อย่ากลัวในภัยที่จะเกิด มาเปลี่ยนจิตกัน ก่อนที่จะสายเกินไป

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย sitmatrix, 19 มิถุนายน 2011.

  1. sitmatrix

    sitmatrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    675
    ค่าพลัง:
    +1,365
    การเปลี่ยนจิต คือ ต้องรักษาศีล5 ให้บริสุทธิ์

    • ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต การทรมาน แกล้ง ไม่ว่าจะคน หรือ สัตว์
    • ละเว้นจากการลักขโมย ฉ้อฉล ให้เงินสินบน
    • ละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม คบชู้ มีกิ๊ก
    • ละเว้นจากการพูดเท็จ พูดส่อเสียจ พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อไร้สาระ
    • ละเว้นจากการดื่มเครื่องดองของเมา ยาเสพติดให้โทษ

    ควรฝึกพระกรรมฐาน ง่ายๆก็ พุทธ โธ หายใจเข้า พุทธ หายใจ โธ ออก นั่งบนเตียงนอน หรือนอนอยู่ นั่งบนเก้าอี้ ขณะทำงาน ก็ หลับตา หรือลืมตาอยู่ ก็ ว่าไป ดีกว่าเอาเวลาไป คิดอะไรเรื่อยเปื่อย ปล่อยใจ คิดมากเรื่องการทำงาน ความเป็นอยู่ ความรัก :boo:



    คำสอนหลวงพ่อ

    พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)




    ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่มีอะไรเกินธรรมดา ท่านสอนให้ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา วางทุกข์เสีย ให้รู้ว่าสิ่งนี้เป็นธรรมดา อะไรก็ตามเถอะ ถ้ามันเกิดขึ้นกับเรา มันเเป็นธรรมดาของโลกทั้งนั้น ในเมื่อร่างกายเรามีอยู่ในโลกเท่านี้เอง



    หลักสูตรในพระพุทธศาสนานี้ไม่มีอะไร เบื้องสูงลงมา ท่านสอนตั้งแต่ปลายผมลงมาถึงฝ่าเท้า เบื้องต่ำขึ้นไป ท่านสอนตั้งแต่ปลายเท้าถึงปลายผม มีแค่นี้ ถ้าเราไปเพ่งเล็งคนอื่นว่าคนนั้นชั่ว คนนี้ดี แสดงว่าเราเลวมาก เราควรจะดูใจของเราต่างหาก ว่าเรามันดีหรือเรามันเลว ถ้าเราดีเสียอย่างเดียว ใครเขาจะเลวร้อยแปดพันเก้าก็เรื่องของเขา ถ้าเราดีแล้วก็หาคนเลวไม่ได้ เพราะเรารู้เรื่องของคน คนมาจากอบายภูมิก็มี คนมาจากสัตว์เดรัจฉานก็มี คนมาจากมนุษย์ก็มี มาจากเทวดาก็มี มาจากพรหมก็มี มันจะเสมอกันไม่ได้ ถ้าพวกมาจากอบายภูมิสอนยาก ป่วยการสอน



    คนใดก็ตามที่ประากศตนเป็นอาจารย์พระพุทธเจ้า รู้ดีเกินพระพุทธเจ้า ที่บอกของพระพุทธเจ้าไม่ดี ไม่ทันสมัย เอาอย่างโน้นดีกว่า อย่างนี้ดีกว่า ผมไม่คบด้วย พวกจัญไรนี่ไม่คบ คบยังไง มันจะไปไหนไอ้พวกนี้ โน่น อเวจีมหานรก เพราะทำคนทั้งหลายที่มีเจตนาดี ให้มีมิจฉาทิฏฐิ ปฏิบัติผิด ฟังความเห็นผิด กรรมมันมาก



    ของสงฆ์ที่ตากแดดตากฝนอยู่ ถ้าจะเกิดความเสียหาย ถ้าพระองค์ใดหรือว่าหลายองค์เดินหลีกไป ไม่เก็บของที่ควรจะเก็บ ปรับอาบัติทุกเที่ยวที่ผ่าน อาบัติที่ปรับนี่ไม่ต้องรอพิพากษานะ มันล่อเลย ผ่านไปแบบไม่แยแส ไม่สนใจ เป็นโทษทันที นี่ไม่ใช่ว่าพระอรหันต์เห็นของอะไรก็โยนทิ้ง ๆ ไม่ใช่ ท่านรักษากำลังใจ ของคนอื่นที่มีศรัทธายิ่งกว่ากำลังใจของท่าน เพราะวัตถุทุกอย่างจะพึงมีได้ ก็ต้องอาศัยชาวบ้าน ชาวบ้านกว่าจะได้มาแต่ละชิ้น ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ฉะนั้น พระต้องรักษาทรัพย์สินของชาวบ้าน ให้ยิ่งกว่าชาวบ้านรักษาทรัพย์



    อภิธรรมที่พระสารีบุตรท่านเทศน์ทั้ง 7 ประการ มีนิดเดียว ที่เขาสอนกันนี่มีหลายร้อยหน้า แล้วก็ 8 หน้ายก ผมว่ามันเลอะเทอะเกินไป แต่ก็ไม่ได้ตำหนิคนศึกษา เพราะสนใจธรรมก็เป็นเรื่องน่าโมทนา แต่ว่าทำกันมากเกินไป มันก็สร้างความยาก การบรรลุเข้าก็ถึงช้า เพราะในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตุลิตะ ตุลิตัง สีฆะ สีฆัง เร็ว ๆ ไว ๆ ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่มีการเนิ่นช้า จำไว้ให้ดีนะ อย่าประมาทในชีวิต



    การบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ต้องมีความหวังอยู่อย่างเดียว คือความดับไม่มีเชื้อ ถ้าบวชตามประเพณีเขาเรียกว่า บวชซื้อนรก พระนี่แค่กินข้าว ไม่พิจารณาให้เป็น อาหาเรปฏิกูลสัญญา หลงในรสอาหาร กินเพื่อความอ้วนพี กินเพื่อความผ่องใสอย่างนี้ องค์สมเด็จพระพิชิตมารบอกว่า กินก้อนเหล็กที่เผาจนแดงโชนดีกว่า



    บุคคลใดเกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา แล้วมีศรัทธาความเชื่อปสาทะ ความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา มีจิตน้อมไปในกุศล แสดงว่าบุคคลนั้นมีบารมีเข้าถึงปรมัตถบารมี สามารถจะเข้าถึงพระนิพพานได้ในชาติปัจจุบัน



    เนกขัมมบารมีจริง ๆ ก็คือ จิตระงับนิวรณ์ 5 ถ้าบวชแล้วจิตระงับนิวรณ์ 5 ไม่ได้ ท่านไม่ถือว่าเป็นอันบวชนะ ยังไม่เรียกสมมติสงฆ์ ถ้าระงับนิวรณ์ 5 ได้ ท่านเรียกว่าสมมติสงฆ์ ถ้าระงับนิวรณ์ 5 ไม่ได้ ท่านเรียกเปรตในเครื่องห่มผ้าเหลือง เพราะจิตมันจุ้นจ้าน



    จิตของเราถ้าหากนิวรณ์ไม่เข้ามายุ่งเมื่อไร มันก็เป็นฌานเมื่อนั้น นี่มันก็ไม่มีอะไรยาก ถ้าเรามีกำลังใจเข้มแข็ง จะไม่ยอมเชื่อไอ้ตัวร้าย นิวรณ์นี่ ทีนี้ในเมื่อเราไม่คิดถึงเรื่องอื่น ขณะพิจารณาก็มองดูแต่ขันธ์ 5 อย่างเดียว และภาวนาก็จับเฉพาะลมหายใจเข้าออก กับคำภาวนาว่าพุทโธ อันนี้นิวรณ์มันไม่กวน จิตเข้าถึงปฐมฌานทันที



    ถ้าหากว่าท่านไม่สามารถจะทรงอานาปานุสสติกรรมฐานได้ถึงปฐมฌาน ผลแห่งการเจริญวิปัสสนาญานของทานทั้งหลาย จะไม่มีผลตามต้องการ เพราะจิตมีกำลังไม่พอที่จะทำลายกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหานได้



    การเจริญพระกรรมฐานไม่ได้หมายความว่า ใช้เวลานั่งสมาธิเสมอไป ถ้าเราใช้แต่เวลาที่นั่งสมาธิ มีเวลาสงัด จิตใจของเราจึงจะกำหนดถึงพระกรรมฐาน อย่างนี้ใช้ไม่ได้ เนื้อแท้การเจริญพระกรรมฐานกองใดกองหนึ่งก็ตาม ต้องใช้อารมณ์ของเรานี้นึกถึงพระกรรมฐานเป็นปกติตลอดวัน อย่างนี้จึงจะได้ชื่อว่าท่านเข้าถึงพระกรรมฐาน และพระกรรมฐานเข้าถึงท่าน



    เวลาที่ปฏิบัติน่ะ ไม่ใช่มานั่งเงียบ ๆ นะ กลางวันก็ทำงานก่อสร้างด้วย เรียนหนังสือด้วย นุงนังจิปาถะ ไม่ใช่นั่งเฉพาะไม่มีงานมีการ แบบนี้พระพุทธเจ้าไม่ใช้ แบบที่เข้ากุฏิเจริญพระกรรมฐาน กินข้าวก็มีคนไปส่งข้าว ล้างชามไม่ได้ แบบนี้ไม่ใช่พระ พระพุทธเจ้าเอง ท่านก็ล้างบาตรเองเช็ดบาตรเอง ทำความสะอาดพื้นที่เอง ทำแบบนั้นก็ดีเกินพระพุทธเจ้า ก็ไปชนเอาพระเทวทัตเข้าน่ะซิ ไม่เป็นเรื่อง เรื่องของพระนี่สำรวยไม่ดี ต้องทำได้ทุกอย่าง



    ถ้าถามว่า ถ้าคนเขาอยากไปนิพพานเป็นตัณหาไหม ก็เห็นจะ 99% ที่ตอบว่า คำว่าอยาก แปลว่าตัณหา ในเมื่ออยากไปนิพพานก็แสดงว่าเป็นตัณหาเหมือนกัน ก็เลยบอกว่า นี่แกเทศน์แล้ว แกเดินลงนรกไปเลยนะ แกเทศน์แบบนี้ แกเลิกเทศน์แล้วก็เดินย่องไปนรกเลย สบาย ไปเสียคนเดียวก่อนดีกว่ามาชวนชาวบ้านเขาไปอีก ถ้าต้องการไปนิพพาน เขาเรียกว่าธรรมฉันทะ มีความพอใจในธรรม เป็นอาการทรงไว้ซึ่งความดี พวกเราฟังแล้วจำไว้ด้วยนะ ถ้าใครเขาถามจะได้ตอบถูก



    อารมณ์พระกรรมฐานกับอารมณ์ชาวโลกไม่เหมือนกัน มันกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือ ไอ้การงานของชาวโลกนี่ ถ้าขยันมาก มุมานะมาก ผลงานมันสูงแล้วก็ดี แต่การเจริญพระกรรมฐาน มุมานะมากถอยหลัง แทนที่จะก้าวหน้ามันกลับลงต่ำ ใช้ไม่ได้ เพราะว่าการปฏิบัติความดีเพื่อการบรรลุในพุทธศาสนา ต้องละส่วนสุดสองอย่าง คือ หนึ่ง อัตตกิลมถานุโยค การทรมานตนที่เรียกว่าขยันเกินไป สอง กามสุขัลลิกานุโยค เวลาทรงสมาธิหรือพิจารณาวิปัสสนาญาณ มีตัวอยากประกอบไปด้วย อยากจะได้อย่างนั้น อยากจะถึงอย่างนี้ อยากจะได้ตอนโน้น อีตอนนี้มันเจ๊งทั้งสองทาง ที่ถูกคือ จะต้องวางใจเฉย ๆ ปล่อยอารมณ์ให้มันไปตามสบาย ๆ



    การบำเพ็ญบารมีใด ๆ หรือสร้างความดีใด ๆ เราจะตั้งมโนปณิธานความปรารถนาหรือไม่ก็ตาม ถ้าทำความดีมากครั้งเข้า ในที่สุดความชั่วก็สลายตัวไป เราก็เข้าถึงพระนิพพานตามเจตนา หรือไม่เจตนาก็จะต้องเข้าถึง ในเมื่อความชั่วถูกตัดเป็นสมุจเฉทปหาน แต่ทว่าถ้าปราศจากอธิษฐานบารมี กว่าจะเข้าถึงจุดหมายปลายทาง ก็รู้สึกว่ามันเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา หรือไม่ค่อยจะตรงนัก ฉะนั้น องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงแนะนำบรรดาท่านพุทธบริษัทให้มีอธิษฐานบารมี ในการที่ท่านพุทธบริษัททั้งหลายตั้งใจกล่าววาจาว่า อิมาหัง ภควา อัตตภาวัง ตุมหากัง ปริจิจชามิ แปลเป็นใจความว่า ข้าพระพุทธเจ้า ขอมอบกายถวายชีวิต แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ก็หมายความว่า เราจะเอาชีวิตของเราเข้าแลกกับความดี ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงแนะนำไว้ อย่างนี้อาศัยเจตนาและความตั้งใจ จัดว่าเป็นอธิษฐานบารมี บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย จะเข้าถึงความดีด้วยความรวดเร็วอย่างคาดไม่ถึง



    ถ้าบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน ทรงความดีของจิตในวันหนึ่ง 1 นาที ก็คิดว่า 10 วัน มันก็ 30 นาที 100 วัน มันก็ 300 นาที ความดีมันสะสมตัว เมื่อเวลาใกล้จะตาย อารมณ์จิตที่เราทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ได้ดีบ้าง ไม่ได้ดีบ้าง ในระยะต้นมันจะเข้าไปรวมตัวกันตอนนั้น จนกลายเป็นมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เมื่อเวลาจะตาย จิตใจจะน้อมไปในกุศล ถ้าตายจากความเป็นคน อย่างเลวก็เป็นเทวดา ถ้าจิตสามารถควบคุมอารมณ์ใจได้ถึงฌาน ก็จะเป็นพรหม



    อริยสัจ เขาสอนสองอย่างเท่านั้น สำหรับอีกสองอย่าง ไม่มีใครเขาสอนหรอก อย่างนิโรธะแปลว่าดับ อันนี้มันตัวผล ไม่ต้องสอน มันถึงเอง มรรคคือปฏิปทา เข้าถึงความดับทุกข์ มันก็ทรงอยู่แล้ว คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นี่อริยสัจ เขาตัดสองตัว คือ ทุกข์ กับสมุทัยนี่เท่านั้น



    ไอ้เรื่องการเข้าฌานนี่มันต้องคล่อง เหมือนกับเราเขียนหนังสือคล่องแคล่ว จะเขียนเมื่อไรเราก็เขียนได้ ไม่ใช่เขาบอกว่า เอ้าเข้าฌานซิ มานั่งตั้งท่าขัดสมาธิมันก็เสร็จแล้ว มันไม่ทัน เวลาเราจะตายจริงไปตั้งท่าได้เมื่อไร มันต้องคล่อง การจะทำให้คล่องมันก็มีอยู่ว่า ต้น ๆ ถ้าจิตมันเข้าถึงอารมณ์สมาธิตอนไหนก็ตาม พยายามทรงสมาธินั่นไว้ และพยายามทรงสมาธิให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ใหม่ ๆ มันก็อึดอัด ไม่ช้าก็เกิดอาการชิน มันก็ชินจนช้าไม่เป็น



    เวลาจะตาย เขาเข้าฌานตายกัน คนที่เข้าฌานตาย มันไม่ตายเหมือนชาวบ้านเขา อาการตายเหมือนกัน แต่ความหนักใจของบุคคลผู้ทรงฌานไม่มี ทั้งนี้เพราะถ้าจิตทรงฌาน อารมณ์ก็เป็นทิพย์ เมื่ออารมณ์เป็นทิพย์แล้ว ก็สามารถจะเห็นในสิ่งที่เป็นทิพย์ได้ เห็นรูปที่เป็นทิพย์ ได้ยินเสียงที่เป็นทิพย์ได้ ในเมื่อเราเห็นรูปที่เป็นทิพย์ได้ ได้ยินเสียงที่เป็นทิพย์ได้ เราก็รู้สภาวะความเป็นทิพย์ของเราได้ คนที่เขาเข้าฌานตายนี่ เขาเลือกไปตามอัธยาศัย ว่าเขาจะไปจากร่างกายอันนี้ เขาจะไปอยู่ที่ไหน เขาจะไปอยู่ที่ไหนนี่รู้ก่อน คนที่ทรงฌานจริง ๆ สถานที่ที่จะพึงอยู่ได้คือพรหมโลก ถ้าหากว่าเราไม่อยากอยู่พรหม อยากจะอยู่สวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่งที่ต่ำลงมา อันนี้ก็เลือกได้



    เวลาไหนที่เราฝึกหัดอิริยาบถ เดินไปข้างหน้า ถอยมาข้างหลัง ไม่ต้องไปยก ๆ ย่อง ๆ ทำแบบไอ้โรคสันนิบาต ไม่ใช่นะ แบบเดินธรรมดา อิริยาบถนี่พระพุทธเจ้าต้องการอย่างเดียว อย่างเราเดินไปบินฑบาต เดินไปทำธุระ ทำกิจการงานทุกอย่าง ให้รู้อยู่ว่าเวลานี้เราทำอะไร อย่าไปฝึกอย่างค่อย ๆ ยกนิดย่างหน่อย อันนี้ใช้ไม่ได้ ให้ถืออารมณ์ปกติ เราเดินธรรมดา นี่เราก้าวเท้าซ้าย เราก้าวเท้าขวา ก้าวไปข้างหน้า หรือถอยมาข้างหลัง เหลียวซ้าย หรือเหลียวขวา ใช้สติเข้าควบคุม ทีนี้ก็อย่าลืมนะ เราต้องมีโพชฌงค์ประจำใจ แล้วก็มีอานาปานุสสติประจำอยู่ตลอดเวลา อย่าทิ้งนะ แม้แต่พระพุทธเจ้ายังไม่ทิ้ง ถ้าพวกคุณทิ้งอานาปานุสสติ แสดงว่าพวกคุณดีกว่าพระพุทธเจ้า ไปอยู่กับเทวทัตนะ



    นักเจริญมหาสติปัฏฐานเขาต้องดูอารมณ์ อารมณ์ตัวใดมันเกิด ตัดตัวนั้นทันที ไม่ได้ไปนั่งไล่เบี้ย 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, ถึง 13 จนเป็นอรหันต์ ถ้าคิดแบบนี้ลงนรกมานับไม่ถ้วนแล้ว เขาต้องรวบรวมกำลังมหาสติปัฏฐานทั้งหมดทุกบรรพเข้ามาใช้ ในขณะอารมณ์นั้นเกิดทันที ไม่ใช่ว่าทำอย่างนี้ได้แล้ว ก็ทิ้งอย่างนั้นไปจับขั้นต่อไป พอใจสบายก็ทิ้งอย่างนี้ไปจับตัวโน้น อย่างนี้ลงนรกมานับไม่ถ้วน เพราะว่าไม่เข้าถึงความเป็นจริง ตกอยู่ในเขตของความประมาท



    ท่านผู้ใดปฏิบัติกรรมฐาน ถ้าไม่สามารถจะทำจิตปลงให้ตกในด้าน กายคตานุสสติกรรมฐาน ทำจิตเป็นเอกัคคตารมณ์ มีอารมณ์อย่างเดียว เห็นว่าร่างกายของเราก็สกปรก ร่างกายคนอื่นก็สกปรก เป็นของไม่น่ารัก ถ้าไม่สามารถผ่านกรรมฐานบทนี้ไปได้ ความเป็นพระอนาคามีไม่ปรากฎแก่ท่านแน่ ๆ



    ผมบอกจุดสำคัญไว้ให้ก็ได้ว่า ทุกท่านที่บรรลุมรรคผลหรือแม้แต่ทรงฌานโลกีย์ เขาใช้จิตตานุปัสสนามหาสติปัฏฐานเป็นประจำทุกวัน พวกคุณอย่าทิ้งเชียวนะตัวนี้ ตัวที่บรรลุจริง ๆ อยู่ตรงนี้ นักปฏิบัติทุกองค์ที่บรรลุก็จับนี่เป็นเนติ เนติแปลว่าแบบแผน ถือว่าเป็นตัวอย่าง ถือว่าเป็นครูใหญ่ ใช้ดูอารมณ์ใจ ไม่ต้องไปดูอะไร เพราะว่าไอ้กิเลสมันเกิดที่ใจ เอาอารมณ์ใจเข้ามาดู สติคุม ธัมมวิจยะพิจารณา



    ถ้าใครสามารถทรงฌานได้ดี เวลาเจริญวิปัสสนาญาณนี่มันรู้สึกว่าง่ายบอกไม่ถูก เมื่อฌาน 4 เต็มอารมณ์แล้ว เราจะใช้วิปัสสนาญาน ก็ถอยหลังมาถึงอุปจารสมาธิ เราจะต้องตัดตัวไหนล่ะ ตัดราคะ ความรักสวย รักงาม เราก็ยกอสุภกรรมฐานขึ้นมาเป็นเครื่องเปรียบ ยกกายคตานุสสติกรรมฐานขึ้นมาเป็นเครื่องเปรียบ เปรียบเทียบกันว่า ไอ้สิ่งที่เรารักน่ะ มันสะอาดหรือมันสกปรก กำลังของฌาน 4 นี่เป็นกำลังที่กล้ามาก ปัญญามันเกิดเอง เกิดชัด มีความหลักแหลมมาก ประเดี๋ยวเดียวมันเห็นเหตุผลชัด พอตัดได้แล้วมันไม่โผล่นะ รู้สภาพยอมรับสภาพความเป็นจริงหมด เห็นคนปั๊บ ไม่ต่างอะไรกับส้วมเดินได้ จะเอาเครื่องหุ้มห่อสีสันวรรณะขนาดไหนก็ตาม มันบังปัญญาของท่านพวกนี้ไม่ได้



    พระพุทธเจ้าจึงได้บอกว่า คนที่ทรงฌาน 4 ได้ และรู้จักใช้อารมณ์ของฌาน 4 ควบคุมวิปัสสนาญานได้ ถ้ามีบารมีแก่กล้าจะเป็นพระอรหันต์ภายใน 7 วัน ถ้ามีบารมีอย่างกลาง จะเป็นพระอรหันต์ภายใน 7 เดือน มีบารมีอย่างอ่อนจะเป็นพระอรหันต์ภายใน 7 ปี บารมีเขาแปลว่ากำลังใจ มีบารมีแก่กล้าคือมีกำลังจิตเข้มข้นนั่นเอง ต่อสู้กับอารมณ์ที่เข้ามาต่อต้าน แต่ว่าถ้าบารมีมันเข้มบ้างไม่เข้มบ้าง เดี๋ยวก็จริงบ้าง เดี๋ยวก็ไม่จริงบ้าง ย่อ ๆ หย่อนๆ ตึงบ้าง หย่อนบ้าง อย่างนี้ท่านบอกภายใน 7 เดือน ทีนี้บารมีย่อหย่อน เปาะแปะ ๆ ตามอัธยาศัย ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง ตามอารมณ์อย่างนี้ไม่เกิน 7 ปี นี่ผมพูดถึงคนที่ทรงฌาน 4 ได้ และก็ฉลาดในการใช้ฌาน 4 ควบวิปัสสนาญาณ ถ้าโง่ละก็ ดักดานอยู่นั่นแหละ กี่ชาติก็ไม่ได้เป็นพระอรหันต์



    ไอ้ตัวสงบนี่ต้องระวังให้ดีนะ มันไม่ใช่ว่าง คำว่าสงบนี่ไม่ใช่ว่าง จิตของคนนี่มันไม่ว่าง คือว่ามันต้องเกาะส่วนใดส่วนหนึ่ง ถ้ามันละอกุศลมันก็ไปเกาะกุศล ไอ้จิตที่เรียกว่าสงบก็เพราะว่า สงบจากกรรมที่เป็นอกุศล คืออารมณ์ที่เป็นอกุศล อารมณ์ชั่ว สงบความปรารถนาในการเกิด อารมณ์สงบ คือ ไม่คิดว่าเราต้องการความเกิดอีก และจิตก็มีความสงบ เห็นว่าสภาพร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ไอ้ตัวคิดว่าเรา ว่าของเรา นี่สงบไป สงบตัวยึดถือวัตถุก็ตาม สิ่งมีชีวิตก็ตาม ว่าเป็นเราเป็นของเรา นี่ตัวสงบตัวนี้นะ มีอารมณ์เป็นปกติอยู่เสมอ คิดว่าอัตภาพร่างกายนี้ไม่มีเรา ไม่มีของเรา และมันก็ไม่มีอะไรเป็นเราอีก หาตัวเราในนั้นไม่ได้



    พยายามเพียรทรงตัวไว้ ทำใจว่าจะไม่ฝืนคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วก็เพียรทรงไว้แต่ความดี เพียรละความชั่วอยู่ตลอดเวลา กรรมอะไรก็ตาม อารมณ์ใดก็ตาม ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่าเป็นอารมณ์ของความชั่ว ต้องเพียรต่อต้านมันนะ แล้วก็ใช้ปัญญาพิจารณาหาความเป็นจริงให้พบ เมื่อพบความเป็นจริงแล้ว ก็เพียรถือมันเข้าไว้ คือทรงความเป็นจริงไว้ในใจ ยอมรับนับถือตามความเป็นจริง คิดไว้เสมอว่า ไม่มีที่ใดที่จะดีไปกว่าพระนิพพานนะ



    ความจริงคนเราทุกคนไม่ต้องกลัวตาย กลัวเกิดดีกว่า ถ้าเราไม่เกิดเสียอย่างเดียว มันจะตายอย่างไรให้มันรู้ไป ถ้าไม่เกิดให้มันตายที ทีนี้เราเกิดมาเพราะตาเราเห็นรูป เราพอใจในรูป หูได้ยินเสียง พอใจในเสียง เป็นต้น ความพอใจไอ้ตัวจริง ๆ ที่เป็นตัวร้าย ที่เราจะต้องตัดคือใจ ตัดอารมณ์ของใจเสีย อย่าให้ใจมันโง่ แนะนำมัน บอกว่านี่แกไปหลงใหลใฝ่ฝันในรูป รูปนี้สวย ทรวดทรงดี ถามมันดูซิว่า มีรูปอะไรที่มีการทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลงบ้าง ไม่มีการทรุดโทรม ไม่มีการเสื่อม มันมีบ้างไหม ถามใจมันดู



    การเป็นพระอรหันต์ไม่เห็นยาก คือตัดความพอใจในโลกทั้งสาม มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก ตัดราคะ ความเห็นว่ามนุษย์โลกสวย เทวโลกสวย พรหมโลกสวย โลกทั้งสามไม่มีความหมายสำหรับเรา เราไม่ต้องการ สิ่งที่เราต้องการคือพระนิพพาน มีความเยือกเย็นเป็นปกติ ไม่เห็นอะไรเป็นเรา เป็นของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรากระทบถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา มีอยู่เป็นปกติ คือว่าไม่มีการสะดุ้งหวาดหวั่นอันใด



    ถ้าคนจะถึงอรหันต์ ทีนี้อารมณ์ใจมันสบายทุกอย่าง คือว่าไม่หลงในฌาน ฌานทุกอย่าง ทั้งรูปฌาน และอรูปฌาน เราพอใจ แต่คิดแต่เพียงว่า นี่เป็นบันไดก้าวขึ้นสู่อริยะเบื้องสูงเท่านั้น ไม่ใช่มานั่งหลงว่ากันทั้งวันทั้งคืน นั่งกรรมฐานตลอดวันตลอดคืน นั่นมันยังเป็นเด็กเล็ก ๆ อยู่ ที่นี้หลงในฌานไม่มี ตัวมานะถือว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขาไม่มี และอารมณ์ฟุ้งซ่านสอดส่ายไปสู่อารมณ์อกุศลไม่มี และตัวสุดท้ายก็เห็นว่าโลกทั้ง 3 โลก คือ มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก ไม่มีความหมายสำหรับเรา เห็นสภาวะของโลกทุกอย่างนี้ทั้ง 3 โลก มันเป็นแดนของความทุกข์ สิ่งที่มีความสุขที่สุดคือพระนิพพาน อันนี้ถ้าเป็นสุขวิปัสสโก ท่านจะมีความสบายมาก สบายในอารมณ์ ยอมรับนับถือกฎธรรมดา ยอมรับนับถือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าว่า พระนิพพานมีจริง และพระนิพพานเป็นแดนของความสุขจริง แม้ท่านจะไม่เห็น หากว่าวิชชา 3 ก็ดี อภิญญา 6 ก็ดี ปฏิสัมภิทาญาณก็ดี นี่เขาไปที่นิพพานได้เลย จะสามารถเห็นพระนิพพานได้เท่า ๆ กับของที่มองอยู่ข้างหน้า แล้วเขาก็จะรู้สภาวะว่า ถ้าเขาทิ้งอัตภาพนี้แล้ว เขาจะไปอยู่ตรงไหน เพราะพระนิพพานไม่ได้มีสภาพสูญ เขาก็เข้าสู่จุดของเขาเลยที่พระนิพพาน เข้าที่อยู่ได้ ไปไหว้พระพุทธเจ้าได้



    (คัดลอกมาจากหนังสือ รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เล่ม 1 )



    (จากหนังสือรวมคำสอนพระสุปฏิปันโน เล่ม 1)


    :cool:




    อารมณ์พระโสดาบัน


    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย เวลานี้ท่านทั้งหลายได้สมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อไปนี้ขอได้โปรดฟังคำแนะนำ อารมณ์ของพระโสดาบัน
    สำหรับวันนี้จะได้พูดถึงอารมณ์ของท่านที่ทรงความเป็นพระโสดาบัน ท่านทั้งหลายจะได้ทราบไว้ว่า คนที่เป็นพระโสดาบันแล้วมีอารมณ์เป็นยังไง ส่วนใหญ่คนทั้งหลายมักจะมีความรู้สึกว่า คนที่เข้ามาเจริญพระกรรมฐาน หรือสมถภาวนา หรือ วิปัสสนาญาณ และเริ่มเข้ามาเจริญแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องตัดหมดนั้นเป็นความรู้สึกผิดของท่านผู้มีความคิดอย่างนั้น
    ความจริงการเจริญพระสมณธรรมมีอารมณ์เป็นขั้น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านที่ทรงจิตเป็น ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิหรือ อัปปนาสมาธิ สำหรับอัปปนาสมาธินี้หมายถึงอารมณ์ฌาน ตั้งแต่ฌานที่ 1 ถึงฌานที่ 8 อารมณ์ประเภทนี้จะระงับได้เพียงนิวรณ์ 5 ประการ แต่ก็เป็นเพียงระงับเท่านั้นไม่ใช่ตัด ถ้ายังมีความประมาทจิตคิดชั่ว ฌานก็สลายตัว เป็นอันว่าผู้ทรงฌานโดยเฉพาะอย่างยิ่งฌานโลกีย์ ยังไม่มีความหมาย ในการเจริญสมณธรรมในพระพุทธศาสนา ถึงแม้ว่าท่านผู้นั้นจะได้มโนมยิทธิก็ดี ได้อภิญญา 5 ในอภิญญา 6 ก็ดี ได้ 2 ในวิชชาสามก็ดี ก็ยังไม่มีความหมายในการตัดอบายภูมิ ท่านที่จะตัดอบายภูมิได้จริง ๆ ก็คือ ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป
    คำว่า พระโสดาบัน แปลว่า ผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพาน
    ฉะนั้นพระโสดาบันก็ยังตัดอะไรไม่ได้หมด เป็นแต่เพียงว่ามีอารมณ์ชนะสังโยชน์ 3 ประการเบื้องต้น แต่เพียงอย่างอยาบเท่านั้น อารมณ์ชนะสังโยชน์ 3 ประการเบื้องต้นก็คือ 1. สักกายทิฏฐิ ที่มีความรู้สึกว่าสภาพร่างกายหรือว่าขันธ์ 5 เป็นเรา เป็นของเรา เรามีในขันธ์ 5 ขันธ์ 5 มีในเรา เฉพาะอย่างยิ่งในด้านสักกายทิฏฐินี้ พระโสดาบันลดลงมาได้เพียงเล็กน้อย ยังมีความรู้สึกว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเราอยู่ แต่ทว่ามีอารมณ์ไม่ประมาท มีความรู้สึกอยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย ที่ท่านกล่าวว่าบรรดาพระโสดาบันกับพระสกิทาคามี เป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ มีสมาธิเล็กน้อย คำว่าสมาธิเล็กน้อย คือ อารมณ์สมาธิของท่านผู้เจริญฌานสมาบัติ มีอารมณ์ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป ยังไม่ถึงฌาน 4 ก็สามารถจะเป็นพระโสดาบันได้
    สำหรับที่ว่ามีปัญญาเล็กน้อย ก็เพราะว่ายังไม่สามารถตัดขันธ์ 5 ได้เด็ดขาดด้วยกำลังของจิต ยังมีความรู้สึกว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา แต่ทว่าความรู้สึกของท่านมีความดีอยู่หน่อยหนึ่งว่าเราจะต้องตาย ยังไง ๆ ก็ต้องตายแน่ เหมือนกับที่เปสการีมีอารมณ์คิดถึงคำสั่งสอนของสมเด็จพระธรรมสามิสร ที่ทรงตรัสว่า
    ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ท่านทั้งหลายจงอย่ามีความประมาทในการสร้างความดี
    นี่ความรู้สึกของพระโสดาบันในด้านสักกายทิฏฐิ มีอยู่จุดนี้เข้าใจไว้ด้วย มีคนพูดกันว่าถ้าเจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน จะต้องสามารถระงับทุกขเวทนาได้หมด ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่ร้อน ไม่หนาว นี่ไม่ใช่ความจริง ร่างกายยังมีความรู้สึก ร่างกายยังมีมีจิตเป็นเครื่องรักษา ร่างกายยังมีวิญญาณรู้การสัมผัส ถึงแม้ว่าพระอรหันต์ก็ดี พระพุทธเจ้าก็ดีก็ยังรู้สึก รู้สึกเจ็บ รู้สึกปวดเหมือนกัน
    นี่ว่ากันถึงอารมณ์ของพระโสดาบัน เมื่อจิตเข้าถึงพระโสดาบันแล้ว มีความไม่ประมาทในชีวิต มีความรู้สึกเสมอว่าเราจะต้องแก่ เราจะต้องตาย แล้วก็ขึ้นชื่อว่าความตายนี้ไม่มีนิมิตเครื่องหมาย ไม่ใช่ว่าจะไปกำหนดอายุการตายว่าต้องตายเท่านั้นเท่านี้ จะตายตั้งแต่ความเป็นเด็ก หรือ ความเป็นหนุ่มเป็นสาว ความเป็นคนแก่ อาการที่จะตาย อาจจะด้วยโรคภัยไข้เจ็บ อาจจะตายด้วยอุบัติเหตุ หรือตายเช้า ตายสาย ตายบ่าย ตายเที่ยง ตายกลางคืน ตายดึก ตายหัวค่ำก็เอาแน่นอนไม่ได้
    ฉะนั้น พระโสดาบันจึงไม่ประมาทในชีวิต คิดว่าถ้าเราจะตายก็เชิญ แต่เราจะตายอยู่กับความดี อารมณ์ของพระโสดาบันที่จะคัดค้านคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินศรีนั้นไม่มี คือว่าเป็นคนไม่สงสัยในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นี่เป็นอันดับที่ 2 ที่เรียกว่า วิจิกิจฉา พระโสดาบันตัดสังโยชน์ตัวที่ 2 ได้ คือ ความสงสัย ที่เรียกว่า วิจิกิจฉา ขึ้นชื่อว่าความสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่มีในพระโสดาบัน เกิดขึ้นด้วยกำลังของปัญญา ที่พิจารณาหาความจริงว่า
    พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นปัจจัยให้เกิดความสุข
    และอันดับ 3 สีลัพพตปรามาส พระโสดาบันย่อมทรงศีลบริสุทธิ์ตามฐานะของตัว คำว่า ฐานะของตัวก็หมายความว่า ถ้าเป็นฆราวาสก็มีศีล 5 เป็นปกติ มีศีล 5 บริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา ไม่มีเจตนาในการทำลายศีล รักษาศีลบริสุทธิ์ ไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง ไม่ยุให้บุคคลอื่นทำลายศีล แล้วก็ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว เป็นอันว่าพระโสดาบันเป็นผู้มีความทรงอารมณ์อยู่ในศีลเป็นสำคัญ หนักหน่วงในเรื่องของศีล ยอมตัวตายดีกว่าศีลขาด
    ที่กล่าวมานี้หมายความว่า สังโยชน์ 3 ประการนี่ พระโสดาบันปฏิบัติมีจิตเข้าถึงตามนี้ นี่ก็พูดกันไปว่าก่อนที่จะเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันจากโลกียะเป็นโลกุตตระ ตอนนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเรียกว่า โคตรภูญาณ ขณะเมื่ออารมณ์จิตของท่านผู้ปฏิบัติเข้าถึงโคตรภูญาณ
    คำว่าโคตรภูญาณ นี่ก็หมายความว่า จิตของท่านผู้นั้น ยังอยู่ในระหว่างโลกียะกับโลกุตตระ
    แต่ทว่าอารมณ์ตอนนี้จะไม่ขังอยู่นาน บางท่านจิตจะทรงอยู่เพียงแค่ชั่วโมงหนึ่ง หรือไม่ถึงชั่วโมง และบางท่านก็อยู่ถึงอาทิตย์สองอาทิตย์ถึงเป็นเดือนก็มี สุดแล้วแต่ความเข้มแข็งของจิต ในช่วงที่จิตเข้าถึงโคตรภูญาณ ท่านกล่าวว่า ในขณะนั้นอารมณ์จิตของนักปฏิบัติ จะมีความรักพระนิพพานอย่างยิ่ง คือมีความรู้สึกอยู่เสมอว่ามนุษย์โลกก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี ไม่เป็นแดนแห่งความสุข ถ้าเราเกิดเป็นมนุษย์ มันก็ทุกข์ตลอดเวลา ถ้าเกิดเป็นเทวดาก็พักทุกข์ชั่วคราว หรือ พรหมก็เช่นเดียวกัน ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีแล้วก็จะต้องจากเทวดา จากพรหมมาเกิดเป็นคนบ้าง บางรายก็เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นอันว่าเขตทั้ง 3 จุด ไม่มีความหมายสำหรับใจ
    จิตใจของท่านที่มีอารมณ์เข้าถึงโคตรภูญาณ ใจมีความต้องการอย่างเดียวคือ พระนิพพานเป็นปกติ
    แต่ทว่าพอจิตพ้นจากโคตรภูญาณไปแล้ว ก้าวเข้าสู่ความเป็นพระโสดาบันเต็มที่ ที่เรียกว่า โสดาปัตติผล ตอนนี้อารมณ์จิตของท่านละเอียดขึ้นมานิดหนึ่ง นอกจากจะรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ แล้วก็มีความรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลก มันเป็นของธรรมดา
    การนินทาว่าร้ายที่จะปรากฏขึ้นกับบุคคลผู้ใดกล่าวถึงเรา จิตดวงนี้มีความรู้สึกว่า ธรรมดาของคนที่เกิดมาในโลกมันเป็นอย่างนี้ ความป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้น การพลัดพรากจากของรักของชอบใจเกิดขึ้น มีความรู้สึกหนักไปในด้านของธรรมดา แต่ทว่าธรรมดาของพระโสดาบัน ยังอ่อนกว่า ธรรมดาของพระอรหันต์มาก
    ฉะนั้น ท่านที่เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน จึงยังมีความรักในระหว่างเพศ ยังมีการแต่งงาน ยังมีความอยากรวย ยังมีความโกรธ ยังมีความหลง ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า ท่านกล่าวไว้แล้วว่า พระโสดาบันมีสมาธิเล็กน้อย และก็มีปัญญาเล็กน้อย หากว่าท่านทั้งหลายจะถามว่า ถ้าคนยังมีความรักในเพศ ยังมีการแต่งงาน ยังมีการอยากรวย ยังมีความโกรธ ยังมีความหลงก็ดูเหมือนว่าพระโสดาบันก็คือ ชาวบ้านธรรมดา
    แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น ความรักในระหว่างเพศก็ดี ความอยากรวยก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี ของพระโสดาบันอยู่ในขอบเขตของศีล เรารักในรูปโฉมโนมพรรณ มีการแต่งงานกันได้ระหว่างสามีภรรยาของตนเอง ยอมเคารพในสิทธิซึ่งกันและกัน จะนอกใจสามีและภรรยา ขึ้นชื่อว่า กาเมสุมิจฉาจาร จะไม่มีสำหรับพระโสดาบัน จะทำให้ครอบครัวนั้นมีอารมณ์เป็นสุข
    และประการที่ 2 พระโสดาบันยังมีความโกรธ ท่านโกรธจริง พูดเป็นที่ไม่ถูกใจท่านก็โกรธ ทำให้ไม่เป็นที่ไม่ถูกใจท่านก็โกรธ แต่ทว่าพระโสดาบันมีแต่อารมณ์โกรธ ไม่ประทุษร้ายให้เขามีการบาดเจ็บ และไม่ฆ่าคนหรือสัตว์ที่ทำให้ตนโกรธ ให้ถึงแก่ความตาย เป็นอันว่าความโกรธหรือความพยาบาทของท่าน อยู่ในขอบเขตของศีล จิตโกรธแต่ว่าไม่ทำร้าย คือ แตกต่างกับคนธรรมดาตรงนี้
    สำหรับด้านความหลงของพระโสดาบัน ที่ขึ้นชื่อว่าหลง เพราะยังมีความรักในเพศ ยังมีความอยากรวย เมื่อสักครู่นี้ข้ามคำว่าอยากรวยไป การอยากรวยของพระโสดาบัน คือ ต้องการความรวยในด้านสุจริตธรรมเท่านั้น เรียกว่า การทุจริตคิดร้ายคดโกงบุคคลอื่นใด ไม่มีในอารมณ์จิตของพระโสดาบัน ประกอบอาชีพด้วยความสุจริต เพราะอาศัยยังรักในความสวยสดงดงาม คือ รูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่าเพศยังมีอยู่ ยังมีความอยากรวย ยังมีความโกรธ ยังมีความหลง เพราะว่ายังคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ยังมีของสวยของงาม การถือตัวถือตนแบบนี้ จึงเชื่อว่ายังมีความหลง แต่ความหลงของพระโสดาบันนั้น ไม่สามารถจะนำบุคลผู้นั้น ในเวลาแล้วไปสู่อบายได้
    จุดนี้ขอบรรดาท่านทั้งหลายผู้รับฟัง จงจำไว้ว่า ความจริงอารมณ์ของพระโสดาบันนั้น ไม่แตกต่างกับชาวบ้านธรรมดาเท่าไรนัก ชาวบ้านธรรมดา ยังมีความรักในเพศ ยังมีสามี ภรรยา แต่ทว่ายังมีการนอกใจภรรยา สำหรับพระโสดาบันไม่มี ชาวบ้านอยากรวยก็ยังมีการคบคิดกันคดโกง การโกงมีการยื้อแย่งฉกชิงวิ่งราวดูทรัพย์ สำหรับพระโสดาบันนี่ ถ้าต้องการรวยก็รวยด้วยการสุจริต หากินด้วยความชอบธรรม ต่างกันตรงนี้
    พระโสดาบันยังมีความโกรธ ชาวบ้านโกรธแล้วก็ปรารถนาจะประทุษร้าย ถ้ามีโอกาสก็ประทุษร้ายบุคคลที่เราโกรธ ถ้าสามารถจะฆ่าได้ก็ฆ่า สำหรับพระโสดาบันมีแต่ความโกรธ การประทุษร้ายไม่มี การฆ่าการประหารไม่มี นี่ต่างกันกับชาวบ้าน
    พระโสดาบันยังมีความหลง ตามที่ได้กล่าวมาด้วยอาการที่ผ่านมาแล้ว แต่ทว่าพระโสดาบันก็ไม่ลืมคิดว่า เราจะต้องตาย เมื่อเราตายแล้ว เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ตอนนี้พระโสดาบันไม่เสียใจ ไม่เสียดาย ถือว่าถ้าตายเราจะมีความสุข นี่ขอท่านทั้งหลายจำอาการอารมณ์จิตที่เข้าถึงพระโสดาบันไว้ด้วย
    ตอนนี้จะขอพูดอีกนิดหนึ่งถึงอารมณ์ความจริงของพระโสดาบัน ที่เรียกกันว่า องค์ของพระโสดาบัน
    คำว่า องค์ ก็ได้แก่ อารมณ์จิตที่ทรงไว้อย่างนั้นอย่างแนบแน่นสนิท นั่นก็คือ
    1.พระโสดาบันมีความเคารพในพระพุทธเจ้าอย่างจริงใจ ไม่คลายในความเคารพในพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะมีเหตุผลใด ๆ เกิดขึ้น ใครจะมาจ้างให้รางวัลมาก ๆ ให้กล่าวว่าพระพุทธเจ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้า พระธรรมไม่ใช่พระธรรม พระสงฆ์ไม่ใช่พระสงฆ์ แม้แต่พูดเล่นพระโสดาบันก็ไม่พูด ทั้งนี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าท่านมีความเคารพในพระพุทธเจ้า มีความเคารพในพระธรรม มีความเคารพในพระอริยสงฆ์อย่างจริงใจ แต่ทว่าระวังให้ดี ถ้าพระสงฆ์เลว พระโสดาบันไม่ใส่ข้าวให้กิน
    ตัวอย่าง ภิกษุโกสัมพี มีความประพฤติชั่ว ตอนนั้นฆราวาสที่เป็นพระอริยเจ้านับหมื่น ไม่ยอมใส่ข้าวให้กิน เพราะถือว่าเป็นโจรปล้นพระพุทธศาสนา เป็นผู้ทำลายความดี ไม่ใช่ว่าเป็นพระอริยเจ้าแล้วละก็ จะเมตตาไปเสียทุกอย่าง ท่านเมตตาแต่คนดีหรือว่าบุคคลผู้ใดมีความประพฤติชั่วท่าน แนะนำแล้วสามารถจะกลับตัวได้ พระโสดาบันก็เมตตา ถ้าเขาชั่วแนะนำแล้วไม่สามารถจะกลับตัวได้ พระโสดาบันก็ทรงอุเบกขา คือ เฉยไม่สงเคราะห์ โปรดจำอารมณ์ตอนนี้ไว้ให้ดี
    2. ในประการต่อไป พระโสดาบันมีศีลบริสุทธิ์ ขอพูดย่อให้สั้น เพราะองค์ของพระโสดาบันก็คือ
    (1) มีความเคารพในพระพุทธเจ้า
    (2) มีความเคารพในพระธรรม
    (3) มีความเคารพในพระอริยสงฆ์
    นี่จัดเป็นองค์ที่มี 3 ประการ
    (4) และสิ่งที่จะแถมขึ้นมาก็คือรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ ทำทุกสิ่งทุกอย่างไม่หวังผลตอบแทน ไม่หวังความดีมีชื่อเสียงในชาติปัจจุบัน มีความรู้สึกต้องการอยู่อย่างเดียวว่าเราทำความดีทุกอย่างเพื่อพระนิพพานเท่านั้น อารมณ์จิตตอนนี้ขอบรรดาท่าพุทธบริษัทภิกษุ สามเณรทุกท่านต้องจำไว้ จงอย่าไปคิดว่าพระโสดาบันเลอเลิศไปถึงอารมณ์อรหันต์โดยมากมักจะคิดว่าอารมณ์ของพระอรหันต์เป็นอารมณ์ของพระโสดาบัน ก็เลยทำกันไม่ถึง นี่เป็นการคิดผิด ความจริงการเป็นพระโสดาบันเป็นง่าย มีอารมณ์ไม่หนักที่หนักจริง ๆ ก็ คือ ศีลอย่างเดียว
    ต่อไปนี้ขอพูดถึงอาการของพระโสดาบันที่จะพึงได้ พระโสดาบันจัดเป็น 3 ขั้น คือ
    1.สัตตักขัตตุง สำหรับที่ท่านเป็นพระโสดาบันมีอารมณ์ยังอ่อน จะต้องเกิดและตายในระหว่างเทวดาหรือพรหมกับมนุษย์อีกอย่างละ 7 ชาติ เป็นมนุษย์ชาติที่ 7 และเข้าถึงความเป็นอรหัตผล
    2. ถ้ามีอารมณ์เข้มแข็งปานกลาง ที่เรียกกันว่า โกลังโกละ อย่างนี้จะทรงความเป็นเทวดาหรือมนุษย์อีกอย่างละ 3 ชาติครบเป็นมนุษย์ชาติที่ 3 เป็นพระอรหันต์
    3.สำหรับพระโสดาบันที่มีอารมณ์เข้มแข็งเรียกว่า เอกพิชี นั่นก็จะเกิดเป็นเทวดาอีกครั้งเดียว มาเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็เป็นพระอรหันต์
    4.ที่พูดตามนี้ หมายความว่า ท่านผู้นั้นเมื่อเป็นพระโสดาบันแล้วเกิดใหม่ไม่ได้พบพระพุทธศาสนา จะต้องฝึกฝนตนเองอยู่เสมอทุกชาติ แต่ว่าความเป็นมิจฉาทิฏฐิในชาติต่อ ๆไป จะไม่มีแก่พระโสดาบัน เพราะว่า พระโสดาบันไม่มีสิทธิที่จะไปเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน จะเกิดได้แค่ช่วงแห่งความเป็นมนุษย์กับเทวดาหรือพรหมสลับกันเท่านั้น
    เป็นอันว่าพระโสดาบันนี่ ถ้าท่านทั้งหลายพิจารณาให้ดีแล้ว ก็มีความรู้สึกว่าเป็นของไม่ยาก
    หากว่าท่านจะถามว่า พระโสดาบันทั้งสัตตักขัตตุง โกลังโกละ และเอกพีชี มีอารมณ์ต่างกันอย่างไร
    ก็จะขอตอบว่า พระโสดาบันขั้นสัตตักขัตตุง มีจริยาคล้ายชาวบ้านธรรมดามาก ยังมีอารมณ์รุนแรงในความรัก ยังมีอารมณ์รุนแรงในความโลภ ในความโกรธ ในความหลง แต่ทว่าเป็นผู้มั่นคงในศีล ไม่ละเมิด
    สำหรับพระโสดาบันขั้นโกลังโกละ ขั้นโกลังโกละนี้มีอารมณ์เยือกเย็นมาก หรือว่ามีความมั่นในคุณพระรัตนตรัย มีศีลมั่นคงมาก ความจริงเรื่องศีลนี่มั่นคงเหมือนกัน แต่ว่าจิตท่านเบาบางในด้านความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความคำนึงถึงอารมณ์อย่างนี้มีอยู่แต่ก็น้อย ถ้ามีคู่ครองเขาจะโทษว่า กามคุณท่านจะลดหย่อนลงไป ความสนใจในเพศ ความสนใจในความโลภ อารมณ์แห่งความโกรธ อารมณ์แห่งความหลงมันเบา กระทบไม่ค่อยจะมีความรู้สึก
    สำหรับพระโสดาบันขั้นเอกพีชี ในตอนนี้อารมณ์ของท่านผู้นั้น จะมีอารมณ์ธรรมดาอยู่มาก ขอท่านทั้งหลายโปรดอย่าลืมว่า พระอริยเจ้าจะเป็นฆราวาสก็ดี จะเป็นพระก็ดี จะเป็นเณรก็ดี จะเป็นคนมีจิตละเอียด ไม่ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา และไม่ขัดคำสั่ง ไม่ฝ่าฝืนกฎระเบียบวินัยและกฏหมาย อันนี้เป็นอารมณ์ของพระโสดาบัน ที่ท่านทั้งหลายจะพึงทราบ
    สำหรับเอกพิชีนี่ ความจริงมีอาการจิตใจใกล้พระสกิทาคามี แต่ทว่าสิ่งที่จะระงับไว้ได้นั้น กดด้วยกำลังของศีล มีความรู้สึกว่าเราจะต้องประคับประคองศีลของเราให้แจ่มใสอยู่เสมอ มองดูความรักในระหว่าเพศ หรือว่าความร่ำรวย หรือว่าความโกรธ หรือหลงในระหว่างเพศ หลงในสภาวะต่าง ๆ เห็นว่าเป็นของไร้สาระ มีอารมณ์เบาในความปรารถนาในสิ่งนั้น ๆ แต่ทว่าก็ยังมีความปรารถนาอยู่
    เอาละ บรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครู เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ วันนี้คงไม่ได้อารมณ์แห่งการปฏิบัติ แต่ทว่าอารมณ์แห่งการปฏิบัติ ในความเป็นพระโสดาบันท่านฟังกันมาแล้วสองคืน ผมเองมีความรู้สึกว่า ท่านทั้งหลายคงจะรู้สึกว่าง่ายสำหรับท่าน แต่ถ้าหากว่าเห็นว่าอารมณ์ของพระโสดาบันยากนี่ ถ้าเป็นพระเป็นเณร ผมไม่ถือว่าเป็นพระเป็นเณร ผมถือว่าเป็นเถน เถนในที่นี้หมายความว่ามี สระเอ นำหน้า มีถอถุง และ นอหนู เขาแปลว่าหัวขโมย คือ ขโมยเอาเพศของพระอริยเจ้ามาหลอกลวงชาวบ้าน ตามปกติพระกับเณรนี่ต้องทรงศีลบริสุทธิ์อยู่แล้ว
    เอาละ พุดไปเวลามันเกินไป 1 นาที ก็ขอพอไว้แต่เพียงนี้ หวังว่าท่านทั้งหลายคงจะเข้าใจ ต่อแต่นี้ไปขอท่านทั้งหลายตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น จะอยู่ในอิริยาบถใดก็ตาม นั่งก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ นอนก็ได้ตามอัธยาศัย ทรงกำลังใจควบคุมความเป็นพระโสดาบันของท่านไว้ จนกว่าจะถึงเวลาที่ท่านเห็นว่าสมควร สวัสดี

    ( หลวงพ่อพระราชพรหมยาน )

    :cool:

    หลวงพ่อเล่าเรื่อง..........พระยายมเป็นพยาน

    กระผมสงสัยเรื่องการอุทิศส่วนกุศล แล้วให้เทวดาหรือพระยายมเป็นสักขีพยาน ขอให้หลวงพ่อขยายความเป็นมาด้วยเถิดครับ......?
    เอาอย่างย่อหรืออย่างพิสดาร ค่าครูมันไม่เท่ากัน
    คือเรื่องเป็นอย่างนี้นะ เมื่อ พ.ศ. 2508 ตอนนั้นเริ่มสอน มโนมยิทธิ ลุงพุฒิ (พระยายม ราช) ท่านก็มา ท่านบอกว่าคุณอย่าคิดว่าคนที่มาเจริญพระกรรมฐานจะได้ดีทุกคน เวลาตายอาจจะเผลอไปก็ได้ ถ้าเผลอไปสำนักของผมก็ต้องว่ากันตามเหตุตามผล ใครนึกถึงบุญได้ไปสวรรค์ ใครนึกไม่ได้ไปนรก มันสุดแล้วแต่การนึกนะ
    ท่านก็บอกว่า อาอย่างนี้ก็แล้วกัน ลูกหลานท่านก็คือลูกหลานผม ท่านเคยมาเป็นพี่มาหลายแสนชาติ
    ทีนี้เวลาเจริญพระกรรมฐานอย่าคิดว่าเวลาตายอารมณ์ใจเสมอกัน เพราะถ้าเป็นฌานโลกีย์อารมณ์ไม่แน่นอน อาจเผลอได้ทีนี้ขอให้ทุกคนเวลาอุทิศส่วนกุศลอ้างผมเป็นพยานไว้ ถ้าเขาถามเรื่องบุญกุศลถ้าบังเอิญนึกไม่ออก ผมจะเป็นพยานอ้างเองว่าทำอย่างนั้นๆไว้ แล้วก็ไล่ไปสวรรค์เป็นอย่างต่ำ นี่จุดหนึ่งนะ
    แล้วก็ก่อนหน้าจะมา 4-5 วันก็นอนๆ ภาวนาอยู่ ตามธรรมดาของฉันเป็นอย่างนี้เวลาอยู่คนเดียว ถ้าว่างงานอื่น ไม่ว่างงานอื่นจะพิจารณา นี่ไม่ใช่อวดนะ ถือเป็นปกติเลย
    ภาวนาก็ดี พิจารณาก็ดี จิตเป็นสุข คิดเรื่องอื่นไม่เป็นสุข เราต้องการจิตเป็นสุข
    ภาวนาไปสัก 2 นาที จะถึงไม่ถึงไม่ทราบ จิตก็เริ่มเป็นสุขมาก ก็เห็นคนสองคนเดินมา นุ่งโสร่ง ผ้าขาวม้าคาดพุง อ้วน ถามท่านว่า เรื่องของร่างกายฉันเป็นอย่างไร ยืนยันไหมว่าหายหรือไม่หายโรค ถ้าไม่หายเป็นก็ไม่เป็นไร บ้านฉันมีอยู่ (นิพพาน)
    ท่านบอกว่า เกณฑ์การตายของท่านยังไม่มี สมเด็จฯไม่อนุญาต เวลานี้เลยกาลมาแล้ว
    ท่านก็พลิกบัญชีดูบอก คุณ....ไม่กี่วันก็จะถึงเวลานี้เวลานี้ตัวหนังสือยังแดงอยู่ ตัวหนังสือเขาเป็น 3 จุด สีแดงจัด สีน้ำเงิน กับสีทอง ถ้าสีแดงอยู่ในเกณฑ์เคราะห์ร้าย อันตรายมาก ของฉันนี่สีแดงแจ๋ สบายใจมาก
    ที่นี้ไอ้ตัวหนังสือมันหมดไป เหลือแต่เส้นขยุกขยิก ก็เลยบอกว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปไอ้ขยุกขยิกของท่านจะหมดไป จะเป็นเส้นเรียบคล้ายๆ เส้นบรรทัด การป่วยจะน้อยลง ถ้าถึงเวลาตัวหนังสือเป็นสีน้ำเงินเมื่อไร แต่ว่าตอนนั้นจะต้องปรับเรื่องร่างกายอีกชั่วระยะหนึ่ง เพราะว่าโทรมมากไป ใช่ไหม
    ต่อไปไม่นานนักพอถึงสีน้ำเงินก็จะเป็นสีทอง อีตอนนี้จะมีโชคมาก เกี่ยวกับลูกหลานจะมีตังค์มาให้ ถ้ามันไม่รวยมันให้ไม่ได้ ก็ยุลูกหลานให้รวยไว้
    ต่อมาท่านก็บอกว่า คุณ......ไปเที่ยวบ้านผม ถามว่าไปทำไมล่ะ ไม่มีธุระจะไป เพราะตั้งแต่ป่วยา 6 ปี ไม่เคยไปไหนเลย ออกจากตัวปั๊บก็ไปที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ไปหาโยม ไปนิพพานเลยไปแค่ 2 ที่ ที่อื่นไม่แวะ ก็แน่วแน่ว่ามันจะพังเมื่อไรร่างกายใช่ไหมจะเกาะมันทำไม
    ท่านบอกว่า ไปได้แล้ว เลยบอก ยืนยันก่อนว่าไข้จะหายท่านบอกรับรอง ก็พอดีท่านย่ากับแม่ศรีมา ท่านบอกว่าคุณ...ตามท่านไปเถิด ฉันไปด้วย ก็พอดีที่ท่านย่าพูดสมเด็จฯ มาท่านบอก คุณ..ไปเถิด ฉันไปด้วยเหมือนกัน ก็เลยคิดเรื่องนี้คงเป็นเรื่องสำคัญ ก็เลยตามท่านไป สองคนก็เดินนำไปพอถึงก็เลี้ยวเข้าสำนัก แต่สำนักของท่านนายบัญชีและพระพยายมนั่งรออยู่ด้วยเหมือนกัน
    ถามลุง นั้นใคร ท่านบอก ผมครับ
    ถามนายบัญชี ลุง...นั้นใคร ผมครับ
    ถาม นี่ ใคร ผมครับ

    ถามว่า มันเป็นไปได้ยังไงบุคคลเดียวกัน ท่านก็ย้อนถามว่า คุณเวลาเจริญพระกรรมฐานกับลูกศิษย์ เมื่อพบเทวดากับพรหมที่มีบุญหลายร้อยองค์ ให้ขยายตัวเท่านั้นเข้าไปกราบ ทำไม ทำได้ ในเมื่อผมเป็นเทวดาเป็นพรหมทำไมผมทำไม่ได้ เพราะความเป็นทิพย์ เราก็โง่ไป
    ก็รวมความว่าท่านก็พาไปเจอะคน 11 หมู่ คน11 กลุ่ม หนึ่งประมาณ 10000 คน ยืนหน้าเซียว เสี่ยว เสี้ยว เซี้ยว เสียว ต่างคนหน้าเซียวถึงเสียว เพราะแน่ใจว่าจะไปนรกหรือสวรรค์ แต่ละกลุ่มมีผู้ชายตัวใหญ่ๆ ถืออาวุธ 1 อัน คนทุกคนที่ยืนหัวแค่เอวอีตานั้นแหละ นั้นคือ นายนริยบาล แล้วก็เดินผ่านไป ท่านบอกพวกนี้รอการสอบสวน
    พอผ่าน 11 กลุ่มไปแล้ว ก็เลยไปทางทิศตะวันออก ไม่ไกลนัก ถ้านับกันก็สัก 2-3 โยชน์ นี่นะ แต่สวรรค์ไม่ไกล ตอนไปหลังสารมจีน1 วัน ก็เดินไปปั๊บเจอะฝูงเป็ดกับฝูงไก่
    ถามว่า ไก่ เท่าไร หัวหน้าเขารายงากว่าแสนกว่าครับ ถามเป็ดเท่าไร แสนกว่าครับ วัว ควาย เป็ด ไก่ ที่ถูกไก่เชือดเมื่อสาทรจีน มันคอยตอนรับคนเชือด เขาเข้าไปเป็นพยาน กับพยายมจะกล่าวโทษบุคคลนั้นทันที
    เลยถามท่าน บอก สัตว์ตายแล้วย่อมเกิดเป็นเทวดาบ้าง เป็นคนบ้าง ทำไมจึงเป็นรูปสัตว์ได้ ในเมื่อมาไม่ได้ ท่านบอกว่าท่านแสดงแทน
    แล้วต่อไป เดินไปอีกกลุ่มหนึ่ง มีเป็ด มีไก่ มีสัตว์หลายประเภท เยอะเหมือนกัน ถามว่า พวกคุณนี่ก็รวมความว่า ถ้าเราอ้างลุงเป็นพยาน เวลาที่เราตายไปแล้ว เวลาเข้าถามเรื่องบุญนึกไม่ออก ท่านจะกล่าวเป็นพยานว่าบุญอย่างนี้ๆ เขาทำช่วยนี่ ที่พูดให้ฟังตามนี้นะว่าพยานมันคอยอยู่อย่านึกว่าทุกอย่างมันลืม ไม่มีหมดหรอก

    บวชชีตอนปลาย

    ทีนี้เลี้ยวเข้ามาเจอะชีคนหนึ่ง ไปเที่ยวสำนักพระยายมคน 4 คนพาไป นุ่งแดงนะ พระยายมท่านก็เรียกไปสอบสวน เจ้าหน้าที่ก่อน
    เอ็งฆ่าไก่ใช่ไหม จะเชือดก็กลัวไก่เจ็บ เลยเอาหัวฟาดกับเสาใช่ไหม เห็นเลือดแล้วใจไม่ดี ฟาดกับเสาเสียเลย หัวเละ ตายเลย แกก็บอกว่าเป็นความจริง ที่ฆ่าสัตว์เพราะว่ามีความจนมาตั้งแต่เด็ก
    ต่อมาเมื่ออายุ 12 ปี มีไก่มาเลี้ยงประจำบ้านอยู่ ตัวอ้วนดี ก็มีคนบอกว่าถ้าแกงไก่ตัวนี้ให้จะได้ราคามากหน่อยให้สตาค์มากหน่อย แกก็จนนี่ ก็ต้องทำ แล้วเจ้าหน้าที่ ฝ่ายโจทก์คนที่อยู่เก้าอี้ข้างขวาน่ะนะบอกว่า บาปจริงๆของเอ็งมีอย่างเดียว
    แหม.....ยายนี่จนจริงๆ จนบาป พุทโธ่....ชีวิตทั้งชีวิตฆ่าไก่ตัวเดียว แหม...ระยำหมาจริงๆ ก็รวมความว่าแกทำบาปครั้งเดียว
    หลังจากนั้นแกก็สลดใจ แกบอกว่าแกสลดใจ เลยมาเป็นลูกจ้างเขา ให้มีข้าวพอมีพอกินก็แล้วกัน ให้มากให้น้อยไม่เป็นไร ต่อมาเป็นชาวนา ต่อมาเป็นลูกจ้างร้านค้า พออายุ 40 ปีเศษแกก็บวชชี ตายเมื่ออายุ 53 ปี อยู่จังหวัดฉะเชิงเทรา
    ก็อันนี้เขาถามเท่านี้นะ ทำบุญอะไรบ้าง แต่เขาถามไม่ให้ตอบ เจ้าทำอย่างนั้นใช่ไหม เจ้าเคยใส่บาตร เจ้าเคยบูชาพระ ไม่ใช่บอกให้ตอบ ตรงจุดตามเป้าหมายหมด ในขั้นสุดท้าย เคยเจริญภาวนา
    คุณลุงเลยถาม (เห็นบุญมากกว่าบาป) เจ้าทำไมจึงต้องมาสำนักพยายม ซึ่งไม่จำเป็นเลยถ้าบุญขนาดนี้จะต้องไปสวรรค์หรือพรหมโลกทันที
    แกเลยบอกว่า เรื่องมันอย่างนี้เจ้าค่ะ ตอนต้นเวลาป่วยก็ดีนึกถึงกุศล ภาวนาบ้าง จิตใจก็สงบ ตอนใกล้ตายมีเสียงตึงตังครึกโครมครามที่ข้างฝาบ้าน จิตใจก็หวั่นไหวแว้บเดียวก็เห็น 4 มารับ พ่อยอดขมองอิ่มมารับไปเลย
    ท่านลุงบอกว่า เรื่องมานเป็นอย่างนี้ก็พอดีไก่โผล่ ไอ้ไก่ตัวนั้นน่ะ บอกว่า ฉันเองเจ้าค่ะ ต้องการให้มาที่นี่ บอก ยายนี่ฆ่าฉัน จับฉันเอาหัวฟาดกับเสา ฉันทนไม่ไหวถึงขั้นตาย
    ทีนี้แกกล่าวไว้ตอนหนึ่ง บอก ตั้งแต่อายุ 19 ปีทำบุญอะไรก็ตาม จะบูชาพระ ก็อุทิศส่วนกุศลให้ไก่ ขออโหสิกรรม
    ลุงท่านก็ถามว่าเขาทำอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้า ตั้งแต่ 19 ปีจนอายุ 53 ปีมันก็หลายปี เจ้าไม่ได้บอกรึ บอกได้รับ
    ถามว่า ได้รับแล้วเอ็งยังจองเวรจองกรรมอยู่รึ บอกไม่ได้จองเวรจองกรรม เอ็งมาเป็นโจทย์ รู้สึกเสียงจะดุๆ หน่อยนะ ไก่ก็เลยบอกว่า ที่ต้องการให้มาเพื่อจะบอกว่าอโหสิกรรมให้แล้ว เจ้าค่ะ
    โอ้โฮใจแป้ว มันจะไปขุมไหนกันหว่า นี่ขนาดนี้นะอย่าลืมว่าการทำบุญทำกุศล เจริญคำภาวนามันเป็นได้ตามนี้นะอย่าประมาทนะ
    หลังจากนั้นลุงก็บอกเทวดาที่อยู่ที่ข้างหลัง มีเทวดา 5 องค์ องค์ คอยส่งคนท่านบอกว่า คนนี้บุญบารมีเขาเจริญพระกรรมฐานมีสมาธิทรงตัว บารมีของเขาต้องต้องอยู่ชั้นยามา เวลานี้วิมานอยู่ชั้นยามา ท่านก็บอก อีหนูเจ้าต้องอยู่ชั้นยามา
    คิดว่าแกจะสลดใจ แกกลับยิ้มแฮะ ชั้นยามามันสบาย ฉันนึกว่าแย่ล่ะซิ ท่านบอกว่าวิมานอยู่ที่นั้น แต่ไม่ใช่ลุงสร้างให้นะ ทานของเขา ศีลของเขาบ้าง การเจริญภาวนา เลยไปอยู่ยามา ถ้าถึงอุปจารสมาธินะ ถ้าฝึกกสิณจริงๆก็พรหม

    ก็รวมความว่าแกไปชั้นยามา ฉันก็เลยลามาหมดเรื่องขี้เกยีจตามไป


    ธรรมปฏิบัติเล่มแปด 8 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    (พระมหาวีระ ถาวโร ) วัดจันทาราม จ. อุทัยธานี

    :cool:


    ************************************************
    ถ้าผู้ใดสามารถทำตามที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ได้แนะนำไว้ รับรองว่า ถ้าหากว่าตายไปในเหตุภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดนี้ ก็ไม่ตกลงสู่ อบายภูมิแน่นอน



     
  2. sitmatrix

    sitmatrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    675
    ค่าพลัง:
    +1,365
    ..............................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2012
  3. ธรรมสถิต

    ธรรมสถิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,261
    ค่าพลัง:
    +15,736
    การเปลี่ยนจิต คือ ต้องรักษาศีล5 ให้บริสุทธิ์
    ----------------------------------------------

    ตั้งใจรักษาศีลทั้งกายและใจ เช้า 1 - 3 ชม. เย็น 1 -3 ชม.
    ก่อนนอนตั้งใจจะรักษาจนถึงเช้า หากตื่นมายังมีชีิวิตอยู่
    ไม่นานจิตจะชิน ศีลจะทรงตัวได้

    ที่สำคัญ ขอให้นึกถึงภาพพระพุทธองค์ไว้เสมอ
    ลืมก็นึกใหม่ ทุกท่านจะรักษาศีลได้ไม่ยาก
    ขอเพียงตั้งใจ ลองทำดูนะครับ

    อนุโมทนาสาธุการครับ
     
  4. บีน99

    บีน99 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    860
    ค่าพลัง:
    +2,327

    ขออนุญาตนำข้อความไปบอกต่อค่ะ
     
  5. nakoruru

    nakoruru เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2005
    โพสต์:
    208
    ค่าพลัง:
    +1,120
    ขออนุโมทนาด้วยนะครับ ถ้าเราคิดว่า ความตายเป็นของไกลตัว เราก็มักจะประมาทในความดี ไม่รักษาศีล 5 ไม่สร้างความดี ขณะนี้เรา ยังมีลมหายใจอยู่ มารีบ สร้างความดี รักษาศีล 5 เปลี่ยนจิต ทำเหมือนที่ จขกท. บอกเถอะ ครับ ไม่ใช่เพื่อใครเพื่อตัวของทุกท่านเอง ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ถ้าความตายมารอตรงหน้าแล้ว คุณจะเลือกสร้าง กรรมดี หรือ กรรมชั่ว อยู่ที่ตัวของทุกท่านเอง
     

แชร์หน้านี้

Loading...