อชครเปรต เปรตถูกไฟไหม้ เพราะกรรมของตนเอง (กฎแห่งกรรม)

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 1 ธันวาคม 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,025
    วิถีชีวิตของคนทุกคนนับตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกชีวิตจะดำเนินไปในทางดีหรือทางชั่ว ก็ขึ้นอยู่กับกรรม หรือการกระทำที่ตนทำไว้ทั้งสิ้น ดังพระพุทธวจนะว่า “กมฺมุนา วตฺตตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” นั่นคือ ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากกรรมเก่าที่ได้เคยกระทำไว้ในอดีตในชาติเดียวกัน หรือในอดีตชาติ อีกส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากกรรมใหม่ที่สร้างขึ้นเอง ทางกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม

    ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภเรื่องอชครเปรต ตรัสพระธรรมเทศนาว่า

    “อันคนพาล ทำกรรมทั้งหลายอันลามกอยู่ย่อมไม่รู้ (สึก)
    บุคคลมีปัญญาทราม ย่อมเดือดร้อน ดุจถูกไฟไหม้ เพราะกรรมของตนเอง”


    มาศึกษาการให้ผลของกรรมตามเหตุที่ได้กระทำไว้จากเรื่องราวในอดีตจากเรื่องอชครเปรต ที่วันนี้นำมาฝากชาวห้องศาสนานะครับ <!--MsgFile=0-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    [​IMG]พระมหาโมคคัลลานะเห็นเปรตถูกไฟไหม้[​IMG]

    ในสมัยหนึ่ง พระมหาโมคคัลลานเถระกับพระลักขณเถระลงจากเขาคิชฌกูฏ ได้เห็นสัตว์ชื่ออชครเปรต ประมาณ 25 โยชน์ ด้วยจักษุทิพย์ เปลวไฟตั้งขึ้นแต่ศีรษะของเปรตนั้น ลามถึงหางตั้งขึ้นแต่หางลามถึงศีรษะ ตั้งขึ้นแต่ข้างทั้ง 2 ไปรวมอยู่ที่กลางตัว

    [​IMG]เล่าการเห็นเปรตให้พระลักขณเถระฟัง[​IMG]

    พระเถระครั้นเห็นเปรตนั้นแล้ว จึงยิ้ม อันพระลักขณเถระถามเหตุแห่งการยิ้มแล้วก็ตอบว่า “ผู้มีอายุ กาลนี้ ไม่ใช่กาลพยากรณ์ปัญหานี้ ท่านค่อยถามผมในสำนักพระพุทธเจ้าเถิด” เที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ ในกาล ไปยังสำนักพระพุทธเจ้า พระลักขณเถระถามแล้ว จึงตอบว่า “ผู้มีอายุ ผมได้เห็นเปรตคนหนึ่งในที่นั้น อัตภาพของมันชื่อว่ามีรูปอย่างนี้ ผมครั้นเห็นมันแล้ว ได้ทำการยิ้มด้วยความคิดเห็นว่า “อัตภาพเห็นปานนี้ เราไม่เคยเห็นเลย” <!--MsgFile=1-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td><td rowspan="2" bgcolor="#000000" valign="top"><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td width="10">[SIZE=-3] [/SIZE]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    [​IMG]พระพุทธเจ้าก็เคยทรงเห็นเปรตนั้น[​IMG]

    พระพุทธเจ้า เมื่อจะตรัสคำเป็นต้นว่า “ภิกษุทั้งหลาย สาวกของเราเป็นผู้มีจักษุอยู่หนอ” ทรงรับรองถ้อยคำของพระเถระแล้วจึงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เปรตนั้นแม้เราก็ได้เห็นแล้วที่โพธิมัณฑสถานเหมือนกัน แต่เราไม่พูด เพราะคิดเห็นว่า “ก็แลชนเหล่าใดไม่พึงเชื่อคำของเรา ความไม่เชื่อของคนเหล่านั้น พึงเป็นไปเพื่อหาประโยชน์เกื้อกูลมิได้” บัดนี้เราได้โมคคัลลานะเป็นพยานแล้วจึงได้พูด อันภิกษุทั้งหลายทูลถามบุรพกรรมของเปรตนั้นแล้ว จึงทรงพยากรณ์ว่า

    [​IMG]บุรพกรรมของอชครเปรต[​IMG]

    “ดังได้ยินมา ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสป เศรษฐีชื่อว่าสุมงคล ปูที่พื้นด้วยแผ่นอิฐทองคำ ให้สร้างวิหารในที่ประมาณ 20 อุสภ ด้วยทรัพย์ประมาณเท่านั้นแล้ว ก็ให้ทำการฉลองด้วยทรัพย์ประมาณเท่านั้นเหมือนกัน วันหนึ่งท่านเศรษฐีไปสู่สำนักพระพุทธเจ้าแต่เช้าตรู่ เห็นโจรคนหนึ่งนอนเอาผ้ากาสาวะคลุมร่างตลอดถึงศีรษะ ทั้งมีเท้าเปื้อนโคลน อยู่ในศาลาหลังหนึ่ง ใกล้ประตูพระนครจึงกล่าวว่า “เจ้าคนนี้ มีเท้าเปื้อนโคลน คงจักเป็นมนุษย์ที่เที่ยวเตร่ในเวลากลางคืนแล้วมานอน” <!--MsgFile=2-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    [​IMG]กรรมชั่วให้ผลชั่ว[​IMG]

    โจรเปิดหน้าเห็นเศรษฐีแล้วก็ผูกอาฆาตไว้ ได้เผานาของเศรษฐี 7 ครั้ง ตัดเท้าโคทั้งหลายในคอก 7 ครั้ง เผาเรือน 7 ครั้ง เขาไม่อาจให้ความเคืองแค้นดับได้ จึงทำการสนิทชิดเชื้อกับคนใช้ของเศรษฐีนั้นแล้ว ถามว่า “อะไร เป็นที่รักของเศรษฐี นายของท่าน” ได้ฟังว่า “วัตถุเป็นที่รักยิ่งของเศรษฐีอื่นจากพระคันธกุฎี ย่อมไม่มี” คิดว่า “เอาละ เราจักเผาพระคันธกุฎี ยังความแค้นเคืองให้ดับ” เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จบิณฑบาต จึงทุบหม้อน้ำสำหรับดื่มและสำหรับใช้ ได้จุดไฟที่พระคันธกุฎีแล้ว
    เศรษฐี ได้ทราบข่าวว่า พระคันธกุฎีถูกไฟไหม้ จึงมาถึงดูพระคันธกุฎีที่ไฟไหม้ ก็มิได้ทำความเสียใจแม้สักเท่าปลายขนทราย ปรบด้วยมือข้างขวาอย่างขนานใหญ่
    ขณะนั้น ประชาชนยืนอยู่ ณ ที่ใกล้ ถามท่านเศรษฐีว่า “นายขอรับ เพราะเหตุไร ท่านจึงปรบมือ ในเวลาที่พระคันธกุฎีซึ่งท่านสละทรัพย์สร้างไว้ถูกไฟไหม้เล่า”
    เศรษฐีตอบว่า “พ่อแม่ทั้งหลาย .... ข้าพเจ้ามีใจยินดี ปรบมือด้วยคิดว่าเราจักได้สละทรัพย์สร้างพระคันธกุฎี ถวายพระพุทธเจ้าอีก”
    ท่านเศรษฐีสละทรัพย์สร้างพระคันธกุฎีอีก ได้ถวายแด่พระพุทธเจ้าซึ่งมีภิกษุ 2 หมื่นรูปเป็นบริวาร
    โจรเห็นกิริยานั้นแล้วคิดว่า “เอาเถอะ เราจักฆ่ามันเสีย” ดังนี้แล้ว จึงซ่อนกฤชไว้ในระหว่างผ้านุ่ง แม้เดินเตร่อยู่ในวิหารสิ้น 7 วัน ก็ไม่ได้โอกาส
    ฝ่ายมหาเศรษฐี ถวายทานแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขสิ้น 7 วัน ถวายบังคมพระพุทธเจ้าแล้ว กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุรุษผู้หนึ่งเผานาของข้าพระองค์ 7 ครั้ง ตัดเท้าโคในคอก 7 ครั้งเผาเรือน 7 ครั้ง บัดนี้ แม้พระคันธกุฎี ก็จักเป็นเจ้าคนนั้นแหละเผา ข้าพระองค์ขอให้ส่วนบุญในทานนี้แก่เขาก่อน” <!--MsgFile=3-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    [​IMG]ผู้ทำกรรมดีย่อมชนะผู้ทำกรรมชั่ว[​IMG]

    โจรได้ยินคำนั้น ระทมทุกข์ว่า “เราทำกรรมอันหนักหนอ เมื่อเป็นเช่นนั้นบุรุษนี้ก็มิได้มีแม้สักว่าความแค้นเคืองในเราผู้ทำผิด ยังกลับให้ส่วนบุญในทานนี้แก่เราก่อนเสียด้วย เราคิดประทุษร้ายในบุรุษไม่สมควรเลย ” จึงไปหมอบลงที่ใกล้เท้าของเศรษฐี กล่าวว่า “นายขอรับ ขอท่านจงกรุณาอดโทษแก่ผมเถิด เมื่อเศรษฐีกล่าวว่า “อะไรกันนี่” จึงเรียนว่า “นายขอรับ ผมได้ทำกรรมประมาณเท่านี้ ๆ ขอท่านจงอดโทษนั้นแก่ผมเถิด”
    ทีนั้น เศรษฐีถามกรรมทุก ๆ อย่างกะเขาว่า “เจ้าทำกรรมนี้ด้วย นี้ด้วย แก่เราหรือ” เมื่อเขารับสารภาพว่า “ขอรับผมทำ“ เศรษฐีกล่าวต่อว่า “เราไม่เคยเห็นแจ้งเลย เหตุไรเจ้าจึงโกรธ ได้ทำอย่างนั้นแก่เรา”
    เขาเตือนให้เศรษฐีระลึกถึงคำที่ตนผู้ออกจากพระนครในวันหนึ่ง พูดแล้ว ได้บอกว่า “ผมเกิดความแค้นเคืองขึ้นเพราะเหตุนี้”
    เศรษฐีระลึกถึงภาวะแห่งถ้อยคำที่ตนพูดได้แล้ว ให้โจรอดโทษให้ด้วยถ้อยคำว่า “เออพ่อ เราพูดจริง เจ้าจงอดโทษข้อนั้นแก่เราเถิด” แล้วกล่าวว่า “ลุกขึ้นเถิด เราอดโทษให้แก่เจ้าละ เจ้าจงไปเถิด”
    โจร. นายขอรับ ถ้าท่านอดโทษแก่ผมไซร้ ขอจงทำผมพร้อมทั้งบุตรและภริยา ให้เป็นทาส ในเรือนของท่านเถิด
    เศรษฐี. เราไม่มีกิจเกี่ยวด้วยเจ้าผู้จะอยู่ในเรือน เราอดโทษให้แก่เจ้า ไปเถิด พ่อ
    โจรครั้นทำกรรมนั้นแล้ว ในกาลสิ้นอายุ บังเกิดแล้วในอเวจีไหม้ในอเวจีสิ้นกาลนาน ในกาลบัดนี้ เกิดเป็นอชครเปรต ถูกไฟไหม้อยู่ที่เขาคิชฌกูฏ ด้วยวิบากที่ยังเหลือ

    พระพุทธเจ้า ครั้นตรัสบุรพกรรมของเปรตนั้นอย่างนั้นแล้ว จึงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาคนพาล ทำกรรมอันลามกอยู่ย่อมไม่รู้ แต่ภายหลังเร่าร้อนอยู่เพราะกรรมอันตนทำแล้ว ย่อมเป็นเช่นกับไฟไหม้ป่า ด้วยตนของตนเอง” <!--MsgFile=4-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    ภาพประกอบจากนักเดินทาง ข้อมูลจากพระธัมมปทัฏฐกถาแปล
    วิทยานิพนธ์ของคุณอัมพร หุตะสิทธิ์ ขออนุโมทนามา ณ โอกาสนี้ครับ

    อชครเปรตเมื่อโจรนั้นสิ้นอายุก็ได้ไปบังเกิดในอเวจีเป็นเวลานานได้เกิดเป็นอชครเปรต ถูกไฟไหม้อยู่ที่เขาคิชกูฏ ด้วยวิบากกรรมที่เหลือ สงเคราะห์เข้าในกรรม ๑๒ หมวด ๑ คือ กรรมให้ผลตามคราว ประเภทอุปปัชชเวทนียกรรม หรือกรรมให้ผลในชาติต่อไป คือไปบังเกิดในอเวจี และยังสงเคราะห์เข้าในกรรม ๑๒ หมวด ๑ ประเภทอปราปรเวทนียกรรม หรือกรรมให้ผลในภพสืบต่อไป คือให้ผลเรื่อยไป สบโอกาสเมื่อใดให้ผลเมื่อนั้น นั่นคือได้ไปเกิดเป็นอชครเปรตถูกไฟไหม้ ด้วยเศษกรรมที่เหลือนี่เองครับ
    ภาพเปรตวัดไผ่โรงวัวครับ [​IMG] <!--MsgFile=5-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    ที่มาค่ะ..http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4924753/Y4924753.html

    </center>​
    </center>​
    </center>​
    </center>​
    </center>​
    </center>
     

แชร์หน้านี้

Loading...