อธิบายโคตรภูญาณ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย 100ลีลา, 15 มกราคม 2008.

  1. 100ลีลา

    100ลีลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2008
    โพสต์:
    456
    ค่าพลัง:
    +1,855

    [​IMG]
    ขอให้อธิบายโคตรภูญาณ</B>​
    โครภูญาณ จิตมันอยู่ระหว่าง โลกีย์ กับ โลกุตตระ คือ ความเป็นคนกับความเป็นพระอริยเจ้า ท่านเปรียบเหมือนกับ ลำรางเล็ก ๆ น่ะ คือ ขาหนึ่งยืนอยู่นี่ อีกขาหนึ่งฝ่ายโลกีย์ ยังยกไม่ขึ้น
    ทีนี้อารมณ์ของโคตรภู เราต้องรู้ว่า ขณะใด เราเข้าถึงโคตรภู ไอ้พูด ตามตำรานี่ มันพูดได้ ไม่ยากหรอก แต่ตัวเข้าถึงนี่ซี ถ้าเราเป็นฝ่ายวิชชาสามนะ มันเห็นชัด คือ เวลาที่เราถอดจิตขึ้นไป ตามปกติเราจะท่อง เที่ยวแต่เฉพาะในส่วนของโลกีย์ใช่ไหม จะเป็นเมืองมนุษย์ก็ดี อบายภูมิก็ดี เทวดา พรหมก็ดี แต่ส่วนโลกุตตระเราจะเข้าไม่ได้ ไม่สามารถจะเห็น แต่ถ้าอารมณ์ของจิตเข้าถึงโคตรภู เราจะเห็นพระนิพพานชัด
    ถ้าพูดถึงอารมณ์ อันดับแรก อารมณ์มันจะยึดตัว "ธรรมดา" คือ ใครด่า เขาด่าก็ว่าเป็นธรรมดา เกิดมาต้องมีคนเขาด่าว่า อันที่จริงก็โมโหเหมือนกันนะ แต่โมโหแล้วมันปล่อยไม่เกาะอยู่ ถ้ายังไม่ได้ อนาคามี อย่านึกว่า ไม่มีโมโห โทโส มีโกรธ เหมือนกัน โกรธเดี๋ยวเดียว แต่ไม่ไปอาฆาต ไม่ไปทำร้ายเขาแล้วมัน ก็หายไป เห็นอะไรๆ มันก็ธรรมดา ถ้าไปเจอะคน ตายมันก็วาบหวิวไปนิดหนึ่ง ประเดี๋ยวตัว "ธรรมดา" มันก็ปรากฏ
    ถ้าอารมณ์เข้มขึ้น มันก็ยัน "ธรรมดา" อยู่เสมอ แต่ก็ยังมีสะท้านอยู่บ้าง ในขณะเดียวกัน ก็มีอารมณ์รักพระนิพพานเป็นที่สุด ใครจะพูดเรื่องอะไร ก็ฟังได้ แต่ฉันไม่เอาด้วย ฉันจะไปนิพพาน นี่สำหรับพวกมี วิชชาสาม ส่วนพวกสุกขวิปัสสโก ก็ต้องสังเกตอารมณ์ เอาว่ายึด "ธรรมดา" และรักพระนิพพานเพียงใด ถ้ารักมากก็ชื่อว่าเข้าถึง โคตรภู ต้องสังเกตตรงนี้ ไม่ใช่ว่าเราไปแกล้ง "ธรรมดา" นะ ต้อง "ธรรมดา" นะ ของมันเป็นปกติ จิตจะรักพระนิพพานเป็นอารมณ์จริง ๆ แต่ถ้าไปนิพพานไม่ได้อย่างอื่นก็ต้องการ คือ จะไปพักสวรรค์พักพรหมโลก พักเพื่อหวังนิพพาน จะทำอะไรก็ตามไม่หวังผลตอบแทนฉันหวังจะไปนิพพาน นี่คือ อารณ์โคตรภู
    ถึงโคตรภูแล้วสงสัยว่าเราจะเป็น พระโสดาบัน ก็มานั่งไล่เบี้ย สังโยชน์สาม ดูว่า สักกายทิฏฐิ เราเป็นอย่างไร เรารู้หรือเปล่าว่า ร่างกายมันจะพัง ตัวของเรา ตัวของคนอื่นน่ะ รู้หรือเปล่าว่ามันจะพัง มันจะตาย รู้ว่าจะตาย ความจริงก็มีจิตห่วงนั่นห่วงนี่บ้าง พระโสดาบันนี่ยังห่วง แต่ว่าห่วงไม่มาก ถ้ามันจะตายจริงๆก็ เอวังกิ่ม ฉันจะไปนิพพานนะ
    สังโยชน์ที่สอง วิจิกิจฉา เราไม่สงสัยในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่ว่า "ไม่สงสัย" นี่ไม่ใช่ว่านึกเอา นะต้องปฏิบัติด้วย ต้องแน่ใจว่า เกิดแก่เจ็บตายนี่เป็นของมีจริงใช่ไหม เชื่อเหลือเกินว่า เราเกิดมานี่ต้องแก่ ไอ้การป่วยไข้ไม่สบายนี่ มันต้องมีแน่ ถ้ามันมีขึ้นมา เราก็ไม่ตกใจ การรักษาพยาบาล ถือเป็นของ ธรรมดา เพราะถือเป็นการระงับเวทนา แม้พระพุทธเจ้า แม้พระอรหันต์ทุกองค์ท่านก็ต้องรักษา แต่ในระหว่างรักษาตัว ก็นึกว่า จะระงับได้หรือไม่ได้ จะทรงอยู่ได้ หรือไม่ได้ก็ตามใจมัน ถ้าเกิดทุกเวทนามาก รักษาพยาบาลแล้ว อาการมันไม่ลด ก็ตามใจมันซี ฉันจะทนให้แกทรมาน ประเดี๋ยวเดียว แล้วฉันก็จะไปนิพพาน อารมณ์มันตัดตรงนี้นะ
    ทีนี้มาสังโยชน์ข้อที่ 3 ศีล 5 ไม่ต้องระวังจะทรงไว้เป็นปกติ อันนี้เป็น พระโสดาบัน กับ สกิทาคามี แต่ ว่าพระโสดาบัน ก็ยังมีลูกมีหลานได้อย่างคนทั่วไป กิเลสมันไม่ได้ตกไป กามราคะไม่ได้ตกไป ยังมีความรัก ความโลภ ความโกรธ แต่ว่า ไม่เป็นภัยแก่คนอื่น โกรธน่ะโกรธ แต่ไม่ฆ่าใครจริง ทำท่าย๊องแย๊งๆไปยังงั้น ความรักก็ยังรักอยู่ แต่ว่า เวลามันจะไปจริง ๆ ก็คลายได้ ความหลงก็ยังมีอยู่ว่า เอ๊ะ นี่กูนี่หว่า ไอ้นั่นก็ของกู ไอ้นี่ก็ของกู ยังมีอยู่ แต่ว่าหลงไม่หนัก
    มาถึง สกิทาคามี ตัวนี้ซียุ่ง ถ้าคนที่เข้าถึง สกิทาคามี ไม่รู้ตัวจริงๆ ละก็นึกว่าตัวเป็น พระอนาคามี ลักษณะอาการอย่างนี้ เคยไปไล่เบี้ยคนอื่นมาแล้ว ล่อเสียทุกองค์แหละทีแรกนึก ว่า เอ๋ ข้าว่าข้าได้ อนาคามี แล้วนี่หว่า ไปๆ มาๆ ไม่ยักใช่แฮะ เพราะ ไอ้กามารมณ์นี้น่ะ ตัวอยากมันไม่มีเลย ความรักในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส หรือเรียกว่า ความต้องการในเพศตรงกันข้าม มันไม่มีอยู่เลย แต่โน่นซี อีตอนอารมณ์ ฌานสบายๆ บางทีโผล่มาแล้ว นั่นแน่! ตัว อนุสัย ตีหัวเข้าบ้านเลย คือโผล่เข้ามานิดหนึ่ง พอเขารู้ตัวเขา ขับมันมันก็วิ่งเปิดไป นี่ตัวอนุสัย นานๆ ก็ย่องมาเสียที จนบางท่านคิดว่า ตัวเป็นอนาคามีไปแล้ว ไม่ใช่บางท่านหรอก ฉันว่า ร้อยเปอร์เซ็นต์เทียวแหละ ถามใครมันก็อีแบบนี้ทุกคน ตอนต้นดีใจ นึกว่าอนาคามีแล้วนะ ที่ไหนได้ 2-3 เดือนพ่อย่องมาโผล่หน้าแผล็บ โผล่ไม่นานนะ นาทีสองนาทีเท่านั้น
    เขาคอยสะกิดหลัง บอกว่า ยังไม่ถึงหรอกโว้ย คือ ชักจะปรารภ ไอ้รูปสวยสดงดงาม ไอ้เสียงเพราะ อะไรนี่ มันชักจะต้องการ มีความรูสึกขึ้นมาเอง พอรู้สึกปั๊บ กำลังเขาสูงเสียแล้ว เขาตบหัวแล้วไปเลย จิตก็ตกไป พอรู้ตัวก็ต้องเร่งรัด ต้องเร่ง สักกายทิฏฐิ หากถึง โสดาบัน ได้ มันก็ยึดหัวหน้า ได้แล้วนี่ ยกพลขึ้นบกได้แล้ว โจมตีแหลก มองดูก่อนอีจุดไหนแข็งมาก ก็ยังไม่ตี ล่อหน่วยลาดตระเวนเล็กๆ ไปก่อนจะไปตีฐานทัพใหญ่ เราเห็นจะแหลกเอง
    เมื่อถึงสกิทาคามีแล้ว อนาคามีก็ไม่ยากนักหรอก ตัดกามฉันทะความรู้สึกในทางเพศหมดไปเลย หายไปเลย อันนี้ แน่นอน ไม่กำเริบ ทีนี้ไอ้ความโกรธ ความพยาบาท ความกระทบกระทั่ง มันกระทบจิต พับตกเลย คือ ไม่พอใจเหมือนกัน แต่แป๊บเดียวหายเลย ไม่ใช่ไม่รู้สึก
    พอถึง อนาคามี แล้ว ไม่ยึดหรอกเรื่อง อรหันต์ ชาตินี้ไม่ได้ เราก็ไปนิพพาน เอาตอนเป็นเทวดา น่น หมดเรื่องกัน เพราะได้อนาคามีแล้ว เขาไม่ลงมาเกิดกันอีก ไม่เป็นเทวดา เป็น พรหมแล้วอยู่นั่นบำเพ็ญ บารมีเป็นอรหันต์ไปเลย สกิทาคามี ยังลงมาอีกครั้งหนึ่ง
    โสดาบัน แบ่งเป็น 3 พวก สัตตขัตตุปรมะ โกลังโกละ กับ เอกพิชี ฉันขึ้น สัตตขัตตุปรมะ ก่อน เพราะว่า ถ้ามีบารมีอ่อนอยู่ ก็ต้องลงมาเกิดเป็นมนุษย์อีก 7 ชาติ แช่อยู่แค่มนุษย์นี่แหละ เปรต หรือ นรก ไม่ไป บาปจะมีอยู่เท่าไร ก็ช่างมัน ไอ้เจ้าหนี้ไม่มีทางจะได้หรอกเงินต้น จะได้ก็ได้ดอกของดอกเบี้ย เท่านั้น แค่ดอกเบี้ยก็ไม่เต็มนะ คือมันจะมารบกวน ในขณะที่มีขันธ์ 5 คือเกิดเป็นมนุษย์ ไอ้บาปเก่าๆ มันก็จะทำให้เจ็บป่วยบ้าง ของหายบ้าง ไฟไหม้บ้านบ้าง น้ำท่วมบ้านบ้าง ก็ตามเรื่องตามราวไป
    แต่มีเกณฑ์ว่า 7 ชาติเป็นอรหันต์ ถ้าหากว่า โกลังโกละ ก็เกิดอีก 3 ชาติเป็นอรหันต์ ถ้าเอกพิชีก็ 1 ชาติ
    คือ ลงมาชาตินั้น ก็เป็นอรหันต์เลย พระสกิทาคามี ก็ลงมาเหมือนกัน แต่เขาบางกว่า สะกิดปั๊บเดียว เป็นอรหันต์เลย แต่ถ้าเป็นพระอนาคามี ไม่ลงมาเกิดเป็นเทวดา หรือพรหมแล้ว บำเพ็ญบารมีไปเลย นี่ว่ากันตามแบบนะ แต่ถ้าเราจะว่ากันอีกแบบหนึ่ง ถึงความเป็นอรหันต์นี่น่ะ ถ้าเราหากินเป็น คือ ฉลาดสักนิดหนึ่ง ชาตินี้ถ้าเราตั้งใจ พอใจธรรมส่วนไหน เช่น เวลานี้เราต้องการ พุทธานุสติกรรมฐาน พุทโธ ๆ ใครไป บ้านไหนเมืองไหนก็ช่าง ใจฉัน พุทโธ พุทโธ ด้วยความเต็มใจมากบ้าง น้อยบ้าง ดีบ้าง ชั่วบ้าง ก็ตามเรื่องของมัน วันนี้ได้ 30 นาที พรุ่งนี้ได้ 5 นาที มะรืนนี้ได้ 3 นาที บางวันได้ชั่วโมงหนึ่งก็ตามเรื่องตามราวแต่ ว่าตั้งใจจริง ๆ ด้วยอำนาจของ พุทโธ หรือ จะใช้อะไรก็ช่าง ฉันไม่จำกัด "พุทโธ" นะ จะ สัมมาอรหัง นะมะพะทะ หรือ นะโมพุทธายะ อะไรก็ตามเถอะ ตั้งใจใน ธรรมะ หรือ ในทานบารมี ศีลบารมี จุดใด จุดหนึ่ง เป็นชีวิตจิตใจ เอาจริง ๆ นะ รักจริง ๆ ตายไป ก็นั่งพักอยู่แค่เทวดา หรือพรหม พอถึงเวลา หมดอายุขัย ก็ลงมาใหม่ แต่ก็ไม่แน่นะ เทวดา หรือพรหม ไม่แน่ว่าจะรอให้หมดอายุ พวกชอบโดดลงมาก่อนก็เยอะ คือ เห็นมีจังหวะจะบำเพ็ญได้ ก็โดดปุ๋ปลงมาทีเดียว ถ้าโดดลงมาพบพระพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ ท่านก็ย่อมรู้นิสัย คือ หมายถึงพระอรหันต์ที่มีวิชชาสามขึ้นไป หรือไม่งั้นพระพุทธเจ้า พอท่านเห็นหน้าท่าน ก็รู้ว่าอีตานี่ "พุทโธ" มาแต่ชาติก่อน ข้ารู้ยายนี่ชอบให้ทานมาตั้งแต่ชาติก่อนข้ารู้ ท่านก็ไม่เทศน์อะไรละ เทศน์ไปแกะไอ้ผลเก่านั่นแหละ อีชาตินั้นละไปเลย เป็นอรหันต์ไม่เห็นยากหากินง่าย ๆ
     
  2. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,802
    ค่าพลัง:
    +18,984
    เอามาเน้นให้อ่านอีกทีครับ อนุโมทนาสาธุที่นำมาให้อ่านกัน


    โครภูญาณ จิตมันอยู่ระหว่าง โลกีย์ กับ โลกุตตระ คือ ความเป็นคนกับความเป็นพระอริยเจ้า ท่านเปรียบเหมือนกับ ลำรางเล็ก ๆ น่ะ คือ ขาหนึ่งยืนอยู่นี่ อีก
    ขาหนึ่งฝ่ายโลกีย์ ยังยกไม่ขึ้น



    ทีนี้อารมณ์ของโคตรภู เราต้องรู้ว่า ขณะใด เราเข้าถึงโคตรภู ไอ้พูด ตามตำรานี่ มันพูดได้ ไม่ยากหรอก แต่ตัวเข้าถึงนี่ซี ถ้าเราเป็นฝ่ายวิชชาสามนะ มันเห็นชัด คือ เวลาที่เราถอดจิตขึ้นไป ตามปกติเราจะท่อง เที่ยวแต่เฉพาะในส่วนของโลกีย์ใช่ไหม จะเป็นเมืองมนุษย์ก็ดี อบายภูมิก็ดี เทวดา พรหมก็ดี แต่ส่วนโลกุตตระเราจะเข้าไม่ได้ ไม่สามารถจะเห็น แต่ถ้าอารมณ์ของจิตเข้าถึงโคตรภู เราจะเห็นพระนิพพานชัด

     
  3. panuwat_cps

    panuwat_cps เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    105
    ค่าพลัง:
    +433
    อนุโมทนาครับ ผมก็พยายามอยู่นะ เพราะเบื่อเกิดแระนึกถึงความตายทีไรหดหู่ทุกที เพราะคิดว่าหากตายเมื่อไรก็ต้องเกิดเมื่อเกิดก็ต้องทุกข์อีกนะแหละ
    อย่างว่านะครับกิเลสนี่อ่ะ ละอยากจริงๆ มีสัญญารู้จำว่าจะละอย่างไรแต่ก็ยังขาดปัญญาเพื่อละกิเลสอยู่ดี อิอิ
     
  4. เซอร์จอห์น

    เซอร์จอห์น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +21
    ผมเคยถามหลวงพี่ท่านหนึ่งครับ แต่ไม่ขอเอ่ยนาม ท่านสอนกรรมฐานครับ ว่า อารมณ์โคตรภูญาน เป็นอย่างไร คือตอนนั้นผมมีความรู้สึกอย่างนึงคือ อารมณ์โคตรภูญาน ซึ่งผมเคยอ่านจากหนังสือของหลวงพ่อนานแล้ว แล้วก็ลืมไปแล้ว ผมเลยขอถามเพิ่มเติมจากท่าน ท่านตอบผมอย่างนี้ครับ "เราต้องรู้ก่อนว่า เราโคตรภูญาน แบบไหน ระหว่าง โลกียะ กับ โลกุตระ หรือ ระหว่าง โสดาบัน กับ สกิทาคามี หรือ ระหว่าง สกิทาคามี กับ อนาคามี หรือ ระหว่าง อนาคามี กับ อรหันต์ เราต้องรู้ด้วยว่า เราอยุ่ระหว่างไหน" ท่านตอบแบบนี้ เป็นความรู้ใหม่ครับ... เท่าที่ผมอ่านจากที่หลวงพ่อเขียนไว้ จะอยู่ระหว่างโลกียะ กับ โลกุตระ คือ ก่อนที่จะเข้าความเป็นพระโสดาบัน ..... ผมเลยอยากให้ทุกท่านทราบด้วยครับ ขอบคุณมากครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...