อภินิหารของ"หลวงปู่ทวด"

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย Lukhgai, 25 มิถุนายน 2009.

  1. Lukhgai

    Lukhgai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    3,000
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +8,240
    เรื่องราวที่ผมจะเล่าต่อไปนี้: เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง,เหตุการณ์จริงที่ประสบกับตัวผมเองในขณะที่ผมกำลังบวชเป็นพระภิกษุอยู่ในวัดแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ และ ต้องออกตัวก่อนว่าผมไม่ได้ฝ้นหรือเพี้ยนแต่ประการใดเพราะในขณะนั้นมีสมาธิดีมากตอนเป็นพระภิกษุ และจะเหมาะสำหรับผู้มีความศรัทธาในองค์ "หลวงปู่ทวด" หรือผู้ที่ยังมีความลังเล,สงสัย เกี่ยวกับอำนาจพุทธคุณของพระองค์น้อย ว่ามีจริงหรือไม่ , อย่างไร.

    อนึ่ง: การอ่านของท่านอาจจะสะดุดหรือเสียรสชาติไปบ้างเพราะมันเป็นครั้งแรกที่ผมต้องเล่าโดยการ จิ้ม-พิมพ์ ไปตามยะถากรรมของคนที่เรียนรามไม่จบ.

    จริงๆ แล้ว ผมบวชที่กรุงเทพฯได้ 2 วัน ก็ต้องโทรหาอาจารย์ที่อยู่บนดอย เพราะไม่ได้ปฏิบัติธรรมอย่างที่คิดไว้ก่อนบวช อาจารย์เป็นพระเจ้าอาวาสสำนักสงฆ์แห่งหนึ่งตั้งอยู่บนดอยเล็กๆทางภาคเหนือครับ.

    สมัยก่อนนั้นสำนักสงฆ์แห่งนี้ยังไม่เจริญนัก ไม่มีน้ำปะปาต้องขุดบ่อบาดาลแล้วปั๊มน้ำขึ้นมาใช้ กุฏิที่อาศัยของพระก็เป็นเพลิงไม้เล็กๆ ที่ชาวบ้านแถวนั้นช่วยกันสร้างขึ้นมา ประมาณ 3 กุฏิ แล้วก็มีวิหารที่ใช้สำหรับ ทำวัตร ในสำนักนี้ ก็จะมีเจดีย์พระธาตุประจำดอยแห่งนั้น และเป็นที่สักการะของชาวบ้านแถบนั้นมาก ในสมัยที่ ครูบาศรีวิชัย ยังอยู่ ท่านเคยปรารภกับว่า ครูบาอินตา ว่า "บนดอยมีพระธาตุศักดิ์สิทธิ์อยู่ เราอยู่ข้างล่างก็ต้องช่วยกัน ดูแล และ บูรณะไว้" ซึ่งต่อมา สำนักสงฆ์ แห่งนี้ ก็ถูกพัฒนา เป็นวัด และมีการบูรณะ ซ่อมแซม พระธาตุขึ้นมาอย่างเป็นทางการ

    ก็แปลกดีครับผมได้ประสบการณ์เหลือเชื่อจากที่นี่พอสมควรครับ. มีทั้งก่อนจะมาบวช ขณะที่บวช และ หลังจาก บวช เอาไว้ จะทยอย มาเล่าให้ฟัง ถ้าไม่รำคาญกันก่อนนะครับ.

    ครับ. และในขณะที่จำวัดอยู่ คืนวันหนึ่ง ประมาณ 1 ทุ่ม คืนนั้นเป็นคืนวันเพ็ญ บนดอยจะสว่างกว่าปกติ จู่ จู่ อาจารย์ ก็เดินมาบอกว่า "คืนนี้ไอ้ต่ายมันจะมาทรงบนดอยนี้ มันนัดชาวบ้านแถวนี้ไว้แล้ว" ผมก็ถามกลับว่า"ใช่ไอ้ต่าย ที่มันเคยเป็นเด็กวัดที่นี่หรือเปล่า" "อืม มันนั่นแหละ" ในขณะที่ใจผมคิดว่า "มันจะมาทรงบ้าทรงบออะไรกัน บนวัดบนวาอย่างนี้ วะ" แต่ผมก็ไม่ได้ถามรายละเอียดอะไรกับอาจารย์เพราะไม่อยากจู้จี้กับครูบาอาจารย์ อ้อ. ลืมบอกไป ตอนนั้น บนสำนักสงฆ์มีผมกับอาจารย์ อยู่กัน 2 รูปเท่านั้น

    ประมาณ 2 ทุ่ม เริ่มมีชาวบ้าน ขับรถขึ้นมา 3-4 คัน มอเตอร์ไซด์อีกจำนวนหนึ่ง และหนึ่งในนั้นก็เป็นรถของไอ้ต่าย มันยกมือไหว้ผมแล้วพาชาวบ้านไปหาที่ ที่จะทำการประทับทรง มันได้ที่ตรงหน้าลานพระธาตุเลยครับ จากนั้น มันก็ทำการแต่งองค์ ทรงเครื่องนิดหน่อย . จุดธูป ไหวัพระธาตุเสร็จ มันทำเป็นว่ามี พ่อปู่ มาประทับมัน จากนั้นมันจุดบุหรี่ที่ชาวบ้านเอามาถวายมัน ทีละหลายตัว ตอนนั้นอาจารย์จำวัดอยู่ในกุฏิท่านไม่ได้ออกมา และผมซึ่งเป็นพระบวชใหม่ ก็กำลังดูมันอยู่ ว่ามันจะทำอะไรของมัน

    ซักพัก . พ่อปู่(ไอ้ต่าย)ก็ควักเอาเหล้าออกมายกดื่มอย่างมีความสุข โดยมีชาวบ้าน ลูกเด็กเล็กแดง รายล้อมอยู่ประมาณ25-30 คน แต่พอผมเห็นมันเอาเหล้ามาดื่มบนวัดแบบนี้ ก็ทำให้ผมอยู่เฉยไม่ได้ จากที่ไม่อยากเข้ายุ่งในตอนแรก มันเริ่มอยู่เฉยไม่ได้ครับพี่น้อง. ตอนนี้ผมไม่สนใจแล้วว่าจะเป็น พ่อปู่ที่ไหน และ ก็ไม่รู้ว่ามันทรงจริงหรือเปล่า. แต่ที่รู้รู้ จะปล่อยให้มันมาดื่มเหล้าบนวัดที่ผมรักไม่ได้

    ผมเดินเข้าไปหามันแล้วก็บอกว่า "บนนี้เป็นวัดห้ามดื่มเหล้าบนนี้ ถ้าจะดื่มลงไปดื่มข้างล่างนู๋" พ่อปู่มองหน้าผม แล้วตะโกนเสียงดังออกมาว่า "ถ้าเจ้าไม่เคยมาช่วยบรูณะพระธาตุในปีก่อนนั้น คืนนี้กูเอามึงให้ตาย" , "มึงรู้มั้ยว่ากูเป็นใคร" ผมสวนกลับทันที "มึงก็ ไอ้ต่าย ที่เคยมาเป็นเด็กวัดที่นี่แหละ อย่ามาเล่นละครเลย อาตมาไม่เชื่อหรอก" แล้วผมก็หันมาบอกชาวบ้านว่า "ทำไมพวกคุณถึงได้งมงายอย่างนี้ พระพุทธเจ้า สอนไว้ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกรรม อย่าได้ไปเชื่อพวกเข้าทรงเลย กลับไปบ้านเถอะไป" มีชาวบ้านคนหนึ่งพูดกับผมว่า ไม่ได้งมงายแต่เป็นพ่อปู่จริงๆ ถึงจะกินเหล้าบนนี้ก็ไม่บาป

    อ่อ.. ลืมบอกไปว่า ในขณะที่ผมกำลังพูดกับชาวบ้าน หรือ พ่อปู่อยู่นั้น ผมต้องใช้ล่ามเป็นเด็กนักเรียนมัธยมคนหนึ่ง เพราะผม อู้กำเมืองบ่ได้ และที่สำคัญชาวบ้านเค้าเชื่ออย่างฝังใจว่า พ่อปู่มาประทับทรงไอ้ต่ายจริง และสามารถช่วยเขาได้จริง ฉะนั้นแล้วมีอยู่ทางเดียวที่ผมจะชนะได้ก็คือ ผมต้องพิสูจน์ ว่าไอ้ต่ายมันแกล้งทรง ผมจึงลงไปนั่งตรงกลางประจันหน้ากับพ่อปู่แล้วบอกว่า "ถ้าเป็นพ่อปู่จริงต้องพิสูจน์ให้เห็น โดยการตอบคำถามที่ผมจะถามให้ถูก ถ้าตอบถูกล่ะก็ผมจะยอม"

    หลังจากที่ผมลงไปนั่งประจันหน้าและท้าทายให้พ่อปู่ตอบคำถามที่ผมจะถามแล้ว จากนั้นพ่อปู่ก็ใช้สายตาเพ่งจ้องมายังที่อังสะตรงหัวใจผมแล้วก็...

    ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า....ไม่เลว.....ไม่เลว.....หัวจิต หัวใจ ใช้ได้ ตกลงมีอะไรจะถามก็ถามมา

    ท่านเป็นใคร มาจากไหน แล้วต้องการอะไร?

    กูคือปู่เสีอ กูตามเจ้าหนุ่ม(ไอ้ต่าย)นี้มา กูมาไหว้พระธาตุและมาหาพี่น้องกู คือ ปู่ขาว กับ ปู่ฤาษีที่อยู่ที่นี่ กูต้องการให้ชาวบ้านสร้างศาลให้กู กูจึงต้องสร้างบารมีให้พวกมันเห็น. ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า

    เอาล่ะ ปู่เสือก็ปู่เสือ แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่า ผมเคยมาบูรณะพระธาตุที่นี่

    ฮ่า...ฮ่า....ฮ่า..เรื่องแค่นี้ทำไมข้าจะไม่รู้ เจ้ากับพรรคพวกขึ้นๆ ลงๆ บนดอยนี้หลายครั้งก่อนจะมาเป็นตุ๊(พระ) ที่นี่

    ผมถามคำถามไป 4 – 5 คำถาม แต่ก็ได้คำตอบที่ยังคลุมเครือ ที่สำคัญ ผมคิดว่าคำถามที่ผมถาม
    ปู่เสือนั้น ไอ้ต่ายมันอาจจะรู้อยู่แล้วก็ได้ ผมจึงพยายามหาคำถาม ที่ไอ้ต่ายไม่รู้และไม่มีใครรู้ แม้กระทั่งอาจารย์ผมก็ไม่รู้

    และแล้วผมก็คิดออก

    เอาล่ะ.! ถ้าปู่เสือ ตอบคำถามนี้ได้ล่ะก้อ ผมจะยอมรามือให้

    แล้วผมก้อเอามือมากุมที่อังสะตรงหัวใจผม ใต้อังสะนั้น ผมได้ใช้เข็มกลัด กลัดพระเครื่องเอาไว้อยู่ 1 องค์ พระองค์นี้ก่อนที่ผมจะมาบวช ผมได้มาจาก คุณหมอท่านหนึ่ง ซึ่งผมเป็นคนไข้ประจำอยู่ วันหนึ่ง ผมได้บอกกับคุณหมอว่า ผมคงไม่ได้มาหาหมอซักพักหนึ่ง เพราะได้ตัดสินใจบวชแล้ว พอท่านได้ยิน ท่านก็เอื้อมมือขึ้นไปหยิบพานใบหนึ่งลงมาจากหิ้งพระ จากนั้นก็หยิบพระมาให้ผม 1 องค์ พร้อมกับบอกว่า “เอาหลวงปู่ทวดองค์นี้ ติดตัวไว้ ถึงจะไม่รุ่นที่เค้าเล่นหากันแพงๆ
    แต่ทุกครั้งที่มีหมอมีโอกาสได้เข้าร่วมในงานพุทธาภิเษกใหญ่ๆ หมอก็ขอนำหลวงปู่ทวดองค์นี้ไปร่วมพิธีทุกครั้ง” “คุณต้องนำท่านติดตัวไปด้วยนะ” คุณหมอย้ำ

    หลังจากที่ผมรับหลวงปู่ทวดมากุมไว้ในมือ ซักพักนึง!! ขนก็เริ่มลุกซู่ไปทั่วตัว โดยเฉพาะตรงแขนและท้ายทอย เป็นครั้งแรกครับที่ได้สัมผัสพลังแห่ง พุทธคุณ

    ครับ ผมเอามือกุมหลวงปู่ทวดที่อยู่ใต้อังสะของผมไว้ เหมือนกับกลัวว่า ปู่เสือจะมองทะลุเข้ามาเห็นอย่างนั้นน่ะ ! จากนั้นผมก็ถามปู่เสือว่า

    ในมือของผมนี้ ผมกำอะไรอยู่

    ฮ่า....ฮ่า....ฮ่า...ในที่สุดก็ถามมาจนได้ หึ..หึ มันคือ พระเครื่องสีดำองค์หนึ่ง

    แล้วท่านตอบได้มั้ย ว่าพระองค์นี้มี ชื่ออะไร

    ข้าจะไม่เอ่ยชื่อของพระองค์นี้ แต่ข้าบอกได้ว่า พระองค์นี้ มีผู้คนกราบไหว้ สักการะ และมีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดในภาคใต้ ข้าว่าถูกไหมล่ะ

    ผมไม่ตอบ แต่คิดไม่ออก ว่าไอ้ต่ายมันรู้ได้อย่างไร ไม่มีใครรู้นี่นา มีผมกับคุณหมอเท่านั้นที่รู้

    ผมหันไปมองชาวบ้าน ซึ่งกำลังอยากฟังคำตอบจากผม ผมลุกขึ้น แล้วพูดขึ้นว่า

    อาตมาต้องทำตามคำพูดแน่ ไม่ต้องห่วง

    ผมหันหลังให้ปู่เสือและจะก้าวเดินออกมา ในขณะเดียวกัน ปู่เสือ ก็ตวัดเสียงดังขึ้นมาว่า

    จะไปไหน ยังไปไม่ได้ เจ้ามาลบหลู่ท้าทายข้า แล้วคิดจะไปง่ายๆอย่างนี้หรือ ?

    แล้วจะเอายังไง. ผมถามกลับ

    ถ้าเจ้าแน่จริง! ละก้อ กล้าเอาลูกประคำของข้าไปใส่นอนมั้ยล่ะ แล้วข้าจะให้ยักษ์ตนนี้ไปหาเจ้าที่หน้ากุฏิ

    ปู่เสือพูดพร้อมกับชี้ไปที่ รูปปั้นยักษ์ ที่ยืนเฝ้าหน้าหอไตรฯ

    ว่าแล้ว ปู่เสือก็ถอดลูกประคำที่สวมอยู่ออกมาบริกรรม เป่าพรวด แล้วยื่นมาให้ผม

    มีหรือที่ผมจะไม่รับ ไหนก็ไหนไหน ผมรับมาคล้องคอทันที แล้วก็ หัวเราะเบาเบา (ข่มความกลัว +ความประหม่า)

    ผมลุกลี้ลุกลนหันหลัง เดินออกมาจากบริเวณนั้น ก็ได้พบกับอาจารย์ ชึ่งท่านก็คงยืนดูผมอยู่ซักพักแล้วหล่ะ ผมไหว้อาจารย์แล้วก็บอกว่า

    ผมไม่รู้จะทำอย่างไร กับไอ้ต่ายมัน แต่ผมต้องรักษาคำพูด

    อาจารย์ยิ้มน้อยๆ แล้วบอกให้ผมไปพักผ่อน

    เวลา 4.00 น. ผมตื่นขึ้นมาตามเคยเพื่อที่จะไปตีระฆัง ถอดลูกประคำของปู่เสือออกแล้วก็คิดในใจว่าไม่เห็นมีอะไรเลยแล้ว ผมคว้าไฟฉายข้างตัวแล้วเดินออกจากกุฏิไปตามทาง ผ่านวิหาร ผ่านหลุมฝังศพของชาวบ้านสมัยก่อน ซึ่งเป็นที่ที่ผมไม่อยากเดินผ่านเลยให้ตายสิ แต่ก็ต้องทำใจ คิดดูสิครับว่า ถ้าพระกลัวผีแล้วจะไปเหลืออะไร รู้ถึงไหน อายถึงนั่น.

    หลังจากทำธุระเสร็จ ก็เข้าวิหารเพื่อทำวัตรเช้า แล้วเดินลงดอยเพื่อบิณฑบาต (เหตุการณ์ปกติ)

    บ่าย 4 โมง เข้าวิหาร ทำวัตรเย็น หลังจากทำวัตรเย็นเสร็จ อาจารย์ก็ถามว่า เป็นยังไงเจอยักษ์ไหม. ผมบอกอาจารย์ไปว่า พวกชาวบ้าน เค้างมงายทั้งนั้น ไปเชื่ออะไรกับปู่เสือนั่น ผมไม่เห็นเจออะไรเลยครับ

    เวลา 2 ทุ่ม โดยประมาณ ผมเข้านอนปกติ แต่อดคิดไม่ได้ว่า คืนนี้เราจะเจออะไรหรือเปล่าแล้วทำไมอาจารย์ถึงไม่พูดถึงเรื่อง ไอ้ต่าย ที่มันประทับทรงนั่น ว่าเป็นอย่างไร จริงไม่จริง คิดไปคิดมาอยู่หลายเรื่อง ก็เผลอหลับไป

    เวลา 4.00 น. (คืนที่สองหลังจากรับลูกประคำมา) ผมตื่นตามเสียงนาฬิกาปลุก พร้อมกับคิดในใจว่า ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่นา เราคงจะคิดระแวงไปเอง เกี่ยวกับเรื่องยักษ์ เรื่องเจ้านั่น(สติไม่อยู่กับตัว) ผมคิดไปพร้อมกับหยิบไฟฉายเดินออกจากกุฏิ พอผมก้าวออกจากกุฏิ ขาผมก็ไปสะดุดบางสิ่งที่มองไม่เห็น ความรู้สึกคล้ายๆกับว่า มีใครเอาเส้นเอ็นมาขึงขวางไว้ตรงหน้าประตูกุฏิ แล้วกุฏิที่ผมอยู่จำวัด ก็ตั้งอยู่บนไหล่ดอย ด้วย

    ครับ. (สติไม่อยู่กับตัว) ผมกลิ้งตกไปตามไหล่ทาง ซึ่งเป็นที่ลาดต่ำลงไป ประมาณ 20 เมตร ลงมานั่งกองอยู่ข้างๆต้นไม้ใหญ่ต้นหนี่ง ความรู้โกรธวิ่งถาถมเข้ามาในหัวทันที ผมรู้สึกโกรธมากเพราะผมคิดว่าคงมี ใครมาขึงเอ็นแกล้งผมแน่ ก็คงจะเป็นไอ้ต่ายกับพวกมันนั่นแหละ(ผมคิดเอง)
    ขณะเดียวกัน จิตใต้สำนึกก็บอกกับผมว่า “โกรธไม่ได้นะ ตอนนี้เราเป็นพระอยู่ อย่าให้อารมย์มา
    ครอบงำเราซิ” พอสติกลับคืนมา ผมจึงขึ้นทำหน้าที่ประจำวันของผมต่อ

    ก่อนทำวัตรเช้านั้น อาจารย์ได้เอายามาให้ทำแผล เพราะขาข้างซ้ายของผมเลือดอาบเป็นทางยาว ตอนกลิ้งตกนั่นเอง

    ก่อนทำวัตรเย็นวันนั้น ผมได้ข่าว ไอ้ต่ายมันจะมาประทับทรงในคืนนี้อีก

    และผมก็คิดว่าจะไม่เข้าไปยุ่งอีก เพราะขนาดอาจารย์ก็ยังไม่ห้ามเลย แล้วผมซึ่งเป็นแค่พระบวชใหม่มาขออาศัย วัดที่นี่ปฏิบัติธรรมเท่านั้น ไม่สมควรจะเอาเรื่องเหล่านี้มาเป็นสรณะให้ครุ่นคิด

    เวลาประมาณ สองทุ่ม มีเด็กวัดคนหนึ่งวิ่งที่หน้ากุฏิผม แล้วบอกว่า หลวงพี่ๆ พ่อปู่เสือบอกให้ผมมาตามหลวงพี่ขึ้นพบหน่อยครับ พ่อปู่บอกว่า ให้หลวงพี่เอาลูกประคำของพ่อปู่ไปคืนด้วยมือของหลวงพี่เอง ( มันพูดดักหน้าผมไว้ก่อนเลย เหมือนรู้ว่าผมจะฝากมันขึ้นไป )

    เออ. เดี๋ยวข้าขึ้นไป

    ซักพัก. ผมก็เดินขึ้นไปหน้าลานพระธาตุ ที่ชาวบ้านกำลังนั่งล้อมปู่เสืออยู่ รู้สึกว่าคราวนี้ชาวบ้านจะมากกว่าคราวก่อน

    ปู่เสือหันมามองผม แล้ว หัวเราะดังลั่นออกมาว่า

    ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า... เป็นยังไงล่ะ เมื่อเช้า เจ็บไหมล่ะ กลิ้งตกไม่เป็นท่าเลย

    คราวนี้ผมโกรธจนตัวสั่น เดินปรี่เข้าไป แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะผมเป็นพระนี่ครับ ผมโยนลูกประคำให้ปู่เสือ แล้วชี้หน้าปู่เสือ พร้อมกับพูดว่า

    นี่หรือคือการกระทำของ ปู่ฤาษี ชีไพร มากลั่นแกล้งพระแบบนี้ มันเป็นบาปนะ ทำให้อาตมากลิ้งตกลงไปข้างดอยข้างกุฏิ เลือดตก ยางออก แบบนี้ แล้วยังมานั่งหัวเราะเยาะ นี่หรือคือการกระทำของปู่เสือ ที่จะมาช่วยชาวบ้าน ก็ขนาดจิตใจยังต่ำขนาดนี้ แล้วจะช่วยชาวบ้านได้อย่างไร

    ผมรัวเป็นชุดๆ เพราะอารมย์โกรธเข้าครอบงำ แล้ว ปู่เสือก็สวนกลับมาว่า

    ข้าไม่ได้แกล้งเจ้า ข้าเดินผ่านไปแถวนั้นพอดี เอ็งเดินมาสะดุดไม้เท้าของข้าเอง ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า

    ผมพูดอะไรไม่ออก เพราะโดนยั่วมากขึ้น แถมชาวบ้านก็หัวเราะผมไปกับปู่เสีอด้วย

    ผมจึงพูดสวนไปว่า

    อ้าว ! ไหนบอกว่าจะเอายักษ์มาหาอาตมาไง (ผมเริ่มท้าทายอีกครั้ง) อาตมานอนรอมาสองคืนไม่เห็นมีอะไรเลย

    ได้ผลครับ ทุกคนเงียบหมด หันมาฟังผมกันหมด ผมจึงพุดต่อ

    เมื่อคืนวานทุกคนก็ได้ยินไม่ใช่เหรอ ว่า ปู่เสือบอกให้อาตมาเอาลูกประคำไปใส่แล้วจะให้ยักษ์ไปหาอาตมาไง ! นี่ไง เห็นมั้ย ทำไม่ได้หรอก ยักษ์ที่ไหนจะยืนหน้ากุฏิอาตมา ปู่เสีอโกหกแล้วยังมา
    อวดอ้างอิทธิ์ฤทธิ์ แล้วยังงี้จะไปเชื่อปู่เสือได้ยังไง ใช้สติคิดสิ โยม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว อย่ามา
    งมงายกับปู่เสือเลย กลับไปบ้านเถอะ

    ในขณะที่ผมกำลังยืนพูดอยู่นั้น ก็ มีลูกศิษย์วัดเดินมาบอกผมว่า

    หลวงพี่อาจารย์เรียกให้ไปหาที่กุฏิครับ

    จากนั้นผมก็เข้าไปหาอาจารย์ในกุฏิท่าน อาจารย์ได้สอนผมเกี่ยวกับการดูตัวอารมภ์และเรื่องอื่นๆอีกเล็กน้อย และบอกกับผมว่า “ เรื่องบางเรื่อง บางทีเราก็ต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามกรรมตามวาระของมัน ไม่ควรเข้าไปเกินขอบเขต” เหมือนกับคำที่ว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” ผมรีบจำใส่เกล้าทันที หลังจากนั้นก็ กราบลาอาจารย์กลับกุฏิ

    ครับ .ท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วอย่าเพิ่งเบื่อนะครับ เพราะจุดสุดยอด มันต่อจากนี้ครับ

    คืนนั้น . หลังจากได้สติกับคืนมาเพราะอาจารย์เมตตา อบรมให้ ผมก็คิดว่าคงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกแล้ว เพราะลูกประคำก็คืนไปแล้ว เหตุการณ์ก็น่าจะสงบลง

    แต่เหตุการณ์หาเป็นเช่นนั้นไม่

    ผมรู้สึกตัวขึ้นกลางดึก ตอนนั้นเวลากี่โมงผมไม่รู้ครับ แต่ที่รู้รู้ผมตื่นมาอย่างเต็มสติ และมีความรู้สึกว่า เหมือนมีอะไรบางอย่าง ที่แรงมาก มายืนอยู่หน้าประตูกุฏิ ที่ว่าแรงนั้นเป็นเพราะสัมผัสได้ถึงพลังที่ถาถมเข้ามาในกุฏิเหมือนจะกลืนกินผมเข้าไปอย่างงั้น จากนั้นผมก็ค่อยๆ
    เอนตัวขึ้นจากท่านอนเป็นท่านั่ง และ คิดในใจว่ามันมีอะไรมายืนอยู่หน้าประตูอย่างแน่นอน

    ปล. ประตูกุฏิที่ผมจำวัดอยู่นั่นเป็นประตูมุ้งลวดเก่าๆทั้งบาน และ มีประตูไม้เก่าๆอยู่ด้านนอกอีกทีแต่ผมไม่เคยแตะต้องประตูไม้นั่นเลย เพราะมันทั้งเก่า ทั้งผุ แถมด้านหลังประตูยังเป็นที่อยู่ของตุ๊กแกยักษ์อีก ฉะนั้นเวลาเปิดปิด จึงใช้แต่ประตูมุ้งลวด เท่านั่น

    จากนั้น..ด้วยความอยากรู้มากกว่าความกลัว และคิดว่ายังงัยเราก็เป็นพระท่าจะกลัวก็น่ากลัว
    โจร ผู้ร้าย มากกว่าสิ่งเร้นลับต่างๆ ผมจึงค่อยๆ เอื้อมไปหยิบไฟฉายข้างตัว แล้วส่องไปที่หน้าประตู ภาพที่ผมเห็นก็คือ ชายรูปร่าง สูงใหญ่มาก เพราะผมเห็นได้แค่หน้าอกลงมาเท่านั้น สวมสร้อยสังวาล พาดเฉียง นุ่งจงกะเบน(ตอนนั้นผมจำสีไม่ได้) แล้วมือข้างขวาถือไม้กระบองอยู่

    Oh my god.! ภาพที่เห็น ทำให้ผมชาไปทั้งตัวเลยครับ ผมกระดิกตัวไม่ค่อยได้ บวกกับมีพลังบางอย่างที่แผ่ซ่านไปทั้งตัว แล้วผมจะทำอย่างไรดีนี่ แค่คิดเท่านั้นครับ พลังที่แผ่ซ่านไปทั้งตัวอยู่นั้นได้หล่อหลอมมารวมกันที่องค์หลวงปู่ทวด ในขณะที่ผมก้มหน้าลงมามองท่าน ก็ได้ปรากฏลำแสงสีทองพวยพุ่งออกจากองค์หลวงปู่ทวด เข้าไปปะทะกับร่างที่อยู่ตรงหน้าผม ร่างที่ผมก็เห็นเริ่มค่อยๆสลายกลายเป็นผงลอยขึ้นไปในอากาศ (เหมือนกับเรื่อง ฟงหวิน นั่นแหละ)

    ครับ. เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและจบลงอย่างเร็วในขณะที่ผมนั่งเหงื่อแตกและถาม
    ตัวเองว่า เราฝันไปหรือเปล่า จากนั้นผมก็เอามือมาหยิกตัวเองดู เช็คสติตัวเองดูเราก็ไม่ได้ฝันนี่นา จากนั้นผมก็ค่อยๆข่มใจตัวเองให้หลับ เพราะต้องตื่นตีสี่ไปตีระฆัง.

    เช้าวันนั้น. หลังจากฉันเสร็จแล้ว ผมได้เดินไปหาอาจารย์ที่กำลังกวาดใบไม้อยู่หน้าหอไตรฯ ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้อาจารย์ฟัง พร้อมชี้ไปที่รูปปั้นยักษ์ที่หน้าหอว่า “นี่แหละอาจารย์ยักษ์ตนนี่แหละที่มาหาผมผมจำได้”

    จบแล้วครับ อย่าลืมสำรวจกระเป๋าและสิ่งของมีค่าของท่านก่อนลุกจากที่นั่ง
    และอย่าลืมเอาถุงป๊อปคอร์นไปทิ้งด้วยเด้อ.อิ อิ

    [����ͧ����] ��Թ���þ�������ͧ"��ǧ����Ǵ" - �����͡����� day-
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2009
  2. ทิกเกอร์_ทิกเกอร์

    ทิกเกอร์_ทิกเกอร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    544
    ค่าพลัง:
    +914
    เอิ้กๆๆๆ....

    จบซะแระ...น่ากลัวเหมือนกันนะเนี่ย
     
  3. TTT333

    TTT333 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +160
    .

    อ่านข้อเขียนเรื่องนี้แล้วก็สนุกเพลิดเพลินดีครับ...แต่ขอสอบถามสักนิดครับ เรื่องที่เล่ามาทั้งหมดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงหรือเป็นเรื่องที่ประพันธ์ขึ้นมาครับ ถ้าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆแสดงว่าหลวงปู่ทวดท่านมีบารมีและความศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริงครับ...ขออนุโมทนาในกุศลครับ
     
  4. สี่จุด

    สี่จุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    705
    ค่าพลัง:
    +3,659
    บารมีหลวงปู่ทวดใหญ่หลวงนัก
    แต่ที่อ่านมา มีข้อสงสัยอย่างหนึ่ง ไม่ได้จะลบหลู่หรือดูหมิ่นใครนะจ๊ะ
    อย่างที่ปู่เสือมาแกล้งให้พระเลือดตกยางออกเนี่ย แล้วยังจะสามารถ
    สร้างบารมีได้อีกเหรอ ก็ในพุทธศาสนาก็มีบอกไว้ว่า กรรมที่ต้องตก
    มหานรกอเวจีมีข้อหนึ่งที่ว่า ทำให้พระเลือดตกยางออก อยู่ด้วย
     
  5. มหา

    มหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    827
    ค่าพลัง:
    +974


    อนันตริยกรรม คือ
    1.ฆ่าบิดา
    2.ฆ๋ามารดา
    3.ฆ๋าพระอรหันต์
    4.ทำร้ายพระพุทธเจ้าให้โลหิตห้อ
    5.ทำสังฆเภท ทำสงฆ์ให้แตกกัน

    ..............................

    ทำร้ายพระ ให้เลือดออก ไม่แน่ว่าจะลงอเวจีนะจ๊ะ
    อยู๋ที่ว่าพระนั้น ดีหรือไม่ด้วย

    ..................................
    แต่เห็นด้วยกะคุณเรื่องปู่เสือ มาสร้างบารมี จริงหรือปล่าว หรือแค่มาอ้างเพื่อเ่บ่งอำนาจ
     

แชร์หน้านี้

Loading...