อธิษฐานอย่างไรให้ปาฏิหาริย์มีจริง

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย nondanun, 27 กรกฎาคม 2013.

  1. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,612
    ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก เวลาที่เกิดความทุกข์ความไม่สบายใจคนเรามักจะหาที่พึ่ง ผู้เขียนเชื่อคุณผู้อ่านทุกท่านคงเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการระบายความทุกข์ทั้งต่อคนรอบข้างและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย หากเราได้เล่าอะไร หรือบอกกล่าวอะไรกับใครบ้างก็จะทำให้เรามีจิตใจที่สบายขึ้น

    หากเป็นการบอกเล่าความทุกข์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็มักจะปรากฏอยู่ในรูปแบบของ “การอธิษฐาน” ที่ผู้เขียนกล่าวเช่นนี้ก็เพราะ การอธิษฐานโดยทั่วไปของมนุษย์ก็คือการขอในสิ่งที่ตนเองยังไม่มี สิ่งที่ตนเองยังไม่มีนั่นแหละคือความทุกข์ คนเราจึงมักแสวงหาหรือขอโอกาสให้ตนเองได้มีความสุข หรือได้ในสิ่งที่ยังไม่มีหรือได้ครอบครองไม่ว่าจะเป็นความสุขในแบบวัตถุ หรือความสุขทางใจ



    แต่ขอให้ทำความเข้าใจเสียใหม่ก่อนว่า การอธิษฐานจริงๆแล้วไม่ใช่การ “ขอ” แต่อย่างใด

    การอธิษฐานในแบบของพระพุทธศาสนาจะมีความเชื่อในเรื่อง กฎแห่งกรรม คือว่าด้วยเหตุและผลที่เป็นไปตามการกระทำเข้ามาเป็นส่วนประกอบเป็นปัจจัยสำคัญ ครูบาอาจารย์ท่านเน้นว่า การอธิษฐานจะได้ผลก็ต่อเมื่อได้ประกอบคุณงามความดีต่างๆ ก่อนให้มากพอหรือมีการทำเหตุให้ตรงสมบูรณ์พร้อม แล้วค่อยขอพรหรือตั้งจิตอธิษฐานในสิ่งที่ตั้งความปรารถนาไว้ หากมีพลังบุญเป็นปัจจัยเสริมมากพอแรงอธิษฐานก็จะส่งให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามความปรารถนาที่ตั้งใจไว้ ซึ่งเมื่อเหตุนั้นตรงและสมบูรณ์ ปัจจัยสมบูรณ์ ผลที่ออกมาจะสมบูรณ์ตามที่อธิษฐานนั้น

    พระพุทธศาสนามีความเชื่อว่าโชคชะตาชีวิตของคนทุกคนนั้น จะดีหรือเลว จะมั่งมีหรือจน จะเป็นทุกข์หรือสุข จะผ่านอุปสรรคในชีวิตนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้า เทพเจ้า ดวงดาวหรืออำนาจอื่นใดทั้งสิ้น ไม่มีฟ้าลิขิตทั้งสิ้น สิ่งที่จะกำหนดโชคชะตาชีวิตของคนนั้นคือ กรรมลิขิต

    มนุษย์จะเป็นผู้กำหนดโชคชะตาชีวิตของตัวเองด้วยการกระทำที่มาจากกาย วาจา ใจ ที่รวมเรียกว่า กรรม และมีกฎแห่งกรรมเป็นผู้ควบคุม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ไม่มีใครมีอำนาจมาเบี่ยงเบนผลลัพธ์ได้ ใครทำเหตุอะไรไว้ก็ต้องได้ผลตามเหตุที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ใช่ใครทำชั่วแล้วได้ดี หรือทำดีแล้วได้ชั่วเป็นอันขาด

    การอธิษฐานเป็นการสร้างพลังจิตให้เข้มแข็ง เป็นการตั้งเป้าหมายหรือจะเรียกว่าเป็นการล็อคเป้าหมายว่าเราจะทำสิ่งใดให้สำเร็จลุล่วงไป ถือเป็นเข็มทิศของจิตและชีวิตของคนๆ นั้น หากแต่จะสำเร็จหรือไม่มีองค์ประกอบสำคัญๆ อยู่หนึ่งประการ คือ จิตในขณะที่กำลังอธิษฐานนั้นมีกำลังมากพอหรือไม่

    ที่กล่าวว่าจิตต้องมีกำลังมากพอก็เพราะว่า จิตที่เข้มแข็งจะน้อมลงไปสู่การกระทำที่ตรงกับเหตุ ยิ่งความปรารถนาแรงกล้า และมีพลังบุญสนับสนุนเพียงพอคำอธิษฐานนั้นจึงจะประสบผล

    องค์ประกอบที่สำคัญสำหรับการอธิษฐานนั้นให้สัมฤทธิ์ผลมีอยู่ 4 ประการก็คือ



    1.พลังจิตที่บริสุทธิ์สะอาด เป็นบาทฐานกำลัง เราทราบกันดีแล้วว่าการจะทำให้จิตนั้นสะอาดผ่องใสได้ด้วยการสร้างบุญอันมาจากทาน ศีลและภาวนา ยิ่งทำบุญมากแบบถูกต้อง ถูกธรรมแล้ว จิตจะผ่องใสขึ้นอย่างแน่นอน



    2.บุญบารมีที่ได้ทำมาไม่ว่าจะเป็นบุญเก่าและบุญใหม่เป็นตัวเชื่อม การที่จะอธิษฐานให้ได้ผลนั้น อานุภาพแห่งบุญจะเป็นตัวเชื่อมระหว่างผู้อธิษฐานและเป้าหมายที่ต้องการ ที่บุญนั้นจะต้องครบถ้วน หรือเหตุนั้นจะต้องครบสมบูรณ์ ดังการอธิษฐานของพระพุทธเจ้าซึ่งนำไปสู่การตรัสรู้ว่า

    ในอดีตชาตินั้นของพระพุทธองค์ เคยถือกำเนิดเป็น สุเมธดาบส ครั้งหนึ่งมีประกาศจากทางการว่าพระทีปังกร (พระพุทธเจ้าลำดับที่ 4) จะเสด็จผ่านทางเพื่อทำการผ่านทางหนึ่งเพื่อโปรดแสดงธรรม เส้นทางที่เสด็จนั้นมีความยากลำบากมีอุปสรรคมากมายและยังเป็นทางเลนที่ยากจะเสด็จผ่านไปได้ ชาวบ้านนับพันต่างก็มาร่วมใจกันแผ้วถางทางอย่างรวดเร็ว

    สุเมธดาบสซึ่งเป็นฤๅษีก็เหาะผ่านมายังทางที่กำลังแผ้วถางอย่างขะมักเขม้น ก็ลงมาสอบถามว่าคนทั้งหลายมาชุมนุมกัน ณ ที่แห่งนี้เพราะเหตุอันใดกัน เมื่อทราบว่าพระทีปังกรพุทธเจ้าจะเสด็จมาแสดงธรรมโดยผ่านเส้นทางนี้ สุเมธดาบสก็มีความยินดีที่จะช่วยทำทางให้เสร็จโดยเร็วเช่นกัน

    แต่ในขณะที่สุเมธดาบสกำลังจะลงมือทำทางให้พระทีปังกรก็เสด็จผ่านมาถึงก่อนโดยเส้นทางที่จะทำเหลืออีกเพียง 1 ช่วงตัวคนเท่านั้น สุเมธดาบสจึงถอดผ้าคลุมของตนเองออกแล้วปูลาดลงไปที่พื้นและได้กราบนมัสการต่อพระทีปังกรพุทธเจ้า และนิมนต์ให้พระพุทธองค์และพระสาวกทั้งหมดกว่า 4 แสนรูปได้ย่างเท้าไปบนร่างกายของตนเองที่จะทำการทอดถวายเป็นสะพานแทน ด้วยจิตปรารถนาถึงสัมมาสัมโพธิญาณขอให้ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า

    พระพุทธเจ้าทีปังกรได้รู้เจตนาและการบำเพ็ญบารมีจึงตรัสทำนายว่า สุเมธดาบสจะได้กลายเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งนามว่า “พระพุทธโคดม” ซึ่งก็คือพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเรานี่เอง หลังจากสุเมธดาบสได้สิ้นชีวิตแล้วก็ได้ไปวนเวียนเกิดอีกหลายภพชาติสั่งสมบุญบารมีมาอีกยาวนานจนในชาติสุดท้ายก็ได้บรรลุผลแห่งการอธิษฐานเมื่อครั้งอดีตสมความตั้งใจ

    แต่การที่ พระพุทธองค์จะตรัสรู้ได้นั้นต้อสะสมบุญบารมีให้ โดยเฉพาะในทศชาติสุดท้ายได้กระทำบุญบำเพ็ญบารมีนานาประการจนสูงสุด อันได้แก่

    ชาติที่ 1 พระเตมีย์ ทรงบำเพ็ญเนกขัมมะบารมี คือ ความอดทนอย่างสูงสุด

    ชาติที่ 2 พระมหาชนก ทรงบำเพ็ญวิริยะบารมี คือความพากเพียรอย่างสูงสุด

    ชาติที่ 3 พระสุวรรณสาม ทรงบำเพ็ญเมตตาบารมี คือความเมตตาอย่างสูงสุด

    ชาติที่ 4 พระเนมิราช ทรงบำเพ็ญ “อธิษฐาน”บารมี คือ “ความมีจิตแน่วแน่”อย่างสูงสุด

    ชาติที่ 5 พระมโหสถ ทรงบำเพ็ญปัญญาบารมี คือความมีปัญญาอย่างสูงสุด

    ชาติที่ 6 พระภูริทัต ทรงบำเพ็ญศีลบารมีคือความมี ศีลอันเป็นเครื่องประคองกายวาจาใจอย่างสูงสุด

    ชาติที่ 7 พระจันทกุมาร ทรงบำเพ็ญขันติบารมี คือความอดกลั้นอย่างสูงสุด

    ชาติที่ 8 พระนารทพรหม ทรงบำเพ็ญอุเบกขาบารมี คือความวางเฉยแน่วแน่ไม่หวั่นไหวอย่างสูงสุด

    ชาติที่ 9 พระวิฑูรย์บัณฑิต ทรงบำเพ็ญ สัจจะบารมี คือความมีสัจจะวาจาอย่างสูงสุด

    ชาติที่ 10 พระเวสสันดร ทรงบำเพ็ญทานบารมีคือ การให้ทานสูงสุด

    บุญบารมีทั้งหลายที่สั่งสมมาหลายภพหลายชาติรวมกับการบำเพ็ญทศชาติบารมีอย่างสูงสุดแล้ว เมื่อบุญส่งผลในเวลานั้นจึงทำให้พระพุทธองค์ประสบความสำเร็จในการตรัสรู้ ในการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ บุญบารมีจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะเป็นตัวเชื่อมให้คำอธิษฐานได้บรรลุผลและกลายเป็นความจริง



    3.จุดประสงค์แห่งการอธิษฐาน ที่ต้องเป็นสิ่งที่ดีที่งามเป็นสิ่งที่จะเอื้อประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นถูกต้องทางธรรมไม่ขัดแย้งกัน การอธิษฐานนั้นจึงจะมีความสัมฤทธิ์ผลได้ หรือจะเรียกว่าการอธิษฐานที่เต็มไปด้วยกิเลส ด้วยความเห็นแก่ได้อย่างนี้จะสำเร็จผลได้ยาก การอธิษฐานที่ปิดทางคนอื่น ไปพรากประโยชน์คนอื่นหรือด้วยต้องการให้คนอื่นฉิบหายนั้นไม่ใช่การอธิษฐานแต่เป็นการสาปแช่ง และไม่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง และไม่มีทางเกิดผลได้อย่างแน่นอน



    4.อย่าอธิษฐานให้เกินบุญของตน หลายคนอธิษฐานแล้วไม่ได้ผลเลย อาจจะอธิษฐานที่เกินบุญที่ตนเองมี เช่น อธิษฐานขอให้มีโชคลาภถูกหวยรางวัลที่ 1 ซึ่งบุญของตนนั้นไม่พอที่จะได้ลาภใหญ่แบบนั้น เพราะว่าเกิดมาไม่เคยทำทาน ไม่เคยให้อะไรผู้ใด เหมือนคนที่เงินอยู่ 10 บาทแต่อยากจะเปิดร้านค้าใหญ่โตซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ ถ้าอยากจะได้จริงต้องทำเหตุให้ตรงเสียก่อน รู้ว่าบุญไม่พอก็เร่งสร้างบุญเสียให้พอ เรื่องนี้อาจจะยากสำหรับคนบางคน เพราะคนกำลังเดือดร้อนมากมักจะอยากให้ได้อะไรเร็ว ขอให้อธิษฐานที่เป็นไปได้แล้วจะเป็นไปได้ค่อยๆ ขยับขึ้นตามบุญที่ทำมา



    5.ต้องทำเหตุให้ตรงกับสิ่งที่อธิษฐานขอไว้ (เป้าหมาย) หลายคนอธิษฐานแล้วไม่ได้ผลเลยแม้แต่น้อย อีกสาเหตุหนึ่งก็ขอเมื่อตั้งเป้าหมายแล้ว แต่ไม่ลงมือทำให้เหตุนั้นตรงกับเป้าหมายที่อยากจะได้ เช่น อธิษฐานขอให้ร่ำรวยเป็นเศรษฐี แต่ไม่เคยลุกขึ้นมาทำมาหากิน ไม่เคยลงมือทำงานอย่างเต็มที่ หรือลงมือทำแต่ก็ไม่เคยตั้งใจทำ แล้วจะรวยไปได้อย่างไร นอกจากว่าจะบุญเก่าสนับสนุนมากพอจริงๆ ถึงจะได้ ซึ่งก็นับว่ายากเต็มทีหากในปัจจุบันไม่เคยสร้างคุณงามความดีหรือทานบารมีใดๆไว้เลย

    ยังมีอีกเคล็ดสำคัญคือ การอธิษฐานขอบุญกับจากครูบาอาจารย์ท่านผู้ทรงพระคุณความดี เป็นการเพิ่มบุญให้กับตัวเราเองโดยพื้นฐานสำคัญเราต้องมีบุญร่วมกับท่านซึ่งบุญเก่านั้นเราอาจจะไม่สามารถล่วงรู้ได้แต่เราสามารถทำได้โดยการเชื่อมบุญกับท่านด้วย



    5.1 ไปทำบุญกับท่าน ข้อนี้ง่ายถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่มีชีวิตอยู่เราสามารถทำกับท่านได้โดยตรง ทั้งการถวายกับตัวท่านเองหรือฝากคนอื่นไปถวายแทน แต่ถ้าท่านละสังขารไปแล้วให้อุทิศบุญถวายท่านเช่น หลวงปู่ทวด หลวงพ่อปาน หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เป็นต้น ซึ่งเป็นการเชื่อมบุญกับท่าน



    5.2 ไปร่วมทำบุญกับท่าน เรื่องนี้ง่ายเพียงเราไปร่วมสร้างบุญกับท่าน มีพิธีบวช มีงานบุญอะไรก็ไปร่วมงานเพื่อโมทนาบุญในงานนั้น หรือเมื่อทราบข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ อินเตอร์เน็ตหรือสื่ออื่นๆ ก็บริจาคเงินหรือสิ่งของไปให้ท่านทางธนาคารหรือไปรษณีย์ก็ได้



    5.3 อนุโมทนาในบุญที่ท่านทำ เมื่อเราเห็นหรือทราบข่าว่าท่านสร้างบุญกุศลเรา เราก็ร่วมยินดีในบุญที่ท่านทำ เพียงกล่าว ขออนุโมทนาบุญที่ท่านทำ เราก็ได้บุญแล้ว เพียงแต่อาจจะได้ไม่เท่าที่ท่านทำเพราะเราไม่ได้สร้างเอง อย่างไรก็ตามเพียงแค่มีจิตนึกยินดีในสิ่งที่ท่านได้ทำ เราพลอยยินดีไปด้วยบุญก็เกิดขึ้นแล้ว

    ปลดล็อกตนเองด้วยการขออโหสิกรรมจากครูบาอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์

    หลายคนที่พยายามสร้างและกระทำซึ่งคุณงามความดีมากมายแต่บางทีก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จมากดังที่ตั้งใจไว้เพราะมีกรรมในอดีตติดตัวมาเยอะ คนที่ยังมีกรรมไม่ดีติดตัวมาเยอะหรือขาดการฝึกสมาธิ ฝึกจิตให้เป็นกุศล ซึ่งอาจจะติดจากชาติเดิมที่เคยมีความแค้นเคืองต่อพระพุทธศาสนา หรือต่อเหล่าพระอริยสงฆ์ การไม่สมหวังในสิ่งที่ตั้งใจ หรือติดมาจากในชาติที่เป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือในบางครั้งอาจจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรเขามาขวางเอาไว้ พยายามมาดลใจเราให้เราคิดไปในทางชั่ว เพื่อไม่ให้เราได้มีภูมิธรรม

    คนเหล่านี้จิตจะตกบ่อยมาก อาจจะถึงขึ้นปรามาสท่านผู้มีภูมิธรรมบ่อยครั้ง ยิ่งท่านที่มีภูมิธรรมมากเท่าใดก็จะยิ่งเป็นกรรมหนักติดตัว และกรรมหนักนี้จะไปขวางทางให้ไม่พบกับความเจริญในชาตินี้ หลายท่านที่มีวิบากกรรมไม่ดีติดตัวมามาก เวลาไปไหว้พระไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูป พระสงฆ์ แทนที่จะได้บุญกลับได้บาปแทน เพราะมือก้มลงกราบแต่ใจกลับไปคิดในทางต่ำไม่ว่าเรื่องใดก็ตามต่อตัวแทนของพระพุทธเจ้าที่อยู่ตรงหน้า

    ครูบาอาจารย์ท่านเมตตาบอกวิธีแก้ไขเอาไว้ว่า ในทุกครั้งที่ทำการสวดมนต์ให้ทำการสวดขอขมาพระรัตนตรัยเสียก่อนดังนี้



    คำขอขมาพระรัตนตรัย

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (ว่า 3 จบ)

    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง

    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต้ อุกาสะ ขะมามิ ภันเตฯ

    “หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี

    ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดอดโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ”

    จากนั้นให้นำดอกไม้ถ้าเป็นดอกบัว 3 ดอกจะยิ่งดีขึ้น ให้ไปกราบขอขอขมาต่อหน้าองค์พระพุทธรูปที่เป็นประธานในโบสถ์วัดใดก็ได้ หรือจะทำที่บ้านก็ได้เลือกเอาที่เป็นวันพระ ยิ่งเป็นวันพระใหญ่จะยิ่งดีมากขึ้น เช่น วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา เป็นต้น

    จากนั้นให้กล่าวขออโหสิกรรม และตั้งสัจจะอธิษฐานจะไม่ทำอีก ขอเมตตาจากท่านให้ช่วยเจริญในธรรมสูงขึ้น ให้มีจิตที่มั่นคงในการสำรวมกาย วาจา ใจได้อย่าด่างพร้อย และต้องพยายามรักษาศีล 5 ทำสมาธิ ตั้งใจทำไปเรื่อยๆ ความคิดต่ำแบบนี้จะค่อยๆ หายไป

    มีสหายธรรมท่านหนึ่งใช้วิธีการ “ตามจิต” ท่านแนะนำว่า ความคิดแรกหลังจากนั้นอย่าไปกลัว อย่าไปเครียด อย่าไปด่าตัวเอง หรือไปคิดว่าอยากให้มันหยุด อยากให้มันหายจากสิ่งที่เป็นอยู่ อย่าไปกังวลใจ เมื่อจิตรู้ทันและจับความคิดชั่วนั้นได้แล้วให้ลองกำหนดลมหายใจเข้าออกยาวๆ ลึกๆ สักพัก ให้นึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ว่าแก้ว 3 ประการ นี้ยิ่งใหญ่ที่จะช่วยให้เหล่าสรรพสัตว์พ้นทุกข์ได้จริง เราเป็นเพียงสรรพสัตว์ตัวเล็กๆ ด้วยพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ทำให้เราอิ่มเอิบใจเห็นทางสว่างที่จะพบสุข ให้คิดเรื่องพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้าให้มากๆ ฝึกให้ใจไปทางกุศล เรื่องชั่วนี้ๆ จะถูกลบออกไปในที่สุด

    เรื่องปรามาสผู้มีภูมิธรรมนั้น หากเราแก้ไขได้สำเร็จ นอกจากลดกรรมแล้วยังเป็นการเพิ่มพลังทางใจให้มีกำลังมากขึ้น เป็นบาทฐานในการฝึกวิปัสสนากรรมฐานให้เจริญก้าวหน้าได้เร็ว

    ที่มา: อธิษฐานอย่างไรให้ปาฏิหาริย์มีจริง |
    อธิษฐานอย่างไรให้ปาฏิหาริย์มีจริง
     

แชร์หน้านี้

Loading...