อภินิหารอัฐิธาตุ หลวงปู่แหวน สุจิณโณ

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย Lukhgai, 21 พฤษภาคม 2009.

  1. Lukhgai

    Lukhgai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    3,000
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +8,240
    หลวงปู่แหวน สุจิณโณ องค์อรหันต์องค์หนึ่งซึ่งเป็นที่นับถือของชาวไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะชาวเหนือ ถึงแม้ว่าท่านจะมรณภาพไปนานแล้วก็ตาม แต่บารมีของท่านยังคอยปกป้องคุ้มครองบรรดาสานุศิษย์อยู่เสมอ

    ประวัติโดยแท้ของหลวงปู่แหวนนั้น ค่อนข้างจะลางเลือน ไม่มีใครทราบแน่ชัดถึงอดีตว่าท่านมีความเป็นมาอย่างไร เหตุเพราะหลวงปู่ท่านไม่ค่อยที่จะเปิดเผยเรื่องราวในอดีตให้ผู้ใดทราบเท่าใดนัก เวลาที่สานุศิษย์ซึ่งไปกราบนมัสการเอ่ยถามท่าน ท่านก็มักจะตอบว่า

    “ฮาบ่มีอดีต ฮามีแต่ปัจจุบันและอนาคต ชีวิตของฮาถวายให้กับพุทธศาสนาแล้ว”

    ฉะนั้น เรื่องราวต่าง ๆ ของท่านที่ถูกบันทึกไว้ ส่วนใหญ่มักจะได้มาจากบรรดาสานุศิษย์ซึ่งมีทั้งที่เป็นสงฆ์และฆราวาส ตามประวัติกล่าวไว้ว่า

    หลวงปู่แหวน เกิดเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๐ ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น ๓ ค่ำ เดือนยี่ ปีกุน เป็นบุตรของนายใส กับ นางแก้ว มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกันสองคน คือ นางเบ็ง ซึ่งเป็นพี่สาว นอกจากนั้นยังมีพี่น้องต่างมารดาอีกหลายคนด้วยกัน

    ก่อนที่หลวงปู่จะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์นั้น ท่านได้รับแรงใจจากมารดาและผู้เป็นยาย กล่าวคือ เมื่อตอนที่ท่านยังเป็นเด็กอยู่ ก็เกิดมีเหตุอย่างหนึ่ง มารดาของท่านมีอาการป่วยอย่างหนัก อาการมีแต่ทรงกับทรุด จะเยียวยารักษาอย่างไรก็ไม่ทุเลาขึ้นเลย นางต้องทนเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างหนัก แต่เป็นเพราะว่านางยึดมั่นในธรรมจึงสามารถควบคุมสติอยู่ได้ จวบจนถึงเวลาที่นางรู้ตัวว่าคงไปไม่รอดแล้ว นางจึงเอ่ยปากบอกกับลูกชายว่า อยากเห็นลูกบวชเป็นพระเข้าสู่ร่มโพธิสมภารเพื่อรับใช้พุทธศาสนาสืบไป เมื่อผู้เป็นมารดาเอ่ยปากขอร้องก่อนที่จะสิ้นใจ เด็กชายแหวนจึงออกปากรับคำ และตั้งมั่นว่า จะขอบวชรับใช้เป็นการตอบแทนพระคุณของมารดา หลังจากนั้นมารดาของหลวงปู่ก็ถืงแก่กรรม

    เมื่อสิ้นมารดา หลวงปู่จึงอยู่ในความอุปการะของผู้เป็นยายสืบต่อมา อยู่มาวันหนึ่ง ผู้เป็นยายได้นอนหลับและฝันไปว่า เห็นหลานนอนอยู่ในดงขมิ้น เนื้อตัวเหลืองอร่ามไปหมด ยายจึงขบคิดแล้วเห็นว่า ท่าทางหลานคนนี้คงจะมีวาสนาทางธรรมเสียแล้ว ยายจึงได้เรียกหลานเข้ามาขอร้องว่า อยากจะเห็นชายผ้าเหลือง และเมื่อบวชแล้วก็อย่าได้สึกออกมา ให้อยู่รับใช้พระศาสนาไปจนชั่วชีวิต หลานชายก็ตกปากรับคำแต่โดยดี หลังจากที่ยายเสาะหาเครื่องบริขารจนครบแล้ว ก็จัดพิธีบวชเณรให้เด็กชายแหวนที่วัดโพธิ์ชัย โ ดยมีพระอุปัชฌาย์ (มีศักดิ์เป็นน้าของเด็กชายแหวน) เป็นผู้บวชให้ หลังจากที่ได้ศึกษาวิชาธรรมพอประมาณ พระภิกษุอ้วน (ผู้เป็นน้า) จึงได้พาหลวงปู่แหวนเข้ากราบ พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม (ต่อมาได้เป็นศิษย์เอก องค์สำคัญของ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต) ปาวารณาตัวเข้าเป็นศิษย์ พระอาจารย์สิงห์ท่านพินิจพิจารณาสามเณรน้อยแล้วก็ให้รู้สึกยินดีมาก เพราะเห็นว่าเป็นผู้ที่มีบารมีติดตัวมาแต่เด็ก จนถึงกับเอ่ยปากว่า “นี่คือ ช้างเผือกแก้ว ผู้เกิดในป่าแน่แท้”

    หลังจากที่ได้ศึกษาวิชาธรรม และวิชาไสยศาสตร์จากพระอาจารย์สิงห์ได้มากพอสมควรแล้ว เมื่ออายุครบที่จะอุปสมบท สามเณรแหวนจึงได้บวชที่วัดสร้างถ่อ โดยพระอาจารย์สิงห์ และพระอาจารย์หลี เป็นผู้ทำการอุปสมบทให้

    ภิกษุแหวนนั้น เป็นผู้ที่ใฝ่ธรรมและชอบการนั่งวิปัสสนามาก ท่านจึงตั้งใจที่จะออกธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพรเพื่อศึกษาให้เข้าถึงสัจธรรม เพราะเห็นว่า ถ้าท่านอยู่ในวัด ก็จะมีแต่ญาติโยมมาห้อมล้อมคอยปรนนิบัติอันจะหาความสงบสุขไม่ได้ ท่านจึงออกธุดงค์แต่นั้นเป็นต้นมา

    พระภิกษุแหวนท่องเที่ยวธุดงควัตรไปเรื่อย ๆ ตามภาคอีสานและภาคเหนือ บ่อยครั้งที่ท่านพบกับพระธุดงค์รูปอื่น ๆ ซึ่งมาจากต่างถิ่น ท่านก็ได้สนทนาแลกเปลี่ยนธรรม แล้วก็แยกย้ายกันออกธุดงค์ตามทางของตนต่อไป

    หลายครั้งที่ท่านพำนักอยู่ในป่าแล้วได้พบกับสิ่งเร้นลับ กับภยันตรายมากมาย มีทั้งภูติผีปีศาจ และคนป่าซึ่งไร้วัฒนธรรม แต่ท่านก็เอาตัวรอดได้ทุกครั้ง แถมยังได้แสดงบารมีสยบเหล่าอสูรกายจนยอมจำนนรู้แจ้งเห็นธรรมตามท่านไปด้วย

    หลังจากที่ท่านออกธุดงควัตรไปตามป่าเขาลำเนาไพรแล้ว เมื่อไปถึงอำเภอแม่แตง ท่านจึงได้อยู่จำพรรษาที่ วัดป่าบ้านปง ท่านใช้เวลาปฏิบัติธรรมอยู่ที่นี่ถึงสิบกว่าปีด้วยกัน จนกระทั่งท่านชราภาพ และได้รู้จักกับ พระอาจารย์หนู สุจิตโต หลวงปู่กับพระอาจารย์หนูนั้นสนิทสนมกันมาก จนในที่สุด พระอาจารย์หนูจึงนิมนต์ให้หลวงปู่แหวน ไปจำพรรษาที่วัดดอยแม่ปั๋ง หลวงปู่ท่านก็ตอบตกลง แต่มีข้อแม้ว่า ท่านจะไปอยู่ในฐานะของพระผู้เฒ่าผู้ปฏิบัติธรรมเท่านั้น ส่วนหน้าที่ต่าง ๆ ภายในวัด เช่น การดูแลเสนาสนะ การปกครองภิกษุสามเณร หรือ กระทั่งการเทศนาแก่สาธุชนก็ดี ขอให้เป็นหน้าที่ของพระอาจารย์หนู

    เมื่อหลวงปู่มาอยู่ที่วัดดอยแม่ปั๋งแล้ว ชื่อเสียงของท่านก็เริ่มแพร่กระจายไปทั่วทุกสารทิศ สาธุชนหลั่งไหลกันไปนมัสการท่านอย่างไม่ขาดสาย เรียกว่า ในสมัยยี่สิบ สามสิบปีก่อน แทบจะไม่มีใครที่ไม่รู้จักชื่อ หรือได้ยินกิตติศัพท์ของหลวงปู่เลย บ่อยครั้งที่มีคนเห็นอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของหลวงปู่ แม้กระทั่งนักบินของกองทัพอากาศก็ต้องอัศจรรย์ใจเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นภาพของหลวงปู่แหวนกำลังนั่งสมาธิอยู่บนก้อนเมฆ

    หลวงปู่แหวนเป็นพระที่ปฏิบัติธรรมจนถึงขั้นบรรลุธรรม บรรลุนิพพานแล้ว แม้ตัวท่านจะมรณภาพไปแล้ว บารมีและกิตติศัพท์ของท่านก็ยังคงอยู่

    มีเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่งก็คือ เมื่อครั้งที่เผาศพหลวงปู่นั้น อัฐิของท่านได้แปรสภาพเป็นพระธาตุ มีความสดใสแวววาวดั่งแก้วเจียระไน และบรรดาสานุศิษย์ที่ได้ครอบครองพระธาตุของหลวงปู่นั้น ก็ได้รับสิริมงคล ทำมาค้าคล่อง นอกจากนี้พระธาตุของหลวงปู่ ยังได้ดลบันดาลให้เกิดปาฏิหาริย์ ช่วยเหลือผู้ที่ครอบครองหลายครั้งหลายหนด้วยกัน

    คุณเกรียงเดช พูลเฉลิม ก็เป็นอีกผู้หนึ่งซึ่งสนใจในการปฏิบัติสมาธิมาก ท่านปฏิบัติจนได้ทิพยจักษุญาณ ทิพโสตญาณ และ มโนมยิทธิ สามารถส่งกระแสจิตสัมผัสกับเหล่า เทพ พรหม หรือ แม้แต่วิญญาณต่าง ๆ ได้ ท่านมีความสนใจในเรื่องของพระธาตุของหลวงปู่แหวนมาก ท่านจึงได้พยายามเสาะแสวงหามาเพื่อนำมาสักการะบูชา เพื่อความเป็นสิริมงคลสืบไป และท่านก็ได้มาอย่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก คุณเกรียงเดชได้เปิดเผยถึงการได้มาของพระธาตุหลวงปู่แหวน ดังนี้

    ผมได้อ่านประกาศจัดรายการนำไปงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่แหวน ที่วัดดอยแม่ปั๋ง แล้วสนใจจะโทรศัพท์ไปจองตั๋ว ก็พอดีหัวหน้าหน่วยงานที่ผมทำอยู่ มีคำสั่งให้ผมออกไปปฏิบัติงานที่จังหวัดนครสวรรค์เป็นเวลา ๒๕ วัน ซึ่งอยู่ในระหว่างงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่พอดี จึงทำให้หมดโอกาส

    พอถึงวันงานพระราชทานเพลิงศพ ผมก็ได้ดูการถ่ายทอดทีวีที่นครสวรรค์ ยังได้เห็นทั้งพระ และประชาชนเป็นอันมากมากันเนืองแน่นไปหมด ทำให้ผมยิ่งเคารพ และศรัทธาในองค์หลวงปู่เป็นยิ่งนัก ดูไปก็คิดไปว่า ถ้าเราได้ไปในงานพระราชทานเพลิงของหลวงปู่ในวันนี้ เมื่อเสร็จงาน หรือ ทางคณะกรรมวัดได้เก็บอัฐิของหลวงปู่เสร็จแล้ว หลวงปู่ท่านก็คงจะเหลืออัฐิไว้ให้เราบ้าง (โดยการพลางตา)

    คือ ผมคิดว่า ถ้าผมได้ไปในงาพระราชทานเพลิงนี้ คงจะได้อัฐิธาตุของหลวงปู่มาสักการะบูชาบ้างแน่นอน พองานที่นครสวรรค์แล้วเสร็จ ผมก็กลับกรุงเทพ ฯ เช้าวันรุ่งขึ้นก็ไปซื้อหนังสือธรรมะเล่มหนึ่ง มาอ่าน และพบประกาศของคณะธรรมยาตรานิมิต จัดนำเที่ยวไปนมัสการพระธาตุและหุ่นขี้ผึ้งหลวงปู่แหวน ผมเลยรีบจองตั๋วทันที

    รถออกจากหน้ากรมไปรษณีย์กลางบางรัก เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๐ เวลา ๑๘.๐๐ น. ถึงวัดดอยแม่ปั๋งประมาณ ๐๗.๐๐ น. ของวันรุ่งขึ้น พอรถหยุดที่หน้าวัดดอยแม่ปั๋ง ผมรีบลงจากรถทันที โฆษกประจำรถประกาศว่า ให้เวลา ๑ ชั่วโมง พร้อมทั้งรับประทานอาหารเช้า เสร็จแล้วจะได้ไปเที่ยวที่อื่นต่อไป

    ผมเดินขึ้นดอยไป ครุ่นคิดไปว่า สงสัยเวลา ๑ ชั่วโมง จะไม่ทัน เพราะระยะทางจากเชิงดอย มีป้ายบอกระยะทาง ๕๐๐ เมตร จุดประสงค์ของผมก็คือ จะไปให้ถึงบริเวณเมรุ เลยต้องเปลี่ยนความตั้งใจใหม่หมด ตกลงไปแค่พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง และที่บรรจุอัฐิของหลวงปู่

    พอมาถึงหน้าประตูทางเข้าพิพิธภัณฑ์ มองดูที่ป้ายบอกระยะทาง “เมรุ ๕๐๐ เมตร” และผมเห็นว่า ไม่มีใครไปเลย ผมเลยตัดสินใจไม่ไป ผมถอดรองเท้าที่หน้าประตู แล้วเข้าไปนั่งยกมือไหว้เจดีย์บรรจุอัฐิ เสร็จแล้วมาไหว้หุ่นขี้ผึ้ง และบอกหลวงปู่ว่า

    “ถ้าผมมีบุญบารมีที่จะได้พระธาตุของหลวงปู่ไปสักการะบูชา ก็ขอให้ได้ด้วยเถิด จะด้วยวิธีใดก็ตาม การมาของผมครั้งนี้ก็เพื่อต้องการพระธาตุไปสักการะบูชา”

    สิ้นคำอธิษฐาน ผมเห็นหลวงปู่ (หุ่นขี้ผึ้ง) ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ท่านบอกว่า ดีใจที่ผมมาตามที่ได้ให้สัญญากับท่านไว้ ของที่ผมอยากได้นั้น ท่านเตรียมไว้ให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    ท่านรู้ก็เพราะว่า ตอนที่ผมนั่งดูทีวี ถ่ายทอดงานพระราชทานเพลิงของหลวงปู่นั้น ผมได้ส่งกระแสจิตถึงหลวงปู่ว่า “งานพระราชทานเพลิงของหลวงปู่นี้ ผมไม่ได้มาเสียแล้ว แต่ผมอาจจะได้มาหลังงานพระราชทานเพลิงแล้ว ขอให้หลวงปู่ช่วยเก็บรักษาอัฐิธาตุไว้ให้ด้วยก็แล้วกัน” และผมก็เห็นหลวงปู่ท่านรับปาก

    จากสภาพนั่งของหุ่นขี้ผึ้ง ผมเห็นท่านลุกขึ้นเดินแบบคนแก่ ไปหยิบไม้เท้าประจำตัวของท่าน เดินมาหยุดตรงที่ผมนั่ง แล้วบอกให้ผมเดินตามท่านไป ผมก็ลุกขึ้นเดินตามท่านออกไป

    ท่านก็มาหยุดตรงหน้าประตูทางเข้าพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง แล้วชี้ให้ผมดูระยะทางจากที่ผมกับท่านยืนอยู่ ไปถึงเมรุ ประมาณ ๕๐๐ เมตร

    ท่านบอกว่า กว่าผมจะเดินไปถึงเมรุ แล้วกลับมาถึงที่ผมกำลังยืนอยู่นี้ ก็เสียเวลาหลายสิบนาที ท่านบอกอีกว่า ท่านรู้และทราบล่วงหน้าว่า ถึงอย่างไร ผมก็ต้องมาแน่ เพราะถ้าไปที่บริเวณเมรุตอนนี้ ก็ไม่มีอะไรเหลือแล้ว คนที่มาในงาน เอาไปหมดแล้ว

    แล้วท่านก็ออกเดินนหน้าผมไป พร้อมกับชี้ให้ผมดูบริเวณโดยรอบวัด ซึ่งยังทอดทิ้งให้เห็นสภาพความยิ่งใหญ่ของงานพระราชทานเพลิงศพที่ผ่านมา ซึ่งมีทั้งเตาไฟของมูลนิธิต่าง ๆ ซากของเพิงพัก และป้ายชื่ออาหาร

    ผมกับหลวงปู่เดินกันมาเรื่อย ๆ ในระหว่างที่เดินมา ก็คุยกันไป หัวเราะและสนทนากันไป เป็นที่ถูกอัธยาศัยซึ่งกันและกันยิ่งนัก จนมาถึงบริเวณเชิงเขา ที่ตรงนี้ถ้าใครเคยไปวัดดอยแม่ปั๋ง จะเห็นรูปปั้นของหลวงปู่ในท่ายืนถือไม้เท้า ด้านหลังรูปปั้นของท่าน จะเป็นศาลาใหญ่ มีพระพุทธรูปหน้าตักกว้างประมาณ ๒ ศอกเศษอยู่องค์หนึ่ง

    ผมได้ไปไหว้รูปปั้นหลวงปู่พร้อมทั้งปิดทอง (ตอนขึ้นมาไม่ได้ไหว้ เพราะตั้งใจจะไปให้ถึงบริเวณเมรุ) เสร็จแล้วหลวงปู่ท่านก็พามาที่พระพุทธรูปองค์นั้น แล้วท่านก็ชี้นิ้วมือไปที่ใต้ฐานพระพุทธรูป ผมก็มองตามนิ้วมือของท่านไป แล้วก็ได้เห็นสิ่งที่หลวงปู่ท่านบอกว่า

    “ท่านเก็บเอาไว้ให้ อยู่ที่ใต้ฐานพระพุทธรูปองค์นี้เอง”

    ผมเห็นหลอดพลาสติกสีขาวใส โตขนาดนิ้วชี้ ยาวประมาณ ๓ นิ้ว เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑ เช็นติเมตร มีฝาปิดเรียบร้อย ผมเลยเอาก้านธูปเขี่ยออกมาดู ความในของหลอดพลาสติก ทำให้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน มีลักษณะคล้ายเถ้าถ่านอะไรอย่างหนึ่ง ผมก็เลยค่อย ๆ แกะฝาที่ปิดออกดู

    พอเปิดออก สิ่งที่เห็นก่อน ก็คือ กระดาษเงิน กระดาษทอง ตัดเป็นรูปวงกลมเล็ก ๆ ภายในหลอดบรรจุด้วยเถ้าถ่านที่เผาไหม้เป็นผงแล้ว และเศษไม้ไหม้ไฟ จนเป็นถ่านก้อนเล็ก ๆ อีกหลายชิ้น เมื่อคิดตามรูปการณ์แล้ว แน่นอน คงเป็นส่วนหนึ่งที่ใช้ประดับเมรุ ผมรู้สึกปลื้มปีติจนบอกไม่ถูก อยากจะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ ที่ได้มาที่วัดดอยแม่ปั๋งครั้งนี้ ไม่เสียเที่ยว และเป็นไปดังความคาดหมาย ซึ่งเรื่องนี้ผมได้เห็น คือ รู้เรื่องราวว่า จะต้องได้พระธาตุแน่นอน

    ผมเลยพนมมือขึ้นสาธุ บอกขอบคุณหลวงปู่ และเทพที่สถิตอยู่ในพระพุทธรูปองค์นั้น (ที่ผมพบหลอดนี้) ที่อุตส่าห์รักษาของนี้ไว้ให้เป็นเวลา ๑ เดือนเศษ แล้วผมก็ทำพิธีเบิกพระเนตร พร้อมทั้งปิดทองพระพุทธรูปองค์นั้นด้วย

    เพื่อความแน่ใจผมเลยนำหลอดที่พบนี้ไปให้พวกร้านขายรูปภาพหลวงปู่แหวน ซึ่งมีอยู่หลายร้านบริเวณทางขึ้นดอย ผมถามเขาว่า ในบริเวณเมรุของหลวงปู่แหวนนั้น มีกระดาษเงิน กระดาษทอง ตัดเป็นรูปวงกลม เล็ก ๆ ประดับอยู่หรือไม่ พอเจ้าของร้านบอกว่ามี ผมก็หยิบหลอดที่ผมได้มานั้นให้ดู เปิดฝาจุกให้เขาดู ตอนนี้รู้สึกว่า มีกลิ่นหอมคล้ายดอกมะลิสด กลิ่นแรงมาก คล้ายกับมีดอกมะลิมาวางไว้ใกล้ ๆ ผมเป็นเข่ง ๆ เจ้าของร้านเขาก็ได้กลิ่น

    เจ้าของร้านได้ยกมือขึ้นพนมไหว้ระลึกถึงหลวงปู่แหวน แล้วผมก็ได้เล่าให้เขาฟังว่า ได้จากที่ตรงไหน เสร็จแล้วผมก็เดินมาที่ร้านอาหาร ขณะกำลังสั่งอาหาร ก็เห็นผู้หญิงเจ้าของร้านรูปภาพ คนที่ผมเข้าไปถามเรื่องกระดาษเงิน กระดาษทอง เดินขึ้นไปที่พระพุทธรูปองค์ที่ผมพบของนี้ ผมเห็นเขายืนก้ม ๆ เงย ๆ เหมือนกำลังมองหาอะไรอยู่นาน เมื่อไม่พบอะไร เขาก็เดินลงมา

    เมื่อรับประทานอาหารกันเสร็จแล้ว ก็อำลาดอยแม่ปั๋ง

    หลังจากนั้น คณะทั้งหมดได้ไปเที่ยวดอยตุง ดอยตุงนี้ รถบัสขึ้นไม่ได้ เพราะเป็นยอดเขาสูงคดเคี้ยวมาก ต้องเปลี่ยนมาขึ้นรถสองแถว คันที่ผมไป ผมนั่งอยู่ตอนหน้าพร้อมพระอีกรูปหนึ่ง ขากลับลงมาจากเขา ผมก็ยังนั่งข้างหน้ากับพระรูปนั้นอยู่ พอมาถึงระหว่างทาง พระท่านได้หยิบเหรียญหลวงปู่แหวนสีทองออกมาจากย่าม แล้วบอกผมให้ช่วยอ่านรายละเอียดบนเหรียญ เช่น พ.ศ.อะไร เป็นของวัดไหนสร้าง

    ผมก็ไม่ทันได้อ่าน แต่ดูเหรียญของท่านแล้ว เหมือนบูชามาจากบนดอยแม่ปั๋ง ผมเลยหยิบหลอดที่บรรจุอัฐิธาตุที่ผมได้มานั้นให้ท่านดู แล้วเล่าให้ท่านฟังโดยตลอด พระท่านก็ขอดู

    ตอนนั้นไม่ทราบเป็นเพราะเหตุใด มองดูในหลอดเห็นเหมือนผงถ่านนั้น กำลังกลายเป็นพระธาตุ ส่งประกายระยิบระยับไปหมด พระท่านก็บอกว่า เถ้าถ่านนี้กำลังกลายเป็นพระธาตุ

    เมื่อกลับจากทัวร์บุญวันนั้นและถึงบ้านแล้ว ผมได้นำสิ่งอันควรสักการะ ซึ่งได้รับมอบมาจากหลวงปู่แหวนอย่างปาฏิหาริย์ ดังที่กล่าวไว้ในเบื้องต้น ขึ้นสู่หิ้งบูชา และสักการะทุกค่ำเช้า





     
  2. moowasin

    moowasin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2005
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +1,695
    สาธุ อยากได้บ้าง ถ้ามีบุญพอ ผมขอตั้งจิตอธิษฐาน ให้พระธาตุหลวงปู่แหวนเสด็จมาบ้าง สาธุๆๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...