อบรมภาวนาญาติโยม พระธรรมเทศนา ของหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 22 พฤศจิกายน 2010.

  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    อบรมภาวนาญาติโยม

    พระธรรมเทศนา ของหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม กัณฑ์ที่ ๖

    อบรมภาวนาญาติโยม อ.นาแก จ.นครพนม
    (พระธรรมเทศนาเป็นภาษาพื้นเมืองอิสาน)



    เอ้าตั้งใจฟัง สงบๆอดเอาถ้ามันเจ็บมันปวดก็ดี ถ้าไม่มีความอดความทนก็ ไม่ได้ซิ เวลาออกลูกมันเจ็บมันปวดกว่านี้เยอะเลย(...หัวเราะทั้งพระทั้งโยม...)


    เอ้าตั้งใจฟัง ฟังเทศน์ก็ฟังธรรมด้วย เพื่อจะได้ภาวนาไปในตัวนั่นแหละ ดูจิตดูใจของใครของมัน สร้างเหตุที่ดี ผลได้รับมันก็ดี สมกับที่ว่าการกระทำ คือทำดี


    บาปก็กระทำเอาแหละ คือ ทำชั่วมันจึงเป็นบาป ใครอยากดีก็ทำดีเอา ไม่ไปทำชั่ว ความชั่วมันก็เลยไม่เกิดขึ้น ถ้ายังทำชั่วอยู่ มันก็ไม่มีความดี นั่นแหละ


    ศาสนามีเท่านั้นแหละ มีดีกับชั่วเท่านั้น มันอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่ตัวคน ไม่ได้ อยู่ที่ตัวคนอื่นหรอก


    โดยเฉพาะพวกเราเป็นนักปฏิบัติพระพุทธศาสนา มีเจตนาปฏิญาณตน เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นพระมาบวชก็เหมือนกัน เป็นลูกศิษย์ พระพุทธเจ้า บวชมาก็เพื่อปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นอุบาสกอุบาสิกา ก็เหมือนกัน จึงต้องทำให้มันสมควรที่เราเจตนา สมควรที่เราปรารถนา อยากจะให้พวกเราทุกคนดี เพราะพระพุทธศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี


    อย่าได้แต่เรียนรู้เฉยๆ มันไม่ดี มันต้องปฏิบัติให้มันเกิดมันมีขึ้นจึงจะดี ถ้าหากเรารู้เฉยๆ ก็เหมือนกับรู้นั่นรู้นี่นั่นแหละ รู้บุญ บุญนี่เราก็รู้จักกันทุกคน แต่ไม่ทำเจ้าของให้มันเป็นบุญ มันก็เลยไม่เป็นบุญ อยากได้บุญแต่ยังทำบาปอยู่ มันก็เลยไม่เป็นบุญ มันเป็นบาป


    บาปก็คือตัวคนนี่แหละ บุญก็คือตัวคน ไม่ใช่วัวไม่ใช่ควายหรอก พวกวัวพวกควายนั้นมันไม่ได้ทำบาปหรอก สัตว์มันก็ไม่ฆ่า ลักมันก็ไม่เป็น วัวควายนั้นหาใส่ท้องของมันไปตามเรื่อง ประพฤติผิดทางกามมันก็ไม่ประพฤติ แหละ มันไม่มีหวงแหนนี่ เป็นไปตามธรรมชาติเท่านั้นเอง โกหกไม่เป็น วัวควาย เหล้ามันก็ไม่กิน


    เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงไม่ได้บัญญัติพระศาสนาไว้ให้แก่สัตว์เดรัจฉาน พระองค์บัญญัติพระศาสนาไว้ให้คนคือพวกเราทั้งหลายนี้แหละ เป็นผู้ประพฤติ ปฏิบัติกัน


    สำหรับวันนี้ พวกเราก็มีเจตนาดี ออกมาจากบ้านช่องเข้ามาสู่วัดวาสู่ศาสนา เพื่อมาสร้างคุณงามความดี มาประกอบ ศีลวัตร ทานวัตร ภาวนาวัตร มาประกอบกาลมหากุศล เพื่ออุทิศบุญกุศล ด้วยการไหว้พระ ระลึกถึงคุณ พระรัตนตรัยซึ่งเสร็จสิ้นลงไปแล้ว


    ต่อจากนี้ ก็เป็นหน้าที่ที่จะอบรมจิตใจ เพื่อเอาธรรมะมาอบรมจิตใจ ให้มันสงบจากบาป โดยเฉพาะวันนี้ก็เรียกว่าเป็นอภิลักขิตสมัย เป็น วันข้าวประดับดิน เรียกว่า อุทิศกุศลให้แก่ บุพพเปตพลี คือ ผู้ที่ล้มหายตาย จากไป จะเป็นเครือญาติ เป็นพ่อแม่ญาติพี่น้อง ผู้ล้มหายตายจากไป ถ้าวิถี วิญญาณยังเป็นสัมภเวสีอยู่ ก็จะได้มาอนุโมทนารับส่วนบุญส่วนกุศล ที่กุลบุตร กุลธิดา ลูกหลาน อุทิศบุญกุศลไปให้


    คืออย่างวันนี้ ใครๆก็สนใจ เหมือนอย่างเมื่อเช้านี่แหละ มีคนมาบำเพ็ญ บุญกุศลมาก มาร่วม ๓๐๐ คน ไม่ใช่น้อยๆ ผู้ที่เป็นเปรตเป็นผีก็มาอนุโมทนา สาธุการ ดีอกดีใจที่เห็นลูกเห็นหลานได้มาบำเพ็ญกองกาลมหากุศลให้


    บางคนนับตั้งแต่ต้นปี ๒๕๑๕ ขึ้นมา คือ ตั้งแต่วันที่ ๑มกรา เพิ่งจะได้มา ใส่บาตรวันนี้เป็นครั้งแรกก็มี นั่นก็เพราะว่าระลึกถึงคุณบิดามารดา เครือญาติ ที่ล้มหายตายจากไปแล้ว


    อันนี้เรียกว่าเป็นประเพณีมาแต่ครั้งโน้น ครั้งพุทธกาลนั่นแหละ มาตั้งแต่ ศาสนาพระเจ้าวิปัสสีนั่นแหละจึงไม่ใช่ธรรมดา


    ในคราวกาละครั้งนั้น พระพุทธองค์เจ้า พระโคดม ของเรา ได้เกิดเป็น ชายทุกขตา ชื่อว่า ติณปาละ เป็นคนทุกข์ เกิดขึ้นมาแล้วพ่อแม่ก็ล้มหาย ตายจากไป ไร่นาก็บ่มี เที่ยวรับจ้างเขากินอย่างนั้นแหละ ได้ข้าวมาก็พอ ได้มาหุงกินมื้อเช้ามื้อเย็นพอประทังชีวิตไป


    เมื่อถึงเดือน ๙ ดับนี่แหละ ก็หุงข้าวใส่ก่องไว้แล้ว ก็เลยว่าจะกินแล้ว จะออกไปหารับจ้าง เลยพอดีเห็นประชาชนผู้ใจบุญใจกุศลเดินทางไปใส่บาตร ไปถวายบุพพเปตพลี สมัยพระพุทธเจ้าชื่อว่า พระมหากัสสปะ หรอก


    เห็นคนไปมาก ก็เลยร้องถามเขา พ่อแม่พี่น้อง ป้าลุงพากันไปไหนมากมายจัง


    อ้อ! วันนี้เป็นวันถวายบุพพเปตพลี จะไปทำบุญใส่บาตรวัดกัน ว่า อย่างนั้นแหละ


    คิดในใจ ชะรอยเราเกิดมาที่เป็นคนทุกข์คนจน พ่อแม่ล้มหายตายจากไป เราคงไม่เคยให้ทานสักทีละมั้ง ว่างั้น ก็เลยสะพายก่องข้าวอันนั้นแล้ว ข้าวหุงใส่ก่องไว้ แล้วไปตามหลังคนกลุ่มนั้น ผ้าก็ขาดๆ ครั้นจะไปใกล้ หมู่เขาก็ย่านเขาจะเห็นหำแหละ เดินตามห่างๆไป


    พอไปถึงวัดแล้ว เขาก็ทำพิธีไหว้พระ สมาทานศีล แล้วก็ว่าตามพระนั่นแหละ ศีล ๕ ประการนั้น เมื่อถึงเวลาพระเจ้าพระสงฆ์เขาก็ตั้งแถวกัน เหมือนกับ พวกเราตั้งแถวกันเมื่อตอนเช้าวันนี้แหละ


    พระมหากัสสปะพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระสงฆ์ ๕๐๐ ออกบิณฑบาตร


    แกก็ไม่ใส่หลายองค์ แกใส่หมดก่องเลย ใส่องค์พระศาสดาหัวหน้านั่น ข้าวไม่เหลือสักเม็ดเลย ใส่แล้วก็เลยปรารถนา ขึ้นชื่อว่า ความทุกข์ ความจน ความหิว อย่าได้มี จากวันนั้นจนข้าพเจ้าสิ้นภพนั่นแหละ


    คิดอธิษฐานในใจไม่ได้ให้ใครได้ยินด้วยดอก แล้วสะพายก่องข้าวเปล่า กลับเลย ไม่ได้คอยพระยะถาสัพพี ไม่ได้คอยกินข้าวก้นบาตรเหมือน พวกเราหรอก ไปเลย


    ไปถึงที่พักแล้ว เอาก่องข้าวห้อยไว้ แล้วก็เอาผ้าห่มมาห่มนอน ถ่วง ท้ายถ่วงหัวว่าจะกินบุญวันนี้ อิ่มบุญแล้วไม่ต้องออกไปรับจ้าง นอนหลับ พอตื่นขึ้นมามันก็หิวซีทีนี้


    คิดในใจว่า ข้าวไม่เหลือติดก่องสักเม็ดเลยหรือ พอได้มาอมแก้หิวบ้าง ใจหนี่งบอกว่าจะยังยังไง เอาใส่บาตรหมดแล้วนี่ เถียงกันอยู่นั่นแหละ


    ใจหนึ่งบอกว่ามันหมดแล้ว เอาใส่บาตรหมดแล้วนี่ เถียงกันอยู่นั่นแหละ ใจหนึ่งมันบอกว่าหมดแล้ว ใจหนึ่งบอกว่าดูเหมือนยังมีอยู่


    พอหิวแล้วก็ลุกไปเปิดก่องข้าวดู เปิดฝาก่องมีข้าวเต็มอ้อล่อหอมกรุ่นเชียว


    มันเป็นข้าวทิพย์ ว่างั้นเถอะ กินไม่เหลือสักเม็ด อิ่มแอแหลเลย กิน แล้วก็นอน ก็มีข้าวเต็มก่องให้กินทุกมื้อเลย ในชาตินั้นเลยไม่อดกิน


    นั่น อานิสงส์ของติณปาละ พอคิดอยากกิน ไปเปิดก่องข้าวแล้วได้กินเลย มีข้าวเต็มเลย ไม่อดไม่อยาก ไม่ต้องไปทำชั่ว ศีลก็เลยบริสุทธิ์ ไม่ได้ฆ่า ไม่ได้ลักทรัพย์ ไม่ได้ประพฤติผิดในกาม ไม่ได้พูดเท็จ ไม่ได้กินเหล้า แล้วรักษากาย วาจา ใจ ให้เรียบร้อยตลอดเวลา


    วนว่ายตายเกิดวัฏสงสาร เที่ยวไปโงมาสุดท้ายก็มาเกิดเป็น สิทธัตถะกุมาร ออกบวชในพระศาสนาสัมฤทธิ์เป็นพระพุทธเจ้า บรมครูนั่งนิ่งเหมือนก้อนหิน ให้พวกเรากราบไหว้อยู่บนนั้นแหละ


    นั่น ต้องบำเพ็ญอย่างนั้น พระบรมครูนั่นนะ แต่ครั้งเกิดเป็น ติณปาละ ในศาสนา พระมหากัสสปะพุทธเจ้าโน่น


    ท่านก็เป็นคนทุกข์คนจนเหมือนกับพวกเรานี้แหละ ทุกข์กว่าพวกเรานี่ด้วย ซ้ำไป แต่ท่านเจตนาดี


    เพราะฉะนั้น บุญกุศล ก็อยู่ที่การกระทำ ทำด้วยเจตนา คือ วันนี้ก็พวกท่าน ทั้งหลาย ที่เจตนามาทำบุญสุนทานให้ทานการกุศล เมื่อเช้านี้ก็อุทิศกุศล ส่วนบุญไปให้บุพพเปตพลี มีบิดามารดา ปู่ย่าตายาย กุลบุตร กุลธิดา ผู้ล้มหายตายจากไป เขาก็อนุโมทนา


    หากบิดามารดา ปู่ย่าตายาย ญาติพี่น้องของเรา ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ อานิสงส์นั้นก็สะท้อนกลับคืนมานั่นแหละ มาสู่พวกเรา เหมือนกับ ติณปาละ


    อันนี้ก็ขอให้ท่านทั้งหลายได้ภูมิใจ พอตอนค่ำมา เราก็ได้บำเพ็ญกองกาล มหากุศล ก็รักษาศีลตลอดวัน ผู้รักษาศีลห้าก็รักษาตลอดวัน ผู้รักษาศีลอุโบสถ ก็รักษาตลอดวัน


    ค่ำมาก็ได้มาบำเพ็ญกองกาลมหากุศล สดับตรับฟังพระธรรมเทศนา นั่งภาวนาพุทโธ ดูใจของเจ้าของ นั่นมันก็ยิ่งเป็นบุญเป็นกุศลเพิ่ม


    เพราะฉะนั้น วันนี้เราได้ศีลวัตร คือ รักษาศีลบริสุทธิ์ ทานวัตร เราก็ได้ บริจาคทานการกุศลตามกำลังศรัทธา ภาวนาวัตร เราก็ได้ภาวนาพุทโธ ตามดูลมเข้า-ลมออกให้จิตใจของเราสงบ ตลอดทั้งการสดับตรับฟังพระ สัทธรรมเทศนา หาความดีเข้าสู่ใจ ซึ่งถือว่ายากนักที่บุคคลที่เกิดมาในโลกนี้ ที่จะมาบำเพ็ญกุศลพร้อมเพรียงกัน สร้างวัตรทั้ง ๓ ประการ ให้ครบบริบูรณ์ ในวันเดียวกันนั้นมันยาก


    เพราะฉะนั้น วันนี้เราได้มาประสบความสำเร็จ ทานวัตร เราก็ได้บริจาคทาน ตามสติกำลัง ศีลวัตร เราก็ได้รักษาศีล บางคนก็รักษาศีลห้า บางคนก็รักษาศีลอุโบสถ ภาวนาวัตร เราก็ได้ภาวนาแล้ว ดูจิตใจของเรา ให้มันเกิดเป็นบุญกุศลขึ้น


    ก็แปลว่าพวกเรานั้น ดำเนินตามรอยพระยุคลบาทขององค์สมเด็จศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ชื่อว่าเราสร้างพระพุทธศาสนาเข้าสู่จิตใจ เป็นการ ปฏิปฏิปูชา คือ ปฏิบัติบูชา


    ปฏิบัติคืออะไร ปฏิบัติกาย ปฏิบัติวาจา และปฏิบัติดวงใจของเจ้าของ ให้หมดจากความเห็นผิด สร้างจิตใจของตนให้มันมีความเห็นถูก เห็นถูกใน ทางพระพุทธศาสนา ผลสุดท้ายก็เอาธรรมพินิจ จิตของพวกเราก็เลยสูงขึ้น สูงกว่าความโลภ สูงกว่าความโกรธ สูงกว่าความหลง ผลสุดท้ายจิตก็เป็น กองกาลกุศล คือ จิตเป็นบุญ


    ต้นทุนที่เราได้บำเพ็ญ คือ ปฏิบัติชอบทางกาย ทางวาจา จิตใจ โดยบำเพ็ญศีลวัตร ทานวัตร ภาวนาวัตร กำจัดอาสวกิเลส ความหลง ออกจากจิตใจนั้นหนะ พระพุทธเจ้าถือว่าเป็นผู้ประเสริฐ มันเป็นอย่างนั้น เป็นมนุษย์ที่ดี เรียกว่า มนุสฺสธมฺโม มีธรรมประจำจิตประจำใจ


    เพราะฉะนั้น ให้เราทั้งหลายได้พากันภูมิใจโดยเฉพาะปีนี้ เราก็บำเพ็ญ กองกาลมหากุศลเป็นต้นมา เรียกว่า ในพรรษานี้เป็นเวลา ๔๕ วัน บางคน ก็ได้รักษาศีลเป็นนิจ สร้างศีลวัตรก็เป็นนิจนั่นแหละ ๔๕ วัน งดจากการฆ่า การลัก การประพฤติผิดในกาม การพูดเท็จ การกินเหล้า


    บางคนก็ได้ทานวัตรแล้วทีนี้ สร้างทานเป็นประจำ คือ ให้ทาน ทุกวัน นั่น อานิสงส์มันก็ถึงใจ บางคนก็มีภาวนาวัตร แล้วทีนี้ ทำภาวนา ทุกคืน ไหว้พระสวดมนต์ นั่งหลับตาภาวนาพุทโธ นั่นแหละ


    ผู้มีศีลเป็นนิจ มีทานเป็นนิจ ภาวนาพุทโธเป็นนิจ สร้างจิตใจ ของตนให้สงบ เรียกว่าจิตพบพระพุทธศาสนา คือ จิตติดพระพุทธศาสนา จิตติดศีล จิตติดทาน จิตของพวกเราติดภาวนา ติดพระพุทธ ติดพระธรรม ติดพระสงฆ์แล้ว ติดทางที่เป็นบุญเป็นกุศลขึ้นนั่นแหละ ว่าอย่างนั้น มันก็เลยเป็นบุญเป็นกุศล


    เพราะฉะนั้น ทุกคนจงอย่าได้น้อยใจ ถ้าเข้ามาบำเพ็ญกุศลในทาง พระพุทธศาสนาแล้ว มันไม่ขาดทุนหรอก บุญกุศลมันก็ได้ ขออย่าได้ทำเล่น เท่านั้นแหละ ครั้นรักษาศีลจริงๆ คือรักษากาย รักษาวาจา ให้เรียบร้อย เว้นจากโทษทั้งห้า อานิสงส์มันก็ถึงใจ


    ทานก็เหมือนกัน ครั้นเราบริจาคทานเป็นประจำ ทานจริงๆ ไม่มี ความตระหนี่หวงแหน ไม่มีความเสียดาย ไม่ได้หวังวัตถุภายนอก ทานเพื่อประดับจิตใจของตน ในใจของตนรู้ นั่น อานิสงส์ของการบริจาค ทานมันก็ถึงใจ ถ้าเหลียวดูในใจของเราก็เห็นแล้ว อานิสงส์ทานที่ตน บริจาคนั่นหนะ อย่างให้ทานวันนี้ ใครทานน้อยก็รู้ว่าเจ้าของทานน้อย ใครทานมากก็รู้ตัวเจ้าของว่าทานมากต่างก็รู้กันทั้งนั้น ที่คนมาบริจาค


    การภาวนาก็โดยนัย ถ้าเราตั้งใจภาวนาพุทโธตามลมเข้าลมออก แล้ว พุทโธก็เอาไปตั้งอยู่ในใจจริงๆ ทำอะไรมันก็จริงขึ้นที่ใจ


    เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ให้อบรมใจ ให้เป็นใจที่จริงไม่ให้ ใจปลอม ถ้าใจปลอมแล้วมันปลอมไปหมด รักษาศีลมันก็เป็นศีลปลอม ให้ทานก็ทานปลอม ภาวนาพุทโธก็พุทโธปลอมๆ นั้นแหละ เข้าไปอยู่ ในจิตใจนั่นแหละ ถ้าเราไม่สามารถให้ใจเป็นบุญกุศลนั่นแหละ บุญกุศลมันก็เลยไม่เกิดขึ้นที่ใจ เหมือนกับที่เราเคยพบเคยเห็นนั่นแหละ


    ผู้ที่เคยบวชในพระพุทธศาสนาก็ดี เป็นนักปราชญ์ เป็นอาจารย์ นั่นแหละ ไปงานไหนก็ตาม ยกขันดอกไม้ขึ้นแล้วก็ อิมินา มะยังภันเต เห็นหน้าพระแล้วก็ มะยังภันเต ติสะระเณนะสะหะ โลดหละ แต่อานิสงส์ ศีลนั้นมันไม่ถึงใจ


    จะถึงอะไรเราก็เคยเห็นอยู่นี่ ครั้นออกจากหน้าพระมันก็ไปทำผิดศีล นั่นแหละ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดปดพูดเท็จ กินเหล้าเมาสุราแอ๋แอ้นอยู่นั่นแหละ ไม่รู้จักว่าอะไรเป็น ปาณา อทินนา กาเม มุสา สุรา นั่นหนะ


    ทานก็เหมือนกัน เอาแต่ยกขันข้าวขึ้น แล้วก็ อิมินา มะยังภันเต นั่นแหละ อยากไปพระนิพพานโน่นแหละ


    เราไปดูเวลาเขาทำบุญซิ เขาจะสร้างกฐินก็ดี จัดกองบวชกองอะไร ก็ดี เขาทำถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนาหรือไม่ ถ้าใจเป็นบุญแล้ว มันต้องทำให้ถูกต้อง ตามหลักพระพุทธศาสนา คือ ไม่เสียไปในทางที่ เป็นโลกๆ ไม่เสียไปในทางที่เป็นบาป มันเป็นอย่างนั้น


    อย่างองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ผู้บรมครู ผู้ใจท่านถึงพระศาสนา ผู้ทำทานถึงเป็นบุญนั่นแหละ อย่างตอน ท่านเป็นพระเวสสันดร ท่านทำทานกัณหา ชาลี ให้ตาพราหมณ์เฒ่า นั่นแหละ ทานมัทรีให้อินทพราหมณ์ นั่นได้ทำตามโลกาธิปไตยโดยเจตนา จึงมอบให้จริงๆ แหละ


    กัณหา ชาลี มอบให้พราหมณ์เฒ่าไปเลย นางมัทรี ก็มอบให้ อินทพราหมณ์ไปเลย ไม่ต้องว่า อิมินา มะยังภันเต อะไรนั่นหรอก อานิสงส์ มันจึงถึงใจเป็นการถางทางขึ้นพระสัมมาสัมโพธิญาณ ผลสุดท้ายอานิสงส์ ที่เจตนาดีมันก็เลยส่งผลต่อไปนั่นแหละ ได้สัมฤทธิ์ผลสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระพุทธเจ้า


    เพราะฉะนั้น ในฐานะพวกเราผู้เคารพ ผู้เลื่อมใส ผู้มีศรัทธาเชื่อมั่น ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าขอให้ตั้งใจ เวลาเรารักษาศีล ก็ให้ รักษาจริงๆ คือ รักษากาย วาจา ของตนให้เรียบร้อยตามหน้าที่ของตน ผู้เป็นพระก็รักษาศีลของพระ พูดถึงฆราวาสวินัย อุบาสกอุบาสิกาก็รักษาศีล ของฆราวาส ไม่ต้องก้าวก่ายกัน


    ศีลของฆราวาสเราก็รู้จักดีว่า ศีลห้า ศีลอุโบสถ นั่นแหละ ใครมีศรัทธา พอที่จะรักษาศีลห้า ก็รักษาให้มันถึงใจ อย่ารักษาเล่น เมื่อถึงวันพระ จะรักษาอุโบสถศีล ก็รักษาให้มันถึงใจ อย่าไปรู้จักแต่ชื่อมัน


    ส่วนพวกเรามันมาถึงนี่แล้ว มาเห็นแล้วเลยอุดมสมบูรณ์หมด รู้จักหมด กุฏิมีกี่หลังคา พระมีกี่องค์ ศาลาการเปรียญ พระพุทธรูป พระสถูปเจดีย์ เราสร้างขึ้นมีเท่าไร ไม่ต้องไปถามผู้อื่น


    อันบุญกุศลที่เราทำนี่ก็เหมือนกัน เราประพฤติปฏิบัตินี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันถึงใจก็ไม่ต้องถามใคร รู้จักว่าเจ้าของมีศีลบริสุทธิ์ รู้จักว่าตนของ ตนบริจาคทานการกุศล อานิสงส์ศีลถึงใจ รู้สึกว่าเจ้าของมีภาวนาพุทโธ อย่างถึงใจ พุทโธแบบผู้รู้ รู้ว่าตนเองนั้นจิตเป็นบุญกุศล หรือว่าจิต เป็นบาป นั่นมันเป็นอย่างงั้น


    เพราะฉะนั้น พวกเรามีพุทโธอยู่ที่ใจไหม มาถึงเราสงบกาย สงบวาจา สงบจิตใจ


    ส่วนผู้บ่มีศีล บ่มีทาน บ่มีภาวนา บ่มีคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ อยู่ในใจนั่นแหละ บ่รู้จักสถานที่ เขาเรียกกินเหล้าก็หันเป๋ เข้าไปเลย เขาไม่มีพุทโธ อานิสงส์ศีลบ่ถึงใจ อานิสงส์ทานไม่ถึงใจ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไม่เข้าไปตั้งอยู่ที่ใจ


    ส่วนผู้ปรารถนาอยู่ที่จิตใจ เมื่อจะเข้าวัดต้องสงบ ระงับ เหมือนอย่าง พวกเราท่านทั้งหลายนี้แหละ วันนี้ก็งดฆ่าสัตว์แล้วหละ งดลักทรัพย์ งดประพฤติผิดกาม งดพูดปด งดกินเหล้าแหละ


    เข้ามาทีแรกก็มาบำเพ็ญกองกาลมหากุศลตามสติกำลังศรัทธาของตน ไม่บกพร่อง เป็นอย่างนั้น


    อันนี้ขอให้ท่านทั้งหลายได้พากันภูมิใจว่า เราเป็นธรรมทายาทของ พระพุทธเจ้า คือ สร้างหัวใจให้เป็นธรรม เรียกว่า ธรรมทายาท พระพุทธเจ้า ท่านสอนอย่างไร ท่านสอนศีลวัตร เราก็ปฏิบัติศีลของพระพุทธเจ้าให้มันถึงใจ ท่านสอนทานวัตร ก็บริจาคทานการกุศล เหลียวเข้าไปดูในใจมันเห็น สิ่งของที่ตนบริจาคทานนั่นแหละ


    พระองค์ท่านสอนภาวนาวัตรก็หัดภาวนาพุทโธขับไล่ไสส่งอาสวกิเลส โลภ โกรธ หลง ออกจากจิตใจ ผลสุดท้ายอะไรมันก็เลย เกิดขึ้นมา สนฺติ ปรํ สุขํ นั่นความสงบมันก็เกิดขึ้นในใจ


    นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ ความสุขอื่นใดไม่ราบรื่นเหมือนกับความสุข อันเกิดจากจิตสงบ


    ถ้าอยากจิตใจสงบในสถานที่นี้ ก็หมายความว่า สงบด้วยจิตมีศีล สงบด้วยจิตเป็นสมาธิ สงบด้วยจิตเป็นปัญญา มันจึงจะไปฆ่ากิเลส โลภ โกรธ หลง ออกจากใจได้


    ครั้ง(ถ้า) ผู้ใดบ่มีศีล บ่มีสมาธิ บ่มีปัญญา นั่นก็บ่สงบแหละ วุ่นวาย ขัดข้อง นั่งก็เป็นทุกข์ นอนก็เป็นทุกข์ ได้ศีลก็เป็นทุกข์ บ่ได้ศีลก็เป็นทุกข์ วุ่นวายขัดข้อง อยู่ที่ไหนวุ่นวายขัดข้องที่นั่น ถ้าคนไม่ปฏิบัติตามหลัก พระพุทธศาสนา อยู่ในบ้านก็หนักบ้าน อยู่ในวัดก็หนักวัดแหละ


    คนบ่มีหลักธรรมประจำจิตประจำใจ อยู่ในกรมในกองก็หนักกรม หนักกอง อยู่ในเรือนชานก็หนักเรือนชานนั่นแหละ คนไม่มีหลัก พระพุทธศาสนานั่น


    ส่วนคนที่มีหลักพระพุทธศาสนา อยู่ที่ไหนเบาที่นั่น อยู่วัดก็เบาวัด อยู่ในบ้านก็เบาบ้าน อยู่ในเรือนในชานก็เบาเรือนเบาชาน อยู่ในสถานที่ไหน ก็เบาหมด


    เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าของพวกเรานี่ พระองค์ไปไหนเบาหมด ไปอยู่เมืองพาราณสีก็เบาหมดเมือง ไปอยู่เมืองราชคฤห์ ก็เบาหมดเมือง ขึ้นไปอยู่บนเขาคิชฌกูฏก็เบาหละ ไปอยู่ที่ไหนเบาที่นั่น อยู่เมืองสาวัตถอก สาวัตถีก็เบาหมด เออ เบาด้วยคุณงามความดีที่ท่านปฏิบัติ


    ส่วนพระเทวทัตนั้นหนัก อยู่ที่ไหนก็หนัก อยู่เขาคิชฌกูชก็จนว่าอ่อน เอ้งเต้งนั่นแหละ อยู่เมืองราชคฤห์ก็อ่อนเอ้งเต้ง อยู่เมืองสาวัตถีแผ่นดิน จึงสูบไปตกมหาอเวจีนรก จนทุกวันนี้ก็เงยคอบ่ทันขึ้น นางจิญจมานวิกาโน่น ก็เหมือนกัน อยู่ที่ไหนหนักที่นั่น อันคนชั่วนั้นหนะ เพราะว่าคนไม่มีหลัก พระพุทธศาสนาประจำจิตประจำใจ


    เพราะฉะนั้น เราจึงจึงอย่าพูดกันแต่ปาก พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิขอถึง พระพุทธเจ้า เราต้องศึกษาเรื่องของพระพุทธเจ้า เพิ่นดีอย่างไร เพิ่นเคย รักษาศีล เพิ่นเคยให้ทาน เพิ่นเคยภาวนา


    ถ้าเราอยากถึงพระองค์จริงๆ เราก็หัดเฮ็ดศีลประจำนั่นแหละ รักษาศีล ให้มันเกิดขึ้น บริจาคทานการกุศลให้มันเต็มขึ้นที่ดวงใจของเรา ไม่ใช่ ไปดูคนอื่น หัดภาวนาพุทโธ ให้พุทโธเข้าไปตั้งอยู่ที่ใจจริงๆ มันจึงเบา


    เจ้าของก็เบาละทีนี้ มันก็เบาซีจึงออกมาได้ ถ้าไม่เบาเราจะมาได้หรือ พวกเราท่านทั้งหลายก็ได้ชื่อว่าเบาแล้วหละ เบาจากกิเลส มันจึงจะ ออกมาวัดได้


    ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันยังมีอยู่ แต่เราทิ้งได้ เมื่อถึง วันพระนั้นเราสละทิ้งได้ เอาแต่คุณงามความดี


    แล้วคุณงามความดีพาเรามาบำเพ็ญกองกาลมหากุศล แสวงหากำไร นี้แหละ ตั้งใจฝึกหัด ตั้งใจดัดแต่ง ตั้งใจแต่งเจ้าของ ให้มันถูกต้อง ตามอริยประเพณี ตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั่นแหละ มันจึงกลาย เป็นคนดี


    ผู้เป็นพระ ก็เป็นพระดีแล้ว ดีด้วยศีล ดีด้วยสมาธิ ดีด้วยปัญญา ผู้เป็นทายกทายิกา ก็เป็นทายกทายิกาที่ดี เออ คือยกศีล ยกทาน ยกภาวนา เข้าสู่หัวใจ ยกโลภ โกรธ หลง ออกจากจิตจากใจของตนแล้ว ก็เป็นคนเบาหละทีนี้ แสงสว่างมันก็เลยผุดขึ้น นั่น


    เกิดขึ้นที่ไหน มันก็เกิดขึ้นที่ใจของตน


    ผลสุดท้าย ธรรมะที่เราปฏิบัติจึงจะไปสอนเจ้าของได้ นั่งก็สอน เจ้าของแหละ รู้จักระเบียบ ที่ไหนมันผิดก็รู้ ไม่ทำ ไม่พูด ไม่กิน ไม่ดื่ม นอนก็สอนเจ้าของ นอนมีระเบียบ เราไม่นอนตามกิเลส นอนตามคำสอน ของพระพุทธเจ้า คือ นอนตามพุทโธนั่นแหละ เวลานอนก็หายใจเข้า ก็พุท หายใจออกก็โธ จนมันหลับนั่นแหละ เรียกว่า นอนกับธรรม


    อันคนนอนตามกิเลส ก็มือก่ายหน้าผาก แล้วคิดแล้วทีนี้ กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นไฟ คิดไปตามอาสวกิเลสของตน ผลสุดท้าย รุ่งเช้ามาก็ไปกันใหญ่ เลย ไปตามกิเลสเหงื่อแตกเหงื่อแตนเลย ไฟเผาเจ้าของออกมาจากข้างใน มันมาจากไหน ก็มาจากดวงใจของตน


    ผู้ที่จะสร้างบุญสร้างกุศลก็เหมือนกันนั่นแหละ มันมาจากใจนั่นแหละ คิดไว้เสียก่อน เรียกว่า คิดในทางที่ดี เมื่อคิดว่าพวกเราจะต้องเป็นผู้เสียสละ วันนี้จะรักษาศีลห้า วันพระจะให้ทานการกุศล จะนั่งหลับตา ภาวนา พุทโธ ค่ำมาจะไปสดับตรับฟังพระสัทธรรมเทศนา


    เท่ากับว่ามาตามความคิด คือ ว่าคิดในทางที่ดี ผลสุดท้ายความคิดนี้พา กระทำ ก็ทำไปทางที่ดี คือ รักษาศีล ให้ทาน ภาวนา


    อาตมาที่มาบวชในพระพุทธศาสนานี่ก็เหมือนกัน มาด้วยความคิดเหมือนกัน บวชแล้วก็คิดเอา บวชแล้วจะไม่สึก ถ้าอุปัชฌาย์ไม่พาสึก ก็เลยอยู่ตาม ความคิดของตนนั้น อุปัชฌาย์ไม่พาสึกสักที เลยไม่ขอสึกละทีนี้


    เอาไปเอามาอุปัชฌาย์พาตายในผ้าเหลือง ทีนี้คิดอีกทีเราจะตายเหมือน กับอุปัชฌาย์ ตายคาผ้าเหลืองเหมือนกันนั่น แต่มันจะเป็นอย่างไร ก็ คอยฟังดูก็แล้วกัน


    เชื่ออุปัชฌาย์ไม่พาสึก ก็ผ่านไปแล้วหละ เพิ่นบ่สึก เพิ่นตายแล้ว


    มาคิดอีกตอนจะตายนั่นแหละ เราจะตายเหมือนอุปัชฌาย์ คือ ตายคา ผ้าเหลืองเลย นี่ผลสุดท้ายมันจะเป็นอย่างไรก็ขอให้ญาติโยมคอยฟัง คอยดูไปว่าจะตายอย่างไร ไม่ตายง่ายหรอก


    มาจากความคิดทั้งนั้นแหละ


    เพราะฉะนั้น จึงว่าขอให้คิดดี อย่าไปคิดชั่ว ครั้นถ้าคิดชั่ว คือ คิด ด้วยจิตอกุศลนั่นแหละ มันเป็นอย่างนั้น อันนี้ฉันใด คุณงามความดี ที่เราท่านทั้งหลายประพฤติปฏิบัติมันไม่ไหลไปไหนดอก ขอให้พากัน เข้าใจ...


    ...ให้พากันทำหน้าที่ของตน เป็นผู้เฒ่าก็ทำหน้าที่ของผู้เฒ่า ทำตัว ให้เป็นตัวอย่างแก่เขา ผู้เป็นพ่อก็เป็นพ่อตัวอย่าง ผู้เป็นแม่ก็ให้เป็นแม่ ตัวอย่าง ลูกเสือมันก็ร้ายเหมือนพ่อมัน... เอาพ่อของมันเป็นครู


    พ่อแม่อยู่ในศีลในธรรม ทำบุญสุนทาน ลูกหลานก็ทำตาม พอเรา ล้มหายตายไป ทีนี้เขาก็คิดถึงละซิ พอตายไปลูกหลานเขาคิดถึง เขาก็ ทำบุญ อุทิศผลบุญไปให้ซิ


    ถ้าไม่ทำให้เขาเห็นเป็นตัวอย่าง ตายแล้วเขาก็ไม่ทำบุญกุศลอุทิศ ไปให้ซิ เพราะตัวไม่เคยทำเป็นตัวอย่างให้เขาเห็น เขาก็ไม่ส่งอานิสงส์ ให้ เป็นอย่างนั้นแหละ ตายแล้วก็ตายเฉยๆ นั่นแหละ กลายเป็นผีอดอยาก ดอกไม้ธูปเทียนจะไหว้พระก็ไม่มี ลูกหลานเขาเอาแต่กระดูกมาทิ้งไว้ ที่วัดเฉยๆ ไม่มีอุทิศบุญกุศลไปให้...


    นี่ให้ระวัง พวกเราที่นั่งอยู่ที่นี่ก็เหมือนกันนั่นแหละ ให้ระวังให้ดี ต้องเร่ง ทำให้เป็นตัวอย่าง ทำตัวอย่างที่ดี ได้ลูกได้หลานมาก็สอนเขา ให้มันรู้จักศาสนา ให้มันรู้จักบาปบุญคุณโทษ...


    (...เทปหน้า ๑ ขาดหายไปเพียงเท่านี้


    เทปหน้า ๒ เริ่มต้นฟังไม่ชัดพอจับความเลาๆ ว่า คนทำชั่ว ก็คิดชั่ว แล้วก็ทำชั่ว แล้วตายด้วยความชั่วที่ตนก่อขึ้นนั้น...)


    ...คนเรามันคิด เรื่องความคิดนั่นแหละ มันตายเพราะความคิด คนชั่วมันก็คิดชั่ว มันจึงได้ทำชั่ว ผู้ทำดีก็คิดดี...


    อย่างพระพุทธเจ้าของเรา พระองค์ก็เริ่มต้นด้วยการคิดดี คือ คิดอยาก เป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็แสวงหามรรคผล มรรค ก็คือ การปฏิบัติ แสวงหาอยู่ ๖ ปี นั่นแหละจึงหาถูกทางจึงได้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ คิดเสียก่อน


    พระอรหันต์ขีณาสพก็เหมือนกัน ท่านคิดเสียก่อน เมื่อท่านฟังคำสอน ของพระพุทธเจ้า คือศีล คือสมาธิ คือปัญญา แล้วก็คิดซีทีนี้ สร้างจิตใจ ให้เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ฆ่ากิเลส โลภ โกรธ หลง ออกไป ท่านก็เลยหมดกิเลส เป็นพระอรหันต์ ไม่เห็นหรือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหามานะ อัสสชิ ๕ พระองค์นั่นแหละ


    ครั้งแรกก็คิดขึ้นเหมือนกันนั่นแหละ คิดว่าพระพุทธเจ้าจะเลิก(ละความเพียร) อยู่ไปคงไม่ได้ตรัสรู้หรอก ว่ายังงั้น พระองค์กลับมากินข้าวคืนแล้ว ว่าแล้ว พวกก็หนีไปอยู่ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน โน่นแหละ


    พระพุทธเจ้าครั้นตรัสรู้แล้ว ก็คิดเมตตาสงสาร แล้วก็ไปโปรดไปเทศน์ โปรด ปัญจวัคคีย์ โดยฟังธรรมแล้วก็ได้ดวงตาเห็นธรรม


    พระโกณฑัญญะก็เลยเห็นธรรมก่อนหมู่ ก็ว่า อญฺญาวตโก โกณฺทญฺโญ นั่นสำเร็จเป็นพระอรหันต์ โกณฑัญญะพราหมณ์ เป็นลูกศิษย์องค์แรก ของพระพุทธเจ้า


    อัญญาโกณฑัญญะ ก็เลยเป็นพระอรหันต์ก่อนหมู่ที่สุดในโลกนี้แหละ เป็นลูกศิษย์องค์แรกของพระพุทธองค์ ผู้ต่อมาก็ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ อัสสชิ ก็ได้สำเร็จอรหันต์ตามภายหลัง เป็นยั้งนั้นหรอก เพราะความเชื่อ นี่แหละ


    เพราะฉะนั้นให้พวกเราปลูกศรัทธาความเชื่อลงไป อย่าไปเชื่อกับแต่กิเลส หลาย แต่นี่ไปหาตาย ก็พยายามอบรมให้เชื่อพระพุทธเจ้า สิ่งใดท่านห้าม ก็ละซะ สิ่งที่ไม่ดีนั่นล่ะ ความโลภ โกรธ หลง นั่นแหละ


    ความโลภก็ให้ละ ความโกรธก็ให้ละ ความหลงก็ให้ละ อย่านำเอาไปฮอด (ถึง)วันตาย ให้ทิ้งเสียก่อนนี่แหละ ครั้นจะตายให้ตายด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ด้วยศีลด้วยธรรม ด้วยภาวนา ให้ตั้งจิตให้เป็นกาลกุศล คิด


    พอตายไปทีนี้ละก็คออ่อน พระสวด กุศลา ธมฺมา อกุศลา ธมฺมา อพยากตา ธมฺมา นั่นมันว่าแต่ชื่อเฉยๆ ให้เราสวด กุศลาให้ตัวเจ้าของ มาวันนี้ก็เรียกว่า สวดกุศลาใส่ตัวเองซะเดี๋ยวนี้


    ศีล ก็เป็นกุศลาธัมมา ทานก็เป็นกุศลาธัมมา ภาวนาพุทโธ ก็เป็นกุศลาธัมมา ก็เหมือนกันนั่นแหละ ผู้ใดรักษาศีลบริสุทธิ์ทุกวัน ให้ทาน ทุกวัน ภาวนาพุทโธ ก็สร้างกุศลาธัมมาใส่ตัวเป็นประจำ ทุกขณะลมหายใจ นั่นแหละ


    ผู้ใดบ่มีศีลอันนี้แหละ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดโกหก กินเหล้าทุกวัน ก็สร้างอกุศลใส่ตนทุกวันนั่นแหละ มันเป็นอย่างนั้นดอก ทานก็บ่ทำสักเทือ สร้างแต่อกุศลาธัมมา ใจมันก็โลภ โกรธ หลง ขึ้นไปหละ มันเป็นอย่างนั้น


    พอเวลาตายแล้ว จะนิมนต์พระไปสักร้อยวัดให้สวดกุศลาธัมมา อกุศลาธัมมา อพยากตาธัมมา หมดวันหมดคืน นั่น อยากจะไปสวรรค์ ด้วยคำสวดของพระไม่ได้หรอก


    ให้เราละเท่านั้นแหละ ตายปุ๊บก็ไปทุคติปั๊บ ไอ้คนชั่วมันไม่ไปคอยฟัง สวดกุศลาอยู่นั่นดอก


    อันคนใจบุญก็เหมือนกัน ตายปุ๊บก็ไปสู่สุคติทันที ไม่คอยมาฟัง กุศลาธัมมากับพระหรอก มันเป็นยังงั้น


    เมื่ออาตมาตาย ไม่ต้องนิมนต์พระสวดให้เมื่อยหรอก มีเครื่องไทยทาน ก็ถวายท่านเลย ไม่ต้องสวดกุศลาธัมมาอะไรหรอก ไม่ต้องให้สวด พระอภิธรรม อารามณาปัจจโย ...อะไรก็ไม่ต้องว่า


    อาตมาสวดใส่ไว้แล้ว กุศลาธัมมาก็สวดใส่ทุกวัน อกุศลาธัมมา ก็สละ ออกทุกวัน อพยากตาธัมมาก็ไม่ให้มันติด บุญก็ไม่ให้มันติด บาปก็ไม่ให้ มันเกิด ทำอยู่ทุกวันนี้ เป็นยังงั้น มันคงไม่เป็นพระโง่เท่าใดดอก


    เพราะฉะนั้น ถ้าต้องการบุญการกุศลอะไรก็ให้ทำเอาอย่าไปประมาท ต่างเจ้าของต่างตัวใครตัวมัน ทำให้มันดีแล้วมันก็ค่อยดีดอก นี่ก็สอนล่ะ กุลบุตรกุลธิดาของใครของมัน สอนให้เขารู้จักคุณพ่อคุณแม่ แล้วคุณครูบา อาจารย์อะไรสารพัดนั่นแหละ


    ให้เขารู้จักคุณของพระพุทธศาสนา เรื่องศีล เรื่องทาน เรื่องภาวนา อะไรก็ต้องหัดเขา ให้เขารู้จักบาป ให้เขารู้จักบุญ


    ครั้นบ่สอนลูกสอนหลาน ลูกหลานเขาก็ไม่รู้ เราตายไปเขาก็ไม่รู้จักทำบุญ ทำกุศลอุทิศไปให้ ตายไปเฉยๆ มันเป็นอย่างนั้น จึงให้สอนเอา ลูกใครหลานมัน ถ้าเราสอนเขาไม่ได้แล้วละก็ ตายทิ้งเฉยๆ อย่างนั้นแหละ


    ผู้อาตมานี้ก็เหมือนกัน เป็นหัวหน้าหมู่คณะ ก็ต้องสอน สอนเรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องภาวนา เรื่องหลักพระพุทธศาสนาให้มันถูกต้อง ใครเขามาหา ก็สอนเขาแต่ในทางที่ดี แต่ว่าใครเขาจะเอาหรือไม่นั้น เป็นหน้าที่ของ ผู้ฟังนั้นแหละ


    จะรักษาศีลให้มันบริสุทธิ์ไหม จะบำเพ็ญสมาธิให้มันมั่นไหม จะบำเพ็ญ ปัญญาให้มันรู้หรือไม่ จะดูตัวของตัวหรือไม่ จะเชื่อพระพุทธเจ้าหรือเชื่อ กิเลสมัน เป็นของสำคัญ


    ผู้ใดเชื่อมั่นก็มีความสุขไปเรื่อยๆ แหละ เกิดปัญญารู้จากเจ้าของได้เอง ไม่ยอมให้กิเลสมันสอน นั่นเป็นอย่างนั้น


    รับรองเอาแต่ของพระพุทธเจ้ามากล่าว ไม่ใช่เอาแต่กิเลสมาสอน เอาธรรม ของพระพุทธเจ้ามาเล่าสู่กันฟัง เมื่อมันของดีก็นำมาพูดให้ฟัง เอาแต่กกมาเล่า เอาแต่เหง้ามาบอกให้ฟัง อย่าไปเอาทางอื่น


    ใครยังไม่มีศีลก็ทำให้มันมีศีล ใครไม่มีสมาธิก็อบรมให้เป็นสมาธิ ใครยัง ไม่เกิดปัญญาก็สร้างขึ้นเอา ฝึกให้มันมีปัญญาตามแนวทางพระพุทธศาสนา ให้มันเจริญขึ้นในตัวของเจ้าของ


    แล้วช่วยไปสอนคนอื่น ช่วยสอนกุลบุตรกุลธิดาของใครของมันนั่นแหละ ให้มันเจริญๆ เถิด ต้องเชื่อพระพุทธศาสนา อันนี้ทุกคนคงจะเข้าใจ


    พุทโธ- ผู้ตื่นนี่แหละ คือ ตื่นจากความชั่ว ถ้าไม่ตื่นพวกเราก็ออกมา ไม่ได้หรอก เห็นไหมเขากางภาพยนตร์ ๒ จอ อยู่ทางนั้น รำวงก็มี จอหนังตั้งขาวอยู่นั่น ถ้าจิตไม่ได้รับการฝึก มันก็ไปทางนั้นแหละ


    จึงว่าต้องอบรมใจของตนให้มันเป็นบุญเป็นกุศล บ่คิด บ่ติด เมื่อมา ถึง ศาลาพันห้อง คือ สมมติว่าศาลาหลังนี้มันเป็นศาลาพันห้อง


    อาตมาได้นำไปพิจารณาดูอยู่ ๒-๓ ปี จึงเจอได้ว่า “ครั้นซิไปศาลาพันห้อง ก็ติดผู้สาวสองคนกอดคอไว้ คาอยู่นั่นเลย ไปบ่ได้ ครั้นสาง ผู้สาวสองคน แล้วก็ติดผู้สาวหกคนอีก เพิ่นว่าไปบ่ได้แล้ว ออกจากผู้สาวหกคน แล้วก็ไป ติดกองเงินกองคำ แล้วก็ป่ายกองเงินกองคำนั่นแหละ จังซิฮอดศาลาพันห้อง แล้วจึงบ่อึดบ่อยากแล้ว เนรมิตขึ้นได้อะไรสารพัด”


    ให้ไปภาวนาดูว่ามันอะไร ผู้สาวสองคน ผู้สาวหกคน กองเงินกองคำ เพิ่นไม่แปลให้ฟัง อันนี้ก็จะแปลให้ฟังดู ว่ามันจะถูกไหม


    คำว่า ผู้สาวสองคนนั่น ได้แก่อีหยังล่ะ คืออย่างนี้ อย่างวันนี้วันพระ ก็ดี พระเจ้าพระสงฆ์ท่านสอนให้สวดมนต์ไหว้พระ ตั้งใจภาวนา ทำสมาธิ อบรมจิตใจให้สงบนั่นแหละ นั่นคือ มาศาลาพันห้อง


    ผู้สาวสองคน ที่กอดคอเราไว้ ก็คือ สาด(เสื่อ) กับหมอน มันดึงคอ อยู่นั่นแหละ ให้นอนให้ขี้เกียจ ไม่ยอมลุกขึ้นมาสวดมนต์ภาวนา ก็ตัว ขี้เกียจขี้คร้านนั่นแหละ


    พ้นจากผู้สาวสองคน ก็มาติด ผู้สาวหกคน คือ ติดรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ ติดรูปนอกเสียงนอก โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ภายนอก วุ่นวาย ใจก็เลยไม่เป็นสมาธิ


    ท่านว่าถ้าผู้ใดป่าย(ข้าม) จากมันมาได้ ก็มาคา(ติด)กองเงินกองคำ ก็หมายถึงอติเรกลาภ คือทรัพย์สินเงินทองอะไรทุกอย่างนั้นแหละ ใครมียศ มีศักดิ์ก็ติดยศตามบรรดาศักดิ์ พอได้ยศขึ้นมา เป็นพระครู เจ้าฟ้า เจ้าคุณ ก็ติดกันแล้ว จะทำสมาธิภาวนา ธุดงควัตรอะไรต่างๆ เพื่อให้หลุดพ้น ก็ขัดข้อง


    สำหรับผู้ที่พ้นไปแล้วเหมือนกับหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น นั่น ท่านข้ามพ้น ไปได้แล้ว เข้าสู่ศาลาพันห้อง คือ เข้าสู่ กายานคร แล้วให้พิจารณาจนรู้จัก หมดสัญญา สังขาร วิญญาณ รู้แล้วจะได้ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เช่นนี้ จิตมันก็เลยเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ห่างเหิน ไปจากโลภ โกรธ หลง นั่นแหละจึงว่า ศาลาพันห้อง


    ถึงบรมสุขที่ นตถิ สนติ ปรมํ สุขํ มันมีความสุข


    อย่างหลวงปู่มั่น ท่านถึงศาลาพันห้องแล้ว ท่านไม่อดไม่อยาก คนเอา ของไปให้ท่าน ทรัพย์สินต่างๆ ท่านไม่เอาไว้ดอก ดูตอนท่านหมดลม จนถึงวันเผา ได้ยินเท่าไร ๕๖ ล้าน นั่น ไม่ใช่น้อยๆ คนไปบริจาค ทำบุญ สุนทานกับท่าน นั่นแหละ คนถึงศาลาพันห้อง ห้องกายมันก็ไม่มีสุด ห้องวาจามันก็เต็มแล้ว ห้องจิตใจมันก็บ่มีโลภ บ่มีโกรธ บ่มีหลง นั้นแหละจึงว่าถึงศาลาพันห้อง


    เพราะฉะนั้น พวกเราทั้งหลาย ผู้นักปฏิบัติพระพุทธศาสนา ไม่ว่าพระ ไม่ว่าโยม ครั้นจะปฏิบัติแล้วอย่าไปติดมันหลาย สาดกับหมอนนั่นหนะ


    ได้เวลาก็ตั้งใจภาวนา ก็ให้ตั้งใจทำกันสักหน่อย ตั้งจิตใจว่าจะเอา ๑๐ นาที อย่างนี้นะ สูดลมปัสสาสะเข้าไป ดูลมเข้าลมออก อบรมจิตใจ ให้มันได้ ๑๐ นาที ตามที่ตั้งใจไว้


    ทำให้ได้ทุกวันๆ เอาวันละ ๑๐ นาที หรือ ๑๕ นาที แล้วแต่ใครจะ กำหนดเอา ฝึกจิตใจเอายังงี้ ทำทุกวัน อย่าไปคิดถึงเสื่อถึงหมอนให้มากนัก มันจึงจะถึงศาลาพันห้องได้


    มาถึงรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ภายนอก ก็พยายาม อย่าไปติดมัน ก็ต้องละเหมือนเก่านั่นแหละ เรื่องทรัพย์สินเงินทอง แก้วแหวน ก็อย่าไปติดมัน ยศถาบรรดาศักดิ์ก็เหมือนกัน ให้พบ หลักธรรมะ สร้างจิตใจให้มันเจริญขึ้นในพระพุทธศาสนา


    ชื่อว่า ผู้ถึงศาลาพันห้อง ใจเป็นศีล ใจเป็นสมาธิ ใจเป็นปัญญา ใจเป็น บุญเป็นกุศลขึ้น มันก็ไม่ขัดไม่ข้องแล้วหละ นั่น มันเป็นอย่างนั้น


    เพราะฉะนั้น พวกเราเป็นนักปฏิบัติพระพุทธศาสนาให้ปฏิบัติตัวใคร ตัวมันนั่นแหละ อาตมาก็ปฏิบัติตัวอาตมาซี ไม่สามารถปฏิบัติแทน พ่อออกแม่ออกดอก เห็นมาทำบุญทุกวันๆ ร้อยวันพันวัน แล้วมาขอบุญ ขอกุศลด้วย เราจะต้องบำเพ็ญศีล อบรมสมาธิ อบรมปัญญาให้เกิดขึ้นล่ะ มันเป็นอย่างนั้น ทำให้มันดี


    อาตมาเองก็มีแนวทางอยู่ อะไรละ ก็ ธรรมทาน ที่ว่า สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ การให้ธรรมเป็นทานชนะการให้ทั้งปวง นั่น


    ท่านทั้งหลายเป็นผู้รับทานของอาตมา มันหลายคนนะ อาตมาให้ธรรมทาน พวกท่านทั้งหลายเป็นผู้รับ รับแล้วก็นำไปประพฤติปฏิบัติแล้ว อานิสงส์มันก็เกิด ขึ้นอย่างนี้แหละ เหมือนกับเราต่างคนต่างทำนาของตนเอง


    ครั้นมาได้ยินได้ฟังแล้วก็นำไปพิจารณา นำไปปฏิบัติ ฝึกหัด รักษาศีล ให้ทาน ทำสมาธิภาวนา แล้วก็เลยติดในบุญในกุศล อาตมาก็ได้ อานิสงส์ด้วยนั่นแหละ มันเป็นยังงั้น


    อุปมาเหมือนกับเครื่องไทยทานของท่านทายกทายิกาที่นำมาถวายพระ หรือที่อาตมาไปบิณฑบาตมาฉันทุกวันนั่น อาตมาก็เป็นผู้รับทาน เป็นผู้รับทาน ของพวกท่านทั้งหลาย มันเป็นยังงั้น มันต่างคนต่างให้ทานกัน


    วันนี้อาตมาให้ธรรมทานแก่พวกญาติโยม แล้วก็ให้นำไปประพฤติ ปฏิบัติ ฝึกหัด ไปดัดตนเสียก่อน กาย วาจา จิตใจ ของใครของมัน ให้มันเจริญขึ้นนั่นแหละ ในทางพระพุทธศาสนา แล้วความสุขมันก็เกิดขึ้น


    ปฏิบัติศาสนาก็หมายความว่า ปฏิบัติให้ความสุขมันเกิดขึ้น คือ สร้าง ความดีให้มันเกิดขึ้นในตัวใครตัวมันนั่นแหละ


    ถ้ามันดีแล้วเราจะได้ละชั่วดอก ดีแล้วเจ้าของก็รู้ว่าตัวดี และผู้อื่น ก็มองเห็นว่าเราดี มันจึงจะถูก มันเป็นอย่างนั้น


    อย่างพระเทวทัต นั่น ตัวไม่ดีแต่คนอื่นยกย่องว่าตัวดี ไปโกหก พระเจ้าอชาติศัตรู จนฆ่าพ่อตัวเอง ต้องบาปตกนรกก็เพราะว่าไปหลงคบ คนชั่วนั่นแหละ


    ท่านจึงสอนว่า คบคนดีเป็นศรีแก่ตัว คบคนชั่วอปราชัย มันเป็นอย่างนั้นน่ะ


    ให้คบคนดี คนดีก็คือคนมีศีลธรรม มีภาวนานั่นแหละ พระดีก็พระมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา จึงให้พากันสนใจในหลักพระพุทธศาสนา


    คนงามก็เหมือนกัน งามศีล งามธรรม งามภาวนา คนขี้ล่าย(คนไม่ดี) ก็คือ คนไม่มีศีล ไม่มีทาน ไม่มีภาวนา นั่นมันเป็นอย่างนั้นหรอก


    เห็นบ่ อาตมาคนขี้ร้าย(ขี้ริ้วขี้เหร่) คนก็ยังมาไหว้ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ก็มากันมาก ทีละ ๕ คัน ๖ คันรถ พากันมา สาดเสื่อหมด เป็นยังงั้นซี ใครมาก็จะมาขอฟังเทศน์ เขามัก(ชอบ) เทศน์เด คนมาทุกวัน วันอาทิตย์ วันเสาร์ยิ่งมาก จนออกจากวัดไปไหนไม่ได้เลย ตอนนี้ก็ใกล้จะออกพรรษา ใครก็มา ใครก็มาซิ มันเป็นยังงั้น


    มาก็ดีได้ธรรมทาน ได้ให้ธรรมเป็นทาน… ใกล้จะออกพรรษาแล้วยังเหลือ อีกเดือนเดียวเท่านั้นแหละจะออกพรรษา


    ออกพรรษาตามกาลตามสมัยเฉยๆ ดอก พอออกพรรษาทีนี้ ก็ทอดผ้าป่า ประจำปีเหมือนทุกปีนั่นแหละ ปีนี้ก็วันที่ ๒ ตุลาคม ใครมีศรัทธา ก็มาทอด มาสมทบทุนสร้างอุโบสถ ยังขาดเงินหลาย สร้างยังบ่เสร็จ เลย งบประมาณไว้ยี่สิบหมื่น


    แล้วก็วันที่ ๓ ก็จะมีกฐิน ก็จะมาทอดวันที่ ๓ ต่อกันเลย


    วันที่ ๒ ก็เป็นวันพระใช่ไหม ทอดผ้าป่าประจำปี ส่วนวันที่ ๓ ก็กฐิน คณะจากสกลนคร ก็จะมาทอดต่อกันเลย ต่างคนต่างมาสร้างกุศลกันไว้


    อันนี้ก็ในฐานะพวกเราเป็นเจ้าของวัด ให้จื่อจำนำไว้ เข้าใจแล้วก็บ่ให้ยาก บ่ให้ซา (เบื่อหน่าย) อะไรหรอก เรื่องกฐินก็เช่นกัน เป็นกฐินแบบง่ายๆตลอด บ่ห่วงเรื่องเงินเรื่องหยังดอก ถึงวันนั้นก็เอามาถวายเลย เขานิมนต์เราไว้ตั้งแต่ อยู่บ้านเขานั่นแหละ เอาแบบสบายๆเลย


    ถ้ามันถูกใจถูกจริตก็มากันเลย เข้ามานั่งให้สบาย สร้างกฐินใน เลย ก็พากันสร้างกฐินในแหละวันนั้น คือ สร้างกาย สร้างวาจา สร้างจิตใจ เอาความดีออกต้อนรับ


    ปีนี้อาจคนมากอยู่สักหน่อย ตอนออกพรรษานั่นได้ยินว่า พวกเขาจะมา กันมาก พวกเราอย่าได้คิดหนักจิตหนักใจไปเลย มีศรัทธงศรัทธาอะไร ก็ให้หัด จึงต้องหัดจิตหัดใจให้เป็นบุญ แล้วก็เอาบุญต้อนรับเขา อย่าไปเอา บาปต้อนรับเขาเท่านั้นแหละ เขาก็ภูมิใจหรอก


    …เราต้องยิ้มแย้มแจ่มใส เอาบุญเอากุศลที่มีในจิตใจนั่นแหละ ต้อนรับ มันเป็นอย่างงั้น เขาเรียกว่าสร้างขึ้นในใจ คนเขาก็อยากมาเห็นกันละ เราก็มา หัดเป็นพระกัน พ่อออกก็เป็นพระ แม่ออกก็มีใจเป็นพระ บ่ต้องโกนหัวบวชก็เป็น พระได้ เป็นพระอยู่ที่ใจ จิตใจมันเป็นพระ สร้างให้อุดมสมบูรณ์ ให้มันเกิดให้มันมี ขึ้น นั่นแหละหลักพระพุทธศาสนา มันเป็นอย่างนั้น


    ให้ท่านทั้งหลายนำไปใคร่ครวญพิจารณา ที่ใดมันบกพร่อง มันยัง ไม่ถูกยังไม่มีในเจ้าของก็ต้องฝึกหัดทำให้เกิดให้มี เอาแต่สิ่งที่ดีๆนั้นนะ


    ให้ตั้งจิตตั้งใจ มันไม่ยากเลย รักษาศีล ให้ทาน ภาวนา อบรมสมาธิ อบรมปัญญา ให้มันเกิดขึ้น อย่าไปเชื่อกิเลสภายในใจเจ้าของเท่านั้น ครั้นไปเชื่อกิเลสมันก็บ่เป็นหยังแหลว ศีลมันก็บ่เป็น สมาธิมันก็บ่มั่น ปัญญามันก็บ่รู้ มันก็บ่เกิดซิ


    ฉะนั้น จึงของฝากญาติโยมทั้งหลาย นำไปพิจารณาดูจะเว้าไปหลาย มันก็ยาวไปซื่อๆ ดอก ก็พูดซ้ำซากแบบเก่าๆนั่นแหละ เว้ามาแต่ต้น จนอวสาน ฝนตกก็ปานนั้น หวังว่าจะเป็นคติเตือนใจแก่พวกท่าน ทั้งหลายไม่มากก็น้อย ฟังแล้วก็ให้มี โยนิโส มนสิการนำไปใคร่ครวญ แล้วนำไปปฏิบัติให้เป็นบุญเป็นกุศลยิ่งๆขึ้นไป


    (จบกัณฑ์ที่ ๖)

    คัดลอกจาก ประตูธรรม
    http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/misc/lp-tue-06.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2010

แชร์หน้านี้

Loading...