อนุโมทนา สาธุ ในมหาบารมีพระโพธิสัตว์กวนอิม

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย happyokay, 18 กุมภาพันธ์ 2014.

  1. happyokay

    happyokay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +447
    [​IMG]
    ประวัติบ้านสนทนาธรรมภวันตุเต กับพระโพธิสัตว์กวนอิม
    สำหรับประวัติความเป็นมาของชื่อ บ้านสนทนาธรรมภวันตุเตนั้น เรื่องนี้อาจารย์ยายเคยเล่าให้ฟัง แต่สิ่งที่เล่าให้ฟังนั้น เมื่อทบทวนดูแล้วล้วนแต่เป็สิ่งมหัศจรรย์ทั้งนั้นเลย ก่อนที่ผมจะเขียนบันทึกเรื่องนี้ ผมได้ขออนุญาติอาจารย์ยาย ท่านเลยบอกว่า เรื่องนี้ ให้ชื่อเรื่องว่า “อาจารย์ยายโม้ให้ฟังก็แล้วกัน” ผมได้ถามอาจารย์ยายว่า”ทำไมต้องบอกว่าโม้ให้ฟังละครับ” ท่านตอบว่า”เพราะถ้าไม่โม้คนอ่านเค้าจะสนุกเรอะ” คำตอบก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้น เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่อาจารย์ยายโม้ให้ฟังก็แล้วกันนะครับ อิอิ^^
    ขอย้อนเวลานับถอยหลังไปอีกสิบกว่าปี ครั้งนั้นอาจารย์ยายยังคงไปทำสมาธิ ภาวนา ที่วัดท่านพ่ออยู่เป็นปกติ ซึ่งวัดท่านพ่อเป็นวัดป่า สถานที่แห่งนี้มีความสงบร่มเย็น โดยปกติแล้วนอกเหนือจากอาจารย์ยายก็จะมีฆาราวาสคนอื่นๆอีกหลายคนที่เป็นลูกศิษย์ท่านพ่อ ที่เข้ามาภาวนาอยู่อย่างนี้เป็นประจำ ซึ่งหลังจากที่ท่านพ่อได้มรณภาพไปแล้วนั้น เหล่าลูกศิษย์ก็แบ่งกันเป็นสองกลุ่มตามแนวความคิดที่แตกต่างกัน ซึ่งกลุ่มที่มีความคิดแตกต่างจากเดิม คือคิดที่จะสร้างโรงเจพระแม่กวนอิม และจะนำพระแม่กวนอิมมาประทับข้างๆกุฏิที่ภาวนานี้ ซึ่งตอนนั้นเองอาจารย์ยายบอกว่าอาจารย์ยายไม่เห็นด้วย เพราะว่าพระแม่กวนอิมปกติแล้วนั้น จะอยู่ที่ศาลเจ้าแบบจีน ซึ่งพระแม่กวนอิมจะมีการเซ่นไหว้ แต่พระพุทธเจ้าเราไม่มีพิธีอะไร ถ้าจะเอามาไว้วัดป่าที่พระท่านฝึกกรรมฐานเห็นทีจะไม่เหมาะสม และไม่สมควรเลย แต่กลุ่มนั้นเค้าก็ยังคิดว่ายังไงก็จะสร้างศาลเจ้า และโรงเจ ในวัดป่าแห่งนี้ อาจารย์ยายเองท่านก็บอกไปว่ายังไงก็ไม่สำเร็จหรอก เพราะมันไม่เหมาะสมที่จะเอาพระแม่มาไว้ในวัดป่าอะไรแบบนี้ อยู่มาวันหนึ่ง พี่คนหนึ่งที่เป็นที่เคารพนับถือกับอาจารย์ยาย พี่เค้าเป็นอีกคนที่มีส่วนในความคิดริเริ่มการทำโรงเจ เค้าได้ลาออกจากกรม(ที่ทำงานเก่า) และได้มาเปิดร้านขายสังฆทาน และในวันต่อมา เขาได้มาหาอาจารย์ยายแล้วบอกว่ามีคนอยากจะเช่ารูปปั้นพระแม่กวนอิม พร้อมทั้งขอร้องให้อาจารย์ยายไปเป็นเพื่อนเพื่อเลือกรูปปั้นพระแม่กวนอิ่มที่เสาชิงช้าด้วย อาจารย์ยายเห็นพี่เขาขอร้องเลยตกลงรับปากไปเป็นเพื่อน พอไปถึงเห็นรูปปั้นพระแม่กวนอิมนั่งบนหลังมังกรเลยบอกว่าองค์นี้สวยดี พี่เขาเลยเลือกพระแม่กวนอิมองค์นั้นไปไว้ที่ร้านเขา หลังจากนั้นเขาก็เอาไปไว้ที่กุฏิที่วัด พออาจารย์ยายไปวัดเข้าพักในกุฏิจึงเห็นรูปปั้น เมื่อถามจึงรู้ว่าเขาจะเอามาไว้ที่โรงเจที่เขาจะทำกัน อาจารย์ยายจึงบอกว่า “ไม่สำเร็จหรอกเพราะไม่ถูกต้องเลย เพราะที่นี้คือวัดป่าสำหรับพระที่จะภาวนาทำกรรมฐานไม่ควรมีโรงเจ เพราะว่ามันคนละเรื่องกันเลย” พวกเขาก็ไม่เชื่อ ต่อมาลูกศิษย์ทั้งสองกลุ่มเกิดขัดแย้งในความคิด ซึ่งมีความคิดเห็นไม่ตรงกันนั่นเอง จนในที่สุดก็ต้องหยุดเสร้าง พระแม่เลยต้องอยู่ในกุฏิถึงแปดปี ต่อมา อาจารย์ยายก็ไม่ได้สนใจอะไร ท่านก็มานั่งด้านหน้าพระแม่หลับตาทำสมาธิอยู่อย่างนี้เหมือนเดิมเป็นปกติ ซึ่งพี่ที่เอาพระแม่มาไว้ตรงกุฏิแห่งนี้ได้เกิดเหตุการณ์ไม่ดีมาตลอดเลย คือ เกิดอุบัติเหตุ ทำให้หลังหัก ขาหัก ข้อมือหัก กระดูกสะโพกหัก ตลอดระยะเวลามาแปดปี จนกระทั่งวันหนึ่งเป็นวันงานทอดกฐินของทางวัด โดยปกติแล้วอาจารย์ยายไม่เคยแต่งชุดขาวไปนั่งสมาธิเลย แต่วันนั้นเป็นวันแรกที่ท่านใส่ชุดขาวไปนั่งสมาธิ ซึ่งในวันนั้นคนเข้ามาเยอะมากอาจารย์ยายเองก็นั่งสมาธิแบบปกติ เมื่อถอนจิตลืมตาออกมาก็ปรากฏว่าถ้วยจาน ชามอาหารต่างๆวางเรียงรายรอบตัวเต็มไปหมดเลย ท่านก็เลยถามคนในนั้นว่าทำอะไรกัน เค้าบอกว่า”เค้ากำลังไหว้พระแม่” อาจารย์ยายเลยถามต่อไปว่า”พระแม่ท่านฉันเจไม่ใช่หรอ ท่านไม่กินเนื้อ แล้วทำไมมีใส้กรอก มีเนื้อล่ะ” เค้าก็ตอบว่า “อ๋อ ลืมๆ ลืมไป” อาจารย์ยายก็เลยนึกในใจว่า “ทำบ้าอะไรกันเนี่ย ทำอะไรกัน ทำไมทำกันอย่างนี้” พอนึกอย่างนั้นแล้วอาจารย์ยายก็เลยเข้าสมาธิต่อ พอจิตรวมลงก็ปรากฏนิมิตเห็นพระแม่กวนอิม ท่านบอกว่าให้พาท่านออกจากกุฏิได้แล้ว ท่านซ่อนพระพักตร์มานานแล้ว อาจารย์ยายก็ตอบพระแม่ไปว่าช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดี ค่าเงินบาทลอยตัว เงินดอลลาร์แข็งค่า ทำให้ธุรกิจค้าเพชรอาจารย์ไม่ค่อยดีนัก เลยมีปัญหาขัดข้องด้านการเงิน ถ้าหากท่านจะให้พาออกไปประทับที่อื่นละก็ ท่านต้องช่วยหาสถานที่ และช่วยเหลือด้านอื่นๆให้สามารถอัญเชิญท่านออกไปได้อย่างราบรื่นด้วย และเมื่อท่านตกลง อาจารย์ยายเลยรับปากพระแม่ หลังจากนั้นจึงได้เกิดเรื่องราวต่างๆมากมาย อย่างไม่น่าเชื่อ จนเป็นภวันตุเตถึงทุกวันนี้ และก่อนที่จะอัญเชิญพระแม่มา พี่คนที่รับปากว่าจะยกพระแม่ให้อาจารย์ยาย ก็เกิดเสียดายพระแม่ขึ้นมา เลยบอกอาจารย์ยายว่าจะเอาพระแม่ไปไว้ที่ทาวน์เฮาส์ตนเอง อาจารย์ยายเลยบอกว่า” สัจจะนะ นี่คือสัจจะ ถ้าหากว่าคิดอย่างนั้นแล้วก็ไม่เป็นไร ไม่เอาก็ได้ อยากจะบอกว่าพระแม่ไม่ใช่ของเล่น ถ้าอย่างนั้นก็เอาไปเลย เราจะไปเชิญมาใหม่ก็ได้ พอพูดจบอาจารย์ยายก็เดินออกมา แล้วพี่ผู้หญิงคนนั้นก็ตกลงมาจากที่สูงหลังหักเลยทันที พอตกลงมาหลังหัก อาจารย์ยายก็เมตตาไปดูแลรักษาเป็นเวลานานถึงหกเดือนเพราะเค้าไม่มีบุตรสาวดูแลเลย หลังจากนั้นพระแม่จึงได้มาประทับอยู่ที่ภวันตุเตให้พวกเราได้กราบไหว้ และเป็นที่พึ่งทางจิตใจตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา โดยเหตุการณ์ความมหัศจรรย์ไม่ได้จบเพียงเท่านี้ ในวันที่จะอัญเชิญ และยกพระแม่มานั้น ปรากฏว่าองค์ท่านหนักมาก หนักจนไม่สามารถยกขึ้นได้ ตอนนั้นถนนหนทางเข้าภวันตุเตอนนั้นลำบากกว่าตอนนี้มากๆ อาจารย์ยายเลยเป็นห่วงเรื่องการเคลื่อนย้าย ท่านจึงกำหนดจิตอธิษฐานบอกพระแม่ว่า”ถ้าหากพระแม่อยากไปอยู่ในสถานที่ที่สร้างไว้จริงๆ ขอให้พระแม่ทำตัวให้เบา และยกได้ง่ายด้วย ก็ปรากฏว่าองค์พระแม่เบา และสามารถยกขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ ส่วนคนที่รออยู่ที่ภวันตุเต ที่รอรับพระแม่ก็รอรับกันอยู่ ซึ่งเหตุการณ์มหัศจรรย์ที่เห็นกันทุกๆคนก็ปรากฏขึ้นคือพระอาทิตย์ทรงกรดเป็นรัศมีวงกลมวงใหญ่งดงามมาก อาจารย์ยายบอกว่านี่แหล่ะถือว่าเป็นฤกษ์งามยามดี จากนั้นจึงได้ทำพิธีอัญเชิญพระแม่ขึ้นบนศาลาเสร็จสมบูรณ์จากวันนั้นถึงวันนี้ เป็นเวลา 11 ปี แต่เหตุการณ์มหัศจรรย์ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเท่านี้เพราะในระหว่างที่ก่อสร้างศาลาพระแม่นั้น มีเรื่องราวมหัศจรรย์อีกมากมายดังที่จะกล่าวต่อไปนี้ คือ
    หลังจากที่อาจารย์ยายรับปากพระแม่กวนอิมแล้วว่าจะอัญเชิญท่านออกมาจากกุฏิ และจะนำท่านมาประทับไว้ในสถานที่ที่สมควร และขอให้พระแม่ช่วยด้วย หลังจากนั้นก็มีปัจจัยเข้ามาอย่างไม่น่าเชื่อ จึงได้สถานที่แห่งนี้(ทุ่งนาที่เต็มไปด้วยป่าดอกโสน) และแล้วงานก่อสร้างศาลาพระแม่จึงเริ่มต้นขึ้น ในระหว่างงานก่อสร้างนั้น ขณะที่จะลงเสาเอก ในวันนั้นก็มีคนจีนที่มาจากตะกั่วป่าเข้ามาดู ค้าบอกว่าถ้าจะทำศาลาพระแม่ละก็ ต้องทำพิธีวางเสาเอก อาจารย์ยายเลยบอกว่าพิธีอะไรอาจารย์ยายทำไม่เป็นถ้าจะทำก็มาทำเองได้เลย หลังจากนั้นท่านก็ปล่อยให้คนจีนกลุ่มนั้นทำพิธีตามธรรมเนียมแบบจีนเกี่ยวกับการวางเสาเอกอะไรพวกนั้น ท่านเล่าว่าพวกคนจีนตื่นกันแต่ตีสามไปเยาวราช เก้าโมงเช้ายังไม่กลับมาเลย อาจารย์ยายรอยังไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลยท่านลำพึงในใจว่า”ทำไมมันทำยากเย็นขนาดนี้เราจะสามารถอัญเชิญพระแม่ได้หรือเปล่านี่ เพราะว่าเราไม่รู้เรื่องราวพิธีการอะไรพวกนี้เลย แล้วพวกนี้เค้าจะทำได้ผลหรือเปล่า งั้นขอดูหน่อยเถอะ” พอกล่าวเสร็จอาจารย์ยายก็เข้าสมาธิเมื่อจิตรวมลงก็ปรากฏภาพนิมิตขึ้นมาว่า เห็นคนๆหนึ่งเป็นผู้ชาย ใบหน้าสีแดง ลอยลงมาจากข้างบนแล้วมายืนอยู่หน้าพิธี กล่าวคือผู่ชายคนนั้นกำลังมองดูการทำพิธีอยู่ มองไปมองมาอยู่อย่างนั้น อาจารย์ยายก็นึกอยู่ในใจว่า” เอะทำไมคนๆนี้หน้าแดงจังเลย ตลกดีพร้อมนึกขำในใจ” พอชายคนนั้นมองดูพิธีเสร็จแล้ว ก็ลอยขึ้นไปข้างบน อาจารย์ยายก็เล็งจิตมองตามไปเรื่อยๆ จนชายคนนั้นได้หยุด และยืนในที่แห่งหนึ่งที่มีบรรยากาศแปลกมาก ซึ่งที่แห่งนั้นมีหินแกรนิตเป็นแผ่นใหญ่ยาวประมาณสิบห้าเมตรได้ ซึ่งในที่ตรงนั้นมีบัลลังทองคำเป็นรุปมังกร แล้วในนั้นมีสมุดเล่มใหญ่มาก วางอยู่ ในสมุดนั้นพอเปิดออกมีแผ่นภาพสอดอยู่ข้างในเหมือนในอัลบั้มรูปบนโลกมนุษย์เลย จากนั้นมีคนๆหนึ่งแต่งตัวเหมือนงิ้ว ดวงตาสุกใส แบบสุกสกาว ไว้เล็บยาว มีเครายาว หน้าตาดูมีอำนาจมาก ดูอายุประมาณกลางๆคน ได้เดินออกมาจากบัลลังก์ พอเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าสมุด สมุดเล่มนั้นก็เปิดออกแบบว่าเปิดโดยอัตโนมัติ ซึ่งในขณะนั้นเองก็ปรากฏพู่กันในมือ ของชายคนที่แต่งชุดงิ้วนั้น แบบว่าไม่รู้ว่ามากจากใหน สมุดนั้นก็เปิดไปเรื่อยๆจนจะหมดเล่มอยู่แล้ว แบบว่ายังเหลืออีกไม่กี่แผ่นก็จะหมดแล้วก็หยุด ชายคนนั้นก็เขียนเป็นภาษาจีนตัวใหญ่ ซึ่งอาจารย์ยายจำได้ว่ามีลักษณะยังไงแต่ท่านบอกว่าเขียนไม่เป็น ตัวอักษรจีนนั้นเป็นตัวอักษรจีนสีทองตัวโตมาก พอเค้าเขียนเสร็จแล้ว เค้าก็ปาพู่กันนั้น ไปให้ผู้ชายคนที่มีใบหน้าสีแดง พร้อมกล่าวว่า”ให้ไปตามหาคนที่นับถือเทพเทวาทางสายจีน และนับถือพระโพธิสัตว์กวนอิมที่แท้จริงมา แล้วมาช่วยสร้างศาลาประดิษฐานพระโพธิสัตว์แห่งนี้ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาหนึ่งปี” จากนั้นชายหน้าแดงก็รับคำปุ๊ป เค้าก็หายตัวไป ซึ่งก่อนจะหายตัวไปนั้น อาจารย์ยายอยากรูว่าเค้าคนนั้นคือใครอาจารย์ยายเลยถามว่า”นี่ใครนี่ คนหน้าแดงๆนี้ คือใคร ชื่อว่าอะไร เพราะไม่เคยเห็น และไม่รู้จักเลย” เค้าเลยตอบกลับมาว่า”เจ้าพ่อกวนอู” แล้วอาจารย์ยายเลยถามต่อไปว่า”แล้วคนที่แต่งชุดเหมือนงิ้วที่นั่งอยู่ล่ะใครหรอ” เค้าเลยตอบกลับมาว่า “เราคือเง็กเซียนฮ่องเต้” จากนั้นภาพทั้งหมดก็หายไป อาจารย์ยายเลยถอนจิตออกมาจากสมาธิ และลืมตาออกมา ซึ่งขณะนั้นคนจีนก็ทำพิธีวางเสาเอกเสร็จพอดี อาจารย์ยายเลยเรียกคนเหล่านั้นมาหาแล้วท่านก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่ปรากฏในนิมิตให้ทุกๆคนฟัง สรุปคือเค้าบอกว่าวันนี้(วันทำพิธี)เป็นวันเกิดพระแม่กวนอิม ซึ่งตรงกับวันที่ 19กันยายน แล้ววันที่สิบเก้าเดือนกันยายน ปีหน้าจะต้องเสร็จ และจะต้องเป็นวันอัญเชิญพระแม่ขึ้นศาลา อาจารย์ยายพูดไปก็หัวเราะไปว่า แล้วเราจะไปเอาเงินมาจากใหนนี่ ให้สร้างเสร็จภายในปีเดียว เพราะตอนนี้ไม่มีเงินเลย ซึ่งอาจารย์ยายก็พิจารณาดู คิดดู ก็คิดว่าไม่น่าจะเสร็จภายในปีเดียวเป็นไปไม่ได้แน่นอน จากนั้นอาจารย์ยายก็ปล่อยวางไป แบบว่าไม่ได้สนใจอะไรกับนิมิต ซึ่งหลังจากวันนั้นงานก่อสร้างก็ดำเนินมาเรื่อยๆ จนเหลือเวลาเพียงเดือนเดียวก็จะถึงกำหนดวันอัญเชิญพระแม่แล้ว ก็เกิดเหตุอัศจรรย์ กล่าวคือ ในระหว่างงานก่อสร้าง เงินอาจารย์ยายก็หมด อาจารย์ยายเลยคิดว่าข้างบนศาลาขอให้เสร็จก่อนก็แล้วกัน ข้างล่างไม่เสร็จก็ไม่เป็นไร อยู่ๆก็มีชาวจีนคนหนึ่งเข้ามา เค้าบอกว่าจะเข้ามาช่วยสร้างศาลาพระแม่ อาจารย์ยายเลยถามเค้าว่า”รู้ได้ไงว่าในนี้มีการก่อสร้างศาลาพระแม่กวนอิม” เค้าได้บอกอาจารย์ยายว่าเทพเจ้าทางจีนได้บอกให้เค้าเข้ามาช่วยสร้างศาลาพระแม่ให้เสร็จ เค้าก็เลยถามอาจารย์ยายว่า”ยังขาดอะไรอีกล่ะตอนนี้” อาจารย์ยายเลยตอบว่า”ขาดกระจกข้างบน” หลังจากนั้นเค้าก็ขึ้นไปดูการก่อสร้าง ว่าเราสร้างฐานการวางพระแม่ยังไง พอไปดูเค้าก็กล่าวออกมาเลยว่า “ นี่สร้างยังไง เหมอืนโรงศพคู่วางเคียงข้างกันเลย” อาจารย์เลยตอบกลับไปว่า “ก็เพราะเราไม่รู้ไง คิดว่าจะสร้างฐานพระพุทธเจ้าไว้สูงสุด จากนั้นก็สร้างฐานวางพระแม่ต่ำลงมา จะให้เราไหว้แต่พระแม่อย่างเดียวนั้นทำไม่ได้หรอก เพราะจิตใจเรายึดตรงต่อพระพุทธเจ้า เลยคิดแบบนี้ อีกอย่างก็จะรีบไปอินเดียด้วย” เค้าเลยตอบอาจารย์ไปว่า” ถ้าจะให้เราช่วยจะต้องทุบออกให้หมด แล้วจะสร้างใหม่ให้” อาจารย์ยายเลยตอบตกลง จากนั้นก็เลยทำตามที่เค้าบอกก จึงกลายเป็นฐานสำหรับวางพระแม่เสร็จเรียบร้อยสมบูรณ์ดังที่พวกเราทุกคนได้เห็นกันอยู่ ณ ตอนนี้ หลังจากนั้นอาจารย์ยายก็เสร็จภารกิจงานก่อสร้าง และได้อัญเชิญพระแม่มาประทับที่ศาลา แต่สถานที่แห่งนี้ยังไม่มีชื่อเรียกเลย ลูกศิษย์หลายๆคน ต่างก็เสนอ ชื่อกันหลายๆชื่อเลยทีเดียว เช่น สำนักแม่วารุณี, สำนักเจ้าแม่วารุณี ,สถานธรรมวารุณี และอื่นๆอีกเพรียบ อาจารย์ยายบอกว่า “ไม่องไม่เอาหรอก จะให้ชื่อ สำนักเจ้ามงเจ้าแม่ได้ยังไง ถ้าจะให้มีชื่อละก็ ขอให้เทพเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านบอกมาก็แล้วกัน ว่าจะเอาชื่ออะไร” หลังจากนั้นอาจารย์ยายจึงได้เดินทางไปประเทศอินเดียเพื่อกิจภาวนา
    สำหรับกระเบื้องสีแดงที่อยู่ด้านหลังพระแม่นั้น พระแม่ให้ทำขึ้น เพื่อเป็นคำอวยพรและเปรียบดั่งอังเปาจากท่านมอบให้กับคนที่มากราบไหว้ ซึ่งคนมาขออะไรส่วนมากจะสำเร็จเป็นส่วนมากถ้าหากมีความศรัทธา และเชื่อมั่นในองค์พระแม่ ท่านย่อมประทานพรให้ ดังคนมากมายเล่าไม่หมดจบจริงๆ สรุปแล้วเรื่องราวของพระแม่องค์แรกก็ได้ขึ้นมาประทับบนศาลา ตรงกับวันที่ 19 กันยายน 2545 จนถึงทุกวันนี้ และแล้ววันนี้ก็กำลังจะมีพระแม่อีกองค์ท่านเมตตา และสื่อผ่านอาจารย์ยายบอกว่าจะมาประทับอยู่ภวันตุเตด้วย ตอนแรกกำหนดการเป็นวันที่ 14 กุมพาพันธ์ แต่มีเหตุเสียก่อน สุดท้ายแล้วก็มีคนจีนเข้ามาอีก มาบอกอาจารย์ยายว่าควรจะอัญเชิญพระแม่มาวันที่ 19 เดือนมีนาคม 2557 ซึ่งก็ตรงกับเดือนหน้านี่เอง งานนี้ใครมีจิตเคารพในองค์พระแม่ พระองค์คงดลจิต ให้สามารถเข้ามาในงานพิธีเป็นแน่นอน ไว้รอลุ้นกันต่อไปนะครับ(เดี๋ยวเจอกันในงานครับ อิอิ)
    เรื่องราวยังไม่จบเพียงเท่านี้ นี่เป็นเพียงเรื่องราวของการก่อสร้าง และอัญเชิญพระแม่กวนอิมเท่านั้น เรื่องราวตอนต่อไปจะสนุกมากๆเลยครับ ตอนนี้เรายังไม่รู้กันเลยว่าชื่อ “ภวันตุเต” ใครเป็นคนตั้งให้ เดี๋ยวเสร็จจากงานแล้ว แฮปปี้จะรีบเขียนต่อมาให้ทุกๆท่านได้อ่านกันครับ อนุโมทนา สาธุ
     
  2. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    เจ้าแม่กวนอิม อ่ะนะ ผมรักและเคารพท่านเหมือน พี่สาวของผม คนหนึ่งเลยล่ะครับ

    (f)(f)(f)
     
  3. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    ท่านชอบเข้ามา ระงับ ความร้อน ในกายใจผม เวลาที่ผม หลง ร้อน ขึ้นมา นะครับ

    (kiss)
     

แชร์หน้านี้

Loading...