อยากออกไปอีกแห่งที่ยังไกลในความจริง

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Melzee, 13 กุมภาพันธ์ 2012.

  1. Melzee

    Melzee สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +4
    เห็นภาพต่างๆที่ไม่เคยเห็นและรู้จักมาก่อน
    บางครั้งอยู่เฉยๆกลับรู้สึกกังวล ใจหวิวๆ บางครั้งก็พูดภาษาประหลาด บางครั้งก็เห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า บางครั้งก็ได้ยินเสียงแว่วมาข้างหู บางครั้งเสียงของใครสักคนเรียกชื่อที่เราไม่รู้จักแต่เรากลับหันหาต้นตอของเสียงนั้นอย่างมีจุดประสงค์ ฯลฯ

    สงสัยมานานมากแล้วเรื่องดาวอีกดวงที่เหมือนเรา มีเรา เป็นเรา สื่อสารกับเรา
    สงสัยมาตลอด17ปี จนได้อ่านเรื่องเกี่ยวกับ "จักรวารคู่ขนาน" ที่ตอนแรกพี่สาวเป็นผู้จุดประกายให้ข้อสงสัยมีทางออก

    เป็นไปได้ไหมที่เราจะสามารถ สื่อสาร กันได้ด้วยจิตผ่านห้วงจักรวารที่แสนไกล?

    คำถามนี้อยู่ในใจตลอด17ปี วันนี้โชคดีที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับมันอย่างลึกซึ้งคิดไว้ว่าสักวันเราอาจจะหาคำตอบจากคำถามที่เราตั้งขึ้นเองนี้จนเจอ ...

    แล้วคุณ คิดว่าอย่างไร ที่มีใครสื่อสารกับคุณอยู่ที่ๆไกลแสนไกล คุณอยากพบเจอกับเขา เหมือนฉันไหม?...


    //ขออภัย หากกระทู้มีความผิดพลาดหรือเกิดปัญหาอื่นๆ//
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,441
    ค่าพลัง:
    +35,042
    ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นไปได้หมดครับ..ฝึกความสามารถพิเศษครับ..
     
  3. pczophie

    pczophie Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2012
    โพสต์:
    222
    ค่าพลัง:
    +61
    น้อง Melzee ฝันอะไรบ้างก็ลองเอามาเล่าให้ฟังหน่อยสิ่คะ ^^ คุณปูเขาก็ยังเอามาเล่าให้ฟังที่กระทู้คุณปูอ่ะค่ะ

    ที่นี่ไม่มีใครหาว่าบ้าหรอกค่ะ ^_^ ชอบอ่าน ชอบฟัง.. เชื่อไม่เชื่อเป็นอีกเรื่อง เพราะคนที่มีล้วนแต่มีประสบการณ์ส่วนตัวที่.. ไปเล่าให้ใครฟังก็ไม่มีใครเชื่อ เลยต้องมารวมแก๊งค์ที่เวบ palungjit นี่แหละ :cool:

    เล่ามาเลย.. เมื่อคืนฝันอะไรบ้าง?? อยากฟังอ่ะ ><

    ได้ฝันเห็น ราชินีเพลง R&B ตายอ๊ะป่าว?? >< Whitney Houston อ่ะ ???

    ---

    อันนี้พี่แนะนำหน่อยนะ.. คนที่มีความสามารถพิเศษที่สามารถสัมผัสอะไรได้ แล้วก็ฝันเห็นล่วงหน้าอ่ะ พี่ว่า เขามักจะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ..

    น้อง Melzee ไม่น่าจะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาตินะ น่าจะลองพัฒนาความสามารถนี้ดู

    ลองหัดนั่งสมาธิ แล้วก็มีสติรู้ตัวในชีวิตประจำวันดูสิ่.. (คือ คนเราชอบฝึกมีสติรู้ตัวแค่ตอนนั่งสมาธิอ่ะ แต่ตอนที่ทำอย่างอื่นในชีวิตประจำวัน จะชอบลืมตัว ปล่อยไปเลยตามเลย)

    อย่างเช่น.. สมมติผู้หญิงคนหนึ่ง กำลังใส่ชุดพนักงานบริษัทเดินไปเดินมาในห้องทำงาน..

    ภาพเหตุการณ์ที่ผู้หญิงคนนี้เดินไปเดินมาในห้องทำงาน ผู้หญิงคนนี้จะไม่รู้เลยว่า เป็นความจริงหรือความฝัน (นึกภาพออกไหม?? ตอนอยู่ในความฝันก็คิดว่าเป็นความจริง ตอนอยู่ในความจริงก็คิดว่าเป็นจริง) นี่แหละ ที่เขาเรียกว่า ไม่มีสติที่ครบถ้วนสมบูรณ์

    น้อง Melzee ลองหัดถามตัวเองบ่อยๆสิ่ ทุกๆ 1 ชม. ลองสำรวจร่างกายตัวเองดู ว่าเราชื่ออะไร นามสกุลอะไร วันนี้วันที่เท่าไหร่ อายุเท่าไหร่ แล้วเราเดินมาจากไหน มาทำอะไรที่นี่ และกำลังจะไปไหน? แล้วนี่มันโลกความจริงหรือความฝัน???

    พอทำไปบ่อยๆ ก็นั่งสมาธิร่วมด้วย ตอนจะนอนก็นอนสมาธิไปด้วย(พยายามอย่าหลับตาแล้วปล่อยให้ตัวเองหลับไปเฉยๆ แต่ให้นอนสมาธิไปเรื่อยๆ รู้ตัวไปเรื่อยๆว่าเรากำลังนอนอยู่)

    พอน้องทำบ่อยๆ น้องก็จะเริ่มกลายเป็นคนที่ มีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา.. แล้วเดี๋ยวจะจับสภาวะตอนที่กำลังจะหลับได้... (คนเราจำตอนใกล้ๆจะหลับไม่ได้ เพราะตอนนั้นสติมันค่อยๆหายไปแล้ว ที่เขาใช้คำศัพท์คำว่า "เคลิ้ม" อ่ะ เคลิ้มนี่คือ เริ่มไม่มีสติแระ แล้วจิตส่วนที่ทำหน้าที่ประสานกับร่างกาย สัมผัส รับรส เสียง ภาพ กลิ่น มันจะค่อยๆๆๆๆๆออกจากร่าง มารวมกันที่จุดกึ่งกลางระหว่างคิ้ว แล้วมันก็พุ่งเข้าไปในโลกความฝันเลย)

    พอเข้าไปในโลกความฝัน (อันนี้อธิบายแบบข้ามไปเลยนะ เพราะจริงๆแล้วมันจะมีแบบที่ไม่เข้าไปในโลกความฝันก็มี แต่มันจะเป็นกายทิพย์ออกมาสู่โลกมนุษย์นี่แหละ แต่ส่วนมากจะเข้าไปโลกความฝัน)

    พอมันเข้าไปในโลกความฝันแล้ว ตอนนี้แหละที่เรียกว่า "หลับ" เพราะตอนนี้ใครมาเขย่าตัว หรือมาปลุกก็จะไม่ตื่น (หลับลึก) เพราะจิตส่วนที่ทำหน้าที่รับรู้ ที่ทำงานประสานกับประสาทสัมผัสของร่างมันไม่ได้อยู่กับร่างกายแล้ว มันอยู่ในโลกความฝันแล้ว

    ในโลกความฝันเนี่ยนะ.. การฉายภาพ จะไม่ขึ้นกับสมองแล้ว (ปกติจะต้องมีแสงกระทบกับเรติน่าแล้วส่งข้อมูลไปที่สมองส่วนที่ทำหน้าที่ฉายภาพ แล้วจิตส่วนที่ทำหน้าที่ฉายภาพจะทำงานร่วมกับสมองส่วนนี้) แต่ในโลกความฝัน จิตส่วนนี้ไม่ได้รับข้อมูลจากสมอง ดังนั้น มันจึงสร้างภาพอะไรก็ได้ สร้างโลกอะไรก็ได้ พอจะนึกออกป่าว??

    ทีนี้.. คนที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ จิตส่วนนี้ก็มักจะสร้างโลกความฝัน ตามข้อมูลใน harddisk(จิตมันมีหลายส่วนนะ มีส่วนที่เป็น harddisk, processor, monitor, แล้วก็มีส่วนที่ทำหน้าที่เป็น user ด้วย คนในวงการพุทธจะเรียกส่วนที่ทำหน้าที่ user นี้ว่า ตัวรู้ จิตตัวรู้ ทำหน้าที่รับรู้)

    ทีนี้ ไอ้ตัวที่ทำหน้าที่ฉายภาพเนี่ย.. มันจะดึงข้อมูลจาก harddisk เป็นประสบการณ์ชีวิตทั้งหมดของเราโดยใช้ สติ เป็นองค์ประกอบในการสร้างภาพ เช่น มันอาจสร้างโลกความฝัน ที่เป็นโลกในวัยเด็กของคุณ (เป็นหมู่บ้าน เป็นบ้านที่คุณเคยอาศัยอยู่ตอนเป็นเด็ก) แต่เนื่องจาก สติในความฝันมันไม่สมบูรณ์ แทนที่มันจะเป็นหมู่บ้านแบบสมจริง มันกลับเป็นหมู่บ้านที่ หน้าตาเพี้ยนๆ แต่คนที่อยู่ในความฝันจะไม่รู้สึกว่ามันเพี้ยน เพราะไม่มีสติเต็มร้อย..

    ประเด็นอยู่ที่ สติ การมีสติรู้ตัว เราจะรู้ว่าเรากำลังฝัน.. เมื่อเรารู้ว่าเรากำลังฝัน เราจะรู้ว่า เราจะทำอะไรกับโลกความฝันนี้ก็ได้ (เรามีความสามารถที่เป็นอนันต์ ในการกำหนดโลกทิพย์ของเรา โดยระดับความสามารถขึ้นอยู่กับสติ)

    ถ้าน้อง Melzee มีสติมากๆ รู้ตัวว่าเรากำลังอยู่ในความฝัน เราจะสามารถเปลี่ยนฉากความฝัน หรือแต่งตัวยังไงก็ได้..

    โลกความฝันไม่มีเวลาที่จำกัด ไม่มีขอบเขต (จริงๆโลกความฝันก็คือโลกทิพย์อ่ะแหละ เพียงแต่คนชอบเรียกโลกทิพย์ที่จิตวิญญาณเข้าไปอยู่หลังการนอนหลับว่า ความฝัน พี่ก็เลยจะเรียกแบบสากลละกัน จะได้เข้าใจง่าย)

    ทีนี้ พอเรารู้ว่า นี่คือโลกทิพย์(โลกความฝัน) เราจะทำอะไรกับมันก็ได้..

    บางที ความฝันก็คือการดึงภาพของ ลำดับเหตุการณ์(ห่วงโซ่เหตุการณ์)ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตขึ้นมา.. (แต่มันยังไม่เกิด)

    อนาคต เปลี่ยนแปลงได้.. มันยังไม่เกิดค่ะ แต่ภาพที่บรรดาผู้มีญาณวิเศษมองเห็น มันไม่ใช่ภาพที่เกิดขึ้นแล้ว แต่มันเป็นภาพของ ลำดับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นตามเหตุและผลของการกระทำ (มันเป็นห่วงโซ่แบบ Butterfly Effect อ่ะ) ดังนั้น หากมีเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งเปลี่ยนแปลงไป เหตุการณ์ที่เหลือก็จะเปลี่ยนหมด

    คนที่ฝันเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า หรือเหตุการณ์ในอดีต ได้.. คือคนที่ การทำงานของจิตที่ประสานกับกายในชาติภพนี้ มันมีช่องโหว่!

    เช่น คนๆนั้นอาจเป็นคนที่ ไม่มีเรื่องให้เครียด เป็นคนที่คิดอะไรสบายๆ ไม่ค่อยมีกิเลส ไม่ค่อยลุ่มหลงในวัตถุ คนที่มีลักษณะเช่นนี้ มักจะมี six sense เพราะเป็นคนไม่ยึดติดในร่างกาย (เมื่อไม่ยึดติดในร่างกาย การทำงานของจิตมันเลยกึ่งๆ มันไม่ได้โดนร่างกายมนุษย์จำกัดความสามารถเอาไว้)

    ตอนที่พี่อยู่ในความฝัน พี่ยังไม่สามารถดึงภาพเหตุการณ์ลำดับห่วงโซ่ของเหตุการณ์ในอนาคตออกมาได้ .. พอทำทีไร มันจะเป็นภาพอื่นๆขึ้นมาแทน (คิดว่า สติคงจะยังไม่มากพอ) แล้วคนที่เพ่งๆอะไรตอนที่ไม่ได้หลับแล้วมองเห็นสิ่งต่างๆได้ แบบนี้สุดยอด เพราะต้องแยกความสามารถของจิตออกมาในยามตื่น (อันนี้ทำยากมาก พี่เคยลองแล้วยากมาก ต้องเป็นผู้ที่ฝึกสตินานๆ หรือนั่งสมาธินานๆ หรือคนที่มีมาแต่กำเนิดมีมาตามธรรมชาติ อย่างเช่นน้อง Melzee และ คุณปู อ่ะ)

    จริงๆแล้วพวกเรามีความสามารถเหล่านี้กันทุกคนนะคะ แต่เราไม่รู้วิธีใช้..

    แล้วรู้ไหม พี่มองเห็นอะไร ???

    พี่มองเห็น มนุษย์ต่างดาว เขาหัวเราะเยาะอารยธรรมของมนุษย์โลก ที่มักจะค้นหาคำตอบของสิ่งต่างๆ โดยการจำกัดความจริงเอาไว้ เช่น จากภาพทั้งหมด มนุษย์โลกจะจำกัดคำว่า "ความจริง" เอาไว้เฉพาะ ภาพที่มองเห็นได้ด้วยลูกกะตา(หรืออุปกรณ์ที่ช่วยให้ลูกกะตามองเห็นได้) มันประหลาดมาก.. เพราะจริงๆแล้ว การใช้ความสามารถของจิตในการมองเห็นต่างหากล่ะ ถึงจะมองเห็นภาพความจริงทั้งหมดได้

    มนุษย์โลก ศึกษาความจริงของธรรมชาติ โดยการจำกัดความรู้เอาไว้ในระดับของมนุษย์ ใช้สัมผัสของมนุษย์ในการศึกษา อันไหนที่มนุษย์สัมผัสไม่ได้ ก็จะไม่ถือว่าเป็นความจริง ไม่ถือว่าเป็นวิทยาศาสตร์ และเพราะความคิดเช่นนี้แหละ ทำให้มนุษย์โลกล้าหลังกว่ามนุษย์ต่างดาว..

    โอเค.. บ่นจบแล้ว --' กลับเข้าเรื่อง ความฝันของน้อง Melzee

    พี่อยากให้น้องลอง พัฒนาความสามารถพิเศษของน้องอ่ะ ไม่อยากให้ปล่อยให้ความสามารถนี้ เดินนำน้อง แล้วก็เอาแต่สงสัยๆว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง แต่อยากให้ใช้สติในการควบคุมความสามารถนี้ ในการเดินนำหน้าความสามารถนี้ และพัฒนาต่อยอดไปเรื่อยๆ ไม่แน่ในอนาคต น้องอาจเป็นเหมือนพระเอกซีรี่ส์เรื่อง The Dead Zone อ่ะ คือเห็นได้ทุกครั้งที่อยากเห็น และไม่เพี้ยนเลยสักครั้ง เห็นอะไรก็เกิดขึ้นตามนั้นจริงๆ ถ้าทำได้แบบพระเอกเรื่องนี้ ก็จะช่วยชีวิตคนได้เยอะมากๆเลยค่ะ ^^ (ทำงานร่วมกับตำรวจ ในการทำคดีต่างๆ ^^)

    ---

    อีกหน่อยนะ.. ส่งท้ายละ..

    พูดยาวไป กลัวไม่เข้าใจ

    ตอนหลับ , ตอนตื่น , ตอนทำสมาธิ

    พี่ว่า.. ตอนทำสมาธิ คือการรวมตอนหลับกับตอนตื่น เข้าด้วยกัน

    ตอนหลับ + ตอนตื่น = ตอนทำสมาธิ

    เพราะตอนหลับ ไม่มีสติ แต่จิตส่วนที่ทำหน้าที่เป็นตัวรู้ ไม่ได้ประสานกับกายเนื้อแล้ว แต่มันไปอยู่ในโลกความฝัน และมันก็อยู่แบบไม่มีสติเต็มร้อย

    ส่วนตอนตื่น.. ตอนตื่น พวกเราจะมีสติค่อนข้างมาก(มากกว่าตอนฝัน) เราจะเริ่มจำความฝันได้ตอนใกล้ๆจะตื่น จิต(ส่วนที่เป็นตัวรู้)จะเริ่มทำงานประสานกับร่างกาย ทำให้เราจำความฝันตอนใกล้ๆจะตื่นได้ (แต่จำตอนที่หลับลึกไม่ได้)

    ส่วนการทำสมาธิ การทำสมาธิ เหมือนเป็นการเอาจิตที่อยู่ตามเซลต่างๆของร่างกาย(เฉพาะจิตตัวรู้นะ) เอามารวมกันไว้ที่จุดๆหนึ่ง บางคนก็รวมที่ท้องน้อย บางคนก็รวมที่จุดกึ่งกลางระหว่างคิ้ว.. ตอนนี้มันจะคล้ายๆกับตอนหลับ คือพยายามแยกจิต(ส่วนที่เป็นตัวรู้)ออกจากกายเนื้อ แต่.. การทำสมาธิ มันมี "สติ" อยู่ตลอดเวลา เพราะอย่างงี้แหละ คนที่ทำสมาธิแล้วรวมจิตไว้ที่เดียวได้ จึงมักจะเกิดเป็น กายทิพย์หลุดออกมาแล้วมาอยู่ในโลกมนุษย์(แทนที่จะไปโลกทิพย์)

    อันนี้คือความต่างของ ตอนหลับ ตอนตื่น และตอนทำสมาธิ

    ตอนทำสมาธิ ก็คือเอาตอนหลับกับตอนตื่นมารวมกันอ่ะ.. คือ แยกจิตออกจากกายแบบมีสติ คนที่นั่งสมาธิบ่อยๆ ก็เลยชอบมีญาณต่างๆ บางคนก็ได้ญาณตาทิพย์ บางคนได้ญาณหูทิพย์ ส่วนคนที่นั่งบ่อยๆ ประจำๆ จะได้หลายๆญาณ บางคนมองเห็นอดีตชาติได้ก็มี
     

แชร์หน้านี้

Loading...