อิทธิฤทธิ์หรือความบังเอิญ ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอนที่๕ ครูบาอินทรจักรรักษา

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 1 สิงหาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    อิทธิฤทธิ์หรือความบังเอิญ ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอนที่๕ ครูบาอินทรจักรรักษา
    [​IMG]
    (หรือพระเดชพระคุณ “พระสุธรรมยานเถระ”

    แห่งวัด “น้ำบ่อหลวง” อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่)
    พวกเราเสร็จจากนมัสการกราบเยี่ยมท่านพระบาทตากผ้า ก็เดินทางต่อไปยัง วัดดอนมูล อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีความตั้งใจที่จะไปนมัสการกราบเยี่ยมพระอริยะที่จนเกือบจะที่สุด แต่ไม่เจอะเจอ “ท่านทุกขิตะ” หรือ "หลวงปู่คำแสนน้อย" พวกเราก็เลยเบนเข็มไปนอนก่อนสักวัน รุ่งขึ้นวันพรุ่งนี้จึงจะช่วยกันคิดว่าจะไปเที่ยวหรือไปนมัสการกราบเยี่ยมพระดีๆ ที่ไหนกันต่อไป

    ดังนั้น ครั้นพอเช้ามืดวันต่อมา เราก็ปลุกพลพรรคออกไปช้อปปิ้งกันก่อนไป ระหว่างที่คณะศิษย์ส่วนใหญ่กำลังช้อปปิ้งกันนั่นเอง ได้มีศิษย์บางท่านแนะนำและชักชวนหลวงพ่อว่า น่าจะลองไปเที่ยวกันที่ วัดน้ำบ่อหลวง เพราะที่วัดนี้มีพระดีอยู่อีกองค์หนึ่งคือท่าน “ครูบาอินทจักโก” ซึ่งเป็นองค์พี่ชายของท่านครูบาพรหมจักโก แต่ไม่ทราบว่าท่านจะอยู่วัดหรือไม่ เพราะไม่ได้นัดหมายกันล่วงหน้าเอาไว้ก่อน พอมีคนชวน หลวงพ่อฯก็ตกลงอนุมัติทันทีให้เดินทางไปโดยเร็ว พวกเรารีบรวบรวมพลพรรคที่ออกไปช้อปปิ้ง โดยพากันเร่งรัดเวลาแล้วรีบออกเดินทางไปวัดน้ำบ่อหลวง

    ส่วนท่านวัดน้ำบ่อหลวง พอตื่นจากจำวัดก็สั่งให้มรรคทายกจัดเตรียมศาลาและอาหาร บอกกับเหล่าทายกทายิกาว่า จะมีศรัทธาจากกรุงเทพฯ มากันมาก ไวยาวัจกรว่าไม่มีใครมาบอกอะไรไว้นะ หลวงพ่อฯท่านก็ว่า “เหอะ..เดี๋ยวจะมีมาละก็จะไม่ทัน”

    ปรากฎว่าพอเลี้ยวรถเข้าวัดถามไถ่ได้ความว่า ท่านวัดน้ำบ่อหลวงไปรอรับพวกเราอยู่ที่ศาลาแล้ว จึงได้พากันเข้าไปกราบนมัสการ แหม..! แทบไม่น่าเชื่อ สำรับอาหารคาวหวานตั้งเอาไว้พร้อมแล้วยังกับรู้ล่วงหน้า พอลงจากรถก็ได้กินได้ฉันทันเพลพอดี เมื่ออิ่มหนำสำราญกันดีแล้ว หลวงพ่อฯก็พาพวกเราเข้าไปกราบนมัสการอีกทันที สอบถามเลยว่า “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าพวกกระผมจะพากันมาหาขอรับ” ท่านก็บอกว่า “มีคนบอก” หลวงพ่อฯ ของเราซักอีกว่า “ใครบอก” ท่านก็ไม่ยอมพูดถึงว่าใครบอก ตอบสั้นๆว่า “รู้” แล้วมองหน้าหลวงพ่อของเราพูดกันด้วยภาษาสายตา

    ที่ผมขอเดาเอาเองว่า แหม..ท่านก็รู้แล้วยังแกล้งมาทำเป็นมาถาม แกล้งทำเป็นไม่รู้ อะไรต่ออะไร มันก็เหมือนไก่เห็นไข่พญานาคา เอ๊ย..ไม่ใช่..ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่นั้นแหละ หลวงพ่อของเราจึงขออภัยนมัสการกราบเรียนว่า

    “กระผมนั้นทราบดี แต่ทว่าลูกศิษย์ที่ติดตามมา แม้ล้วนเป็นนักบุญก็จริงแต่ยังมีความสงสัย จึงเป็นหน้าที่ของอาจารย์ที่จะต้องทำให้ข้อสงสัยข้องใจนั้นปรากฎความจริงออกมา หาได้มีจิตคิดจะลบหลู่ท่านครูบาแต่ประการใด”

    ท่านก็หัวเราะและอมยิ้ม กิริยามารยาทที่พระสุปฏิปันโนสององค์ ท่านน้อมคารวะปฏิสันถารกันอย่างน่าจดจำไว้เป็นตัวอย่าง สร้างความประทับใจให้กับเหล่าศิษยานุศิษย์ยิ่งนัก เมื่อหลวงพ่อปฏิสันถารโต้ตอบกับท่านวัดน้ำบ่อหลวง จนกระทั่งท่านยอมรับแล้วว่า สำหรับท่านนั้น สังขารมันป่วยแต่ใจไม่ป่วยแล้ว พวกเราต่างก็ชื่นอกชื่นใจ ยิ่งได้ฟังสองท่านปุจฉาวิสัชนากันจนสิ้นสงสัยก็ยิ่งชื่นอกชื่นใจ แหม..องค์ปุจฉาก็ฉลาดลึก ส่วนองค์วิสัชนาก็ฉลาดล้ำ บัวก็ไม่ช้ำ..น้ำก็ไม่ขุ่น ผู้เห็นผู้ได้ยินได้ฟังต่างบังเกิดปีติยิ่งนัก

    สำหรับผมเองนั้น นอกจากจะเฝ้ามองอย่างเป็นสุขแล้ว ก็ยังได้บังเกิดข้อคิดขึ้นมาในใจอีกว่า ผู้ใหญ่ที่มีบารมีจริงๆแล้ว ท่านกลับโอภาปราศรัยมีสัมมาคารวะดียิ่ง นอบน้อมถ่อมตนเหลือเกิน พูดง่ายๆ ว่าไม่เห็นท่านเบ่งหรืออวดเก่งทับถมกันเลย ผิดกับพวกลิ่วล้อซึ่งชอบวางโต..แต่ใจเล็กและแคบ ท่านที่เดินล่วงหน้าไปข้างหน้า ไม่ใช่ว่าท่านจะถึงก่อนเสมอไปนะครับ

    ท่านพระสารีบุตร ท่านบรรลุพระโสดาบันก่อนท่านพระโมคคัลลาน์ แต่ท่านพระโมคคัลลาน์สำเร็จพระอรหันต์ก่อนท่านพระสารีบุตรนะครับ (หรือท่านคิดว่าจะเอาอย่างความเป็นเลิศทางปัญญา เหมือนท่านพระสารีบุตรก็ตามใจเถิดนะขอรับ ปัญญาไม่ใช่สัญญานะ)

    เมื่อสนทนากันเสร็จสิ้นกระบวนความแล้ว ก็ถึงพิธีการแจกเครื่องรางของขลัง สำหรับผมเองนั้นบอกแล้วไงครับว่า สมัยนั้นน่ะอยู่หางแถวและนั่งอยู่ไกลกว่าใครเขา ไม่ว่าใครจะมาจากไหน ท่านก็แจกพระรอดให้คนละองค์ ใครตื้อดีก็ได้เพิ่มไปฝากลูกฝากหลานอีกคนละองค์สององค์ ผมนั้นตั้งจิตอธิษฐานว่าเครื่องรางของขลังนั้น กระผมอยากที่จะได้นำไปฝากพวกที่กำลังรบหนักอยู่ที่ชายแดน

    ผมจากเขามาเพราะเจ็บป่วยเนื่องจากถูกยิงเสียก่อน ทิ้งพวกทิ้งเพื่อนที่กำลังรบราติดพันอยู่ ไม่ได้อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเขา จึงอยากจะได้เพื่อนำไปให้เพื่อช่วยเป็นกำลังใจเขา เออ..แน่ะ! ได้ผลแฮะ..พอถึงคิวที่ผมได้เข้าไปรับปุ๊บ (ก็โหล่สุดนั่นแหละครับ) พระเดชพระคุณหลวงพ่อของเราว่าให้เองปั๊บ..เลย

    “ไอ้นี่มันเป็นนักรบ อยากได้เครื่องรางของขลังไปให้กำลังใจพวกของมัน ขอให้มันเยอะๆ เถิดขอรับ พวกมันมีมาก”

    ปรากฎว่ามีพระเหลืออยู่สิบกว่าองค์ในก้นถุง ท่านก็ยกให้หมดและยังบอกว่าวันหลังมาเอาใหม่ พวกเราว่าหลวงพ่อของเราท่านรู้วาระจิตไหมขอรับ หรือเห็นว่าเป็นเรื่องบังเอิญอีก (ช่างบังเอิญได้ตรงเป๊ะ..เชียวนะครับ และก็ช่างบังเอิญได้บ่อยๆ เสียด้วย แบบนี้ต้องเรียกว่า “ประจำ” มากกว่า)

    ท่านวัดน้ำบ่อหลวงนั้น ก่อนหน้าที่พวกเราจะพากันไปกราบนมัสการ ท่านป่วยเป็นมะเร็งและเป็นมากแล้ว หมอเขาว่าตายแหงแบเบอร์ให้โยมนำกลับมาที่วัดเสีย เพราะอย่างไรก็รักษาไม่หายแล้ว เอามาไว้เสียที่วัดใกล้ญาติใกล้โยมจะได้ทำศพกันได้โดยสะดวก แล้วท่านก็ตายไปจริงๆ ตายไปกี่วันผมจำไม่ได้ ยังดีนะที่เขาไม่จับท่านฉีดยากันเน่า ไม่อย่างนั้นท่านก็คงจะต้องเน่าเพราะยา ดูเหมือนจะเป็นสามวันมั๊งที่ท่านตายไป

    พอพ้นวันที่สามท่านก็ฟื้น โชคดีอีกที่เขาไม่เอาท่านใส่โลงปิดฝา ไม่งั้นไม่ฟื้นดีกว่าครับ เพราะถึงฟื้นก็จะต้องมาตายซ้ำเพราะขาดอากาศจะหายใจ และกว่าจะขาดใจตายก็คงจะอึดอัดทุรนทุรายน่าดูเลย

    (กรุณาไปหาหนังสืออ่านเอาเองนะครับว่าตอนที่ท่านตาย ท่านไปเที่ยวที่ไหนมา ทราบว่ามี พระภิกษุท่านหมอประสาน เหตระกูล ลูกศิษย์ของท่านเขียนเล่าไว้ละเอียดแล้ว ท่านที่เคยหรือไม่เคยอ่าน ลองไปเที่ยวที่วัดน้ำบ่อหลวง แล้วแวะไปดูเจดีย์ครอบพระพุทธบาทจำลอง จะเห็นว่ามีการจำลองพระจุฬามณี นรก สวรรค์ เพียบ...ตามที่ท่านไปเห็นและจำไว้ ครั้นเมื่อกลับมาแล้วจึงได้สร้างเลียนแบบตามที่ได้ไปเห็น)

    เมื่อมีการรับรองอย่างนี้แล้ว ท่านว่านรก สวรรค์ พระจุฬามณี มีไหมครับ เชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจนะครับ สอนยากจริงๆ แถมดื้ออีกต่างหาก หรือพวกเราจะไปดูของจริงก็ได้นะครับ " มโนมยิทธิ" ยังไงล่ะ..พ่อคุณแม่คุณ..! อยากเห็นปุ๊บ..ได้ดูปั๊บ..หรือบางท่านอยากจะทดลองไปอยู่จริงๆ ก็ตามใจเถิดครับ แต่สำหรับเรื่องนี้ เป๋..ขอตัวก่อนครับ ธุระเยอะจริ๊ง.. (ไปไหนไปด้วย ไปนรกเห็นทีจะต้องขอป่วย แต่ถ้ากินไหนก็จะกินด้วย เที่ยวไหนก็ยินดีเที่ยวด้วย ถึงป่วยก็จะกัดฟันไปช่วยกินช่วยเที่ยว)

    พอมาวันหลังผมก็ไปหาท่านอีก ท่านก็ให้พระรอดมาถุงใหญ่ เรียกให้ไปเอาที่กุฏิได้พบได้คุยเป็นส่วนตัวอยู่นาน แหม...ไม่เห็นคุยเรื่องอื่นชมแต่หลวงพ่อของเราตลอดเวลาและตักเตือนผม ให้หมั่นปฏิบัติธรรมและดูแลหลวงพ่อฯให้ดี ท่านว่าหลวงพ่อฯของเรานั้นลาพุทธภูมิแล้ว

    และมีอยู่ครั้งหนึ่งซึ่งหลวงพ่อฯสั่งให้ผมไปขอสังฆาฏิจากท่าน ซึ่งท่านก็ไม่ขัดข้องให้เดินตามไปรับที่กุฏี ก่อนท่านจะมอบให้ท่านก็ยกสังฆาฏิผืนที่ดูเหมือนจะเตรียมเอาไว้ให้ขึ้นบรรจบหลับตาอธิษฐาน ผมก็ไม่ถามไม่ไถ่ ยกกล้องขึ้นถ่ายหมับ ปรากฎว่าแฟล็ชช็อตหมุบ ร้อนวาบจนต้องโยนทิ้งทั้งกล้องทั้งแฟล็ช ท่านก็ลืมตาขึ้นมาแล้วร้องดุว่า

    “เดี๋ยว...จบก่อน” พอท่านบรรจบอธิษฐานเสร็จ ท่านก็ว่า

    “เอ้า..ถ่ายได้แล้ว” ลูกน้องผมก็รายงานทันทีว่า

    “ถ่ายไม่ได้แล้วครับ” ท่านถามว่า

    “ทำไม” เรียนท่านว่า

    “พังครับ พังหมดทั้งกล้องทั้งแฟล็ช” ถามอีกว่า

    “แพงไหม?” น้ำเสียงแสดงความเป็นห่วง ผมตอบไปว่า

    “ไม่ทราบครับ” (กล้องผมขอยืมเขาไปครับ แพงหรือไม่ผมจะไปรู้เหรอขอรับหลวงปู่ฯ แต่ในใจน่ะร้องครางว่า อิ๊บอ๋าย..หลายตังค์แล้วตู สมน้ำหน้าเหลือเกินนะหมื่นไวย..ไวตะเลน) ท่านว่าอีกว่า

    “ดูใหม่ซี้” ท่านทำเสียงยานคางแถมหัวเราะหึๆ เบาๆ ผมก็เอามาลูบๆ คลำๆ ใจนั้นคิดว่าจะคลำพอเป็นพิธี เพราะก่อนที่จะรายงานว่าพังนั้นเห็นว่ามันพังแล้วจริงๆ กลไกมันติดขัดไปหมดแล้วมันจะไม่พังได้อย่างไร เอ๊ะ..พอลูบๆ คลำๆ อ้าว..ไหงไอ้บรรดากลไกต่างๆ กลับทำงานได้ตามปกติ (ตอนนั้นใช้แฟล็ชจานใส่หลอดแบบเก่าจานไหม้ไปนิดหนึ่ง ราคาไม่กี่สตางค์) เก่งจริงๆ หลวงปู่ฯนี่ ถามอีกว่า

    “ห้อยพระอะไร” ตอบท่านไปว่า

    “ห้อยลูกแก้วราหูของหลวงปู่ชุ่มฯครับ” ท่านก็ว่า

    “ศักดิ์สิทธิ์น๊ะ..แล้วเจ็บบ้างหรือเปล่า” เรียนท่านว่า

    “ไม่เจ็บครับ แต่มือชาไปหมด” ท่านขอดูมือเอาไปลูบคลำ ไม่เสกไม่เป่า แพล๊บเดียวก็หายเป็นปกติ

    ความจริงก่อนจะถ่ายรูปนั้นผมอวดดีไปเอง (เป็นอย่างนี้อยู่บ่อยๆ) แม้จะระแวงอยู่แล้วว่าจะต้องเจอดีหากไม่ขออนุญาตเสียก่อน เพราะเคยฟังท่านผู้รู้เขาเล่าเขาเตือนถึงประสบการณ์แบบนี้กับพระที่ทรงอภิญญา แต่ผมขอท่านไม่ทันและใจมัน (ใจผมน่ะครับ) ก็เลยคิดง่ายๆ (มักง่ายแหละครับว่ากันตรงๆ) แบบว่าเลยตามเลยแถมอวดดีอีกต่างหาก โดยคิดว่ามีของดีอยู่กับตัวกลัวอะไร ลองซะเลย จึงแอบอธิษฐานกับลูกแก้วขอให้ช่วยคุ้มครองขณะลองดี แล้วก็เจอดีสมใจปรารถนา

    แต่ว่าก็ว่าเถิดนะครับ ถ้าตอนนั้นผมไม่ยอมเสี่ยงก็คงจะไม่มีเรื่องมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้..จริงไหมขอรับ (น่าน..โม้อีก) สังฆาฏิผืนที่ว่านี้ยังมีเหลืออยู่ จะเอาไปสร้างพระ เก็บหอบหิ้วมาตั้ง ๑๗ ปี แล้วนะ...จะ บอกให้..!!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 สิงหาคม 2015
  2. นาย หวังดี

    นาย หวังดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2013
    โพสต์:
    395
    ค่าพลัง:
    +1,272
    กราบหลวงพ่อครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...