อยากทราบวิธี นำ สมาธิมาใช้กับการศึกษาเล่าเรียนครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Jera, 26 กันยายน 2015.

  1. Jera

    Jera เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,001
    ค่าพลัง:
    +2,040
    ขออนุญาติ ถามนะครับ คืออยากทราบว่าจะนำสมาธิมาใช้กับวิชา เกี่ยว

    กับการคำนวณ หรือ พวก คณิต อ่ะครับ คือบางทีคิดไปคิดมา การเป็นเครียด

    เเทน เลย ไม่รู้จะคิดไงเลยอ่ะครับ หรือว่าเราไปเพ่งมากไปครับ


     
  2. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ต้องแยกให้ออกหน่าคร้าบ

    สัมมาสมาธิ อันมี สัมมาทิฏฐิ ที่ถูกต้องเป็น ประธาน กล่อมเกลา นั้น เป็น
    การงานที่มุ่งการพ้นจากโลก พบอิสระ

    ส่วน สมาธิใดก็ตาม ที่เป็นตัว ชูรส ชูชาติ สร้างภพ สร้างชาติ เหล่านั้นคืออาการ
    ขาด สัมมาทิฏฐิ

    ดังนั้น วิชาการทางโลก การเลี้ยงชีพแบบโลก จะเป็นเรื่อง หนทางคับแคบ

    เราจะเรียกว่า หนทางคับแคบเพราะ เหตุแรกเลย มันขวางนิพพาน ซึ่งบาลี
    จะเรียกว่า เดรัจฉาน

    เหตุที่สอง มันเป็นเครื่องบีบเค้น ร้อยรัด ....เช่น พอเรากล่าวว่า สัมมาทิฏฐิ คือการ
    มุ่งพ้นโลก เหตผล หรือ ชีวิต หรือการเลี้ยงชีพแบบโลก จะกระทืบปากคนที่ปรารภ
    ว่าจะมุ่งพ้นโลกก่อนเลย มันจะค้านสุดลิ่มทิ่มประตู จะอ้าง การเลี้ยงชีพแบบชาวโลก
    คือ สัมมาอาชีวะถ้าอย่างโน้น ถ้าอย่างนี้ มีถ้า ...ที่ แปรปรวนไปตาม ผัสสะกระทบยั่วเย้า

    ดังนั้น

    สมาธิ ภาวนาเพื่ออะไร หากเอาไป พูดว่า เพื่อเอาไว้แว๊บปิ๊ง คิดออก เอาไว้เป็นส่วนหนึ่งกับ
    ระบบโน้นนั่นนี่แบบลูซี่ เอาไว้เรียกชุดอาวุธจากห้องคลังแสงแบบนีโอ เอาไว้ตอบโจทย์
    เอาไว้เจ็ดเมีย เหล่านนี้คือ อาการโดน ลูกสาวพยามารหลอกเอา !!!

    สมาธิ ภาวนาเพื่อการสิ้นไปของภพ ชาติ ความทะยานอยาก นิวรณ์ ....เนี่ยะ ตรงนี้
    พอเพียงแล้วที่จะเรียกได้ว่า ฉลาดรอบรู้โลก ทันโลก โดยไม่ต้องอัพสเตตัสให้เสียเวลา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กันยายน 2015
  3. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    งง ไหม

    สมาธิแบบพุทธ สอบตก พ่อตาตาย แม่ยายเตะ เจะด่าแม ..... จิตเราจะพ้นอยู่ และเป็นสุข

    จิตที่เป็นสุข หากจะเอาไปใช้อะไร นั่นเพียงพอ หรือ มีการประกอบแบบเศรษฐกิจพอเพียง แล้ว

    จิตที่พร้อมกับทุกสถาณการไม่ว่าจะดี หรือไม่ดี หรือ กลางๆ มันไม่เครียด ไม่ถูกบีบคั้น
    จาก ความทยานอยาก(ตัณหา) การให้ค่า(ราคา) การวาดภาพถือฟอร์ม(อารตี)

    จิตที่พร้อมทุกสถาณการ จะเตรียมพร้อมได้ก่อนวันสอบ หนังสือเราจะอ่าน และฝึกฝน
    ก่อนคอสเรียนจะมาถึง เราจะไม่ได้เรียนด้วยวิธีการท่องจำ ซึ่ง มันเป็นอาการของคนเรียน
    เพื่อไม่รู้ แต่เราจะเรียนวิชาใดๆที่เรารู้ คุณ และ โทษ ของวิชานั้นๆ นั่นแหละ เราจะพร้อม
    โดยไม่ต้องอ่านมาก่อนเลย

    ยกตัวอย่าง หากเรารู้ว่า การคำนวน มีคุณและโทษ อย่างไรต่อชีวิต จิตเราจะใส่ใจต่อ
    ความรู้นี้ได้ เหมือน ธาตุเดียวกันย่อมเข้าหาธาตุชนิดเดียวกัน โดยไม่ต้องสอนซ้ำ เรียนซ้ำ


    อนึ่ง วิชาทางพุทธ เราจะเรียนรู้คุณ และ โทษ ของสิ่งที่เรียกว่า รูป นาม อันเป็นตัวก่อภพ
    และ เพราะเห็นความก่อภพนั่นแหละ เราจึงเห็นว่าการพ้นมีอยู่ รูป นาม จึงมีคุณ หากเอามา
    กำหนดรู้ทุกขสัจจ
     
  4. Jera

    Jera เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,001
    ค่าพลัง:
    +2,040
    ขอขอบคุณสำหรับคำชี้เเนะครับ

    คือเราต้องมีจิตเป็นกลางๆใช่ป่ะครับ เเละพิจารณา ถึงประโยชน์ เเละโทษ จนเกิด ฉันทะ

    อะไรประมาณนี้ป่ะครับ เพราะทกวันนี้นี้เวลาศึกษาหรือ เรียนอะไร ไม่ค่อยมีฉันทะเท่าไหร่เลยครับ

    เพราะปกติคิดว่าเวลาเราตายวิชาพวกนี้มันไม่ค่อยมีประโยชน์ อ่ะครับ ส่วนใหญ่ใช้ความจำครับ
     
  5. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    อย่าคิดเอาจิฮับ

    เอา การกระทำ มายกปรารภ จะต่างกันเยอะเลย

    จากที่พูดว่า " เรียนไปตายฮา ลืมหมด " หากเอา การกระทำมาปรารภ แทนการคิด
    การสร้างภาพ การคาดคะเน มันจะต่างกัน

    เรียนรู้มาก รู้น้อย ฉลาด หรือ ทึบ มันจะไม่เกี่ยวอะไร กับการภาวนา ไม่ใช่เงื่อนไข
    ของกันและกัน

    แต่ จิตที่อบรมดีแล้ว จะเรียนได้ฉลาด ไม่ฉลาด ตายฮาลืมหมด ยังไง ก็จะ ฉลาดสุดๆ
    อยู่แล้ว ไม่มีการวางฟอร์มอ้างเลห์ ทำโวหาร " กลางๆ " แบบคิดเอา

    คนที่ อบรมจิตดีแล้ว บางคนเขาก็เป็นเศรษฐี บางคนเป็นกษัตริย์ บางคนเป็นพ่อค้า
    บางคนเป็นวิศวกร(อ้าง เทศนาหลวงพ่อพุธ) เว้นไว้แต่พวกมีวาสนา พวกนี้ได้เป็น "พระ"

    บางคนโจรปล้นบ้านก็บอกว่า ช่างมัน เดี๋ยวหาใหม่ ไม่มีวันหมด
    เพราะ "..........."เนี่ยะไม่มีทางใครจะปล้นไปได้ จึงไม่มีคำว่าอับจน ไม่มีคับแค้น
    เห็นหนทางของการมีสมชีวิตาที่เขาพูดกันให้งงๆว่า " ไม่มีคำว่าไม่มี "
     
  6. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    คือสำหรับผม
    ตอนนี้ถ้าแยกออกระหว่าง
    เช้าเมื่อวาน
    กะเช้าวันนี้
    อะไรเกิดขึ้นก่อน
    ก็ถือว่ามีสมาธิแล้ว

    เราก็เอามาย่อลง
    เหลือ เมื่อชม.ที่แล้ว
    กะชั่วโมงนี้
    อะไรเกิดก่อน

    เค้าเรียกว่ามันเนื่องด้วยเวลา

    แล้วก็ให้กลายเป็น เมื่อนาทีที่แล้วกะนาทีนี้อะไรเกิดก่อน

    แล้วก็มาวินาทีที่แล้วกะวินาทีนี้อะไรเกิดก่อน

    เราจะพบสิ่งที่เนื่องด้วยเวลา
     
  7. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    คือปรกติเราจะไม่ค่อยได้อยู่กะปัจจุบัน
    แต่เราก็รู้อยู่

    ก็ถือว่าทำวิปัสสนาแล้ว

    ถ้าเกิดคำถามว่าอะรคือปัจจุบัน

    ผมมันจะให้ถามคำถามนี้
    สองครั้ง

    ผมจะตอบคำถามว่าอะไรคืออยู่กะปัจจุบัน คำถามที่แล้ว

    ถ้าเรารู้อยู่ว่าเรา
    ไม่ได้อยู่
    ก็คือวิปัสสนาแล้ว

    แจ้งแล้ว
     
  8. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    ผมมีอาการย้ำคิดย้ำทำ
    มีอาการซึ่มเศร้า
    ผมไปค้นพบว่า

    บางที่เราแยกไม่ออก
    ระหว่างเช้าเมื่อวาน
    กะเช้าวันนี้อะไรเกิดก่อน

    เมื่อเราทราบก็แสดงว่าเราแจ้งแล้ว

    ถ้ามีคำถามว่าทำไมไม่อยู่กะปัจจุบัน

    ให้ถามคำถามว่าทำไมไม่อยู่กะปัจจุบันซ้ำอีกครั้ง

    แล้วตอบเฉพาะคำถาม ก่อนหน้านี้

    มันอันเดียวกะที่เราแยกไม่ออกว่าเช้าเมื่อวาน
    กะเช้าวันนี้อันไหนเกิดก่อนเกิดหลัง
     
  9. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241

    ฮัด ชัด ชัด ช่า

    ปี้ชายฮับ ปี้จายไปกินผักกาดยอบ้านตาด ถูกปากมาแล้วหรือฮับ

    ปี้ชาย ยังจำน้องจาย คนนี้ได้ก่

    จำได้ ไม่ได้ ไม่ต้องบอกมา .........แต่ " จิตปี้จาย ใสกิ๊งเลย "

    ภาวนาขึ้น อีกต่างหาก :cool:
     
  10. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    วันนี้มาชื่นชมผม
    มาแนวใหม่
     
  11. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    คือผมเป็ฯคนป่วย และทำให้ไม่ประสบความสำเร็จในการเรียนเลย
    ทั้งๆที่เคยเป็ฯคนเรียนเก่งนะ
    อ่านหนังสือจบเดียวจำได้

    แต่นั้นคือสมัยนเด็กๆ

    พอเริ่มเป็ฯวัยรุนทำไม่ได้อีกเลย
    อ่านเท่าไหร่ก็ไม่มีวันจำอะไรได้เลย
    มาทราบว่าตนเองป่วยเป็ฯโรคย้ำคิดย้ำทำ

    มันคงมีเชื่อมานาน
    แต่มาออกอาการโดยที่ไม่ทราบจริง
    ในช่วงวัยรุ่น

    โดนความเข้าใจว่ากูหนะเรียนเก่ง

    เลยฉิบหายมาจนวันนี้

    ก็นอนคิดไปคิดมา

    ค้นพบว่าเกิดการการที่เรา
    ไปจดจ่อ คือเราแยกไม่ออกระหว่างจดจ่อกะจับจด

    มันเป็ฯของที่อยู่กันคนละด้านของเหรียญ

    ปรกคิคนป่วยย้ำคิดย้ำทำ

    ขณะนั้นๆ เค้าจะแยกไม่ออก
    ว่าเช้าเมื่อวานนี้กะเช้าวันนี้อะไรเกิดก่อนกัน
    แสดงส่าเค้าสูญเสียความทรงจำชั่วคราวเสียแล้ว

    ถ้ามาในแนวทางพุทธ
    ให้รู้ตัว
    แล้วแจ้งกะตัวเราก็พอ

    ครั้งหน้าทำบ่อยๆๆๆๆๆ
    อุทิศกุศลให้พ่อแม่ ทำบ่อยๆๆๆๆๆๆๆ

    เวลาเราเกิดอาการสุญเสียความทรงจำชั่วคราว
    เพราะ..... เยอะแยะ
    เราจะเดาตัวเราเองออก

    และอาจจะอีกหลายปีต่อมาเราจะพบวิธีที่จะแก้ปัฐหา
    เช่นอ่านหนังสือมาก็พอได้
    เข้าห้องสอบจะเหมือนคนหลุดไปเลย
    สติหลุดไปเลย

    ซึ่งจะเกิดขึ้นแน่ๆสำหรับคนป่วย
    แค่เราจะหาเทกติกในการเตือนเราด้วยเรา
     
  12. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    เนียะๆๆ
    ถ้ามีท่านที่ป่วยมาอ่าน

    ถ้ามีนะ
    ให้ถามตัวเราและเรา
    ว่า
    เช้าเมื่อวานกะเช้าวันนี้
    อันไหนเกิดก่อน

    ถ้าเริ่มสับสน

    คือหาคำตอบไม่ได้
    ให้ถามอีกคำถามหนึ่ง
    ระหว่างจับจดกะจดจ่อ
    มันแตกต่างกันไง

    เค้าเรียกสัมปะชัญญะ
    สติจะไม่ฟื้น

    แต่ไม่ฟื้นก็แจ้ง
     
  13. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    คือสติมันมีสภาพไม่ฟื้นได้

    แต่ถ้าเราจำได้ว่าล่าสุด
    เราไม่ฟื้นอย่างนี้เมื่อไหร่
    ถือว่าใช้ได้
    ทำบ่อยๆ
     
  14. Jera

    Jera เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,001
    ค่าพลัง:
    +2,040
    นั่นหล่ะฮ่ะ สงสัยผมจะเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ
     
  15. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    ผมก็เคยเป็น เคยคิดว่าเรียนไปก็ไม่ได้ใช้ แล้วก็ไม่ตั้งใจเรียนด้วย เรียนให้จบ
    แต่ถ้ามองดูกว้างๆ มันก็จำเป็นถ้าเราจะหาเงินเลี้ยงชีวิต

    แต่ถ้าจขกท ยืนยันว่ายังไงๆๆ ก็ไม่จำเป็นจริงๆ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงไม่ต้องเรียนครับ ลาออกซะ
    แล้วมามุ่งในสิ่งที่คิดว่าเป็นสาระเป็นประโยชน์ ที่จะใช้ทั้งชีวิตได้ :cool:

    แต่ถ้าคิดว่า จะต้องทำงาน มีงานประจำ จะต้องมีเกรดสวยๆไปเพื่อเพิ่มโอกาสการสมัครงาน ก็ตั้งใจเรียนไปครับ
    (เผลอๆอนาคตต่อไปแค่เรียนจบอาจจะไม่พอ ต้องมีเกรดดีๆ มหาลัยดีๆมีชื่่อด้วย)
    ระหว่างเรียนนั้น ก็หาแบ่งเวลาส่วนหนึ่งเอาไปทำในสิ่งที่คิดว่าเป็นสาระที่จะใช้ไปได้ทั้งชีวิต

    โดยส่วนตัวผมก็เคยได้ยินหลายคนพูดว่า ที่เรียนไปกับที่ทำงานมันคนละอย่างกัน (เอาจริงๆบางสาขาเรียนไปก็ไม่เกี่ยวกับการทำงาน ต้องมาเรียนรู้ในที่ทำงานใหม่หมด แหม่แต่ถ้าไม่เรียนแล้วไปสมัครงานเลยก็ไม่ได้นะ เขาก็ไม่รับนะถึงรับก็โดนกดเงิน เอากับมันซิ)

    ดังนั้น เผลอๆบางสาขาวิชา ถึงแม้เรียนไปแถบไม่ได้นำเอาวิชาที่เรียนมาใช้ในชีวิตจริงเลย แต่ก็จำเป็นต้องเรียน ตามหลักสูตรไปงั้นๆ

    ยังไม่พอ บางทีเรียนจบมา จะทำงานบางที่ ก็ต้องมาอ่านอะไรก็ไม่รู้ที่เหมือนดูไม่มีประโยชน์เพื่อสอบเข้าทำงานอีกนะ (สมมุติ ต่อให้อ่านเตรียมตัวอย่างเก่ง ขั้นเทพ ลองทำข้อสอบเก่าถูกหมด แต่มีวุติซัก ป.3 ให้ตายก็เข้าสอบไม่ได้)
    เช่นพวกราชการ เผลอๆให้พวกตำแหน่งสูงๆทั้งหลายมาสอบข้อสอบ ก็ทำไม่ได้ซะส่วนใหญ่ เชื่อดิ

    เพราะสังคมมันเป็นแบบนี้ ต้องหาเกณท์ไรซักอย่างมาวัด ให้ดูมีการแข่งขันกัน สร้างบรรทัดฐาน แล้วก็แข่งกันยากขึ้นๆมากขึ้นมาเรื่อยๆ

    ดังนั้นจุดมุ่งหมาย ก็เพื่อทำข้อสอบแหละครับ
    แต่ถ้าอยากตั้งใจขึ้นมา ก็แค่แบ่งเศษเสี้ยวของเวลา มาจดจ่อกับมัน
    โดยไม่ต้องไปสนหรอกว่าไอ้วิชาพวกนี้มันมีเพื่ออะไร แบบไหน ทำไม ใช้ทำไรได้ มีประโยชน์มั้ย
    เอาแค่รู้หลักการ และรูปแบบของมันก็พอครับ แล้วเอานำมาประยุกษ์ให้ได้ เพื่อทำโจทย์ข้อสอบในกระดาษได้ก็พอ
     
  16. Jera

    Jera เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,001
    ค่าพลัง:
    +2,040

    ขอบคุณสำหรับคำชี้เเนะครับผม ผมก็จำเป็นต้องทำเเบบนั้นเเหละครับ

    เวลาเรียนก็เเบ่งความสนใจ ในเรื่องการเรียน เเต่อย่างที่บอกเลยครับ

    ผมค่อนข้างได้เปรียบเรื่องความจำ เเต่ ในเรื่องความเข้าใจ ค่อนข้างช้าครับ


     
  17. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    ก็ดีครับ ถ้าสามารถจำสูตรคำนวณต่างๆ รวมถึงตัวย่อความหมายในสูตรได้ แบบรู้ที่มาที่ไปของมันก่อน
    (ไม่งั้นก็อาจจะงง สูตรสมการ ตัวเลขผสม ตัวอักษร สัญลักษณ์ ไรเยอะแยะ ยังกับภาษาต่างดาว)

    ต่อไปก็พยายามเข้าใจ ประมาณว่าถ้าโจทย์มาแบบนี้ๆ ควรคำนวณใช้สูตรไหนๆ
    เหมือนเรารู้หลักการ รูปแบบคร่าวๆแล้ว เหลือแค่ไปประยุกต์ใช้ผลิกแผลงเอา

    ซึ่งเดี่ยวนี้ความรู้บนโลกมีมากมายค้นเน็ตหาก็เจอสอน อธิบาย หรือเป็นวีดีโอสอนเต็มไปหมด คงไม่อยากหรอกมั้งครับ ถ้าจะเรียนรู้เข้าใจเฉพาะในสิ่งที่จะต้องใช้หรือสนใจ
    ไม่ก็ถามเพื่อนที่เรียนเก่งๆ ที่ได้คะแนนเก็บดีๆหรือเป็นต้นฉบับการบ้าน ให้สอนครับ ง่ายสุด เรียนรู้จากคนที่เขารู้เขาเข้าใจ ให้เขาชี้จุดให้ ประหยัดเวลาด้วย อาจจะดีกว่าอ่านเองซ้ำไปซ้ำมา
     
  18. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,827
    ค่าพลัง:
    +2,227
    ผมเป็นคนหนึ่งที่จัดว่า crazy หรือครั่งใคร้ในวิชาคำนวณเลยทีเดียว
    จึงอยากจะขอแชร์นะครับ

    การมีสมาธิ จัดว่าจำเป็นในเรื่องใด?
    1) ทำให้เมื่อจิตจดจ่อ จะทนอ่าน ทนทำแบบฝึกหัด ได้ทนขึ้นนานขึ้น
    ซึ่งสุดท้ายจะเก่งขึ้นไปเอง
    2) เมื่อมีสมาธิ เมื่อเจอเนื้อหาที่ต้องทำความเข้าใจ ต่อๆกันไปหลายๆชั้น
    ก็จะสามารถติดตามเนื้อหาเข้าใจตามไปได้
    3) เมื่อมีสมาธิ ความละเอียดรอบครอบก็จะดีขึ้น ไม่ทำอะไรพรวดพลาด
    ดังนั้นความพิดพลาดก็จะน้อยลง

    พื้นฐานประมาณนี้ก่อนครับ


    อนึ่งมันมีความต่างของวิชาอยู่ระหว่าง .. วิชาเลข กับ วิชาภาษา
    ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่า คนเก่งเลข มักไม่เก่งภาษา
    ส่วนคนเก่งภาษามักไม่เก่งเลข

    ทั้งนี้เป็นเพราะหลักการเรียนรู้ในสองวิชานี้ ต่างกัน
    วิชาเลข ใช้การฟุ้ง คือการคิดหาแนวทางหาคำตอบต่างๆนานา จนพบคำตอบ
    ส่วนวิชาภาษา จะใช้ความสงบในการฟัง ให้ฟังได้ชัดเจนและได้ต่อเนื่องยาวนาน

    ดังนั้นในการที่จะบรรลุความสำเร็จทั้งสองศาสตร์ จึงควรฝึกและสมดุล ความสงบและการฟุ้งให้ดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กันยายน 2015
  19. Jera

    Jera เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,001
    ค่าพลัง:
    +2,040
    ขอขอบคุณ มากๆเลยครับ
     
  20. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,482
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,025
    ค่าพลัง:
    +70,077
    เขื้อสาย หรือ นิสัยแห่งนักวิเคราะห์วิจัยนามธรรม
    จะไม่ยอมแพ้ และ ไม่ยอมทำตาม แรงจุงใจที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งภายในจิตใจ ตนเอง


    แม้จะเป็นวิชาการทางโลก ที่ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ในอริยมรรคโดยตรง
    แต่ เราาสามารถ ใช้เป็นสนามฝึกซ้อม การควบคุมจิตใจและการเจริญพื้นฐานวิปัสสนาได้


    เรายังเป็นฆราวาส ที่ยังต้องใช้วิชาการต่างๆศึกษา เล่าเรียน ประกอบอาชีพ
    เลี้ยงสังขารตน ครอบครัว รับผิดขอบภาระ ตามสมมุติ ที่ยังมีเหตุให้ใช้สมมุติของ
    คว่ามเป็นนักการอาชีพต่างๆ




    ทางโลกนั้น ผู้คนมีปกติทำตามสิ่งที่อยาก และ ต่อต้าน ดิ้นรนขัดขืน ในสิ่งที่ไม่อยาก( อยากไม่...)
    ในฐานะนักปฏิบัติ ที่มีเชื้อแห่งนักวิจัยนามธรรมและจิตวิภาค จะไม่ยอมทำตามความขัดแย้งในใจตน

    ย่อมเห็นว่า เมื่อยังไม่สิ้นเหตุททีต้องเป็นนักวิชาการในการเลี้ยงชีพสังขารนี้

    เราจะเปลี่ยนแรงขัดแย้งที่เกิดจากความไม่ชอบ ความอยากไม่ ความไม่อยาก
    มาเป็นแรงช่วยเพาะกำลังจิต ด้วย ฉันทะ เป็นเหตุแทนเสีย( ไม่ใช่เพราะความอยากหรือไม่อยาก )
    ให้มองเห็นเสียว่า การคำนวณ คือ การฝึกเห็นกฏเกณฑ์ง่ายๆ หยาบๆ ของธรรมชาติ
    ที่ยังสามารถเขียนออกมาในรูปสัญลักษณ์ทางโลกได้อยู่

    ถ้าเราไม่สามารถุเข้าใจรูปธรรมและกฏเกณฑ์เบื้องหลังมัน ในรูปแบบง่ายๆ(เมื่อเทียบกับ
    ความยากในการวิจัยนามธรรม) การสืบเสาะค้นหากฏเกณฑ์ทางนามธรรมก็พลาดได้ง่าย


    สรุปแล้ว คือ การฝึกฝื่นอารมณ์ขอบ-ไม่ขอบ จนจิตเกิดกำลัง(สมถะ-วิปัุสสนา)ได้จากเหตุการณ์นี้ในชีวิตประจำวัน



    ********************************************


    ทีนี้ ความเพลิน(ปิติ สุข) จากการเอาชนะความขัดแย้งในใจที่ต้องเรียนวิชาทางโลก
    มาจากไหน


    ส่วนหนึ่ง ก็มาจาก การได้เห็นเหตุในเหตุ ผลในผล ของกฏเกณฑ์ อันเป็นที่มาของ
    หลักการคำนวณ นั่นแหละ


    เพลินที่ได้ขนิกสมาธิจับข้อโจทก์่ขึ้นมา
    เพลินที่ได้จับอารมณ์บงการภายใน ที่เป็นความชอบ ไมชอบ ควบคู่กันไป
    เพลินที่ได้เห็นการแปรเปลี่ยนรูปแบบของตัวเลขการคำนวณได้หลากหลาย
    (ฝึกการตามทันของสติ ที่ต้องทันการแปรรูปของกิเลสและนามธรรมภายในไปด้วย)



    -----------------------------


    นักปฎิบัติ ที่ไม่ผ่านด่านนี้ ในวัยศึกษาก็มีไม่น้อย




    --------------------


    ทีนี้ มาดูการปรับใช้เทคนิคง่ายๆ ในการปรับจิตใจให้สอดคล้องกับสภาวะกายและสมอง
    เพื่อ ความคล่องตัวในการใช้สมองร่วมกับการคำนวณ


    เมื่อมีความมึน ทึบ อึดอัด ในสมอง


    ให้จับความรู้สึก หรือวางความรู้สึกไว้ที่ฐานลมในการ ที่เห็นได้ชัด เช่นปลายจมูก
    หรือโพรงจมูก หรือ กลางอก


    รู้สึกลมกระทบ เวลา หายใจออก


    สนใจแต่ลมหายใจออก สักระยะ


    พลังงานหยาบๆที่อัดแน่นที่สมองภายในจะเริ่มคลาย


    ถ้ายังคลายตัวช้าอีก ก็หายใจเข้าลึกๆยาวๆ นึกไปที่สมอง
    แล้วพอจังหวะจะหายใจออก ก็มารู้สึกที่ฐานลมเช่นปลายจมูกเป็นต้น

    วนรอบแบบนี้สักระยะ สมองจะโล่ง



    ถ้ามีความอึดอัดที่อก อันเกิดจากธรรมารมณ์ตกค้างของความพอใจ ไม่พอใจ
    ก็ให้ทำในหลักเดียวกันคือ
    หายใจเข้า ให้รู้สึกที่ฐานบริเวณอก
    หายใจออกให้รู้สึกที่ฐานบริเวณปลายจมูก
    ทำไปสักระยะ
    พลังงานสั่งสมที่เป็นตัวทุกข์จะคลายตัว
    ความโปร่งโล่งจะมีมากขึ้น


    แล้วก็กลับไปใช้ความตั้งใจ กับการคำนวณ การเห็นกฏเกณฑ์ในการคำนวณ ต่อไปได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...