียร พายเข้าไปเถิด เรือจักไปเร็ว จะถึงฝั่งโดยแน่นอน
    นี่คือเรื่องราวของชีวิต สำหรับชีวิตของคนปัจจุบันนี้ อุปมาเหมือนกับคนแบกบันไดเดินเทิ่งๆไปมา ก็ถูกเพื่อนผู้หวังดีถามว่า นั่นคุณกำลังแบกบันไดไปไหน เขาตอบว่า แบกบันไดเพื่อจะปีนเข้าหาหญิงที่ฉันรัก ครั้นถูกถามว่า หญิงที่คุณรักคือใคร อยู่ตำบลไหน เขาตอบว่า ไม่ทราบเหมือนกัน เมื่อถามว่า เธอเป็นวรรณะอะไร ไม่ทราบเหมือนกัน พ่อของเธอชื่ออะไร ไม่ทราบเหมือนกัน ชีวิตในปัจจุบันก็เป็นเช่นนั้น หลงแสวงหาเครื่องมือคือบันไดแต่ไม่รู้เป้าหมายของชีวิตว่าเอาไปทำอะไร เพราะฉะนั้น บางคนที่มีชื่อเสียงดังก้องไปทั้งประเทศหรือนอกประเทศ มีเงินท่วมไปทั้งธนาคาร ไม่เคยพบเป้าหมายของชีวิตคือสันติสุข และชีวิตเช่นนี้ถ้าไม่ใช่ความตายแล้วจะเรียกว่าอะไรอีก
    ชีวิตเช่นนี้แหละมันเหมือนน้ำเต้าที่กลวงๆ เหี่ยวๆ หรือบวบแห้ง ๆ ที่กินไม่ได้ หรือเหมือนกับคอนกรีตที่มันแข็งแต่ข้างนอก ข้างในยังไม่แห้งและเน่าเหม็นอยู่ มันคล้ายๆ กับประสบความสำเร็จในชีวิตด้วยท่าทีด้วยสถานภาพในสังคม แต่ต้องพบกับความสับสนอลหม่าน และจะจัดชีวิตเช่นนี้ให้เป็นชีวิตไม่ได้เลย ชีวิตจำเป็นต้องสุกออกมาจากข้างใน ไม่ใช่ห่ามไปจากข้างนอกแล้วข้างในยังดิบ ชีวิตต้องบานออกมาจากภายใน ไม่ใช่ดอกไม้ที่ถูกจับฉีกให้บานจากภายนอก ด้วยเหตุนั้น ชีวิตจำเป็นต้องตั้งต้นด้วยการแสวงหาใจของตัวก่อนท่านทั้งหลายกำลังไม่เข้า ใจ และใจของท่านกำลังสาบสูญโดยไม่รู้สึกตัว วันหนึ่งมีเด็กหนุ่มหลายคนพาผู้หญิงไปเที่ยวในสวนสาธารณะ ผู้หญิงโสเภณีที่เขาพาไปนั้นเกิดขโมยเครื่องทรงหลบหนีไป เด็กหนุ่มเหล่านั้นวิ่งไปเที่ยวตามหา ครั้นพบพระพุทธองค์ ท่านนั่งประทับอยู่ได้ร่มไม้ พวกเหล่านั้นก็ถอดรองเท้าเข้าไปทูลถามว่า พระองค์เห็นหญิงบ้างไหม พระพุทธองค์ท่านตรัสว่า ดูก่อนมานพ เธอจะแสวงหาหญิงหรือหาคนดี นั้นหมายความว่า เดี๋ยวนี้เธอรู้หรือเปล่าว่า ตัวของเธอเองได้สาบสูญไปแล้ว จะหาหญิงที่ไหนเล่า และคราวหนึ่งพระองค์ตรัสว่า ปุตฺตา มตฺถิ ธนํ มตฺถิ อิติ พาโล วิหญฺญติ อตฺตาหิ อตฺตโน นตฺถิ กุโต ปุตฺตา กุโต ธนํ บุตรของเรา ทรัพยของเรามีนี้คนพาลยืนยันเช่นนี้จึงต้องเดือดร้อน ตนของตนยังไม่มี บุตรและทรัพย์จะมีแต่ที่ไหนได้
    เมื่อ เป็นเช่นนี้ ท่านจะเห็นว่า พระพุทธเจ้าพูดอะไรที่ท่านหวาดเสียว แต่ขอให้พิจารณาดูให้ดี ถ้ายังไม่รู้จักตัวเอง ลูกที่กอดอยู่นั้นเป็นใครไม่รู้ ถ้าดูใหัดี ๆ ก็เท่ากับท่านกำลังกอดซากศพซากหนึ่งอยู่เท่านั้น
    เมื่อสมัยที่เจ้าชายสิทธัตถะกำลังแสวงหาโมกษะ สมัยนั้นท่านยังไม่ได้ตรัสรู้ หญิงผู้หนึ่งมีลูกชายคนหัวปีที่นางรักมาก แล้วเกิดตายลง นางไม่ยอมรับความจริงอันนี้ ไม่ยอมรับว่าลูกที่นางรักจะต้องตาย และเชื่อว่าต้องมีอำนาจศักดิ์สิทธิ์อันหนึ่งมาชุบชีวิตได้ และเชื่อว่าโยคีผู้บรรลุแล้วจะช่วยได้โดยแน่นอน จึงอุ้มซากศพของลูกสะพายกับอกของตัว ร้องไห้วิ่งไปในราวป่า เมื่อพบเจ้าชายสิทธัตถะสมัยเมื่อยังไม่ได้ตรัสรู้ นั่งสงบอยู่ใต้โคนไม้ หญิงนั้นก็เข้าไปหมอบกราบ แล้วก็ร้องไห้คร่ำครวญว่า ท่านฤๅษีช่วยดิฉันหน่อย ช่วยชุบชีวิตลูกชายของดิฉันด้วยเถิด คนสมัยนั้นเขาเชื่อว่าฤๅษีหรือโยคีมีฤทธิ์ โยคีผู้สำเร็จย่อมมีฤทธิ์ที่จะชุบชีวิตได้ เจ้าชายของเราตรัสว่า หญิงเอ๋ย เราช่วยเธอได้แน่ แต่ขอให้เธอไปหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดในบ้านเรือนที่ไม่มีใครตายเลยมาให้เราก่อน หญิงคนนั้นก็ดีใจเหลือที่กล่าวได้ อุ้มลูกขึ้นบ่าแล้วก็วิ่งอย่างรวดเร็วไปทุกๆ บ้าน แล้วสอบถามเพื่อจะได้พบว่า บ้านไหนไม่มีคนตายบ้าง จะได้ขอเมล็ดผักกาดมาทำเป็นยา เพื่อเสกชีวิตของลูกให้ฟื้นขึ้น
    หลังจากหญิงผู้นั้นได้ลาจากเจ้าชายสิทธัตถะไปหลายสิบปี เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้ว ได้พบกับหญิงผู้นี้อีกทีหนึ่ง พระองค์ตรัสถามว่า เธอได้เมล็ดพันธุ์ผักกาดจากบ้านเรือนที่ยังไม่มีคนตายแล้วหรือยัง หญิงนั้นบัดนี้ไม่มีน้ำตาอีกแล้ว เธอได้ทูลพระองค์ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้ประจักษ์แล้วว่าไม่มีใครเลยที่ไม่ตายในโลกนี้ เพราะฉะนั้นความเศร้าโศกถึงบุตรจึงหายไปสิ้น เพราะว่าเธอได้ต้องกุศโลบายของเจ้าชายสิทธัตถะผู้เล็งเห็นว่า ย่อมไม่อาจจะอธิบายความจริงของชีวิตที่เห็นตำตาอยู่แก่ผู้ที่มีความรักและ ความโศกเข้าไปอัดอยู่ในลูกตาให้เข้าใจได้ จนกว่าสิ่งทั้งปวงจะสอนเขาเอง พระองค์จึงวางอุบายว่า จงไปหาเมล็ดพันธุ์ผักในบ้านที่ไม่มีคนตาย และหญิงนั้นไม่พบสักบ้านเดียว เพราะทุกบ้านต้องมีคนตายด้วยกันทั้งนั้น
    ในระหว่างแม่กับลูก เราจะพบความจริง คือความห่างเหินอยู่ไกลลิบทั้งๆ ที่แม่กอดลูกอยู่ เพราะวันหนึ่งจะต้องพรากจากกัน และย่อมพลัดพรากกันอยู่แล้วในขณะที่สังขารธรรมกำลังเป็นไป และเราไม่อาจที่จะมาร้องไห้หน้าหลุมศพก่อนหน้าที่เราจะได้กตัญญูตอบในขณะที่ ท่านมีชีวิตอยู่ ชาวญี่ปุ่นมีภาษิตที่สำคัญบทหนึ่งว่า การร้องไห้หน้าหลุมฝังศพเป็นเครื่องหมายของคนอกตัญญู เพราะว่าตลอดเวลาที่มีชีวิต เขาไม่เคยปรนนิบิตพ่อแม่เขาเลย แต่มาร้องไห้เอาเชิงนิดหน่อยที่หลุมฝังศพ
    ด้วยเหตุ นั้น ท่านที่สำนึกในพระคุณของบิดามารดาจะไม่ทำเช่นนั้น เขาจะเริ่มใช้หนี้ให้หมดสิ้นไปตั้งแต่มีชีวิตอยู่ เพราะชีวิตนี้มันเหมือนกับเป็นลูกหนี้ที่กู้หนี้เขามารอบทิศ ตั้งแต่หนี้น้ำนมมารดา หนี้สินเพื่อนมนุษย์ หนี้สินคนทอเสื้อผ้าให้สวม หนี้สินคนที่ตัดแว่นให้เราใส่ ลูกหนี้ที่เลวนั้นมักคิดบ่อย ๆ ว่าฉันเป็นเจ้าหนี้ ฉันเอาเงินของฉันไปซื้อสิ่งนี้มา แต่ขอให้คิดดูให้ดี ถ้าเรามีเงินสัก ๑๐๐,๐๐๐ แต่ถ้าเขาไม่ขายให้แม้แต่เข็มเล่มเดียว ท่านจะเอาอะไรมาสอยผ้า เอาอะไรมากิน แม้แต่ข้าวสารสักเม็ดหนึ่ง เพราะฉะนั้น ชีวิตนี้มันเต็มไปด้วยหนี้ตั้งแต่ออกมาจากครรภ์มารดา หรืออยู่ในครรภ์ก็เริ่มมีหนี้สินเสียแล้ว หนี้สินพอกขึ้นทุกวัน ครูสอนอะไรให้เรานิดหนึ่ง นั่นคือหนี้สิน และเราต้องใช้หนี้ ไม่ว่าใช้หนี้ต่อผู้มีพระคุณ หรือจะชดเชยต่อผู้ที่เรามีหน้าที่รับภาระชดเชยต่ออนุชนของเรา
    ต่างว่าแม่ของเราตายไปเสียแล้ว เราจะพูดว่า ฉันหมดหนี้สินกันที นี้ชอบละหรือ นั้นคือคนเขลาและคนเนรคุณเท่านั้น เพราะหนี้สินนี้ไม่ใช่หนี้สินเฉพาะราย ไม่มีสัญญาเฉพาะราย ไม่มีสัญญากู้เฉพาะราย แต่เป็นหนี้สินของสำนึก เป็นหนี้สินที่มนุษย์ทุกคนสูดอากาศจากบรรยากาศเดียวกัน วัตถุปัจจัยไหนที่ไปอยู่ในคนอื่น ก็กลับมาอยู่ที่เราด้วย และที่อยู่ในเราก็เวียนไปสู่ผู้อื่นด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้น สรรพชีวิตเป็นชีวิตเดียว ชีวิตทุกชีวิตมีหนี้สินซึ่งกันและกัน ลูกหนี้ที่เลวก็คือพยายามทำตนเป็นเจ้าหนี้เรื่อยไป และลูกหนี้ที่เลวทรามที่สุด โง่เขลาที่สุด คือเขาไม่รู้ว่าเขาเป็นหนี้สินของธรรมชาติ เขาทำลายธรรมชาติ ทำลายดุลย์ของธรรมชาติเพราะอำนาจของความเห็นแก่ได้ ส่วนลูกหนี้ที่สำนึกขึ้นมาได้อย่างลึกซึ้ง เขาจะสละชีวิตนี้ให้แก่ธรรมชาติ นั่นคือการสลัดออกไปให้กายและจิตเป็นไปเองตามธรรมชาติ เพราะว่ากายและจิตที่เรากู้หนี้มาทำจ้าว นี่ภาษาปักษ์ใต้ อาตมาขอใช้คำว่า ทำจ้าว ภาษาปักษ์ใต้ คำนั้นเปลว่าเป็นคนขี้ตู่จับจองว่าเป็นเจ้าของ ก็คือว่าเราคิดว่าเราเป็นเจ้าของชีวิตนี้ ที่จริงเราเป็นลูกหนี้ไปกู้ชีวิตมาจากธรรมชาติ แล้วก็หลงจับจองกายและจิตว่าเป็นของฉัน ว่าเป็นของตน บ้านเรือนไร่นาสาโท เข้าใจว่าเป็นของตน นี่แหละคือลูกหนี้ที่ลืมพันธสัญญาซึ่งจะต้องถูกฟ้องร้องและลงโทษให้เป็น ทุกข์ทรมาน ด้วยเหตุนี้บัณฑิตผู้รู้แจ้งในชีวิตหรือผู้ไม่ประมาท จะรีบให้หนี้ให้เสร็จสิ้นไป แม้หนี้ชีวิต ก็สลัดคืนให้แก่ธรรมชาติ เพราะว่าชีวิตนี้ไม่อาจเป็นลูกหนี้ที่เลวได้ จนกว่าจะใช้หนี้ให้เสร็จสิ้น หรือชีวิตนี้เหมือนจำเลยที่ต้องแก้คดีที่แสบเผ็ดที่สุดให้เสร็จสิ้นเสียก่อน จึงจะไม่ถูกจำคุกของชีวิต
    เรื่องของชีวิตนั้น เราอาจสรุปด้วยอุปมาสั้น ๆ นิดเดียวว่า การประพฤติธรรมนั้นแหละทำให้ท่านมีชีวิตขึ้น หลังจากได้หลงตายอยู่ในชีวิต และการประพฤติธรรมมีเป้าหมายสำคัญที่เห็นว่าชีวิตนั้นไม่มีอะไรใหม่ นอกจากปรากฏการณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น หรือล้วนคิดเอาเอง หรือฝันเฟื่องเอาเอง ครั้นตื่นขึ้นก็รู้ชัดว่าเป็นความฝัน เราอาจอุปมาการตื่นจากฝัน ว่าเหมือนกับพ่อที่หวังดีต่อลูก ในเมื่อลูกเป็นคนออดแอดขี้โรคผอมเหลือง ไม่ยอมต่อสู้ที่จะให้ชีวิตนี้เข้มแข็งขึ้น จึงคร่ำครวญสลับกับหัวเราะ ส่วนชีวิตที่แท้คือชีวิตเข้มแข็ง เมื่อพ่อไม่อาจที่จะปลุกด้วยวาจาได้ จึงวางอุบายลวงลูกของตัวว่า ในสวนหลังบ้านของพ่อนั้นมีทรัพย์ฝังอยู่หลายล้าน หลังจากพ่อตายแล้ว ขอให้เจ้าขุดทรัพย์มาใช้เถิด แต่ลูกก็หัวเราะ มันไม่ไยดีต่อทรัพย์หรือคำสั่งของพ่อ ตราบใดที่ทรัพย์สินเดิมยังมีอยู่ มันก็ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยและเพลิดเพลินเรื่อยไป เหมือนเด็กเล่นคดข้าวหอยเรียง เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ครั้นทรัพย์หมดลง มันจึงนึกถึงคำสั่งของพ่อ อันอุปมาด้วยบัณฑิตมีพระพุทธองค์เป็นต้น เมื่อเป็นเช่นนั้น มันจึงได้ลงมือขุดทรัพย์ในสวนที่พ่อบอกไว้ เมื่อมันขุดไป ขุดไป มันก็แช่งด่าพ่อเรื่อยไป ว่าหลอกต้ม เพราะมันไม่ได้อะไรเลย แต่เมื่อมันขุดทั่วทั้งสวนแล้วพอมันรู้สึกตัว สำรวจตัว ก็พบว่าเดี๋ยวนี้หายขี้โรคแล้ว เพราะว่ามันเป็นโรคผอมเหลืองเพราะขี้เกียจออกกำลังกาย พ่อผู้ชาญฉลาดวางอุบายไว้ก่อนตาย ลูกจึงได้หายจากโรค
    ท่านจะไม่ได้อะไรจากธรรมะ เพราะมันเป็นเพียงอุบายเท่านั้น ที่จะให้ชีวิตนั้นได้ต่อสู้จนกว่ามันจะเริ่มแข็งขึ้น และรู้จักตัวตนขึ้นตามลำดับ ชีวิตจะไปเพิ่มเติมอะไรให้มันได้อีก นอกจากสมบัติเก่าที่มีแล้ว แต่ถ้าหากว่าเจ้าลูกขี้เกียจผอมเหลืองนั้น มันรู้ทันว่าพ่อหลอกต้ม และมันไม่พยายามทำตามอุบาย ก็จะต้องเป็นไข้ผอมเหลืองเรื่อยไปจนตาย ด้วยเหตุนั้น อย่าได้ถามเลยว่า เราจะเอาธรรมะไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร เพราะว่า ผู้ถามเช่นนี้ไม่รู้จักธรรมะ เขาคิดว่าธรรมะเป็นเพียงเครื่องมือ แต่ที่จริง ธรรมะเป็นชีวิต เมื่อเราจะสลักหินสักแท่งหนึ่งเพื่อเราจะดายหญ้า เราก็จะถามถึงเครื่องมือเราคิดว่าธรรมะเป็นเครื่องมือเหมือนจอบเสียม หรือเครื่องสลักหิน และเราคิดว่าเมื่อเราโกรธ เราจะเอาธรรมะหมวดไหนเข้าไปใช้ เราคิดว่า เราจะเอาเมตตาเข้าไปใช้ แต่อาตมภาพจะกล่าวว่า เมื่อโกรธ.จงโกรธ ไม่มีธรรมะไหนจะใช้อีก เพราะมันโกรธเสียแล้ว จะแผ่เมตตาอะไรอีก แต่การแผ่เมตตานั้น ท่านจะต้องทำมาก่อนหน้านั้น จนมันมีกำลังและเมื่อปะทะอารมณ์ร้าย เมตตามันจะก้มไม่ให้ความโกรธเข้ามา ไม่ใช่มาทำเป็นแผ่เมตตาเอาเมื่อโกรธแล้ว สิ่งที่เรียกว่า ธรรมะไม่ใช่เครื่องมือ มันเป็นตัวชีวิต อุปมาเหมือนกับใบบัวหรือใบบอนที่มันมีคุณลักษณะที่ไม่เบียกน้ำอยู่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้น เมื่อใครไปสาดน้ำให้เบียกใบบัวหรือใบบอน ไม่จำเป็นต้องยื่นมือมาห้ามว่าอย่าสาด อย่าสาด หรืออย่าเบียก อย่าเบียก มันไม่จำเป็นต้องป้องกันอะไรอีกถ้าว่าชีวิตเป็นธรรมะอยู่เอง เพราะฉะนั้นธรรมะไม่ใช่เป็นเครื่องมือ ถ้าเป็นเครื่องมืออยู่ ช่วงนั้นยังไม่ใช่ธรรมะแท้จริง เราจะไม่มีคำถามอีกว่า จะเอาธรรมะไปใช้ในชีวิตประจำวันอย่างไร เพราะว่าไม่ต้องใช้ คือดำเนินชีวิตอยู่ในมัน แล้วความทุกข์ก็เริ่มจางคลายไป จางคลายไป ฉันใด ก็ฉันนั้น
    ในสุด ท้ายนี้ ขอย้อนต้นว่า ชีวิตเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในฐานะที่วันนี้เป็นวันสุดท้ายของธรรมบรรยาย ก็ขอให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณาตัวชีวิตว่ามันมีอะไรซับช้อน ยุ่งเหยิง ยิ่งกว่าสมการทางเคมีและฟิสิกส์หลายเท่านัก นักฟิสิกส์ นักเคมี นักวิทยาศาสตร์ ย่อมอาจจะมองอะไรปรุโปร่ง เขาย่อมเขียนสูตรสมการออกมาได้มากมาย แต่ชีวิตนี้ ใครจะเขียนสูตรสมการให้มันได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นแหละ ชีวิตจึงมีความสับสน และเมื่อมนุษย์ไม่ไยดีต่อชีวิต ชีวิตมันจึงประหารชีวิตเสียเองจึงเริ่มตายจากชีวิต แต่ตายชนิดนี้เขาจะหัวเราะร่าขึ้นมาทุกที เหมือนที่ท่านเหลาจื้อพูดว่า ถ้าธรรมะไม่ถูกหัวเราะเยาะ มันจะเป็นธรรมะที่แท้จริงได้อย่างไร ถ้าเต๋านั้นไม่ถูกหัวเราะเยาะ เต๋านั้นไม่ใช่เต๋าจริง ธรรมะจริงนั้นจะต้องถูกหัวเราะเยาะ เพราะเขาจะเริ่มตายจากตัณหา ส่วนผู้ที่เป็นอยู่ในตัณหานั้น ฝ่ายทางธรรมเรียกว่า ตาย แล้วส่วนคนอื่นก็ว่าคนที่เริ่มตายจากตัณหาเป็นผู้ที่ตายด้าน มันกลับกันอยู่เช่นนี้กี่ยุคกี่สมัย ขอให้ท่านทั้งหลายกำหนดเงื่อนไขนี้ ให้ดี กี่ยุคกี่สมัยต้องเป็นอยู่เช่นนี้ และพระธรรมจะเป็นสิ่งแท้จริงอยู่เช่นนี้กี่ยุคกี่สมัย ตามใจ เพราะชีวิตจะหลีกเลี่ยงจากตัวชีวิตไม่ได้ ไม่ว่ารูปแบบ อารยธรรมทางด้านวัตถุจะเจริญก้าวหน้าขนาดไหน ชีวิตจะหลงจากชีวิตนี้ไม่ได้. เพราะชีวิตนี้ดูให้ดี ๆ เถิดอาจารย์ผู้คงแก่เรียนเก่งทางไวยากรณ์อังกฤษหรือไวยากรณ์ไทย แต่ท่านผู้ใดรู้ไวยากรณ์ของชีวิต และชีวิตนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรมากไปกว่าการมีวลีเพียงวลีเดียวว่า ชีวิตนี้มันแค่นั้นเอง มันเท่านั้นเอง เหมือนที่บรรพบุรุษของเราได้พูดกันในท้องไร่ท้องนา มาตั้งนานนับหลายพันปีว่า เท่านั้นแหละลูกเอ๋ยอย่าไปดิ้นรนมันเลย ไม่กี่วันก็จบกัน ความรู้เห็นเช่นนี้ไม่ใช่ความหมดเรี่ยวแรงในการทำงานหรือการสร้างสรรค์ แต่ความรู้ที่ว่าสิ่งทั้งปวงมันแค่นั้นเอง ไม่มีอะไรใหม่ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ หรือดวงอาทิตย์ไหน มันเป็นเพียงวลีเดียวว่า เท่านั้นแหละไม่มีอะไรใหม่ กำหนดความหมายนี้ขึ้นมาได้เมื่อใด แล้วแทนที่จะหมดเรี่ยวแรง จะเกิดกำลังใจอย่างใหญ่หลวง ก็คือว่าเขาไม่แสวงหาอะไร แต่ไม่มีอะไรที่เขาไม่ได้มันมา เพราะเขาได้มันเสร็จในการสิ้นการแสวงหานั้นนั่นเอง ผู้ที่แสวงหาเขาจะต้องพร่องเสมอ ส่วนผู้ที่เริ่มไม่แสวงหาก็จะเริ่มพบเห็นเป้าหมายของการแสวงหา พฤติกรรมของมนุษย์ที่ดิ้นรน กระสับกระส่ายนั้น ดูให้ดี ๆ เถิดเขากำลังแสวงหาสันติแต่ด้วยอำนาจของความไม่รู้ ไปแสวงหาอยู่ที่เงิน เกียรติ หรือที่ฐานะ ที่จริงมันเป็นไฟไม่ใช่สันติ มันเป็นไฟ ไม่ใช่น้ำ แต่การหยุดการแสวงหาตั้งแต่ต้นมือ นั้นคือการบรรลุถึงผล เมื่อเป็นเช่นนั้น ชีวิตที่เหลือ เขาก็เล่นคดข้าวหอยเรียงไปเรื่อยเท่านั้นเอง และงานสร้างสรรค์ทุกชนิดต้องมาจากจิตใจที่อิสระจากการแสวงหา เขาสร้างสรรค์งานอันยิ่งใหญ่ได้ด้วยจิตใจที่ไร้เดียงสา ซื่อบริสุทธิ์ และรอเวลาเย็นเพื่อได้กินอาหารแห่งชีวิตนิรันดร์จากมารดาของเขาอยู่ ดังนั้นพระอรหันต์ทั้งหลายจึงกล่าวไว้แล้วว่า เราไม่อยากอยู่ เราไม่อยากตาย เรารอวันตาย เหมือนกับวันเงินเดือนออกฉะนั้น
    ในที่สุด นี้ อาตมภาพขอจบการบรรยายเรื่องอุปมาของชีวิตไว้เพียงเท่านี้
    ขออำนวยพรให้ท่านทั้งหลายจงประสบสันติสุขทุกทิพาราตรี นับตั้งแต่บัดนี้จนตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน เทอญ
     
  2. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    741
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,505
    อุปมา แห่งชีวิต
    ธรรมบรรยายโดย เขมานันทภิกขุ
    แสดงแก่คณาจารย์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิ โรฒ บางเขน
    [FONT=&quot]๒๕ กันยายน ๒๕๑๘[/FONT]
    [​IMG]
    ถาม - ตอบ
    ถาม ทางกายภาพ ชีวิตจะต้องพบจุดจบเท่าเทียมกันทั้งหมดทั้งสิ้น มีความสงสัยว่าจิตภาพหรือมโนภาพของชีวิต เมื่อกายภาพสิ้นสุดแล้ว จะเท่ากันหรือไม่ อย่างไร
    ตอบ คำถามนี้สับสนมาก คือหลายประเด็นเกินไป และกว้าง และโน้มไปทางจิตวิทยาและปรัชญาเกินไป
    ชีวิตทางกายภาพนั้น เราก็เห็นๆ ถ้ามันมีกายเป็นที่ตั้ง ที่ต้องแสวงหาปัจจัยสี่มาบำบัดขั้นพื้นฐาน แต่ชีวิตทางธรรม ไม่ควรใช้คำว่าชีวิตทางจิตภาพ เพราะกายกับจิตแยกจากกันไม่ได้ เราจะบอกว่า มีแต่กายไม่มีจิตนี้เป็นไปไม่ได้ ถ้าแยกก็หมายความว่า ชีวิตนี้จะเข้าหลืบจบไปเท่านั้นเอง เราควรใช้คำว่า ชีวิตทางธรรมดูจะเหมาะกว่า
    ชีวิตทาง ธรรมนั้น ก็คือชีวิตที่อยู่เหนือกายและจิต ถึงซึ่งอิสรภาพนี้เป็นเป้าหมายอันสูงสุด แต่ในท่ามกลางการต่อสู้เพื่อบรรลุถึงธรรมก็คือต่อสู้กับเงื่อนไขของกายและ จิต ที่มากระทำให้สับสนอลหม่าน แต่ชีวิตทางธรรมที่บรรลุถึงธรรมแล้วนั้น หมายความว่าเป็นอิสระ และชีวิตทางธรรมนั้นไม่มีความตายทางกายภาพอีก เพราะว่าความตายเป็นเพียง concept ของจิต เมื่อท่านได้สิ้นสุดความยึดมั่นว่า มีตัวตนหรือของตน ความตายทางกายภาพไม่มีหมายว่าเป็นความตาย มันเป็นเพียงอาการที่มันเปลี่ยนสภาพไป ถ้าท่านจะถามว่า เมื่อตายแล้ว สถานะจะเท่ากันอีกหรือไม่ นี้ก็เท่ากับถามในทำนองว่าจิตจะไปเกิดอีกหรือไม่และอยู่ในสถานะอย่างไร
    ดังนั้นขอย้อนไปถามท่านผู้ถามเองที่ว่า ตราบใดที่ผู้นั้นยังมีความรู้สึกกว่ามีฉันอยู่ คำถามว่า ฉันจะต้องไปเกิดหรือไม่เกิดต้องมี ส่วนผู้ที่ดับตัวตนลงได้มากน้อยเท่าใด คำถามนี้จะน้อยลงเท่านั้นก็เพราะว่าความผิดพลาดมันอยู่ที่เข้าใจผิดว่า ฉันมีอยู่ เมื่อฉันถูกทำลายลง ความสงสัยที่จะไปเกิดหรือไม่เกิดก็ไม่มี เพราะฉะนั้น ผู้ที่เที่ยวเบ่งพูดว่าตายแล้วเกิด ตายแล้วสูญ ทั้งคู่พลาดจากเป้าหมายอันสูงสุดของพุทธธรรม ผู้ที่เชื่อว่าตายแล้วสูญ นั่นไม่ใช่พุทธธรรม เชื่อว่าตายแล้วต้องไปเกิด นั่นไม่ใช่พุทธธรรมที่แท้ พุทธธรรมเล็งไปที่ว่า เพราะอะไรปัญหาตายเกิด-ตายสูญ จึงเกิดขึ้น เมื่อปมว่า เพราะมีตัวตนเป็นศูนย์กลางจึงสงสัย และมีความโน้มเชื่อว่าตายเกิด-ตายสูญ เมื่อทำลายตนลงไปแล้ว ปัญหาตายเกิด-ตายสูญก็จบลงด้วย
    วันหนึ่งที่พระภิกษุรูปหนึ่ง ท่านพูดกับเพื่อนพระว่า ท่านเข้าใจแล้วว่า พระอรหันต์นั้นตายแล้วไม่เกิดอีก คือตายแล้วก็สูญไปเลย ปุถุชนนั้นเพราะอำนาจของกรรม ตายแล้วต้องเกิดอีก ถ้าทำกรรมดี ก็เกิดดี ทำกรรมชั่ว ก็เกิดชั่วท่านพระสารีบุตรจึงไปเยี่ยม และถามว่าท่านเชื่ออย่างนี้หรือ พระภิกษุรูปนั้นก็ยืนยันว่า ท่านเข้าใจเช่นนั้นแน่ กล่าวคือพระอรหันต์ตายแล้วต้องสูญ ท่านพระสารีบุตรท่านซักว่า ดูก่อนภิกษุ รูปเป็นพระอรหันต์หรือ ร่างกายนี้เป็นพระอรหันต์ไหม เวทนาเป็นพระอรหันต์ไหม สัญญา สังขาร วิญญาณเป็นพระอรหันต์หรือ พระภิกษุรูปนั้นก็บอกว่าไม่เป็น ไม่เป็น เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว พระอรหันต์มีที่ตรงไหน เมื่อหาพระอรหันต์ไม่ได้ในขันธ์ห้าที่บริสุทธ์ แล้วจะบอกว่า พระอรหันต์ตายแล้วไม่เกิด หรือพระอรหันต์ตายแล้วเกิดอีกได้อย่างไร
    แต่คนที่ไม่พิจารณาให้ดีแล้วจะยืนยันกระต่ายขาเดียวว่า ตายแล้วต้องเกิด อีกฝ่ายหนึ่ง ยืนยันว่าตายแล้วต้องสูญ ข้อนี้จะต้องแจ่มแจ้งด้วยอุปมา ต่างว่านักฟิสิกส์คนหนึ่ง หรือนักวิทยาศาสตร์ส่องกล้องขึ้นไปในท้องฟ้า หรือส่องกล้องจุลทัศน์ลงไปดูพวกจุลชีวัน ถ้าเขาลืมสำรวจที่เลนส์ซึ่งอาจจะเสียหรือร้าวขึ้นมา เขาจะเห็นว่ามีดาวดวงใหม่ หรือเชื้อโรคชนิดใหม่ตัวยืดขึ้นมา ฉันใดก็ฉันนั้น จำเป็นเหลือเกินที่เราต้องสำรวจเครื่องมือเสียก่อน ในการลงความเห็นอะไรไป
    ก็มาถึงประเด็นที่ว่า เราต้อง.สำรวจว่า ทำไมต้องสงสัยเรื่องตายแล้วเกิด-ตายแล้วสูญ นี้เป็นการตรวจเครื่องมือเพื่อแน่ใจว่า ความสงสัยตายแล้วเกิด-ตายแล้วสูญ นี้มันถูกหรือมันผิด และถูกผิดนี้ต้องตัดสินที่มันมีประโยชน์เกื้อกูลต่อการประพฤติปฏิบัติธรรม หรือไม่เพียงใด การเชื่อว่าตายแล้วสูญนี้อันตราย แต่การเชื่อว่าตายแล้วเกิดนั้นเป็นศีลธรรม และเป็นสัมมาทิฏฐิขั้นต้น แต่ยังไม่มุ่งมาสู่ปัญหาของชีวิตที่แท้ ดังที่พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่าอาทิพรหมจรรย์ คือการประพฤติเพื่อมุ่งสู่ความดับทุกข์ ในชีวิตทันตาเห็นนี้ เมื่อใครไปชวนท่านคุยถึงเรื่องทางปรัชญาเช่นนี้ พระพุทธเจ้าท่านจะหุบพระโอษฐ์นิ่ง ไม่พูดด้วย เช่น ท่านพระมาลุงกยบุตรกล่าวว่า ถ้าพระองค์ไม่ตอบว่าตายแล้วเกิดหรือตายแล้วสูญ จะสึกละ พระพุทธเจ้าท่านตอบว่า ถ้าอย่างนั้นเชิญสึกได้ เพราะไม่ได้สัญญากันไว้ว่าจะตอบปัญหานี้ และท่านเรียกปัญหาชนิดนี้ว่า อวยากตปัญหา ปัญหาที่พระตถาคตไม่ยอมพูดด้วยเป็นอันขาด เพราะไร้ประโยชน์ ไม่มีประโยชน์เลย โดยประการใด ๆ ทั้งสิ้น และบางคนอาจจะคิดว่า เชื่อว่าตาย-เกิดเสียก่อน จึงยินดีประพฤติธรรมเพราะไม่รู้จริง บางคนบอกว่าตายแล้วไม่เกิด เพราะฉะนั้นผู้ที่เชื่อว่าตายเกิดนั้น ค่อนข้างเป็นคนดี คบได้ และพระพุทธเจ้าท่านยอมรับว่าเป็นสัมมาทิฏฐิขั้นต้น แต่ยังเป็นมิจฉาทิฎฐิอยู่เมื่อเทียบในระดับสูงสุด จนกว่าบุคคลเอนมาสู่เรื่องอริยสัจ ปัญหาตายเกิด-ตายสูญจะจบลง ละความสงสัยว่าหลังจากตายแล้ว จิตภาพจะเท่าเทียมหรือไม่เท่าเทียม ก็ไม่มี
    ข้อนี้อาตมภาพอยากจะยกให้เห็นชัดด้วยอุปมาอีกหนหนึ่งว่า ยังมีชายหนึ่งเป็นแผลที่แขนมีบาดแผลเกิดขึ้น และบาดแผลนั้นเกิดเพราะเขาหลงเอามีดเถือเอเองด้วย เมื่อเป็นแผลขึ้นแล้ว ไปหาหมอคนหนึ่ง หมอบอกว่าเอายาไปทาซิจะหาย เมื่อทาเข้า มันเกิดลามเฟะขึ้นมา มันก็หมดศรัทธาในหมอคนนั้น และยาขนานนั้น ก็ไปหาหมออีกคนหนึ่ง หมอก็แนะยาอีกขนานหนึ่ง พอทาเข้าไป ก็เฟะเข้าไปอีก มันก็หมดศรัทธาทั้ง ๒ ขนาน ในที่สุดเริ่มชำระล้างด้วยตนเองด้วยความเพียร กันแบคทีเรียทุกชนิดอย่าให้เข้ามา จนกระทั่งมันเริ่มหาย ผู้ทำจะเริ่มพบความจริงว่า ที่แท้จริงแล้ว การไปคิดว่าตายแล้วเกิดอีก มันเป็นยาปลอม ไม่อาจรักษาแผลแห่งความสงสัยได้ และการคิดว่าตายแล้วสูญ ก็เป็นยาปลอมเหมือนกันเพราะมันก็ไม่แน่ใจลงได้สนิท เมื่อเอายา ๒ ขนานทาทุกทีจะลังเลเสมอไป
    คนที่เชื่อตายแล้วเกิด ก็คลุมเครืออยู่นั่นแหละทั้งที่ปากแข็งอีกคนหนึ่งเชื่อตายแล้วสูญ ก็ลังเลเหมือนกัน และปัญหานี้ก็เถียงกันมาตั้งแต่ก่อนพุทธกาล ๓,๐๐๐-๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว และพระพุทธองค์ท่านตรัสว่า ปัญหานี้จะเถียงกันอีก จนกว่าจะมนุษย์ไม่มี คำตรัสของท่านว่า ตถาคตจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับคำว่า มี-ไม่มี กิเลสมีอยู่ในจิตหรือว่าไม่มี ท่านจะไม่พูดอย่างนั้น เราอาจจะเคยได้ยินได้ฟังข้อถกเถียงระหว่างนักเลงทางธรรมมาแล้ว คนหนึ่งยืนยันว่า จิตมีกิเลสดองในสันดาน มีอยู่ อีกคนหนึ่งบอกว่ากิเลสไม่มีเลย ทั้งคู่พลาด
    ส่วนพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ถ้าสิ่งนี้มี ทั้งนี้จะมี เหมือนก้อนหิน ๒ ก้อนพอเราเอามากระทบกัน มันเกิดปฏิกิริยา ประกายไฟแลบออกมา ถ้าจะถามว่าประกายไฟมีอยู่ในก้อนนี้ หรือก้อนนี้. หรือมีอยู่ก่อนหน้านั้น หรือว่าไม่มี เราก็ตอบไม่ได้ แต่ว่าถ้าก้อนนี้กระทบก้อนนี้ เดี๋ยวสิ่งนั้นมีและกฎอันนี้เป็นกฎสากลที่สุด พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าสิ่งนี้มี สิ่งนี้จะมี ตถาคตจะไม่ยืนยันความมีหรือไม่มี ความมีถือเป็น สัสตทิฎฐิ หรือกลุ่มอัตถิตา ซึ่งเป็นสัมมาทิฎฐิขั้นอ่อนๆ ความไม่มีเป็น อุจเฉททิฎฐิ คือขาดสูญ ตายแล้วสูญ ขอให้สำรวจให้ดี เพราะเป็นปัญหาสำคัญสำหรับบางท่านที่กำลังคลุมเครือ
    คนบางคนที่เชื่อว่าตายแล้วเกิด บางวันมันอยากให้ตายแล้วสูญ มันขึ้นกับตัณหา บางคนที่เชื่อว่าตายแล้วสูญบางวันมันอยากให้ตายแล้วเกิดก็มี คนที่ลงทุนทำบุญไว้มากๆ เผื่อชาติ.หน้า อยากให้ตายแล้วเกิดเหลือเกินเพื่อจะได้รวยดีกว่าชาตินี้ คนที่บาปมาก ๆ ชาตินี้อยากให้ตายสูญเหลือเกินเพราะมันกลัว ที่นี่บางวันมันเกลียดขี้หน้าเพื่อนขึ้นมา คนที่เชื่อว่าตายแล้วสูญ อยากให้ตายแล้วเกิด เพื่อให้เพื่อนมันสมน้ำหน้าทีเถิด ที่มันทำบาปไว้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า โลกอาศัยตัณหาจึงยืนยัน ตาย-เกิด และ ตาย-สูญ เมื่อตัณหาดับก็คือแผลหาย มันไม่สนใจกับยาอีก ข้อนี้ไม่ได้หมายความว่า พระอรหันต์หรือพระอริยเจ้าจะรู้ว่า ชาติหน้ามีอย่างนั้น อย่างนั้น จะมีต้นไม้กี่ต้น มีหลุมกี่หลุม มีบ้านกี่หลัง ไม่ใช่อย่างนั้น เรื่องเช่นนี้ซึ่งแต่งขึ้นภายหลัง เช่น พระมาลัยลงไปโปรดสัตว์ในนรก เห็นต้นงิ้ว เห็นอะไร แต่งขึ้นขู่ชาวบ้านให้กลัวบาป ให้เป็นสัมมาทิฎฐิขึ้นต้นๆ ก่อน เพราะว่าคนเชื่อว่า ตายแล้วเกิดนั้นเป็นคนดี แต่เชื่อตายแล้วสูญมักจะเป็นคนพาลๆ เพราะฉะนั้น ขอให้ท่านเพ่งพินิจให้ดีเถิดว่า เชื่อว่าตายแล้วเกิดไว้ก่อนปลอดภัย และต่อมาอย่าหยุดแค่นั้น เลื่อนขึ้นมาสู่เรื่องอิทัปปัจจยตา.
    อาตมาขอ สรุปสั้น ๆ ว่า ทีแรกสุดต้องสมาทาน อัตถิตา คือเชื่อว่าตายแล้วเกิด บุญมี บาปมี พ่อแม่มี พระอรหันต์มี ชาติหน้ามี กรรมมี บาปมี เชื่อไปอย่างนี้ ก่อน เราควรสอนเด็กๆ ของเราเช่นนั้น เขาจึงจะไม่เป็นพาล นั้นคือให้ละนัตถิตา คือพวกเชื่อว่าอะไรที่ว่ามานั้นไม่มี ด้วยอัตตาแล้วเลื่อนมาสู่ อิทัปปัจจยตา คือถ้าสิ่งนี้จะมี สิ่งนี้จะมี อิทัปปัจจยตานั้นจะเป็นเงื่อนไขให้ประพฤติธรรมให้ถึงที่สุดในชีวิตนี้ ไม่ใช่ต่อรองแบบพวกอัตถิตา พวกเธอตายแล้วเกิด พวกนี้ยินดีทำบุญเหลือเกิน แล้วเป็นเหตุให้ถูกต้มบ่อยๆ ส่วนพวกนัตถิตานั้นไม่ชอบทำบุญแล้วก็พาลหน่อยๆ ท้าทายด้วย ส่วนพวกอัตถิตานั้นพวกคนดีแต่ขี้ขลาดเกินไป ส่วนพวกที่ขึ้นอยู่กับอิทัปปัจจยตานั้น จะเริ่มเข้าสู่สุญญตา คือการดับทุกข์สิ้นเชิงในชีวิตทันตาเห็น นี่เป็นแก่นสารของพุทธธรรม เรื่องตายเกิด-ตายสูญจะไม่มีปัญหาอีก พระพุทธองค์ได้ตรัสปลอบใจสาวกที่ยังเป็นปุถุชนบางท่านว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่าชาติหน้ามีเธอจงอุ่นใจเถิด เพราะว่าเธอไม่ได้ทำบาปกรรมอะไร ถ้าเกิด ก็เกิดดีถ้าว่าชาติหน้าไม่มี จงอุ่นใจเถิดว่า เกิดมาก็เป็นทุกข์ นั้นท่านปลอบใจสาวกที่ยังเป็นปุถุชน ส่วนพระอริยเจ้า ท่านจะไม่มีปัญหาเช่นนี้ เพราะปัญหามันจบไปแล้ว เพราะรู้ว่ามันเป็นยาเก๊ทั้ง ๒ ขนาน
    ถาม ขอพระคุณท่านได้อธิบายหลักปฏิจจสมุปบาทหรืออิทัปปัจจยตา และจำเป็นหรือไม่ที่หลักนี้จะต้องเรียงไปตามลำดับเสมอ จะสับตำแหน่งกันได้หรือไม่
    ตอบ คนทั่วไปนั้นเขารู้ใจว่า การเรียนปฏิจจสมุปบาทจะต้องเรียนอภิธรรม จะต้องให้รู้จักชื่อจิตทุกดวงจึงจะรู้จักปฏิจจสมุปบาท แต่เราก็พบความจริงว่า ยิ่งเรียน ยิ่งไม่รู้จักจิต เรียนเข้าไป ๑๐๐ กว่าดวง เอาสักดวงเดียวเพื่อดับทุกข์ไม่ค่อยจะอยู่ เพราะฉะนั้นการเรียนอิทัปปัจจยตา หรือปฏิจจสมุปบาทนั้น ต้องเรียนข้างในโดยไม่ต้องรู้จักชื่อมันก็ได้
    พระสาวกของพระพุทธองค์ในสมัยพุทธกาลนั้น หลายองค์ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อของกิเลส หมวดไหน ๆ ก็ไม่รู้ รู้แต่ว่า ถ้าอย่างนี้เกิด แล้วมันทยอยอย่างนี้มา นั้นแหละคือปฏิจจสมุปบาท คนทั่วไปเข้าใจว่าปฏิจจสมุปบาทต้องเรียนทั้ง ๑๒ ช่วง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพียงภาคทฤษฎีล้วนๆ ส่วนภาคปฏิบัตินั้นพระพุทธเจ้าท่านกลับตรัสว่า ถ้าเห็นว่า อุปาทานทำให้เกิดภพ แค่นี้ชื่อว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท เพียงแต่เห็น เพราะนี้เป็นปัจจัยให้นี้จึงเกิด หรือเห็นว่า ตัณหานี้ทำให้เกิดอุปาทาน นี้ก็เรียกว่า เห็นปฏิจจสมุปบาท หรือว่าเห็นว่า ผัสสะทำให้เกิดเวทนา ซึ่งเพราะอะไรมาถูกเข้านิดหนึ่งแล้วก็ซู่ขึ้นมา แล้วเกิดเสวยรสขึ้นมา แล้วเดี่ยวมีตัณหาเกิดขึ้น
    แต่ด้วยการที่พระองค์ประสงค์จะทำให้มันเป็นงานชิ้นยิ่งใหญ่ที่สุด เพื่อทรมานพวกนักคิด คือให้สมอยากพวกนักคิด จึงแจกไว้อย่างถี่ยิบ ชนิดที่ใครค้านท่านไม่ได้ แต่ในแง่ปฏิบัตินั้น ให้สังเกตเพียงแค่ ผัสสะ เวทนา และตัณหา ๓ ช่วงนี้ก็พอแล้ว พอตาเห็นรูป เดี๋ยวมันจะเกิดยินดียินร้ายขึ้น แล้วสักเดี๋ยวก็เกิดทุกข์ มันไม่ต้องรู้จักชื่อ ก็เรียกว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท
    ปฏิจจสมุ ปบาทนี้ ท่านไม่ได้ให้เรียนที่ตัวหนังสือ ถ้ายิ่งเรียนเช่นนั้น จะยิ่งไม่รู้ แต่ให้เฝ้าดูจนเห็น ไม่ใช่คิดปฏิจจสมุปบาท เพราะฉะนั้น ถ้าจะเรียนปฏิจจสมุปบาท อย่าไปเรียนมันเข้า ถ้าเรียนยิ่งไม่เห็นปฏิจจสมุปบาท
    ถ้าจะเรียนปฏิจจสมุปบาทนั้น ต้องไปเรียนสมาธิ เพื่อจะเห็นปฏิจจสมุปบาท ปฏิจจสมุปบาท ยิ่งคิดยิ่งไม่เห็นมัน ด้วยอำนาจของความเคยชิน พอตาเห็นรูปก็จะเกิดยินดียินร้าย และสร้างผู้ยินดียินร้ายขึ้นมา พอตาเห็นรูปเกิดตัณหา ความอยาก แล้วความอยากจะสร้างผู้อยากขึ้นมา และผู้อยากก็กระสับกระส่ายเร่าร้อน เมื่อผู้อยากเกิดขึ้น คุณสมบัติของสังสารวัฏฏ์ก็สุมลงในชีวิตนั้น ทำให้รู้สึกว่าฉันเป็นผู้แก่ ฉันเป็นผู้เกิด ฉันเป็นผู้เจ็บ ฉันเป็นผู้ตาย ฉันจะต้องไปเกิดอีก ฉันจะต้องสูญไป เมื่อความยึดถือว่าฉันไม่เกิด คุณสมบัติสังสารวัฏฎ์ก็ดับวับลงไป ฉะนั้นคุณสมบัติของสังสารวัฏฏ์ทั้งหมดเป็นแต่เพียง concept หลังจากเกิดผู้อยากขึ้นมา ถ้าดับผู้อยากได้ โลกนี้เงียบกริบ และไม่มีอะไรวุ่นวาย
    ปัญหามันอยู่ที่ภาคปฏิบัติไม่ใช่ไปเรียนตัวหนังสือเข้า แต่เกิดจากทำจริงลึกซึ้งในจิตใจ เฝ้าดูให้ดี เมื่อจิตเป็นสมาธิ มันก็เริ่มเห็นปฏิจจสมุปบาท และผู้นั้นจะเริ่มล่วงพ้นศรัทธาจากบุคคลหรือผู้สอน มาอยู่ที่การรู้การเห็นแจ้งชัด มันเห็นอยู่ข้างใน เพราะฉะนั้น ยิ่งเห็นเท่าใด ยิ่งแน่ใจในพระธรรมเท่านั้น เมื่อแน่ใจในพระธรรม มันก็แน่ใจในพระพุทธ และแน่ใจในพระสงฆ์ตามมาเองโดยอัตโนมัติ
    ปฏิจจสมุ ปบาทนั้น ท่านได้อธิบายกฎแห่งการเกิดขึ้นของความทุกข์ มันอาศัยกันเกิด อวิชชาเป็นปัจจัยให้สังขาร สังขารทำให้เกิดวิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ไล่ไปจนทำให้เกิดเป็นทุกข์ นั้นเป็นเรื่อง ขออภัย ใช้ภาษาต่างด้าวเพื่อให้ลัดสั้น ว่าให้เป็น massive work เท่านั้นเอง เพราะว่าใครจะค้านท่านไม่ได้ และวันหนึ่งท่านเดินร้องเพลงพึมพำ ๆ อยู่องค์เดียว จงกรมไป จงกรมมา แล้วท่านก็สาธยายปฏิจจสมุปบาท พระภิกษุรูปหนึ่งแอบฟังแล้วท่านก็เรียกมาถามว่า ฟังอะไร เมื่อพระรูปนั้นแสดงความแปลกใจว่า ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยได้เห็น พระผู้มีพระภาคเจ้าฮัมเพลงเช่นนี้ พระพุทธเจ้าบอกว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งเดียวที่เธอจะต้องขึ้นใจ เพราะมันจะถึงที่สุดแห่งทุกข์เพราะเรื่องนี้ และทฤษฎีนี้แหละ เมื่ออธิบายถึงการเกิดและการดับ เรียกว่า อิทัปปัจจยตา ถ้าสิ่งนี้มี สิ่งนี้จะมี ถ้าสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จะดับ และทฤษฎีนี้แหละจะถูกขว้างออกไปครอบเอกภพนี้ ดังที่เราได้บรรยายกันในคราวที่พูดเรื่องอิทัปปัจจยตา กฎแห่งการเกิดขึ้นของสรรพสิ่ง อาศัยปัจจัย คำว่า อาศัยปัจจัยเกิดนี้ไม่ใช่เหตุผล เหตุผลกับเหตุปัจจัยนี้คนละอย่าง ขอให้ท่านทั้งหลายกำหนดให้ดี แล้วจะเข้าใจเรื่องปฏิจจสมุปบาท
    เมื่อมนุษย์ใช้เหตุผลของมนุษย์เข้าไปอธิบายปรากฏการณ์ ก็คิดว่านี้เป็นเหตุและนี้เป็นผล ที่จริงเหตุนั้นมันเป็นผลของอีกเหตุหนึ่งมาทีหนึ่งแล้ว และผลไม่ได้หยุดอยู่แค่ผล มันจะต้องเป็นเหตุให้เกิดผลอีก เหมือนกับกระแสลำธารไหลไป แล้วมนุษย์เอาวงเวียนที่มีปลายแหลม ๒ ข้างไปจับ แล้วบอกว่า นี้เป็นเหตุ นี้เป็นผล นี่เป็นเรื่องของมนุษย์
    สิ่งที่เรียกว่าเหตุผลในหมู่มนุษย์ในทางวิทยาศาสตร์นั้นมันเป็นช่วงหนึ่ง เท่าที่มนุษย์รู้เท่านั้น แต่กระแสธรรมชาติทั้งหมด ไม่มีเหตุผลในตัวของมันเอง มีแต่เหตุปัจจัย นี้มี นี้จึงมี นี้ทยอยให้เกิดนี้และนี้ทยอยให้เกิดนี้ และนี้ทยอยให้เกิดนี้ เรื่อยไป เรียกว่า กระแสแห่งเหตุ-ปัจจัย อย่างน้ำในทะเลระเหยไปเป็นเมฆ แล้วก็ตกลงมาเป็นฝน ถ้าอธิบายด้วยเหตุผลก็จะว่าจากเมฆมาเป็นฝน ด้วยเหตุผลของมนุษย์ แต่ถ้าหาไป ๆ แล้วจะพบกับเหตุปัจจัยไม่มีที่สิ้นสุด ด้วยเหตุนั้นทฤษฎีอิทัปปัจจยตานี้ ได้โปรดทำความเข้าใจให้ชัดแจ้งที่สุด มันจะเข้าไปขจัดปัญหาทุกเรื่อง และปัญหาที่สำคัญก็คือว่า ถ้าเห็นปฏิจจสมุปบาท มันไม่เห็นฉัน มันเห็นแต่ปัญหา ทุกข์กับความดับของมัน สิ่งที่เรียกว่า ภพ ในปฏิจจสมุปบาทนั้นมันเกิดจากอุปทาน เมื่อผัสสะเกิดขึ้นและมันดับได้แค่ผัสสะ ภพไม่มี
    เพราะ ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสกับพระพาหิยะว่า เมื่อใดเธอเห็นรูป สักแต่ว่าเห็น เมื่อได้ยินก็สักว่าได้ยิน เธอได้รู้ก็สักว่ารู้ เมื่อทราบก็สักว่าทราบ เมื่อนั้นเธอจะไม่มี ถ้าไม่มีความอยาก ผู้อยากจะไม่ปรากฏ เมื่อเธอไม่มี เธอจะไม่ปรากฏในโลกหน้า และเธอจะไม่ปรากฏในโลกนี้ แล้วเธอจะไม่ปรากฏแม้ในปัจจุบันนี้ นั้นแหละเป็นที่สุดแห่งทุกข์
    สำหรับ ที่ถามว่า จะสลับตำแหน่งกันได้หรือไม่นั้น ข้อนี้จะต้องยกภาษิตที่พระสารีบุตร ท่านอธิบายให้เพื่อนพระภิกษุฟัง ท่านอธิบายว่าอุปาทานทำให้เกิดตัณหา เพื่อนภิกษุรูปหนึ่งท้วงว่า ท่านอธิบายผิดแล้วเพราะพระพุทธเจ้าท่านบอกว่าตัณหาทำให้เกิดอุปาทาน แต่ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ยึดแล้วจึงอยาก
    เมื่อท่านถูกแย้งท่านก็อุปมาให้ฟังระหว่าง ความอยากกับผู้อยาก นั้น มันเป็นสิ่งที่เสริมซึ่งกันและกัน เหมือนกระจกเงา ๒ บานหันหน้าเข้าหากัน เมื่อผู้อยากแรงเท่าใด ความอยากแรงเท่านั้น ความอยากแรงขึ้นเท่าใด มันย้อนไปกำกับให้ผู้อยากแรงขึ้นเท่านั้น เหมือนไม้ ๒ ดุ้นที่ทำให้มันเป็นสามเหลี่ยมปลายค้ำกันอยู่ เราจะพูดว่าอันไหนเป็นผู้กระทำ อันไหนเป็นผู้ถูกกระทำไม่ได้ มันอิงซึ่งกันและทัน
    เมื่อเป็นเช่นนั้นปฏิจจสมุปบาททุกขั้นทุกตอนเสริมกันไปเสริมกันมา ผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา ตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน อุปาทานเสริมตัณหาและจะส่งกันไปส่งกันมา จนเห็นทุกข์เร่าร้อนอยู่ในท่ามกลาง ฉะนั้นเมื่อดับอันหนึ่งอันใดลงได้ ทุก ๆ ช่วงจะเริ่มคลี่คลายออกด้วย
    ถาม ขอได้โปรดอธิบายคำว่า ตายก่อนตาย
    ตอบ ที่จริงแล้ว คำพูดเช่นนี้ เขาไม่ประสงค์จะให้อธิบาย เพราะขืนอธิบายเข้ามันไม่ยอมตาย เพราะยิ่งสงสัยใหญ่ เพราะฉะนั้น ตายก่อนตาย คือความตายจากความสงสัยนั้น มันค่อย ๆ ตายจากปัญหา หรือกิเลสที่สงสัยบ้าง ที่ระแวงบ้าง ที่คลุมเครือบ้าง เมื่อพระพุทธองค์ท่านจะสอนสาวก ท่านจะตั้งต้นว่า เธอทั้งหลาย อย่าสงสัย ละความสงสัยเสีย เพราะความสงสัยทั้งหลายเป็นนิวรณ์ การตั้งต้นการเรียนด้วยความสงสัย จิตจะสูญเสียสมรรถนะไปครึ่งหนึ่ง เพราะฉะนั้น แม้จะมันสมองดีเท่าใด เรียนเก่งเท่าใด จิตใจจะว้าวุ่นเพราะอำนาจแห่งความสงสัยมันถูกรบกวน ส่วนความเห็นแจ้งนั้นต้องไม่มีความสงสัย และโน้มจิตที่ไม่สงสัยเข้าไปสู่ปัญหาที่เคยประสงค์จะรู้ และปัญหาจะกลับแตกออกทีละเปลาะ ๆ
    เมื่อวันไหนที่ตายก่อนตาย คำตอบก็จะโพล่งออกมาเอง หรือวันไหนตายไปชั่วขณะ ขอให้สังเกตตอนที่เราหลับสนิทให้ดี ขณะที่หลับสนิทและไม่ฝัน ขณะนั้นคือตาย ตายในที่นี้ไม่ได้หมายความถึงตายทางกาย คือมันตายจากกิเลสไปชั่วขณะ แต่เดี๋ยวมันเป็นขึ้นมาอีก ปัญหาของมนุษย์ธรรมดา มันเป็น ๆ ตายๆ อยู่ไม่รู้จักจบ ที่เรียกว่าวัฏฏะ เดี่ยวเป็น-เดี่ยวตาย เดี่ยวเป็น เดี๋ยวตาย เดี๋ยวกำไร-เดี๋ยวขาดทุน เดี๋ยวยินดี เดี๋ยวยินร้าย
    ที่เรียก ว่า ตายก่อนตาย คือกิเลสที่มันตายแล้ว แต่ชีวิตทางกายยังอยู่ กิเลสตายขาดไปเสียก่อนทางกายจะตาย ถ้าเช่นนั้นจะพบกับความตาย ก็เลยยิ่งฟังยุ่งกันใหญ่และถ้ายิ่งสงสัย ยิ่งตายกันใหญ่เลย หมายความว่าตายเสียก่อนร่างกายนี้จะตาย แต่ว่าถ้าตายจากตัณหาแล้วร่างกายจะไม่มี concept ว่าตายอีก จึงพบกับความไม่ตาย เมื่อเป็นเช่นนั้นขอให้รีบตายเร็วๆ ขออวยพรให้รีบตายกันเช่นนี้โดยเร็วที่สุด
    อาตมาคิดว่าคำอธิบายนี้จะต้องเพ่งพินิจให้ดี แล้วมันจะอธิบายตัวมันเองในวันที่เริ่มรู้สึกขึ้นมา แต่ว่า ตาย กรณีเช่นนี้หมายความว่าเกิดใหม่ตามที่พระเยซูท่านตรัสว่า ตายจากชีวิตนี้แล้วจะได้ชีวิตชั่วนิรันดร์ คือไม่ตายอีก คำว่าไม่ตายอีก อย่าเอาภาษาทางวัตถุว่ายังอยู่ นี่ไม่ใช่ แต่ต้องหมายถึงว่าไม่มี concept ว่าตายอีก เป็นอันว่า เข้าถึงอมตะ ความไม่รู้จักตาย คือความตายไม่มีค่าอะไรสำหรับผู้นั้น คำว่าตายก่อนตาย นี้เป็นภาษิตของพระเดชพระคุณท่านอาจารย์ที่ไชยา (ท่านอาจารย์พุทธทาสแห่ง สวนโมกขพลาราม ไชยา )เป็นคำพูดที่สรุปเรื่องทุกเรื่อง ลัดสั้นที่สุด ผู้ใดประสงค์จะประพฤติธรรมอย่างลัดสั้น ให้ประพฤติประหนึ่งว่า ตายแล้ว ไม่อยากได้อะไร ทำงานทุกชนิดไม่เสริมให้ตัวตนมันเกิด ให้ตายลงจากตัณหา แต่งานนั้นทำไปเรื่อย อุทิศชีวิตเพื่อผู้อื่น จนกระทั่งไม่มีเวลาจะมาคิดถึงตัว อย่างนี้เรียกว่าสมัครเข้าไปสู่ความตาย และก็ฟื้นจากความตายอีกทีหนึ่ง คือหลังจากที่กิเลสมันตาย ชีวิตที่เป็นชีวิตแท้จะฟื้นขึ้น ๆ ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น นี่คือเรื่องราวที่มันสับสนของคำว่า ตายก่อนตาย หรือแม้แต่คำพูดว่า วันทั้งวันฉันไม่ได้ทำอะไร คำพูดเช่นนี้ เซนต์พอล ก็คอยพูดไว้เหมือนกันว่า มีภรรยา ทำประหนึ่งว่าไม่มีภรรยา มีสุข ทำเหมือนไม่มีสุข มีทุกข์ ทำเหมือนไม่มีทุกข์ หิ้วตะกร้าไปตลาดไปชื้อของ อย่าเอาอะไรกลับมา ถ้าคนไม่เข้าใจจะหาว่าพูดอะไรเหมือนคนไม่ค่อยสบาย หมายความว่า อย่ายึดถือว่า สิ่งที่เราหิ้วมานั้นเป็นของเรา อย่ายึดถือว่าภรรยาเป็นของเรา เมื่อเป็นเช่นนั้น มันจะพบกันอีกทีหนึ่ง คือต่างคนต่างตายจากกิเลส แล้วแต่งงานอีกทีหนึ่งต่อหน้าพระธรรม ซึ่งเป็นการฟื้นจากความตาย
    สำนวนชนิดนี้เป็นสำนวนผกผันของท่านผู้รู้ และคนไทยในอดีตเต็มไปด้วยสำนวนชนิดนี้ ทางเหนือหรือทางภาคอีสานเต็มไปด้วยสำนวนของท่านผู้รู้เรื่องราวของชีวิต ส่วนสำนวนที่เป็นตรรกะนั้นเป็นสำนวนของนักวิชาการและไม่อาจช่วยชีวิตใครได้ เท่าไรนัก รังแต่จะช่วยให้ตายเข้าอีก ก็มีสำนวนที่ไม่เป็นเชิงตรรกะ แต่เป็นอุปมาอุปไมยนี้เองเป็นสำนวนที่แท้ การสอนที่แท้ต้องสอนด้วยอุปมา เพราะการสอนด้วยเหตุผลจะกระทำให้ผู้รับฟังสับสนยิ่งขึ้น เพราะต่างคนมีญัตติมาต่างกันมี 1ogical ground ต่างกันซึ่งจะสรุปไปคนละทิศ คนละทาง ส่วนอุปมาจะห่อหุ้มสาระไว้ แต่มันยังคงเป็นปริศนาสำหรับผู้ยังไม่รู้ และปริศนานี้จะค่อย ๆ กระจ่างขึ้นสำหรับผู้รู้ จนกระทั่งเห็นที่สุดว่า นี้เป็นเหตุผลแต่เป็นเหตุผลของผู้รู้ธรรม ไม่ใช่เหตุผลของนักวิชาการ
    ฉะนั้น สังคมไทยในอดีต หลวงตาแก่ๆ บ้านนอกที่เพ่งชีวิตด้านใน จะพูดชนิดที่คนฟังเข้าใจไม่ได้ แต่ลืมไม่ได้เหมือนกัน เก็บเอามาท่องมาพูดเล่นกันอยู่ทั้ง ๆ เข้าใจไม่ได้ ฟ้าแจ้งเมื่อค่ำ นี่ภาษิตทางเหนือ หมายความว่าอรุโณทัยของสัมมาทิฎฐิจะมีมาต่อเมื่ออัสดงคตของกิเลส พออายตนะนี้ดับ การเห็นที่แท้จริงจึงเกิด อายตนะหมายถึง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งมันผูกพันอยู่กับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ และเพราะความผูกพันอันนั้น มันจึงเกิดยินดียินร้ายในสัมผัสทั้ง ๖ เมื่อเป็นเช่นนั้นยิ่งเห็นอะไร ยิ่งไม่เห็นเท่านั้น ยิ่งเรียนรู้อะไร ยิ่งไม่รู้เท่านั้น ต่อเมื่อ
    อายตนะ นี้ดับ จึงเริ่มเห็นว่า แค่นั้นเอง ปรากฏการณ์ทางตา ทีนี้เริ่มเห็นเห็นอะไร ก็ค่อยเห็นผัสสะตามที่เป็นจริงจึงมีการกระทบ เดียวก็ปรุงเดี่ยวก็ดับลง ตามความเป็นจริง หมายความว่า ในช่วงที่เป็นจริงของมันกลไกตามที่เป็นจริงของมัน ปฏิจจสมุปบาทเป็นเรื่องกลไกของชีวิต ก่อนหน้าที่สติจะเกิด ชีวิตมันจมอยู่ในกลไกนั้น ด้วยคิดเสียว่าตัวเองคิด เมื่อจิตทำงาน คิดว่าจิตเป็นตน ตนเป็นจิต แต่สำหรับผู้ที่ฝึกสติปัฎฐาน สติจะผุดเด่นขึ้น ๆ คิดเป็นเรื่องของคิด แต่สติไม่ได้อยู่ในความคิด มันเฝ้าดูความคิดอยู่ ถ้าขณะที่ท่านคิดธรรมะ อาจจะไม่รู้ธรรมะก็ได้ เพราะมันจมอยู่ในความคิด แม้คิดถึงตัวธรรมะ คิดเรื่องอนิจจัง คิดว่าสิ่งทั้งปวงเป็นอนิจจัง ขณะนั้นแม้ความคิดเองก็เป็นอนิจจัง
    ฉะนั้นระบบโยนิโสมนสิการ คือทำในใจให้แยบคาย เฝ้าดูกระแสความคิด และจะเห็นความคิดเป็นห้วง เป็นห้วง เป็นห้วง สิ่งที่ทำหน้าที่เฝ้าดูนั้นคือสติสัมปชัญญะที่โชติช่วงขึ้นเหนือความคิด และความคิดจะรบกวนไม่ได้อีก เมื่อความคิดรบกวนไม่ได้ ก็จะเริ่มเป็นไทขึ้น จิตถึงไหน สติถึงนั่น สันติสุขจะเริ่มแผ่ซ่านขึ้นในชีวิต เพราะสติผุดเด่นขึ้นมา เพราะฉะนั้นคนโบราณจึงเพ่งไปที่ภาคปฏิบัติมากกว่าทฤษฎี ให้ทำกรรมฐาน ให้สติโชติช่วงขึ้นทุกที แล้วจะเห็นความคิด เรื่องราว เห็นนามรูปตามธรรมชาติจนกระทั่งไม่ใส่ใจ ในที่สุดคือนามรูปมันดับไป และสัจจะซึ่งอยู่เบื้องหลังนามรูปก็เห็นเด่นชัด มีคำนิยาม หรือพระสูตรที่พอเป็นหลักเกณฑ์ได้ว่า ปุถุชนทั้งหลายจะเห็นนามและรูปว่าเป็นสัจจะ พอได้ยินเรื่องนิพพานจะหาว่าโกหกมดเท็จ ส่วนพระอริยเจ้านั้น จะเห็นรูปนามเป็นปรากฏการณ์ เป็นมายา เป็นมุสา แต่เห็นนิพพานเท่านั้นเป็นสัจจะ
    ตามวิถีทางของนักปรัชญาเข้าหมกมุ่นอยู่ในความคิด กระแสของความคิดอยู่ในรูปในนาม ไม่อาจสลัดนามรูปได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นแม้จะเขียนทฤษฎีอะไรไว้อย่างลึกซึ้ง แต่สำหรับผู้นำเองอาจจะไม่พบอิสรภาพเลย เราพบว่านักปราชญ์ นักเขียน นักปรัชญา หลายคนฆ่าตัวตายเพราะความสับสนของนามรูปนี้ แต่เราพบว่าหลวงตาแก่ ๆ หลายคนที่เพ่งชีวิตเข้าพูดอะไรไม่เป็น แต่เริ่มพบอิสรภาพ
    วิถีการเรียนธรรมะกับทางโลกนั้นจะมีอะไรสวนทางกันก็ตรงนี้. ฝ่ายหนึ่งเรียนเพื่อยั่วยุอายตนะ และสร้างผู้รู้ขึ้น ถึงรู้ขึ้นมากเท่าใด ยิ่งหยิ่ง สร้างตัวตนขึ้นมากเท่านั้น ส่วนทางธรรมยิ่งรู้มากเท่าใด ตัวตนยิ่งหมดลงเท่านั้น เหมือนที่ท่านเหลาจื้อสรุปไว้อย่างน่าสนใจ คัมภีร์เต๋าเต้กิง ซึ่งล้วนเป็นสำนวนผกผัน คล้าย ๆ กับสำนวนของเพลงเสียวสวาสดิ์ของภาคอีสาน ท่านเหลาจื้อสรุปว่า ยิ่งเรียนมาก ยิ่งพอกขึ้น ยิ่งแสวงหาเต๋า ยิ่งน้อยลงน้อยลง น้อยลง จนกระทั่งไม่ทำอะไรเลย เมื่อไม่ทำอะไรเลย ก็ใม่มีอะไรที่ยังไม่ได้ทำ สำนวนเช่นนี้ชวนเวียนหัวที่สุด แต่ถ้าเพ่งพินิจเข้าไปแล้ว จะพบความจริงที่ลึกซึ้ง จะน้อยลง ๆ จนกระทั่งรู้สึกตัวเองไม่ได้ทำอะไร คือไม่มีตัวตนเป็นผู้ทำ เมื่อเป็นเช่นนั้น ทุกสิ่งก็ได้ทำเรียบร้อยแล้ว เข้าถึงผลอันสูงสุดของชีวิต สุภาษิตบทนี้ดูเหมือนเป็นที่รู้จักแพร่หลายที่สุดในหมู่คนจีนที่ว่า อุ้ยบ่อุ้ย ทำเหมือนไม่ทำ เหมือนที่เซ็นต์พอลกล่าวว่า มีเหมือนไม่มี คือมีภรรยาทำเหมือนไม่มี มีลูกทำเหมือนไม่มี แล้วก็ใช้สติปัญญาที่ออกจากความมีนั้นได้แล้ว เลี้ยงลูกไปโดยไม่ต้องเป็นทุกข์
    ก็เห็นทีจะต้องจบสิ้นปัญหาพอดี ขอให้ประสบความสวัสดีทุกๆ ท่าน
    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...