หาความสุขด้วยการภาวนา(หลางตามหาบัว ญาณสัมปันโน)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย HipPo*, 10 พฤศจิกายน 2007.

แท็ก: แก้ไข
  1. HipPo*

    HipPo* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    3,101
    ค่าพลัง:
    +7,908
    หาความสุขด้วยการภาวนา ลต.มหาบัว


    เวลาเราบำเพ็ญมาก ๆ ใจเรายิ่งสงบเย็นกว่านี้ จนแสดงเป็นความแปลกประหลาด เป็นความอัศจรรย์ขึ้นมาในใจ ทั้งวันทั้งคืน ยืน เดิน นั่ง นอน ไปที่ไหนมีแต่ความสงบเย็นหล่อเลี้ยงจิตใจไปตลอด เพราะอำนาจแห่งธรรมซึ่งเป็นน้ำดับไฟ คือคำบริกรรม เรานึกอยู่เสมอ ธรรมนั้นก็หล่อเลี้ยงจิตใจ ระงับดับทุกข์ภัยเวรทั้งหลายไปโดยลำดับลำดา จิตใจผู้นั้นมีความสงบเย็น นี่คือผู้หาความสุข เริ่มเจอความสุขแล้ว เวลาเราอบรมให้มากขึ้น ก็ยิ่งเป็นพื้นฐานอันแน่นหนามั่นคงยิ่งขึ้น ๆ สุดท้ายผู้นั้นก็ไม่เดือดร้อนในการเป็นการตายของตัวเอง ทั้ง ๆ ที่แต่ก่อนกลัวเป็นกลัวตายเหลือประมาณ <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ทำอะไรอยู่ก็ตาม พอระลึกถึงความตาย จิตใจจะเหี่ยวแห้งยุบยอบไปทันที ไม่อยากคิดถึงเรื่องความเป็นความตายเลย เอาความเพลิดความเพลินมาคิดกลบกัน เพื่อระงับความคิดในเรื่องตายนี้เสีย อย่างนี้มีมากต่อมาก แต่เอามาคิดเท่าไรก็ไม่เกิดผลเกิดประโยชน์ ถ้าไม่คิดถูกทางด้านอรรถด้านธรรม เมื่อเราคิดถึงความเป็นความตาย ไปตามแนวของธรรมแล้ว คิดถึงความตายเท่าไร เราก็ยิ่งนึกบริกรรมของเราให้มาก แน่นหนามั่นคงยิ่งขึ้น จิตใจก็มีฐานที่ตั้งแห่งความมั่นคง อยู่ก็สบาย ตายไปก็เป็นสุขอยู่กับหัวใจนี้ เลยไม่ดีดไม่ดิ้น ไม่กลัว คำว่าจะเป็นจะตายก็ไม่กลัว เพราะจิตนี้ทั้งที่ไม่ตายด้วย ทั้งมีบุญมีกุศลหล่อเลี้ยงจิตใจของตนอยู่ตลอดเวลาด้วย จึงเป็นจิตที่ไม่หวั่นไหวต่อความเป็นความตาย <o:p></o:p>
    ผู้นี้แลคือผู้ได้รับความสุข หาที่ไหนก็ไม่เจอ เมื่อหาจากด้านอรรถด้านธรรมแล้วเราจะเจอที่ใจของเรา ให้กิเลสพาหา หาเท่าไรก็ไม่มีใครเจอ ไม่ว่าเศรษฐีกุฎุมพีพาหา คนทุกข์ คนจน หาด้วยหน้าที่การงานประการใด มันก็เป็นเรื่องของโลกของสงสาร ซึ่งต้องถูกหลอกลวงจากกิเลสอยู่เรื่อยไปจนได้นั้นแหละ เราจึงหาความสุขไม่เจอ จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายหาความสุขด้วยการภาวนา ดังสถานที่นี่ ท่านมาตั้งไว้เป็นที่อบรมจิตใจ ในเวลาว่าง แล้วก็มาสู่สถานที่เช่นนี้ บำเพ็ญจิตใจ รักษาจิตใจให้อยู่ด้วยศีลด้วยธรรม<o:p></o:p>
    จิตใจจะมีความสงบร่มเย็น พักเครื่องแห่งความหมุนของใจเสียได้เป็นลำดับลำดา มีตั้งแต่ความสงบเย็นใจเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจอยู่เสมอ ผู้นั้นจะเป็นผู้สบาย ความสบายจะหาจากที่อื่นใดไม่ได้ หาที่จิตดวงนี้แล เราบำเพ็ญธรรมตามแนวทางที่สอนไว้นี้จะต้องเจอโดยแน่นอน ไม่ผิดพลาดเป็นอื่นไปได้ ถ้าหาความสุขแบบกิเลสพาหานั้น ใครหากันทั้งโลกมีแต่คว้าน้ำเหลวๆ ไม่เคยมีใครได้ความสุขเป็นชิ้นเป็นอันมาอวดมาอ้างกันเลย พอจะมีแก่ใจดีดดิ้นไปกับกิเลส เพื่อหาความสุขอันยิ่งใหญ่กว่านี้ต่อไปได้ เราจึงต้องให้รู้<o:p></o:p>
    งานภายนอกก็มี โลกอันนี้โลกอยู่โลกกิน โลกหลับโลกนอน มีความบกพร่องต้องการ มีหิวมีกระหาย มีอยากกินอยากอยู่ อยากหลับอยากนอน อยากไปอยากมา การขับการถ่าย เป็นเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ที่เขาบกพร่อง แสดงความยุ่งเหยิงวุ่นวายมาสู่ตัวของเราผู้รับผิดชอบนี้จนได้ จึงต้องปฏิบัติต่อเขา อยู่ธรรมดาไม่ได้กินก็อยู่ไม่ได้คนหนึ่งๆ ไม่ได้หลับได้นอนอยู่ไม่ได้ ต้องวิ่งเต้นขวนขวายทั่วหน้ากัน อันนี้เราก็ให้ทราบตามหน้าที่การงานที่เกี่ยวกับธาตุกับขันธ์ในเวลามีชีวิตความเป็นอยู่ประการหนึ่ง<o:p></o:p>
    อันหนึ่งจิตที่เรียกร้องหาความช่วยเหลือจากเจ้าของ เพราะได้รับความเดือดร้อนวุ่นวายทั้งวันทั้งคืนอยู่ เราก็ควรจะมองดูใจของเรา ให้หาความสงบเย็นใจ สร้างคุณงามความดีเข้าสู่ใจเพื่อหล่อเลี้ยงจิตใจจะได้รับความสงบสุข เป็นตัวของตัวขึ้นมาภายในใจ เรียกว่าที่พึ่งภายนอกเราก็เสาะแสวงหา เช่น สมบัติเงินทองข้าวของ ตึกรามบ้านช่อง อะไรเราก็หาเพื่อความสะดวกทางร่างกาย ไปมาหาสู่ก็สะดวกสบาย ทางภายในจิตใจเรียกร้องหาความช่วยเหลือ เพราะบกพร่องความสุขอยู่มากทีเดียว เราก็อุตส่าห์พยายามเสาะแสวงหา บำเพ็ญการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ประดับประดาจิตใจไปพร้อม ๆ กัน<o:p></o:p>
    งานภายนอกเพื่อร่างกายเราก็มีพอเป็นพอไป งานภายในเพื่อธรรมเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจ เราก็บำเพ็ญพอไป ๆ ทุกวันๆ ผู้นี้แลเป็นผู้ไม่เดือดร้อน ออกข้างนอกสมบัติเงินทองข้าวของก็พอถูไถ พอเป็นไฟ เข้าข้างใน จิตใจก็ไม่เดือดร้อน พอมีบุญมีกุศลเป็นที่รับรองไว้อยู่เสมอ ผู้นี้ชื่อว่าผู้เสมอ อยู่ก็อยู่ได้ ตายไปก็เป็นสุข ไม่เหมือนกับผู้ที่ดีดดิ้นหาตามอำนาจแห่งกิเลสตัณหาโดยถ่ายเดียว โดยไม่คำนึงถึงอรรถถึงธรรม ถึงบุญ ถึงบาป ว่าเป็นประการใดบ้างเลย มีแต่ทำตามความอยาก ความทะเยอทะยาน ส่วนมากก็โกยเอาตั้งแต่เรื่องบาปเรื่องอกุศลกรรมเข้ามาหาตัวเอง เพราะความอยาก ความทะเยอทะยานนี้ ไม่คำนึงถึงเหตุผลดีชั่วประการใด จะมีแต่ความอยากทับถมไปหมด แล้วก็สร้างความชั่วขึ้นมาด้วยอำนาจแห่งความอยาก จึงเรียกว่าสร้างบาปไม่รู้ตัว เวลามันเผาก็ไม่รู้ว่าเผาเพราะบาปกรรมอันใด ก็ไม่รู้ตัวอีกเหมือนกัน แต่ยอมรับกรรมชั่วที่ตนได้รับเสวยในเวลานั้นทั่วหน้ากัน <o:p></o:p>
    จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายได้พินิจพิจารณาให้กลั่นกรอง งานทางโลกเพื่ออยู่เย็นเป็นสุขในเวลาเรามีธาตุมีขันธ์ครองกันอยู่ทั่วดินแดน ก็ให้พากันเสาะแสวงหา งานภายในคือการทำบุญให้ทาน รักษาศีล ภาวนา เพื่อเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจ หรือสมบัติของใจก็ให้พากันเสาะแสวงหา เป็นคู่เคียงกันไป อย่าปล่อยอย่าวางทั้งสองอย่าง ท่านทั้งหลายจะมีความสงบเย็นใจไปตาม ๆ กันนั้นแหละ ถ้ามีตั้งแต่สมบัติภายนอก สมบัติภายในคือบุญกุศลไม่มี ผู้นี้จะเป็นผู้เดือดร้อนมากยิ่งกว่าคนไม่มีเงินมีทองเป็นไหน ๆ ถ้าผู้มีบุญมีกุศลภายในใจ แม้จะเป็นความทุกข์ความเดือดร้อนในเรื่องการครองชีพของตน แต่ภายในใจก็ไม่เดือดร้อน นี่ต่างกัน <o:p></o:p>
    ส่วนคนไม่มีบุญมีกุศลเลย พอข้างนอกขัดข้องขาดเขินเท่านั้น ภายในก็เหือดแห้งไปตาม ๆ กัน เป็นทุกข์ทั้งร่างกายและจิตใจ ผิดกันมากนะ คนที่มีบุญมีกุศลภายในใจถึงข้างนอกจะเป็นทุกข์ขาดแคลนบ้างเป็นธรรมดา แต่ภายในใจคือบุญกุศลหล่อเลี้ยงจิตใจให้ชุ่มเย็นตลอดไป นี่ต่างกันอย่างนี้ สมบัติภายนอกคือเงินทองข้าวของ เรือกสวนไร่นา บริษัทบริวาร สมบัติภายในคือการให้ทาน การรักษาศีล การเจริญเมตตาภาวนา อบรมจิตใจให้อยู่ในอรรถในธรรมแล้วจะเป็นความสงบร่มเย็นเรื่อย ๆ ไป นี่คือสมบัติภายใน<o:p></o:p>
    ขอให้พากันเสาะแสวงไว้ให้ดี อย่าปล่อยเลยตามเลย ตั้งแต่วันเกิดจนถึงวันตายไม่ได้ความดีอะไรติดเนื้อติดตัวเลยนี้ คนนั้นเรียกว่าเป็นคนที่ซวยมากที่สุด เกิดก็ไม่ได้สารประโยชน์อะไรจากธาตุขันธ์อันนี้ ตายแล้วก็ไปจมกันด้วยความชั่วที่ตัวทำด้วยความคึกความคะนอง ไม่กลัวบาปกลัวกรรม สิ่งที่เราไม่กลัวนั้นแหละมันมาเป็นภัยต่อตัวของเราเองผู้คึกผู้คะนอง ให้พากันระมัดระวัง <o:p></o:p>
    เฉพาะอย่างยิ่งหลวงตาเทศนาว่าการที่ไหน ไม่เคยปล่อยวางเรื่องจิตตภาวนาเลย เพราะอันนี้เป็นหลักใหญ่ของพุทธศาสนา เป็นหลักใหญ่ที่จะพึ่งเป็นพึ่งตายได้ในหัวใจของคนเราทุกคน ได้แก่การอบรมจิตใจให้มีหลักมีเกณฑ์ ให้มีความสงบเยือกเย็นด้วยการอบรมภาวนา นี่เป็นสำคัญมาก แม้พระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายก็เหมือนกัน ที่เลื่องลือมาจนกระทั่งบัดนี้ คือศาสดาองค์เอกตรัสรู้ขึ้นมา และพระสงฆ์สาวกได้บรรลุธรรมตามท่านมา มาเป็นสรณะของโลก ล้วนแล้วแต่ท่านผู้สมบูรณ์พูนผลด้วยอรรถด้วยธรรมภายในใจแล้วทั้งนั้น ท่านจึงไม่มีว้าเหว่กับสิ่งใดทั้งหมด สอนโลกด้วยความเพียงพอทุกด้านทุกทาง ไม่มีทุกข์แม้เม็ดหินเม็ดทรายเข้าเจือปนในจิตของท่านที่เป็นธรรมล้วนๆ ซึ่งบำเพ็ญมาเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้วได้เลย <o:p></o:p>
    เราไม่ได้แบบท่านก็ขอให้ได้แบบลูกศิษย์มีครู ให้ระลึกถึงบุญถึงบาป ระวังเสมอนะ อย่าชินชา บาปอย่าไปชินกับมัน เหมือนกับไฟ ใครไปชินกับมันร้อนทุกคน ไฟไม่เคยปล่อยตัวในความร้อน เมื่อถูกไฟจี้เราก็ต้องร้อนไปตามมัน นี่บาปไม่เคยเป็นความชินต่อผู้ใด เราทำบาปเป็นบาปตลอดมา ใครจะปฏิเสธว่าบาปไม่มี บุญไม่มี อันนั้นเป็นความโง่เขลาเบาปัญญา ความมืดบอดของคนที่พูดออกมาด้วยความไม่รู้สึกตัวต่างหาก คำของพระพุทธเจ้า หรือธรรมของพระพุทธเจ้าพูดออกมาด้วยความรู้แจ้งแทงทะลุทุกอย่าง ว่าบาป บุญ นรก สวรรค์มี มีจริง ๆ เผาโลกได้อย่างถนัดชัดเจน พาโลกสู่สวรรค์นิพพานได้อย่างชัดเจนเช่นเดียวกันตลอดมาอย่างนี้แล<o:p></o:p>
    ขอให้พี่น้องทั้งหลายพากันบำเพ็ญทางด้านจิตใจบ้าง มีตั้งแต่การให้ทาน รักษาศีลธรรมดา แม้แต่ศีลก็ไม่ค่อยมีกัน ทานก็มีเป็นพื้นฐานแห่งชาวพุทธเรา เพียงเท่านั้นยังไม่พอกับความต้องการของใจที่เรียกร้องหาบุญหากุศล หาคุณงามความดี หาความสุขความเจริญจากเราทั้งหลายซึ่งเป็นเจ้าของนี้เลย จงพากันพยายามหาสิ่งที่บำรุงจิตใจที่เรียกร้องหาความช่วยเหลืออยู่นี้ ด้วยคุณงามความดี ใจเมื่อได้รับคุณงามความดีจากเจ้าของแล้ว จะเป็นใจที่เย็นฉ่ำภายในตัว ไปที่ไหนก็มีความสุขความสบาย โลกนี้ก็อยู่เหมือนโลกเขา แต่ใจอยู่ด้วยธรรม ตายไปแล้วธรรมเป็นเครื่องหนุนให้ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์จนได้แหละ

    ที่มา.
    http://www.luangta.com
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. bunlert

    bunlert เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +820
    อนุโมทนา ครับ

    พูดดี ทำดี คิดดี
     

แชร์หน้านี้

Loading...