อำนาจของบุญของกรรม หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 28 กุมภาพันธ์ 2013.

  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    อำนาจของบุญของกรรม


    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

    เมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘



    วันนี้คุณแม่องุ่นพร้อมลูก ๆ หลาน ๆ ญาติมิตรทั้งหลายมาทำบุญครบรอบวันเกิดของตนวันนี้ ในรอบปีหนึ่งทำบุญอายุครบรอบเป็นที่ระลึกเสียทีหนึ่ง ๆ ส่วนการทำบุญประจำวันประจำเวลานั้นเป็นอีกอย่างหนึ่ง นี่ขอให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายได้ทราบเอาไว้ว่า นี่เป็นคติตัวอย่างอันดีงามสำหรับชาวพุทธเรา ซึ่งเดินทางถูกต้องตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า เพราะชีวิตจิตใจของเรานี้ส่วนร่างกายเป็นของไม่แน่นอน ผันแปรอยู่ตลอดเวลา สุดท้ายก็ถึงความล้มความตายนั้นเป็นที่สุด ส่วนจิตใจนั้นไม่อยู่ ออกจากร่างนี้ก็เข้าสู่ร่างนั้น ออกจากร่างนั้นเข้าสู่ร่างนั้นอยู่เรื่อย ๆ ตลอดมาเป็นกัปเป็นกัลป์แล้วนานแสนนาน

    ชีวิตนี้ท่องเที่ยวอยู่ในวัฏวนนี้หาทางออกไม่ได้ ทางออกของจิตนี้ที่จะให้หลุดพ้นจากทุกข์ไปได้นั้น คือการสร้างบุญสร้างกุศล นี่เป็นทางออกของจิตที่จะออกจากวัฏทุกข์ทั้งหลายได้ นอกจากนั้นไม่มีทาง เพราะฉะนั้นโลกกับธรรมจึงแยกกันไม่ออก ศาสนากับโลกเป็นสิ่งจำเป็นมากที่สุด เพราะวัฏวนคือเรื่องของกิเลสนี้พาสัตว์ให้หมุนเวียนอยู่อย่างนี้เป็นประจำ เรียกว่าเป็นคติธรรมชาติของกิเลส มีแต่พาสัตว์ให้หมุนเวียนเกิดแก่เจ็บตายอยู่อย่างนี้ไม่หยุดไม่ถอย ธรรมชาติของสัตว์นำสัตว์ให้หลุดพ้น คลี่คลายออกจากความผูกมัดทั้งหลายให้หลุดพ้นไปโดยลำดับลำดา ด้วยการสร้างคุณงามความดี ตามหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นธรรมกับโลกจึงแยกกันไม่ออก

    ถ้าธรรมขาดเสียเมื่อไรโลกนี้ก็หมดความหมายไปทันที มีแต่ความล่มจมอย่างเดียวหาความสุขความเจริญไม่ได้ หาความปลอดภัยไร้กังวลไม่ได้ ถ้ามีธรรมก็เหมือนกับโรคมีหมอและยาเป็นเครื่องรักษา ย่อมมีทางบรรเทาเบาทุกข์ไปได้โดยลำดับ ถึงกับหายขาดได้เพราะอำนาจแห่งยาและหมอเยียวยา นี่ก็ธรรมกับพระพุทธเจ้า ธรรมเป็นเหมือนยา พระพุทธเจ้าเป็นเหมือนหมอ หมอเอก จากนั้นมาก็พระสาวกอรหัตอรหันต์ครูบาอาจารย์เป็นหมอมาโดยลำดับลำดา นำธรรมะซึ่งเป็นยานี้มาแนะนำสั่งสอนสัตว์โลก เท่ากับมาเยียวยาโรคภายในจิตใจ โรคกิเลสตัณหา

    ความโลภก็เป็นโรคชนิดหนึ่ง ความโกรธก็เป็นโรคชนิดหนึ่ง ราคะตัณหาแต่ละประเภท ๆ เป็นโรคชนิดสำคัญ ๆ ที่เสียดแทงจิตใจของสัตว์โลกให้หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาอยู่เป็นสุขไม่ได้ คนเราอยู่เฉย ๆ ไม่ได้นอกจากเวลาหลับสนิทเท่านั้น ก็นอนนิ่งสบายเลยในระยะนั้น ถ้าตื่นจากหลับแล้วก็ดีดดิ้นกันไม่ว่าใครชาติชั้นวรรณะใดเหมือนกันหมด เพราะมีธรรมชาติอันหนึ่งพาให้หมุนให้ดีดดิ้นอยู่ภายในจิตใจ โลกทั้งหลายจึงได้ไหวไปไหวมาอยู่ตลอด ส่วนมากไหวไปทางความชั่วช้าลามกซึ่งเป็นการเพิ่มวัฏวนให้ยืดยาวไปเรื่อย ๆ ไม่ให้สิ้นสุดวิมุตติหลุดพ้นไปได้

    แต่ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ใครสร้างมากสร้างน้อยเท่าไรก็เป็นเครื่องหมุนออก ๆ หมุนให้หลุดให้พ้นไปโดยลำดับ ผู้ที่มีคุณงามความดีบุญกุศลมากภายในจิตใจแล้วย่อมหลุดพ้นไปได้โดยลำดับเพราะอำนาจแห่งธรรม จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายยึดหลักธรรมที่สอนในวันนี้เอาไว้ด้วยดี ประพฤติปฏิบัติ ความเป็นอยู่ปูวายของเราก็ให้ชุ่มเย็น ทรัพย์สมบัติเงินทองข้าวของให้มีพอจับจ่ายใช้สอยไม่อดอยากขาดแคลน นี่ก็เป็นความชุ่มเย็นอันหนึ่งสำหรับร่างกายจิตใจชีวิตของเรา

    แต่ทางคุณงามความดีเราก็สร้างเป็นประจำวันของเรา นี้เป็นอาหารหล่อเลี้ยงจิตใจ เรียกว่าสมบัติของใจ ก็ให้มีเป็นประจำวัน ๆ ก็เรียกว่ายิ้มแย้มแจ่มใสหรือแช่มชื่นเบิกบาน ทั้งภายในได้แก่จิตใจ ทั้งภายนอกได้แก่ทรัพย์สมบัติเงินทองเพื่อสังขารร่างกายเรา สมบูรณ์พูนผลทั้งสองอย่างแล้วไปไหนไม่อดอยากขาดแคลน ไปโลกหน้าก็ไม่อดอยากขาดแคลน คนมีบุญไปเกิดที่ไหนเกิดแต่สถานที่ได้รับความสุขความเจริญทั้งนั้น โลกเขามีความทุกข์มาก แต่คนมีบุญมีความทุกข์น้อยและมีความสุขมากเป็นลำดับ นี่อำนาจแห่งบุญแห่งกุศลจงพากันสร้างอย่านอนใจ

    เรื่องใจสำคัญมากที่สุด ใจไม่เคยตาย ตายแต่ร่างกาย นี่ที่เรามีร่างกายอยู่เวลานี้ก็เพราะจิตใจเข้าสิงสถิตอยู่ในนี้ เป็นเจ้าตัวการเป็นเจ้าของ ทีนี้เมื่อสภาพนี้หมดกำลังลงไปแล้วก็เรียกว่าคนตาย จิตใจก็ดีดออกอีกแล้วไปสู่อัตภาพใหม่ อัตภาพนั้นก็ขึ้นอยู่กับบุญกับกุศลเหมือนกัน ถ้ามีบุญมีกุศลก็ได้สังขารร่างกายหรืออัตภาพอันดีงามขึ้นไปเรื่อย ๆ เจริญรุ่งเรืองขึ้นไปเรื่อย ๆ ถ้าจิตใจไม่มีบุญมีแต่บาปหาบแต่กรรมก็ไปจมลงในนรกได้รับความทุกข์ความทรมาน

    ไม่หยุดเรื่องใจนี้ ยังไงก็ไม่หยุด หมุนไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ เกิดแก่เจ็บตาย ๆ สูง ๆ ต่ำ ๆ ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ไปอย่างนี้เรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาดจึงต้องได้สร้างคุณงามความดีพร้อมกันกับการครองชีพ การทำมาหาเลี้ยงชีพเพื่อการครองชีพเราก็วิ่งเต้นขวนขวาย การเสาะแสวงหาคุณงามความดีเข้าสู่ใจเพื่อเป็นอาหารของใจเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจเป็นเสบียงของใจ เราก็ไม่ประมาท ทำกันทั้งสองด้าน

    เมื่อทำกันทั้งสองด้านสองฝ่ายนี้แล้ว ส่วนร่างกายชีวิตความเป็นอยู่ของเราก็ชุ่มเย็น ส่วนจิตใจของเราทั้งอยู่ในปัจจุบันนี้ก็ชุ่มเย็นยิ้มแย้มแจ่มใส เวลาละจากโลกนี้ไปแล้วไปสู่โลกหน้าก็ไปโลกคนมีบุญนั่นแหละ เป็นโลกทิพย์ เช่น สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน นี่เรียกว่าโลกทิพย์สำหรับคนบุญ ส่วนโลกที่เป็นเปรตเป็นผีนั้นเป็นโลกบาป ใครสร้างบาปมาก ๆ แล้วตายก็จมไปอย่างนั้น นี่ท่านว่าเกิดแก่เจ็บตายไปสูง ๆ ต่ำ ๆ อย่างนี้แหละ มันทำให้เกิดแต่เกิดสูง ๆ ต่ำ ๆ ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ไม่แน่นอน เพราะฉะนั้นจึงสร้างความแน่นอนให้จิตใจให้ไปเกิดแต่สถานที่ดี ด้วยอำนาจแห่งการสร้างความดีนี้เป็นสิ่งที่เหมาะสมมากกับเราชาวพุทธ

    วันนี้ท่านทั้งหลายก็ได้มาสร้างบุญสร้างกุศลพร้อมหน้าพร้อมตากัน ก็นับว่าเป็นบุญเป็นกุศลแก่เราทุกคน ๆ ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ ต่อไปนี้จะให้พร

    เมื่อเช้าบิณฑบาตถ่ายบาตรได้ ๔๗ บาตร นี่ละอาหารของเทวดา พี่น้องทั้งหลายจะเป็นผู้รับส่วนบุญส่วนกุศลนี้ทั้งหมด กี่บาตรก็ตามเป็นของพี่น้องทั้งหลายนะ พระท่านก็เหมือนไร่นาดังที่ท่านว่า ปุญฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺส พระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญของโลก คือว่าเหมือนนาข้าวนี้มีมากมีน้อยเขาปักเขาดำลงไปแล้ว ถึงเวลาออกดอกออกผลนี้เจ้าของเขามาเก็บเกี่ยวไปหมด นาได้แต่ฟาง เข้าใจไหมฟาง เจ้าของได้แต่ฟาง นั่นท่านจึงเรียกว่า ปุญฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺส

    พระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญ คือว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่บรรดาญาติโยมทั้งหลายมาถวายนี้มากน้อยนี้ เป็นเหมือนกับข้าวที่หว่านลงในนา เมื่อเกิดบุญเกิดกุศลขึ้นมาเจ้าของรับไปหมด พระสงฆ์ก็ได้อาศัยอาหารที่ท่านทั้งหลายถวายนี่ละ นี่เรียกว่าได้แต่ฟาง ส่วนบุญเจ้าของเอาไปหมดเลย พระก็เหมือนนาได้แก่ฟาง พระก็ได้อาศัยชั่วกาลเวลายังชีวิตวันหนึ่ง ๆ ไป นี่เป็นส่วนที่พระได้รับ ส่วนบุญส่วนกุศลเป็นของเจ้าของที่บริจาคมากน้อยได้รับไปหมด แล้วบุญกุศลส่วนนี้แลจะเข้าไปรวมตัวอยู่ภายในจิตใจของเราเป็นเครื่องหนุนจิตใจ หนุนหมุนไป ถึงเวลาจำเป็นแล้วอันนี้จะเข้าใกล้ชิดติดพันกับจิต พันอยู่กับจิตเลย พอขาดใจนี่ก็ดีดผึงหนุนเลยไปเลย นี่บุญเป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้นจึงให้พากันสร้างบุญ พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์สอนให้สร้างคุณงามความดีนะ ให้สร้างบุญ ตำหนิติโทษพวกกิเลสตัณหาอาสวะประเภทต่าง ๆ ซึ่งเป็นตัวภัยตัวเวร ก่อกรรมทำเข็ญแก่สัตว์โลกมากมาย ส่วนบุญส่วนกุศลมีแต่คุณมหาคุณโดยถ่ายเดียว ให้พากันสร้างความดีให้ดี นี่เป็นกัณฑ์ที่สองแล้วไม่ใช่เหรอ เอาละพอ สองกัณฑ์แล้วพอแล้ว

    เมื่อวานซืนนี้ก็ไปช่วยคนตาบอด โน่นจังหวัดพิจิตร ไปวานซืนนี้ไปช่วยคนตาบอด จะเอาคนตาบอดเข้ารักษาถ้าหากว่ารักษาได้จะให้รักษาเลย คนตาบอด มีหวังอยู่ข้างหนึ่งคิดว่าจะพอได้ แล้วก็ปลูกบ้านให้หลังหนึ่ง คนตาบอดอยู่กับหลานสองคน ไปดูถึงบ้านเลย เอาของไปเทลงนั้นเลย เครื่องครัวทั้งหมด อาหารการบริโภค ถ้วยชาม หม้อ เสื่อสาด เตรียมพร้อมไปใส่รถไปถึงก็เทให้เลย นั่นละเรียกว่าช่วยกันอย่างนั้น

    นี่แกก็มีวาสนานี่ ไม่มีวาสนาไม่มีใครไปช่วยนะ ถึงจะประกาศโฆษณาลั่นโลกก็ตามเถอะจะไม่มีใครเหลียวแลถ้าไม่มีวาสนาไม่มีบุญเป็นเครื่องรับกัน นี่ก็แสดงว่ามีบุญมีวาสนาเป็นเครื่องรับ พอประกาศถึงไหนจิตใจของคนก็ดูดดื่มพอใจที่จะช่วยสงเคราะห์ ต่างคนก็ต่างคอยช่วย นั่นวาสนาของตัวเอง ถึงจะจนก็ตามแต่วาสนาไม่จน ก็รับได้อย่างนี้แหละ เป็นเครื่องรับกัน

    ดังตัวอย่างที่เคยเล่าให้ฟัง พระองค์หนึ่งมาบวชตั้งแต่บวชแล้ว ฟังให้ดี ไม่งั้นไม่ฟังนะ ถ้าฟังกิเลสมันฟังดี ฟังเพลงฟังเขาขับเขาลำระบำรำโป๊ โอ๊ย ฟังทั้งอ้าปากด้วย มันฟังจริงฟังจังขนาดนั้นนะ จนลืมงับปาก ถ้าฟังอรรถฟังธรรมไม่อยากสนใจนะ เพราะฉะนั้นถึงบอก เอ้า ฟังน่ะซิ มีพระองค์หนึ่งตั้งแต่เป็นฆราวาสเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวมาก นี่ท่านบอกไว้ในชาดกชัดเจนมากนะ ตั้งแต่เป็นฆราวาสเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว เป็นพ่อค้าค้าขาย แต่ว่าเรื่องเอารัดเอาเปรียบลูกน้องนี้เก่ง ลูกค้านี้เอารัดเอาเปรียบทั้งนั้นแหละ นี่คนเห็นแก่ตัว แม้ที่สุดขายข้าว ข้าวมันหลุดออกจากปากกระสอบตกลงเรี่ยราดตามดิน พวกมดง่ามมันขนเข้าไปในรูยังไปขุดเอาจากมดง่าม ของกูนี่นะไม่ใช่ของมึงเอาไปทำไม ขุดเอาโกยเอามาจากมดง่าม อู๊ย น่าสงสาร ถ้าเราเป็นมดง่ามจะไล่ตีให้หลงทิศไปเลยนะ ถ้าหลวงตาบัวเป็นมดง่ามจะตีเลยนะ เพียงข้าวตกเรี่ยราดจากปากกระสอบเท่านั้น ตกลงไปในดิน พวกมดง่ามมันขนเข้าไปในรูยังขุดเอาของมันมาได้

    ทีนี้เวลาโผเผมาไม่รู้มาเกิดเป็นมนุษย์ได้บวชเป็นพระ ตั้งแต่วันบวชแล้วไปบิณฑบาตไม่เคยอิ่มท้อง ฉันจังหันไม่เคยอิ่มเป็นประจำอยู่งั้น พอให้ไปก่อนเขาก็ไม่เห็นเสียมันดลบันดาล พอไปตามหลังก็ข้าวหมดเสีย พอไปในย่านกลางของพระ ให้ไปทุกแบบนะ ให้พระองค์นั้นไปทุกแบบ ให้นำหน้าก็ให้ไป ก็ดลบันดาลไม่ให้เขาเห็นเขาก็ใส่องค์ต่อมาเสีย พออยู่กลางก็ไม่เห็นอีกแหละ อยู่สุดท้ายก็อาหารหมดแล้วเสีย เป็นอย่างนั้นมาประจำจนกระทั่งร่ำลือ ๆ ความอดอยากขาดแคลนของภิกษุผู้นั้น จนกระทั่งถึงพระโมคคัลลาน์ สารีบุตร ท่านก็เลยไปทั้ง ๒ องค์

    พระสารีบุตร โมคคัลลาน์ ไปก็ไปถาม ไหนได้ทราบว่าท่านฉันจังหันไม่อิ่มใช่ไหม ใช่ ไม่อิ่มมาเป็นประจำหรือ ไม่อิ่มมาเป็นประจำ เพราะเหตุไร ไม่มีใครใส่บาตรให้หรือ พระไม่ใส่บาตรให้หรือ ใส่ให้เรื่องใส่ เต็มบาตรก็เต็มแต่เวลาเทลงไป เดี๋ยวค่อยหมดค่อยหาย ๆ หายเงียบไปยังไม่อิ่มอาหารหมดแล้ว ๆ อย่างนี้เป็นประจำ วันนั้นพระสารีบุตรก็บิณฑบาตไปพร้อมนี่นะ เตรียมอาหารไปพร้อม พระสารีบุตร โมคคัลลาน์ ใส่อาหารให้เต็มบาตรเลยเทียว พอเต็มบาตรแล้ว เอ้า ท่านฉันที่นี่ พระสารีบุตรต้องจับขอบปากบาตรเอาไว้ไม่งั้นอาหารจะหมด ต้องอาศัยอำนาจพระสารีบุตรจับขอบปากบาตรไว้ เอ้า ฉันวันนี้ฉันให้อิ่ม ท่านก็ฉันเสียจนอิ่ม พออิ่มวันนั้นเลยตายวันนั้นเลย นั่นเป็นยังไง ไม่เคยอิ่ม อิ่มวันนั้นตาย นี่ถ้าวางขอบปากบาตรเมื่อไรอาหารจะหมดในบาตร นั่นละ อำนาจของบุญของกรรม

    ใครอย่าไปคาดนะคาดเรื่องบาปเรื่องบุญเรื่องคุณธรรมทั้งหลาย ทั้งโทษทั้งคุณใครอย่าคาดนะ ไม่มีใครคาดถูก สุดวิสัยของโลกมนุษย์ที่มีกิเลสที่จะไปคาดไปด้นเดาได้ พระพุทธเจ้าบอกว่าอะไรดี ๆ ให้เชื่อตรงนั้นนะ เรื่องกิเลสมันจะตบตา ๆ อันไหนดีมันบอกว่าชั่ว อันไหนชั่วมันบอกว่าดี อันไหนมีมันบอกว่าไม่มี อันไหนไม่มีมันบอกว่ามี อย่างนั้นนะ เรื่องของกิเลสมันจะตลบตะแลงอยู่ตลอดเวลา ธรรมะพระพุทธเจ้าแน่ ตรงแน่ว ๆ เลย เพราะฉะนั้นให้เชื่อธรรมะพระพุทธเจ้า เราอย่าไปคาดอย่าไปด้นไปเดา เรื่องด้น ๆ เดา ๆ เป็นเรื่องของกิเลสหลอกคน พระพุทธเจ้าว่ายังไงให้เชื่อตรงนั้น ให้จับเอาตรงนั้นให้ดีแล้วปฏิบัติตามนั้นจะไม่ขาดทุนสูญดอก นี่เป็นกัณฑ์ที่สามแล้วไม่ใช่เหรอนี่ สามกัณฑ์แล้ว

    เอาละเลิก ๆ ไปอย่าให้ได้ไล่นะ


    คัดลอกจาก Luangta.Com -
     

แชร์หน้านี้

Loading...