อยากถามวิธีแก้แบบนี้อ่าครับ (สําคัญมาก)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ballbeamboy2, 20 เมษายน 2012.

  1. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ผมตอนนี้อยากกลับไปเป็นแบบก่อน แต่ก่อนเป็นคนไม่คิดแบบว่าดูถูกคน แต่ตอนนี้ดูถูกคน แล้วผมไม่มีความสุขเลย แล้วมึนหัว มันไม่มีความคิดอะไรมาเลย เวลาผมจะเรียนหนังสือเหมือนฟังแค่นั้น แล้วเข้าใจ แต่ไม่ได้มีกําลังใจ ผมขอขมาต่อพระรัตนตรัย ไปๆมาๆ ผมจะติดอยู่ตรงนี้ ผมอยากจะลา กลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่ก็รู้สึกเสียดาย ชาตินี้เกิดมา พบพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้า มีอริยทรัพย์ ให้ ตอนนี้ผมรู้สึกหดหู่สมาธิไม่มี กําลังใจหมด กลัวกรรมที่ผมไปปรามาส เพราะช่วงนี้ผมนอนไม่หลับเลยทุกข์มาก ความปราถนาของผมแต่ก่อน คือ อยากจะช่วยเหลือตอบแทนผู้มีพระคุณแล้ว ก็ทําบุญเป็นปกติ กลับมาคําถามละกัน

    อ่อ ช่วยตอบหน่อยนะครับข้อที่ตอบได้ ขอบคุณครับ

    1.ช่วงนี้ผมเหมือนเป็นคนบ้า มีแต่ความโกรธ พยาบาท เหมือนไม่เชื่อใจใครเลย มันแปลกมาก ผมเหมือนเป็นคนละคน ผมพูดไม่ตรงกับสิ่งที่ผมคิด แบบว่า มีคนถามสิ่งต่างๆ แล้วผมก็เกิดอาการ อยากจะด่า แต่กลับพูดอีกอย่าง(ไปในด้านที่ดี) เหมือนผมสูญจากความดี เหมือนความโกรธมันล้นใจ แต่ผมต้องกดมันไว้ อ่าครับ

    2.ผมตอนนี้นอนไม่หลับเลย ใครพอมีวิธีแก้ไหมครับ คือมันจะคิดอย่างเดียวมันจะหาโทษ หรือหาการปรามาส ผมพยายาม ขอขมาแล้วคิดดีๆ แต่เหมือนมีไรมาให้คิดต่ำๆต่างๆนา

    3.ผมคิดว่าผมเป็นโรคประสาท ผมไม่รู้ว่าเป็นไหม แต่เหมือนเป็น จะแก้ไงครับ ผมจริงๆรู้ว่าต้องแก้ที่ใจ เพราะเกิดที่ใจ ผมก็แก้ต่างๆนาๆไปแล้ว มันก็มักจะมีคําถามมาทําให้ผมไม่เชื่อพระรัตนตรัย

    4.ผมเป็นคนชอบศึกษาอะไรต่างๆหาความรู้ ความรู้รอบตัว รู้ไว้ประดับความรู้ ตอนนี้เหมือนรู้หลายอย่าง ความรู้+ความสงสัย มันจะเพ่งโทษคนอืนอย่างเดียว ผมลําคาญใจมาก

    5.ผมฟังมา ว่า ถ้าคนที่มาปฎิบัติเห็นนุ้นเห็นนี้แล้วเหลิงใจ แล้วจะป่วยจนชนิดหมอรักษาไม่หาย ผมคิดว่าผมคงเป็นแล้ว ผมเพิ่งมารู้ตอนที่ฟังธรรมจากหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ผมอยากจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม คืออยากกลับไปเป็นเหมือนคนไม่มีความรู้ แต่มาศึกษาแล้วชอบจากธรรม ตอนนี้ผมไม่ไหว ผมอยากจะลืมสิ่งที่ผมสนใจมาทั้งหมด จะได้ไม่เกิดอาการปรามาส หรือด่าหลวงพ่อ อีก

    6.ตอนนี้จิตใจผมไม่ยอมรับพระรัตนตรัยเลย ผมได้แต่พูดปากเปล่า ว่า ขอมีพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ผมใช้ปัญญาไปอีก เพราะพระรัตนตรัยท่านมี อริยทรัพย์ มีความดีจะให้เรา แต่เรานี่ไม่เชื่อ เหมือนจะไปด้านเลวอย่างเดียว

    7.พอมีวิธีไหนบางครั้งกุศลโลบาย ในการคิดดีพูดดีทําดี ตอนนี้ผมเหมือนไม่เคารพใครอีกแล้ว มานะทิฐิ ความโกรธมากัดกินใจ ทําให้ผมไม่มีความสุข ดวงตาผมไม่มีความสุข จิตใจไม่มีความสุข เหมือนเป็นโรคซึมเศร้า พอตลกแปปกลับมาเศร้า

    8.ผมเหมือนหมดอนาคตไปแล้ว จิตใจจ่มอยู่กับ สงสัยพระรัตนตรัย แล้วความพยาบาท แล้วเพ่งโทษผู้อื่น แล้วคิดว่าตัวเองดี แล้วเหลิงใจ แล้วผมเป็นแบบนี้แล้วนอนไม่หลับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2012
  2. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,135
    เตือนไปตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว ไม่ให้สร้างวิจิกิจฉา คุณไม่เชื่อผมเอง แล้วก็เกิดปัญหาไม่หยุด ต้องมาร้องให้คนอื่นช่วย

    เอ้า... ทำตามนี้...
    ขอขมาพระรัตนตรัยทุกวัน เช้าหลังตื่นนอน และ กลางคืน ก่อนนอน
    อาราธนาศีล 5 ทุกวัน อย่าให้ขาด ถ้าจะให้ดี ก็ถือกรรมบถ 10 ไปเลย ข้อที่เกียวกับมโนกรรม วจีกรรม มันจะขาดได้บ้าง เพราะเรายับยั้งชั่งใจไม่ทัน ไม่เป็นไร ช่างมัน อย่าไปถือว่ามันขาด ถือซะว่า เราพยายามอย่างดีที่สุด ที่จะไม่ให้มันขาด

    จากนั้น ก็ หาเวลานั่งปฏิบัติทุกวัน วิธีปฏิบัติ ให้นั่งเป็นวิปัสสนากรรมฐาน อย่าเพ่งลมหายใจอย่างเดียว ให้นั่งสมาธินิ่งๆ แล้วสำรวจจิตตัวเอง ว่า จิต คิดอะไรอยู่ จับอะไรอยู่
    1. ถ้าจับลมหายใจ ก็รู้ว่า จับลมหายใจ เข้า หรือ ออก ยาว หรือ สั้น
    2. ถ้าจิตมันจับความคิด ก็ให้รู้ว่า คิดหนอ ฟุ้งซ่านหนอ ตามดูมันไป ดูไปเรื่อยๆ ว่ามันคิดอะไร ไม่ต้องไปคิดตาม แต่งเพิ่ม ไม่ต้องไปคิดว่า มันดี หรือ ไม่ดี ไม่ต้องไปคิดว่าจะหยุดมัน เอาแค่ให้รู้ว่า คิดอะไรอยู่ ไม่ต้องไปบังคับมัน มันจะไปไหนก็ไปเรื่องของมัน กำหนดรู้เฉยๆ ไม่ต้องปรุงแต่ง
    3. ถ้าจิตจับสภาวะร่างกาย ก็ให้รู้ว่า มันเป็นอย่างไร เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ขยับไหว หรือ เจ็บ หรือ คัน กำหนดรู้ตามไป

    ตามดูไปเรื่อยๆ ทำไปก่อนสักพักนึง ปรับพื้นฐานใหม่ให้หมด ถ้าเริ่มนิ่งแล้วค่อยฝึกขั้นต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2012
  3. boatsa2538

    boatsa2538 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +90
    ไม่ถึงกับสัญญาวิปลาส ถ้าสัญญาวิปลาสหนักกว่านี้อีก แนะนำให้ไปหาครูบาอาจารย์ ไม่ก็ไปหาพ่อแม่ ลองรดน้ำ ล้างเท้าท่านดู เรื่องอย่างนี้ ความอบอุ่นช่วยได้ ลองคุยกับพ่อแม่ดู พระอรหันต์ในบ้าน ช่วยได้แน่นอน อย่าเพิ่งเชื่อฉันนะ ลองเข้าหาพ่อแม่ก่อน แล้วบอกกับท่านตามที่ตั้งกระทู้นั่นละ รับรอง ผลเกิน ๑๐๐ ...
     
  4. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    เล่าประสบการณ์ครับ ผมเป็นคนชอบคิดครับ
    คิดได้ทั้งวันทั้งคืน ไม่นอนก็มี
    ชอบอ่าน เรื่องไหนที่สนใจจะอ่านไม่นอนเหมือนกัน
    พอเข้ามาศึกษา ปฏิบัติแบบเริ่มจริงจัง อาการจะเป็นคล้ายๆคุณball ครับ
    ถามว่าหลุด หรือเบาจากอาการเหล่านี้ได้อย่างไร
    ผมว่าหลายองค์ประกอบครับที่สำคัญคือต้องตั้งใจแน่วแน่ที่จะปฏิบัติ
    หากรรมฐานกองใดก็ได้ ต้องตั้งใจชนิดที่ตัดความสงสัย ไม่ถามผลไม่ถามอะไรเลย
    ปฏิบัติอย่างเดียวเลยครับ
    ลองนึกถึงตอนท่องตัวอักษรตอนเด็กๆก็ได้ครับ ครูสั่งให้ท่องให้คัดก็ทำไป
    จนในที่สุดอ่านออกเขียนได้ โดยไม่ได้ไปสงสัยว่า เราอ่านออกเขียนได้มายังไงครับ
     
  5. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ไปตามดูกิเลส มันเลย เป็นแบบนี้ละ โดนกิเลส หลอก

    ปฏิบัติผิดวิธี



    เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : ภาวนาแล้วทำไมยังแพ้และทุกข์เพราะกิเลสอยู่ ?
    [​IMG]

    ภาวนาแล้วทำไมยังแพ้และทุกข์เพราะกิเลสอยู่ ?
    1. มีความอยากที่จะเอาชนะกิเลส ซึ่งเป็นไปไม่ได้หรอกที่เราจะเอาชนะกิเลสด้วยความอยาก พออยากเอาชนะ จิตก็จะไม่ตั้งมั่น ไม่เป็นกลาง จึงทำให้แทนที่จะตามรู้ตามดูจิตที่มีกิเลสด้วยสติ สัมปชัญญะ ก็จะกลายเป็นไหลตามไปตามกิเลสพร้อมๆ กับพยายามเอาชนะมันให้ได้ จึงทำให้เห็นกิเลส ฝืนมันด้วยสติแต่ไม่มีสัมปชัญญะ (เพ่งใส่กิเลสด้วยความอยากชนะมัน) หากเป็นอย่างนี้ก็ไม่ใช่การตามรู้ ตามดูจิตแล้วครับ
    2. ไม่ได้ตามรู้ตามดูจิต แต่ไปตามรู้ตามดูกิเลส ซึ่งผิดหลักการดูจิต เพราะการดูจิตนั้น ต้องดูไปตรงจิตที่มีกิเลส ไม่ใช่ดูกิเลส (ให้ตามรู้ว่าจิตมีกิเลส อย่าไปตามรู้ตัวกิเลส) เช่น ให้ตามรู้ว่าจิตมีโทสะ อย่าไปตามดูว่าโทสะมาจากไหน แรงมากแรงน้อย หรือโทสะเกิดเพราะเรื่องใดใครทำให้เกิด เพราะหากไปดูตัวกิเลส จิตจะส่งออกไปจมแช่กิเลสได้ง่าย เพราะจิตเองยังมีปัญญาไม่มากพอ แต่ถ้าไปรู้ว่า จิตมีกิเลส (ไม่ต้องไปสนใจเจ้าตัวกิเลส) จิตก็จะไม่จรดจ่อไปที่ตัวกิเลส ซึ่งจะทำให้จิตไม่ส่งออกไปหากิเลส หรือไม่ถูกกิเลสครอบงำได้ง่าย แล้วก็จะเห็นกิเลสเกิด-ดับได้จากการตามรู้ว่าจิตมีกิเลสโดยที่ไม่ต้องตามดูเจ้าตัวกิเลสเลย แถมยังได้ตามรู้จิต เห็นจิตเกิด-ดับอีกด้วย การเห็นจิตเกิด-ดับไปพร้อมๆ กับเห็นกิเลสเกิด-ดับ ด้วยการตามรู้ว่าจิตมีกิเลส จะทำให้เกิดปัญญารักษาจิตไม่ให้เศร้าหมองเพราะกิเลสที่จรมา
    เราต้องดูว่าจิตเป็นอย่างไร เพราะในสติปัฏฐานหมวด จิตตานุปัสสนา เป็นการรู้ชัดว่าจิตเป็นอย่างไร เช่น จิตมีราคะ ก็รู้ชัดว่าจิตมีราคะ จิตมีโทสะ ก็รู้ชัดว่าจิตมีโทสะ ไม่ได้บอกให้รู้ราคะหรือรู้โทสะ รู้ไปจนเห็นว่า จิตมีความเกิดขึ้น เสื่อมไปเป็นธรรมดา จนเห็นว่าจิตไม่ใช่ตัวตน จนปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นต่อจิตเอง

    Dhammada.net หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม

    http://www.dhammada.net/2012/03/01/14031/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2012
  6. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    1.นายถูกกิเลสมานครอบงำเเละครับ เพราะว่านายยังควบคุมสติได้ไม่ดี
    2. เวลานอนให้เพ่งลมหายใจ ท่อง พุท โธ ถ้าเกิดหลุดเเสดงว่าสติกำลังหนี
    3.น่าจะไปหาหมอบ้าง อาจจะได้ยาเเก้เครียดนะ
    4.นายก็เลิกเพ่งโทษสิครับ
    5.นายท่อง พุท โธ ไปเลื่อยๆ เเล้วที่นายรู้ รู้ครบหมดหรือยัง ที่คนเค้ามาบอกอ่านบ้างมั้ย
    6.ไม่ยอมรับพรัตนตรัย ก็เพราะว่าจิตนายไปติดอยู่กับขันธ5 เเละขาดสติ กลัวสิ่งไหนก็ได้สิ่งนั่นละนะ ก็เเบบว่า ไม่อยากเจอสิ่งไหนก็เจอสิ่งนั่น อยากให้มันหาย มันก็จะโพล่ให้เจอ
    7.ข้อนี้ชัดเลย นายยังเอาจิตไปเกาะกับ เวทนา อยู่ นายเเค่ท่อง พุทโธ จิตนายก็ไปเคารพพระพุทธเจ้าเเล้ว อย่าเอาจิตไปอยู่กับอารมอื่น ผมฟันธงเลยนะ ถ้านายมีอาการเเบบนี้ตอนตายไม่พ้นนรกหรอก ท่องพุทโธไว้(รู้ลมหายใจเข้าออก หรือการมีสติรู้ คือการฝึกสติ นายจะคุมจิตไม่ให้มันวิ้งไปวิ้งมาได้) เเล้ว เจริญเมตตาบ่อยๆ เเผ่เมตตาบ่อยๆ เอาพรมวิหาร4เป็นฐานใหญ่ เเล้วดูอริยสัจ4 ดูความทุกข์ คืออะไร ก็คือ กายกับใจคือตัวทุกข์
    สมุทัยคือความอยากให้กายจับใจพ้นทุกข์ ความอยากตัวนี้คือตัณหา เมื่อจิตมันดิ้นรนเมื่อไร จิตมันก็จะมีความทุกข์ขึ้นมาเเบบที่นายอยากจะลืม เเต่มันลืมไม่ลง เพราะจิตมีตัณหาความอยากที่จะพ้นทุกข์ เเต่ผมอยากให้นายรู้จักนิโรธ ก็คือการมองตัวทุกข์ให้ใช้สติ มองหาตัณหาในจิตนาย มองดูทุกข์คือ กายกับใจ ดูความไม่เที่ยงของจิต(ถ้าใครรู้ว่ากายใจ ไม่ใช่เราก็เป็นพระโสดาบัน เเต่ใครรู้อีกว่า จิตนี้ก็ไม่ใช่เราก็เป็นพระอรหัน) ใช้สติมองจนมันหาย ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเเละดับไป เป็นไตรลักษณ์ ดูการเกิดดับของมัน คือ นิโรธ นิพพาน
    ส่วนมรรคก็คือทางนำเนิดไปสู่ความดับของทุกข์ มีองค์8 ก็เเบ่งเป๋น ศิล สมาธิ ปัญญา


    8.ทุกข้อของนายปัญหาก็มีอยู่อย่างเดียว คือ รู้ว่าจิตคิดอย่างไรคิดอะไรปรุงเเต่งต่างๆนาๆเเต่นายไม่รู้ทันมัน หรือเรียกว่าไม่ยอมหยุดมัน ไม่มองมัน เเต่ดันไปตามมัน
    "ผู้ใดเห็นทุกข์ ผู้นั้นเห็นสมุทัย ผู้ใดมองเห็นทุกข์ผู้นั่นย่อมเห็นธรรม "
    ตอนนี้นายทุกข์ใช่ปะ อยากให้มองมัน ตัวทุกข์ตัวเดียวคือ กายขันธ์5กับใจของนาย เเล้วมันจะตัดสมุทัยไปเองอัตโนมัติ สมุทัยคือต้นเหตุของนาย อยากให้ฝึกมองทุกข์บ่อยๆเดียวก็หายปรามาสเอง เเล้วไม่ต้องกลัวบาปหรอก องคุลีมายิ่งกว่านายอีก อยากให้นายตั้งจิตไปนิพพานตอนเข้ากับก่อนนอนสะนะ ถึงเวลาบวชก็บวชสะปล่อยวาง เกิดมาก็ไม่มีอะไรก็ตายหอบเงินไปไม่ได้เเต่บุญยังเอาไปได้อยู่นะ พลาดไงก็ไปสวรรค์ยังพอมีหวังนิพพานบนสวรรค์ก็ยังไม่สายนะ ไม่ตองกลัวหรอก
     
  7. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ปัญหามันอยู่ที่ เธอ ไปฟังธรรมจาก คนโง่ แล้วด้วยความเกรงว่า จะปรามาสพระ
    ก็เลย โดนคนโง่ หรอกให้ ซูฮก ต่อไปเรื่อยๆ

    การภาวนานั้น เวลา ก้าวหน้า มันจะต้องเกิดอาการสันโดษ และ พร้อมพึ่งพาตัวเอง

    แต่ หากไปเจอคนโง่ คนโง่มันฉลาดที่จะเอาเรื่อง การปรามาส มาหลอกเราให้หลง
    ติดกับ กับพฤติกรรมลวงๆ สุดท้าย ก็เลยไม่พ้น แทนที่จะอิสระ พึ่งพาตัวเองได้ ก็
    มัวแต่ เอาจมูกยื่นไปให้เขาสนตะพายแล้วลากจูงอย่างควาย

    คนโง่ ย่อม หลอกควาย ได้เป็นธรรมดา

    ทีนี้ จริงๆแล้ว คุณภาวนามาถูกทาง และ กำลังจะก้าวข้าม เส้นเขตแดน ไปสู่
    การเป็น นักภาวนาที่เป็นอิสระ สามารถเดินเข้าป่าเพื่อบำเพ็ญสมณะธรรมได้
    เต็มที่ แต่ขนาดอธิษฐานขอไปเกิดไกลๆ ความที่โลกมันแคบ ก็เลยโดนสนตะพาย
    ผ่านระบบเครือข่าย การขอขมากรรม แบบโง่ๆ อยู่ดี

    ************************************

    ฟังให้ดีๆ นะ

    ตอนที่ พระพุทธองค์ เวลาเทศนาอะไรออกมา มีครั้งหนึ่ง พระพุทธองค์หันไป
    ถามพระสารีบุตร ว่า บรรดาสิ่งๆต่างๆ ที่เราสอนแก่ภิกษุทั้งหลาย เธอ เชื่อหรือไม่เชื่อ

    พระสารีบุตร ตอบทันที ข้าพระองค์ไม่เชื่อ !!!

    ทีนี้ ก็เกิดการ ฮือฮา! ชะรอย พระสารีบุตร จะปรามาสพระรัตนไตร เสียแล้วกระมัง
    ในที่ประชุมเริ่มชงคำถามกันอย่างนั้น

    พระพุทธองค์จึงถามต่อว่า ทำไมเธอไม่เชื่อ

    พระสารีบุตร ตอบง่ายๆ ก็ ข้าพเจ้าจะน้อมไปปฏิบัติให้เห็นผลก่อน ถ้าเห็นผล
    อย่างไร ก็ค่อยเชื่อ

    พระพุทธองค์ ก็ประกาศว่า ถูกต้อง!!!

    ****************

    กลับมาที่ คุณเจ้าของกระทู้

    ใช่หรือไม่ที่คุณก็ไม่เชื่อ และ ขอลงมือปฏิบัติให้เห็นผลเสียก่อน จึงจะเชื่อ!!

    ถ้าใช่ ก็อย่าให้ พวกคนโง่ มันหรอกว่า เป็นเรื่องปรามาส แล้วพยายามเล็ง
    หัวคนพวกที่สอนเธอว่า เป็นการปรามาส ยิ่งพวกเอาผลของกรรมมาขู่ นี่ ก็ให้
    พิจารณาไว้ แล้ว ไม่ต้องไปต่อว่าอะไรพวกเขา

    มันไม่มีประโยชน์ที่จะไปเล่นงานผู้ด้อยโอกาส ผู้ที่ถูกเขาสนตะพายมาอีกที

    ไหนๆ เธอก็ อธิษฐานจิตไปอยู่ข้ามโลกได้แล้ว ก็ให้ห่างทั้งตัว และ ใจ ไปด้วย
    กันเลย แล้ว พิจารณาธรรมที่เธอปฏิบัติอยู่ ให้มันถูกต้อง สมควรแก่ธรรม ที่
    อุตสาหะมาขนาดนี้

    อย่าให้ใครเอา สิ่งสูงส่ง มาหลอกล่อให้เรา เข้าใจว่า ตนต่ำ ทั้งๆที่ จริงๆแล้ว

    กำลังไปได้สวย.......สันโดษ....สะอาด....สว่าง

    อ้อ ตรงจิตสว่างเนี่ยะ อย่าแปลกใจ ที่มันจะส่องลงไปเห็น ก้นบึ้งของตัวตน

    มันเป็นเรื่องของคน ปฏิบัติธรรมได้ถึงขั้น มันก็ต้องเห็นกิเลสในตน

    โจทย์มันอยู่ที่ อุปทานขันธ์ เป็นทุกข์ เธอยังเห็น อุปทาน มันทำหน้าที่ไม่ชัด

    ก็เลย ไปคว้าเอา กองกิเลสที่นอนก้นอยู่ลึกๆ ที่จิต สว่าง ไปส่องเห็นเข้า มา
    สำคัญว่า เป็นตน

    ดูห่างๆ สิ อย่ากระโจน หรือ ไปคว้าขึ้นมาแล้วปรารภว่า นี้คือฉาน นั่นของฉาน

    เอา ฉาน ไปอุปทานรับไว้ มันก็ งง อะสิ จิตสว่าง แต่ ขาดปฏิภาณไหวพริบแค่
    นิดเดียว

    *******************

    แต่จริงๆ ก็มีแล้วนะ ที่เธอบอกว่า เห็นกองกิลสมันกระเพื่อม แต่ สามารถพลิก
    ให้ กรรมดี ออกไปแทนได้ แทนที่จะด่าเพื่อน กลับเป็นกลางต่อจิตที่เป็นอกุศล
    (สังขารุเบกขาญาณ) แล้ว ปฏิโลม กึ่ง อนุโลม คือ ไม่ได้เงียบ แต่ ตอบโต้ไป
    อย่างสมควรแก่ธรรม เชียวนะเว้ยเฮ้ย ไม่ธรรมดา

    ก็เนี่ยะ เหตุมันดับต่อหน้าต่อตา เหตุที่เป็นอกุศลธรรมมันดับต่อหน้าต่อตา(คือ
    เห็นเต็มตานั่นแหละ รู้เต็มจิตนั่นแหละ) แต่ จิตสามารถก้าวข้ามแล้ว สร้างกุศล
    อันยิ่งได้ .............................ภาวนาสุดยอด แต่กลับไม่ยอมยกขึ้นพิจารณา

    แค่ยกพิจารณานะว่า แม้อย่างนี้ๆ ก็ไม่เที่ยง

    เนี่ยะ ยกขึ้น ทุกขสัจจแห่งจิตไปเลย รู้ให้มันชัดๆ แล้วข้ามให้ได้อีกทอดหนึ่ง
    อย่าหันหลังกลับมา อย่าอาลับ อย่าอาวรณ์ จะไปกลัวอะไรกับ การไร้ที่ตั้ง!!

    มันไม่ตายหรอก เขาข้ามฝากกันไปได้เยอะแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2012
  8. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819

    ไปตามดูอาการของ กิเลส แล้วคิดว่าเห็น ตัวกิเลส

    เห็นกิเลส เหอๆ เห็นกิเลสอะไร กิเลสหยาบ กิเลสกลาง กิเลสละเอียด เห็นแบบไหน เห็นกิเลสข้างนอก หรือ เห็นกิเลสข้างใน เหอๆ พูดให้ฟังเฉยๆ ไม่ต้องตอบนะครับ ไม่ต้องเอามาตอบนะคับ

    พระพุทธเจ้า สอน อริยสัจ 4 ไม่มีตามดูกิเลส นะคับ

    กรรมฐาน 40 ก็ไม่มี ตามดูกิเลส นะคับ

    สติปัฏฐาน 4 ก็ไม่มี ตามดูกิเลส นะคับ



    จิตตานุปัสสนา พระพุทธเจ้า ก็สอน ให้ จิต เห็น จิต ก่อน

    ทำสมาธิจน จิต เห็น จิต แล้ว พระพุทธเจ้า ก็ สอน ให้ ดู เห็นจิต ไม่ได้สอนให้ไปตามดูกิเลส

    "[๒๘๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณา เห็น จิต ใน จิต อยู่อย่างไรเล่า
    ภิกษุในธรรมวินัยนี้

    จิตมีราคะ ก็รู้ว่าจิตมีราคะ
    หรือจิตปราศจากราคะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ "

    พระพุทธเจ้า สอนให้เห็นจิต ใน จิต มีแต่ เห็นจิต ไม่ได้สอนให้ไปตามดูกิเลส เลย


    แต่อย่างที่ว่าละ สมาธิ ยังไม่ได้ จิต ยังไม่เห็น จิต ยังไม่เห็น จิต ใน จิต แล้วมันจะไป ดู เห็นจิต ได้อย่างไร

    มันก็เลยได้แต่ ตามดูกิเลส ดูอาการของ กิเลส มันเลย หลง เพราะไปเห็น กิเลส เห็นอาการของกิเลส แล้ว หลง นึกว่าเป็น ตัว จิต แล้วก็อ้างว่า นั้น ดูจิตอยู่ แต่ที่แท้ไปดูกิเลส ไม่ใช่ตัวจิต



    พุึทธพจน์ของพระพุทธเจ้า

    ๒๘๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่อย่างไรเล่า
    ภิกษุในธรรมวินัยนี้

    จิตมีราคะ ก็รู้ว่าจิตมีราคะ

    หรือจิตปราศจากราคะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ

    จิตมีโทสะ ก็รู้ว่าจิตมีโทสะ

    หรือจิตปราศจากโทสะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโทสะ

    จิตมีโมหะ ก็รู้ว่าจิตมีโมหะ

    หรือจิตปราศจากโมหะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ

    จิตหดหู่ ก็รู้ว่าจิตหดหู่

    จิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน

    จิตเป็นมหรคต ก็รู้ว่าจิตเป็นมหรคต

    หรือจิตไม่เป็นมหรคต ก็รู้ว่าจิตไม่เป็นมหรคต

    จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า

    หรือจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า

    จิตเป็นสมาธิ ก็รู้ว่าจิตเป็นสมาธิ

    หรือจิตไม่เป็นสมาธิ ก็รู้ว่าจิตไม่เป็นสมาธิ

    จิตหลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตหลุดพ้น

    หรือจิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตไม่หลุดพ้น

    ดังพรรณนามาฉะนี้
    ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตภายในบ้าง
    พิจารณาเห็นจิตในจิตภายนอกบ้าง

    พิจารณาเห็นจิตในจิตทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง
    พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในจิตบ้าง

    พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในจิตบ้าง
    พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในจิตบ้าง
    ย่อมอยู่ อีกอย่างหนึ่ง
    สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า
    จิตมีอยู่ ก็เพียงสักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น

    เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ
    ในโลก

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ฯ











    <CENTER>จบจิตตานุปัสสนา</CENTER><CENTER></CENTER>
    <!-- google_ad_section_end -->


    จิตตานุปัสสนา ของพระพุทธเจ้า

    ไม่เคยสอนให้ตามดูกิเลส

    ถ้าใคร ดูจิต แล้วหลงไปตามดูกิเลส หลงไปตามดูอาการของกิเลส แล้วก็พูดบอกว่า นี่ ตัวเองดูจิต อยู่ ทั้งๆที่แท้จริงแล้ว มันไม่ใช่ ตัวจิต

    นั้นก็แสดงว่า ไม่ใช่การดูจิต ของ พระพุทธเจ้า แล้วนะครับ



    มันเกิดเพราะ ไป ปฏิบัติ ผิดวิธี นั้นละครับ


    จขกท ควร ปฏิบัติ ให้ถูกวิธี

    เพราะ ไปปฏิบัติผิดๆ ตอนนี้มันเลย ส่งผล แสดงผลออกมาแบบนี้


    การทำ สมาธิ นั้น

    ผลของ สมาธิ คือ ความสงบ

    ถ้า จขกท ทำ สมาธิ แล้ว ฟุ้งซ่าน โรคประสาท ก็แสดงว่า ทำสมาธิ ผิดวิธี แน่ๆ ผลมันเลยเป็นแบบนี้

    อานิสงส์สมาธิภาวนา ๕ อย่าง

    ลองเข้าไปอ่านดูครับ ถ้าทำสมาธิ ถูกวิธี ไม่มีทาง ฟุ้งซ่าน หรือโรคประสาท และอื่นๆ หรอก

    วิสุทธิมรรค เล่ม ๒ ภาคสมาธิ ปริเฉทที่ ๑๑ สมาธินิเทศ หน้าที่ ๒๓๑ - ๒๓๖

    http://th.wikisource.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%84_%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%A1_%E0%B9%92_%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4_%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%89%E0%B8%97%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88_%E0%B9%91%E0%B9%91_%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8_%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88_%E0%B9%92%E0%B9%93%E0%B9%91_-_%E0%B9%92%E0%B9%93%E0%B9%96


    เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

    แนะนำด้วยความหวังดี หวังว่าจะหายไวๆ นะครับ

    จิต ยังไม่เป็นสมาธิ จิต ยังไม่เห็นตัว จิต สมาธิยังไม่มี ยังไม่ได้ ไม่เรียกว่า ดู จิต หรอกครับ

    เรียกว่าตามดู กิเลส



    หลวงปู่ฝากไว้
    หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

    <TABLE style="LINE-HEIGHT: 1.7; MARGIN-TOP: -3mm; MARGIN-BOTTOM: 0px" border=2 cellSpacing=0 borderColorLight=#785a1d borderColorDark=#dea635 width=78 bgColor=white align=center><TBODY><TR><TD height=84 vAlign=top width=68 align=left>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    <TABLE style="BORDER-COLLAPSE: collapse; FONT-FAMILY: 'MS Sans Serif'; FONT-SIZE: 14pt" class=MsoNormalTable border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=520 align=center><TBODY><TR><TD width=278>จิตที่ส่งออกนอก

    </TD><TD width=242>เป็นสมุทัย

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    สมุทัย คือะไร ก็คือ กิเลส



    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=cattitle>ธรรมะหลวงตามหาบัว</TD><TD class=itemsubsub><NOBR>Aug 30, '11 3:43 AM</NOBR>
    for everyone

    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    [​IMG]
    สัจธรรม คือ อะไรบ้าง ทุกข์ ความไม่สบายกายไม่สบายใจมีอยู่ที่ไหน ถ้าไม่มีอยู่ที่กายที่ใจเรานี้ทุกคน สมุทัย คือ นันทิราคะ กามราคะ ภวตัณหา วิภวตัณหา นี่คือตัวของกิเลส มันเกิดขึ้นจากใจเพราะเชื้อของมันมีอยู่ที่ใจ มันจึงแสดงตัวออกมาจากสิ่งที่ีให้เรารู้ นิโรธ คือ ความดับทุกข์ เอาอะไรมาดับมันจึงจะดับได้ ถ้าไม่เอามรรค คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เฉพาะอย่างยิ่ง สติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร เป็นสิ่งสำคัญมามาดับ สติปัญญาเป็นเครื่องบุกเบิก เป็นเครื่องถอดถอน วิริยะ คือ ความพากเพียรในงานถอดงานถอนของตน ให้เร่งธรรมเหล่านี้เข้าให้มาก นิโรธ คือ ความดับทุกข์ เมื่อกิเลสดับไปมากน้อยด้วยมรรค เรื่องนิโรธจะดับทุกข์ตามๆกัน เพราะนิโรธน้ันเป็นเงาของมรรค ถ้ามรรคทำงานมากน้อยเพียงไร นิโรธก็แสดงขึ้นตามเรื่องของมรรคที่ปราบปรามกิเลสได้มากน้อยเพียงน้ัน

    สัจธรรมท้ั้งสี่นี้มีอยู่ที่ไนเวลานี้ ในครั้งพุทธกาลท่านบรรลุธรรม ท่านบรรลุอะไรถ้าไม่รู้แจ้งในสัจธรรมทั้งสี่นี้แล้วจะหาทางบรรลุธรรมไม่ได้ เมื่อรู้แจ้งในสัจธรรมท้ังสี่โดยสมบูรณ์แล้ว น้ันแล คือ เป็นผู้บรรลุถึงธรรมอันเกษมสำราญหาอะไรเสมอเหมือนไม่ได้เลย ธรรมดังกล่าวน้ันอยู่ในดวงใจ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ที่ใจ เพราะ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อยู่ที่ใจ สาวกทังหลายตรัสรู้ที่ใจน้ันเอง เพราะใจเป็นผู้หลง ใจเป็นผู้ปฎิบัติตนให้รู้ ใจเป็นผุู้แก้ความลุ่มหลงของตน เมื่อได้แก้เต็มภุมิแล้วความลุ่มหลงน้ันก็หมดไป ทุกข์ก้ดับไป ความลุ่มหลงน้ันแลพาให้ก่อทุกข์ เมื่อทุกข์ดับไปแล้ว คำว่านิโรธก็แสดงขึ้นมาในขณะเดียวกัน แล้วอะไรที่ยังเหลืออยู่เวลาสมุทัยและทุกข์ดับไปแล้วน้ัน ผู้ที่รู้ว่าทุกข์และสมุทัยดับไปน้ันแลคือ ผู้บริสุทธิ์ ผู้นี้ไม่ดับ ผู้นี้แลเป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ สั่จธรรมทังสี่เป็นเพียงกิริยาอาการดำเนินในขณะที่ยังไม่หลุดพ้นจากกิเลสกองทุกข์เท่าน้ัน
    เพราะฉะนั้น เรื่องอรหัตมรรค อรหัตผล จึงเป็นธรรมที่คาบเกลียวกันอยู่ ยังไม่ละกิริยา ระหว่างมรรคกับผลวิ่งถึงกันในชั่วระยะจริมรรคจิต ตามปริยัติท่านว่าไว้ชั่วจริมรรคจิต คือ ชั่วลัดมือเดียว ขณะเดียวเท่าน้ัน ขณะน้ันท่านว่ามรรคกับผลวิ่งถึงกัน ทำหน้าที่ต่อกันเสร้จเรียบร้อยแล้วนั้นเรียกว่า นิพพานหนึ่ง ในขณะเดียวกันเรียกว่า ถึงแดนแห่งความบริสุทธิ์เต็มที่แล้วก็ได้ และคำว่า แดนแห่งความบริสุทธฺ์นี้ จะหมายถึงอะไร ถ้าไม่หมายถึงใจผู้เคยติดอยู่ในกองทุกข์ได้พ้นจากแดนแห่งความทุกข์ไปเท่าน้ัน
    เพราะฉะน้ัน ขอให้ทุกท่านจงดำเนินจิตใจของตนด้วยควาเอาจริงเอาจังในงาน คือ จิตภาวนา อยาได้ลดละท้อถอย ตายก็ตายเถอะ พุทธํ ธมฺมํ สงฺฆฺํ ปูเชมิ ตายบูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ดีกว่าตายเพื่อกิเลสบูชากิเลสเป็นไหนๆ เราเคยเชื่อ เราเคยยอมจำนนต่อกิเลส คล้อยตามกิเลส เคล้มตามกิเลสมาหลายภพหลายชาติจนนับไม่ได้แล้ว ให้กิเลสพอกพูนหัวใจจนหาดวงใจอันแท้จริงไม่เห็นเลยมานานนักแล้ว ท้ังขนทุกข์มาทับถมโจมดีเราจนขนาดไม่รู้จักเป็นจักตาย หากำหนดกฎเกณฑ์ไม่ได้ว่าเมื่อไรทุกข์จะหลุดลอยออกไปจากใจ ถ้าไม่แก้ตัวสมุทยัให้หลุดลอยลงไปแล้ว ไม่มีทางที่ทุกข์จะหลุดลอยลงไปได้
    การแก้สมุทัยก้คือ ความเพียรมีสติปัญญาเป็นสำคัญ ให้พยายามมพากเพียรอยาลดละถอยหลัง นี้แลเป้นสิ่งที่จะตัดสินได้ ตัดสินที่ตรงนี้ ไม่มีกาลโน้น สถานที่น้่นมีอำนาจยิ่งกว่า ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา หรือยิ่งกว่าสัจธรรมท้ังสี่นี้ไปได้เลย ตรงนี้เป็นสำคัญ จงยึดตรงนี้เป้นหลักใจ หลักปฎิบัติ กิเลสอยู่ที่ตรงนี้ สมุทัยคือ กิเลสแท้อยู่ที่หัวใจ มรรค คือ การปฎิบัติเพื่อแก้กิเลสด้วยอุบายต่างๆ อย่านอนใจ ถึงเวลาคิด คิดอ่านไตร่ตรองให้เข้าใจในเรื่องธาตุเรื่องขันธ์เรื่องกิเลสอาสวะแสดงตัวขึ้นมากน้อย อย่าไปหึงหวง อย่าไปเสียดายอะไรทั้งสิ้นนอกจากความพ้นทุกข์ โลกที่เราเคยคิดเคยปรุงมาแล้วได้ประโยชน์อะไร นอกจากเป็นเรื่องสมุทัย แล้วกว้านเอาความทุกข์เข้ามาเผาลนหัวใจเท่านั้น ขึ้นชื่อว่าสมุทัยแล้วเป็นอย่างน้ัน เคยเป็นอย่างน้ันมาดั้งเดิม อย่าได้หลงกลมัน จงทำความเข็ดหลาบ อย่ายอมหมอบราบกราบมันต่อไป
    หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
    จากหนังสือ "เข้าสู่แดนนิพพาน" หน้า ๕๖-๕๗
    โดย: Sutunya Sundarasardula




    จะดู จิต จิต ต้องเป็น สมาธิ ถึงจะเห็นตัว จิต

    สมาธิ จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อ ระงับ นิวรณ์ 5 สิ่งที่ขวางกั้นจิตทำให้เกิดสมาธิ ได้

    ถ้ามีนิวรณ์ 5 อยู่ ขวางกั้น จิต ก็ย่อมทำให้เกิดสมาธิไม่ได้

    นิวรณ์ 5
    1.กามฉันทะ
    2.พยาปาทะ
    3.ถีนมิทธะ
    4.อุทธัจจกุกกุจจะ
    5.วิจิกิจฉา

    ดังนั้น เมื่อ จะดูจิต จิต ก็ต้องเป็นสมาธิ แล้ว

    เมื่อ จิต เป็น สมาธิ แล้ว ก็ย่อม ระงับ นิวรณ์ 5 ลงไป ไม่สามารถ เกิดนิวรณ์ 5 ใน สมาธิ ได้

    แล้ว เมื่อ นั้น ถึงจะ เรียกว่า ดูจิต ครับ


    สมาธิไม่มี สมาธิไม่เกิด ไม่เรียกว่า ดูจิต หรอกนะครับ



    แล้วอีกเรื่อง นะครับ

    ครูบาอาจารย์ นั้น หาที่เงียบสงัด เพื่อ ทำสมาธิ ครับ ไม่ใช่ เที่ยวไปตามดู ผี ตามดูนั้นดูนี้

    แต่ไปหาสถานที่ ที่เหมาะแก่การ บำเพ็ญ ภาวนา ทำสมาธิ ครับ เพื่อการ ภาวนา ครับ

    ที่ไหนเหมาะ แก่การทำสมาธิ ทำสมาธิ ภาวนา กาย เวทนา จิต ธรรม สติปัฏฐาน 4

    หาอ่านตามหนังสือ ประวัติ ครูบาอาจารย์ ได้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กันยายน 2012
  9. naroksong

    naroksong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +1,135
    หมั่นทำบุญ/ทำทานเถอะครับ การให้ทานง่ายที่สุดและช่วยกล่อมเกลาจิตใจด้วย

    คุณอยู่ต่างประเทศอาจยากหน่อยแต่ลองหาช่องทางดู (อย่าไปยึดติดศาสนา ถ้าเห็นว่ากิจกรรมไหนที่เขาทำแล้วมีประโยชน์ เช่น ทำหนังสือให้คนตาบอด , ช่วยเหลือเด็กกำพร้า ฯลฯ ก็ควรไปช่วยเขาด้วย)

    ผู้ให้ย่อมได้ปีติอันโอฬาร ย่อมประสบ(ได้)ความ
    เคารพในโลกนี้ ผู้ให้ย่อมประสบเกียรติเป็นอันมาก
    ผู้ให้ย่อมเป็นผู้อันมหาชนไว้วางใจ
    (พุทธะ)

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  10. อินทรี

    อินทรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    418
    ค่าพลัง:
    +562
    น้องก้ควรลองมาฟังธรรมะบันเทิง+ประยุกต์ ของท่าน ว. หรอืไม่ก้พระมหาสมปองบ้างสิ
    จะได้มีความสนุกสนาน ให้ใจบ้าง ไม่มากก็น้อย เราจะได้เหนว่าเรื่องการทำความดี สร้างสมาธิ และสร้างปัญญา เป็นเรื่องที่กลางๆ ไม่ยาก ไม่ง่าย และเปนภาษาที่เข้าใจง่ายได้โดยทันที
    ในสัปปายะ4 อย่าง ข้อสุดท้ายว่า ด้วย "ธรรมะสัปปายะ" :ซึ่งหมายธรรมะเป็นที่เหมาะสมแก่ผู้ปฏิบัติเข้าใจโดยง่ายและสามารถเข้าไปได้ถึง และยังทำให้จิตเบิกบานเกิดความสบายใจแก่ผุ้ปฏิบัติ น้องจึงควรทำให้ตัวเองสดวกสบายใจในการอ่านหนังสือธรรมะและปฏิบัิตสมาธิที่เหมาะสมกับเรา ให้เกิดความสงบสุข ที่สำคัญอย่าให้จิตใจเศร้าหมอง และเดือดร้อนอันเนื่องจากการคิดไปเองในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง อะไรตัดได้ก้ควรตัดไป
    ถ้ามันสั้นนักก้ให้ต่อ ถ้ายาวเกินก้ให้ตัดทิ้งบ้าง มันจะได้พอดีพองาม ไม่ขาดไม่เกินในจิตใจของเรานี้ มันจะได้เกิดความสมดุลและความสบายใจเข้ามาแทนนี่แหละธรรมะ
    ถ้าอ่านธรรมะจากท่าน ว. หรือไม่ก้หลวงพ่อปัญญานันทะฯมาบ้างจะเข้าใจคำพูดที่พูดมาทั้งหมด

    ถ้าจิตใจคุณเข้มแข็ง คำว่าโรคประสาทให้ลบทิ้งไปได้ทันที ยังไม่เปนง่ายๆ จะเปนก้เพราะคิดมากและย้ำแบบนี้แหละ จะเปนช่องทางให้เกิดโรคนี้ได้
    การที่ไม่เชื่อพระรัตนตรัย ก้เลยอยากถามหน่อยถ้าเราใกล้ตายหรือทุกข์ใจมากๆๆๆไม่มีใครช่วยเราแล้ว สิ่งแรกเลยที่เรานึกคือนึกถึงอะไร คำตอบมีอย่สอง คือ1 พ่อแม่ 2พระรัตนตรัยหรือไม่ก้หลวงพ่อที่เราเคารพ แล้วยังงี้จะไม่เชื่อพะรันตรัยหรืออยากจะเพ่งโทษอีกหรือป่าว แม้ว่าในโลกเราต้องพึงลำแข้งตัวเองได้ เลี้ยงตัวเองได้ แต่ให้เข้าใจไว้เถิดว่า พระรัตนตรัยก้เปนที่พึ่งของเราได้มีคุณประโยชน์แก่เราได้เช่นกัน เหมือนเอาน้ำใสสะอาดเย็นสบาย มาล้างเอาน้ำขุ่นที่สกปรกเน่าเสียออกจากใจเรา........ใจก้ใส สะอาด สว่าง สุขม เยือกเย็นและเบิกบานตามลำดับ แต่มันก้ขึ้นอยู่กับว่าน้องสมารถคิดได้ด้วยตัวเองรึป่าว??

    อยากจะลืมได้ ก้ควรหาวิธีหัดวางสิ่งเหล่านี้ให้เป็น คือ ค่อยๆวางเรื่องที่เรารู้มา ทีละอย่าง สองอย่างสิ หัดวางเรือ่งง่ายๆก่อน แล้วค่อยไล่ไปหาเรื่องยากๆ หัดวาง ก้คือปล่อยวาง ถ้าปล่อยวางได้ จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ดูเหมือนเป็นของว่าง ไม่สามารถทำให้เราอึดอัดกระวนกระวายได้แล้วทำให้เรานอนหลับฝันดีเหมือนเดิมได้ ไม่ต้องตาแข็งหลับๆตื่นๆอีก
    พยายามนอนให้ได้อย่างน้อยวันละ 7-8 ชม. ด้วยนะ สมองจะได้พักผ่อนเต็มที่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2012
  11. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ป้องกัน โรคประสาท ลองอ่านดูครับ




    วิธีป้องกันความฟุ้งซ่าน

    [​IMG] วันนี้, 05:31 AM </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: 0px; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=thead align="right">#1 </TD></TR><TR valign="top"><TD style="BORDER-BOTTOM: 0px; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: 0px; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2 width="175">
    tamsak [​IMG]
    ทีมพระไตรปิฏก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Sep 2004
    สถานที่: Bangkhen, Bangkok
    อายุ: 48
    ข้อความ: 7,756
    พลังการให้คะแนน: 9070 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]





    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_6023474 class=alt1><CENTER>วิธีป้องกันความฟุ้งซ่าน

    </CENTER>



    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><INS style="BORDER-BOTTOM: medium none; POSITION: relative; BORDER-LEFT: medium none; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-LEFT: 0px; WIDTH: 336px; PADDING-RIGHT: 0px; DISPLAY: inline-table; HEIGHT: 280px; VISIBILITY: visible; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none; PADDING-TOP: 0px"><INS style="BORDER-BOTTOM: medium none; POSITION: relative; BORDER-LEFT: medium none; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-LEFT: 0px; WIDTH: 336px; PADDING-RIGHT: 0px; DISPLAY: block; HEIGHT: 280px; VISIBILITY: visible; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none; PADDING-TOP: 0px" id=aswift_0_anchor></INS></INS>

    ถาม: อย่างหนูไม่รู้ว่าชอบอะไร ไม่ต้องฝึกก็ได้ใช่ไหมคะ ?

    ตอบ: ไม่ต้องฝึก..? ได้จ้ะได้..แต่คราวนี้ลุงพุฒ ท่านจะตกลงหรือเปล่าเท่านั้นเอง

    ถ้าไม่มีอะไรเป็นเครื่องยึด โอกาสที่เราจะพลาดลงอบายภูมิมีมาก อย่างน้อยๆ จะต้องจับลมหายใจเข้าออกไว้เป็นเครื่องยึด

    ลมหายใจเข้าออกป้องกันความฟุ้งซ่านได้ดีที่สุด ขณะที่จิตใจฟุ้งซ่านไปอารมณ์ที่อื่น ถ้าเราผูกอยู่กับลมหายใจเข้าออก ก็ไม่ไปหาความลำบากเดือดร้อนให้กับเรา ไม่อย่างนั้นก็พาให้เราคิดโน่นคิดนี่ พาให้เราทุกข์

    ไปนั่งซ้อมทำทุกวันๆ เพื่อตรวจสอบความก้าวหน้าตัวเอง


    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๕


    ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard...ead.php?t=3228


    วิธีแก้แบบนี้อ่าครับ (สําคัญมาก)
    วิธีแก้แบบนี้อ่าครับ (สําคัญมาก)
    วิธีแก้แบบนี้อ่าครับ (สําคัญมาก)<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2012
  12. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ปฏิบัติใจไม่ถึง.. ก็เป็นอยู่อย่างนี้แหละ..นิวรณ์5 เล่นงานเอา ไอ้แบบนี้ไม่ใช่ติดสมถะเดี๋ยวหวานหมูเจ้าโมชโช..!
    ฟุ้ง..ด้วยรู้เรื่องต่างๆมากเกินไป ติดคิดแต่คิดไม่เป็น ไม่เคยคิดให้ขาดให้ได้ผลลัพธ์สักเรื่อง ให้จิตเข้าใจจริงๆได้ความรู้จริง
    จิตจึงจับจดมีแต่จำ ฟุ้งซ่านด้วยข้อรู้ จิตเคยชินกับความคิดจิตจึงมักง่าย..หากคิดเป็นจริงๆต้องคิดทีละเรื่องให้จบให้ลงธรรมจิตจะเข้าใจไม่นำมาวนเวียนคิดอีกซ้ำแล้วซ้ำอีก..ทำไม่ถึงใจ ไม่ถึงจิตอาการที่ตนเองฝึกพฤติแห่งจิตความรู้ตื้นๆจึงหลอกหลอนเอา
    อ่านเรื่องของคุณมาหลายกระทู้..คุณเหมือนแกล้งทำ แกล้งถาม ความรู้ระดับคุณไม่น่าจะมาติดตรงนี้ ผ่านญาณ ฌาน กาม คุณรู้เรื่องหมดทั้งที่อายุ15 คุณมีจุดประสงค์อะไรกันแน่..ที่ตั้งคำถามมา อาการที่คุณเกิดตอนนี้ มันไม่สมภูมิ สมฐานะ กับที่คุณเคยปฏิบัติผ่านมาได้..จขกท .ช่วยตอบหน่อย
     
  13. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    เรื่องดูถูกคนอื่น ก็อยากให้มองว่าสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เกิดมามีขันธ์5เป็นลำบากกันหมดไม่ว่าหญิงว่าชาย มีไรช่วยได้ก็ช่วย
    แทนที่จะมองว่าคนอื่นช่างไม่รู้เสียเลยก็เอาเป็นเท่าที่เรารู้เราจะช่วยเหลือเอง

    อาจจะเริ่มแบบว่า ช่วยถือของ พาคนแก่ข้ามถนน ลุกให้คนแก่นั่งรถเมล์
    แบบว่าคนที่เค้าต้องการความช่วยเหลือแม้ว่าเค้าไม่ได้ร้องขอก็ตาม

    การปฎิบัติก็ไม่ต้องเร่งรีบเอาผล
    ผลมันจะมาได้ก็ด้วยเหตุ
    การปฎิบัติเรามีศีล สมาธิ ปัญญา
    เราก็เริ่มจากมีศีลก่อน
    ศีลแล้วก็เจริญสติ ฝึกสมาธิ มีสติรู้ตัว
    มีปัญญา พิจารณาเห็นว่าทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน แล้วจะเอาอะไรกับความไม่แน่นอน

    ความจริงอะใบ้ให้แบะแบะ ถ้าดูความฟุ้งที่มันเกิดได้นี่นะดูจนมันหยุดฟุ้งได้มันจะไม่ฟุ้งอีกเลยนะ
    อยากฟุ้งฟุ้งไปฟุ้งได้ฟุ้งไป เอ้า ฟุ้งนี่มันเที่ยงป่าวเนี๊ยะ

    เหมือนเป็นการจัดการทางจิต
    คล้ายๆเวลาเรามีเรื่องกลุ่มใจแล้วเราระบายให้ใครสักคนฟัง
    เหมือนเวลาสะกดจิตแก้ปมวัยเด็กอันขมขื่นไรพวกนี้อะ
     
  14. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    นายฝึกสติ รู้ตัวตามที่เค้าบอกไป ยืน เดิน นั่ง นอน ฝึกรู้ทันจิต ดูความไม่เที่ยงของมัน เเล้วจะรู้ว่ากายใจ ไม่ใช่นาย นายจะมีนายอีก1คนเกิดขึ้นมา(เเต่ต้องใช้ปัญญาพิจรณาด้วยนะถึงจะเกิด)เเล้วนายจะเบื่อร่างกายนี้เองเพราะรู้ทันการเกิดดับ ของมัน

    อุปมาก็เหมือน ปลาที่มันขึ้นมาบนฝั่ง มันก็จะดิ้นลงไปในน้ำเหมือนเดิม เพราะมันไม่คุ้น มันกลัวตาย จิคมันเป็นอารมเดียว จิตมันอยากกลับไป ทุกข์ อยากไปสุข เหมือนเดิม มันคุ้นอะไรก็อยากกลับไปอย่างนั่น เเต่หารู้ไม่ว่าทะเลนั่นมีเเต่ความทุกข์ล้วนๆ ตัวมันก็จะเเก่ตายลงทุกวัน ถ้าตายในทะเลทุกข์ มันก็ต้องกลับมาทุกข์เหมือนเดิม คือสมุทัย จิตตันหาที่ไม่ปล่อยวาง อยากให้คงอยู่ อยากให้พ้นไป คิดอยากมีความสุข เพื่อกลบเกลือนความทุกข์ในตัว อยากกลับลงไปว่ายน้ำกลัวขึ้นฝั่งจะเป็นทุกข์ ว่ายน้ำหาความสุขในทะเลทุกข์ หาเท่าไรก็หาไม่เจอ ถึงเจอมันก็ได้อยู่ เเต่ก็ดับไป เเล้วตันหามันก็จะให้หาอีก จนวันตาย ส่วนมากเราก็จะเห็น ว่า คนที่ชราที่ไม่ปล่อยวาง เค้าใช้ชีวิตถึงขนาดนี้เเล้วทำไมเค้าไม่มีความสุขสักที ก็ความสุขมันเก็บไว้ไม่ได้ เกิดขึ้นมันก็ดับไป เเต่ถึงจะหายทุกข์ได้ชั่วคราว มันก็จะทุกข์ขึ้นมาให้หาความสุขให้มันอยู่เรื่อยๆ
    เพราะไม่ได้เเก้ที่ต้นเหตุคือตันหา(ไม่ยอมรับว่ามีเเต่ทุกข์ เเต่ดันไปทำทุกวิถีทางเพื่อจะให้ร่างนั่นมันสุขบำรุงมันอย่างดี คิดไปว่ามันจะพ้นทุกข์ได้) เเต่สุดท้ายมันก็ตาย เเล้วก็ต้องกลับมาหาความสุขต่อวนเวียนเเบบนี้
     
  15. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819


    สุดท้ายก็เสียเวลา บางทีก็เป็นบ้า เป็นโรคประมาทฆ่าตัวตาย ก็มีมิจฉาทิฏฐิ ปฏิบัติไม่ตรง สุ่มๆเดาๆ อาจารย์พระกรรมฐานที่สอนไม่ได้รู้อะไรจริง เรียนหนังสือตำรา พอท่องๆได้ก็ตั้งตัวเป็นอาจารย์แล้ว นั่งสมาธิ จิตรวมเป็นอย่างไรก็ไม่รู้

    ..................
     
  16. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ขอบคุณครับที่ตอบ แล้วที่พี่Saber บอกมา ผมจะต้องหาอาจารย์ใช่ไหมครับ เพราะผมอาจจะโดนนิมิตรหลอก ก็ได้
    ขอบคุณครับผมจะเอาไปพิจารณา

    ผมไม่ได้ปฎิบัติอะไรมากเลย ผมยังจมกับกิเลศอยู่เลย ช่วงนี้ผมไม่รู้เป็นไร ไปตําหนิติเตียนผู้อื่นผมอยากจะละสิ่งนี้เสีย บางครั้งก็เกิดอาการด่าดูถูกผู้คนไปหมด ผมเบื่อ ส่วนเรื่องฌาน ผมก็ตอนนั้นผมความรู้ไม่มีแล้วก็ไม่ได้สงสัยอะไร วิกิจอิจฉาไม่มีโกรธก็ไม่มี แต่ตอนนี้ มีหลายเรื่องมากวนใจ การบ้านไรพวกนี้การเรียนไรพวกนี้ แล้วเรื่องที่ผมอ่านมา บุพกรรมของแต่ละบุคล ผมก็เกิดอาการไม่พอใจแล้วไปปรามาส ผมก็เบือ่เซ็ง อ่าครับ ความรู้ผมน้อย ผมยังเข้าใจผิดอีกมาก

    ขอบคุณครับจะเอาไปปฎิบัติ

    ขอบคุณครับ :)

    แล้วก็ขอบคุณทุกท่านที่ตอบคําถาม ช่วงนี้ผมคงอาจจะไม่ได้มาตั้งคําถามอีก ถ้าไม่มีอะไรมาขัดใจ
     
  17. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    ขอให้หายใวๆๆนะคะchearr

     

แชร์หน้านี้

Loading...