หลวงพ่อโหน่งสอนกรรมฐานหลวงพ่อฤาษี

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย เงินไหลมา, 22 กุมภาพันธ์ 2010.

  1. เงินไหลมา

    เงินไหลมา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    551
    ค่าพลัง:
    +3,413
    [​IMG]

    ไปนมัสการหลวงพ่อโหน่ง<O:p</O:p

    ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ วันที่ 27 พฤษภาคม 2533
    ในตอนก่อนมาเล่าทิ้งไว้ถึงเรื่องภายในวัด ทีนี้เรื่องภายในวัดความจริงก็มีมาก การปฏิบัติตนในวัดเป็นแบบธรรมดา ๆ ไม่มีอะไรพิเศษ ไม่ใช่ใช้เวลาไปนั่งสมาธิให้ใครเห็น การทำสมาธิ ก็เป็นเวลา แต่การใช้อารมณ์วิปัสสนา ใช้เป็นปกติ แต่คำว่า ปกติ จะถือว่า เป็นผู้ชนะกิเลสไม่ได้คือ บางครั้งจิตมันก็เห็นความสวยเป็นของดี บางครั้งจิตมันก็เห็นความโกรธเป็นของดี นี่ใช้ไม่ได้<O:p</O:p
    ก็เป็นอันว่า การปฏิบัติในวัดถือว่าเป็นสภาพปกติธรรมดา ๆ ไม่ผิดแผก
    กลับมาในวัดก็ห่มผ้าสีเหลืองตามเดิม ไม่ห่มผ้าสีกรัก เพราะผ้าสีกรักจริง ๆ
    เขานิยมกันเฉพาะออกธุดงค์ เพราะเวลาไปธุดงค์ ห่มผ้าสีเหลืองตก มันก็เป็นสีขาว และต่อมามันก็จะเป็นสีฝุ่นเพราะฝุ่นจับ ก็ไม่เกิดประโยชน์ ต้องใช้ผ้าสีกรัก
    แต่ว่าเวลานี้รู้สึกจะเปลี่ยนตาลปัตรไปเวลานี้นะ โดยมากเห็นพระท่านนิยมห่มผ้าสีกรักก็เลยกลายเป็นคิดว่า พระทุกองค์เจริญสมถวิปัสสนา แต่ว่าเนื้อแท้จริง ๆ มันไม่ใช่<O:p</O:p
    รวมความว่าไม่ถือว่าใครผิด ไม่ถือว่าใครถูก ถ้าจะว่าคนห่มผ้าสีเหลืองผิด คนห่มผ้าสีกรักก็ผิด ถ้าจะว่าคนห่มผ้าสีเหลืองถูก คนห่มผ้าสีกรักก็ถูก ก็ให้มันเหมือนกันเสียก็หมดเรื่อง ทำใจให้เหมือนกัน สีไม่เป็นเรื่องสำคัญ สีผ้าไม่สำคัญเท่าสีใจ ถ้าสีใจของใครใสเป็นเพชรนั่นแหละดีที่สุด เป็นเพชรน้ำหนึ่งที่ไม่มีรอยขีด ไม่มีรอยข่วน
    ไม่มีตำหนิติเตียน ไม่มีอะไรทั้งหมด สีใจนี่สำคัญ
    ทีนี้ต่อไปก็จะขอคุยกันว่า พระที่มีสีใจสะอาดมีท่านหนึ่งคือ
    หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน
    เวลานี้เขาเปลี่ยนชื่อเป็นวัดอะไรก็ไม่ทราบ สมัยนั้นเรียก วัดคลองมะดัน อยู่ปลาย เขตอำเภอสองพี่น้องขึ้นไป ใกล้สระยายโสม หลวงพ่อปานท่านเวลาออกพรรษาไปแล้ว รับกฐินแล้ว ท่านก็ชวนพระ และญาติโยมพุทธบริษัทจากกรุงเทพฯ มีเรือยนต์ นายละไม เป็นเรือลากเดินทางเข้าผ่านประตูน้ำบางยี่หน ออกจากประตูน้ำบางยี่หนแล้ว ก็วิ่งไปทางบางใหญ่ เลยบางใหญ่ไปแล้วเรือก็วิ่งลัดทุ่ง คราวนี้ไม่เข้าประตูน้ำสองพี่น้อง วิ่งลัดไปในทุ่ง (จำทางไม่ได้หรอก ไปเที่ยวเดียว แต่ว่าเรือเขาก็เก่ง) เขาพาไปถึงวัดคลองมะดันก็เป็นตอนเย็น
    <O:p</O:p
    เมื่อถึงเวลาตอนเย็น ก็ปรากฏว่า หลวงพ่อโหน่งท่านเดินลงมารับหลวงพ่อปานที่หน้าสะพาน ต่างองค์ต่างนมัสการ ต่างองค์ต่างไหว้ ต่างองค์ต่างกราบกัน รู้สึกว่าท่านดีกันเหลือเกิน พวกเรา ก็กราบ ญาติโยมทุกคนไปก็กราบ แล้วท่านก็พาไปพักที่หอสวดมนต์ของท่าน ซึ่งใหญ่พอสมควร ขณะที่นั่งพักอยู่ หลวงพ่อปานก็โอภาปราศรัย คุยกันตามธรรมดา ๆ บรรดาญาติโยม ท่านก็ทักคนโน้นบ้าง ทักคนนี้บ้างตามสมควร<O:p</O:p
    เมื่อได้เวลาผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง หลวงพ่อปานก็บอกฝาก บอกว่า ผมขอฝากพระ 3 องค์นี่ด้วยครับ ถ้ามีอะไรจะต้องตักเตือน โปรดตักเตือนด้วย ถ้าเห็นว่ามีอะไรบกพร่องก็สอนได้เลยครับ ผมขอถวายเป็นลูกศิษย์ พวกคณะเราทั้ง 3 คน ก็เข้าไปกราบท่าน หลวงพ่อโหน่งท่านมองหน้า แล้วท่านก็บอกว่า จะให้สอนอะไร เลยกราบเรียนท่านบอกว่า สุดแล้วแต่หลวงพ่อจะเห็นสมควรครับ ท่านถามว่า บกพร่องตรงไหน ก็กราบเรียนตรง ๆ บอกว่า กิเลสทั้งหมด บกพร่องทั้งหมดครับ ท่านยิ้ม ท่านบอก ไม่จริงหรอก ก็มีคุณ 3 องค์นี่เท่านี้แหละที่มารายงานตัวผมว่า คุณเลว มีนักปฏิบัติมากมายเยอะแยะที่เขาฝึกจากผมบ้าง เขาฝึกจากอาจารย์ปานบ้าง เขาฝึกจากคนอื่นบ้าง เขามาถึง เขาก็บอกว่า เขาเป็นคนดีหมด ตั้งแต่ผมเกิดมานี่ เพิ่งเห็นลูกศิษย์อาจารย์ปาน 3 องค์นี่เท่านั้นแหละว่า เป็นคนเลว แล้วหลวงพ่อปานก็ถามว่า แล้วพากเธอเลวหรือไม่เลวล่ะ หลวงพ่อโหน่งก็บอกว่าเดี๋ยวซักซ้อมกันก่อนสิ ได้ยินว่าเลว หรือไม่เลว คำว่า เลว อาจจะมีคำว่า ดี อาจจะมี ความชั่วอาจจะมี ความดีอาจจะปรากฏแต่เจ้าตัวเองยังไม่ทราบคำว่าดี หรือไม่ทราบคำว่าเลว ที่แท้จริง อาจจะมีความสงสัยอยู่บ้างหรืออาจจะรู้ แต่ว่าแกล้งบอกว่า เลว
    <O:p</O:p
    ก็เลยกราบเรียนท่านบอกว่า ขึ้นชื่อว่าความดีจริง ๆ ยังมีไม่ถึงขอรับ ท่านถามว่า ความดีจริง ๆ มีไม่ถึง เธอมีความหมายว่าอย่างไร ก็กราบเรียนท่านบอกว่า อจิรัง วตยังกาโย ปฐวิง อธิเสสสติ ฉุฑโฑ อเปตวิญญาโณ นิรัตถังวะ กลิงครัง ข้อนี้ยังไม่ครบถ้วนขอรับท่านหัวเราะใหญ่ ชอบใจ เออ..นี่เป็นคาถาที่พระท่านสอน ที่ใกล้ ๆ กับดอนเจดีย์ใช่ไหม พวกเราฟังกันแล้วก็มองหน้ากัน ท่านบอก ไม่ต้องมองหน้ากัน มีพระ 2 องค์ใช่ไหมล่ะ ก่อนที่จะกลับน่ะ ท่านสอนว่า อจิรัง วตยัง กาโยฯ กับ อนิจจา วต สังขาราฯ ถามว่าหลวงพ่อทราบหรือครับ ท่านก็บอกว่า พระท่านเพิ่งบอกฉันเดี๋ยวนี้เอง ท่านบอกว่า ท่านสอนว่า อจิรัง วตยัง กาโยฯ กับ อนิจจา วต สังขาราฯ แต่ว่าพวกเธอทั้ง 3 คนก็ยังบกพร่องอยู่มาก อันนี้ถูกต้อง เธอคิดถูก แต่ทว่าคิดไกลเกินไป เอาอย่างนี้ดีกว่า ลองถามกันจริง ๆ เถอะ ที่ชาวบ้านเขาว่า ดี หรือไม่ดี ทิ้งเขา ปล่อยของเขา เวลานี้เธอเจอะพระไหม ก็ตอบท่านบอกว่า เจอะพระทุกเวลาขอรับ ถ้ามีอะไรขัดข้อง ถามพระได้ไหม บอก ถามได้ขอรับ แล้วพระตอบให้ฟังรู้เรื่องไหม ก็บอกว่า รู้เรื่องขอรับ พระแนะนำอย่างไร แนะนำแล้วทำตามหรือเปล่า บอก ทำตามขอรับ ท่านถามว่า ถ้าอย่างนี้ทำไมจึงถือว่า เลว ก็กราบเรียนท่านบอกว่า มันยังดีไม่พอเท่าที่พระท่านสอนนี่ขอรับ ท่านสอนทำอย่างนี้ก็ทำ แต่ผลทางด้านจิตใจมันดีไม่พอ ท่านก็ยอมรับว่าจริง<O:p</O:p
    ท่านก็กันไปหาสององค์ว่า สององค์นี่เดินทางกันคนละทางกับองค์นี้ใช่ไหม สององค์มองหน้ากันแล้วก็นิ่ง ท่านบอกว่า เธอองค์ปรารถนาสาวกภูมิใช่ไหม สององค์ก็ตอบว่าใช่ ท่านถามว่า เวลานี้สังโยชน์ 3 มีการคล่องตัวไหม ทั้ง 2 องค์ตอบว่า ไม่มีอุปสรรคขอรับ ท่านก็เลยหันมาทางอาตมาว่า เธอปรารถนาพุทธภูมิ ก็ทำอารมณ์เปรียบเทียบเข้าไปก็แล้วกัน ท่านก็เลยบอกว่า การพบพระก็ดี พบเทวดา พบพรหมก็ดี พบได้เสมอใช่ไหม
    <O:p</O:p
    หลวงพ่อปานก็บอกว่า เขาชอบปฏิปทาของพระโมคคัลลาน์ กับพระมาลัยขอรับ ปกติเขาชอบเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ แล้วตอนเช้าก็มาซักซ้อมกับผมว่า ถูกต้องไหม หลวงพ่อโหน่งท่านก็บอกว่า เอ้อ.นี่ดีมาก ๆ อย่างนี้ดีมาก อย่าเชื่อตัวเอง ต้องมีการซักซ้อม หาเหตุหาผลเพราะการเชื่อตัวเองเกินไปมันก็จะเป็น อุปาทาน<O:p</O:p
    ก็รวมความว่า คุยกับหลวงพ่อโหน่งถึงตอนนี้ ท่านก็บอกว่า เอาละ ที่เข้าใจว่าตัวเองยังไม่ดีน่ะ ถูกต้อง แต่ฉันก็คิดว่า ยังดีกว่าคนที่เขาว่า ดี ตั้งเยอะแยะ ตั้งหลายคน เพราะคนหลายคนที่เขามาหาฉัน เพียงเขามาภาวนาว่า พุทโธ ได้นิดหน่อย เขาบอกเขาดีแล้ว บางคนก็นึกถึงวิปัสสนาญาณตัวเล็กน้อย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เขาบอก เขาดีแล้ว แต่ความจริงนั่นเขาก็ดี การภาวนา นึกว่า พุทโธ ถ้าเขายึดไว้ได้ อย่างต่ำเขาก็ไปสวรรค์ได้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็เป็นวิสัยแห่ง อรหัตมรรค อรหัตผล ได้ คือ เป็นพื้นฐานขึ้นไป แต่มันยังไม่ถึง<O:p</O:p
    ก็เป็นอันว่า คุยกับหลวงพ่อโหน่ง แล้วหลวงพ่อปานก็ฝากท่านว่าในกาลต่อไปถ้าผมไม่มีโอกาสไม่พามาหา แต่ก็จะส่งมาฝึกกรรมฐานกับหลวงพ่อขอรับ หลวงพ่อโหน่งก็บอกว่า เอ้า เต็มใจ มาเมื่อไรได้เลย แล้วฉันจะสอนให้ตามที่ต้องการนะ การบรรลุมรรค บรรลุผล ใครสัญญากันไม่ได้<O:p</O:p
    ทีนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ประวัติความเป็นมาของหลวงพ่อโหน่ง ความจริง หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน ก็เขียนไว้แล้ว แต่เล่มนี้ควรจะบอกไว้สักหน่อยหนึ่ง ความเป็นมาจริง ๆ ของหลวงพ่อโหน่ง เป็นพระที่ไม่เคยศึกษาธรรมวินัยมาก่อน อ่านแล้วก็อย่าตกใจว่า ไม่รู้อะไรเลยนะ<O:p</O:p
    เมื่อท่านบวชยังไม่ได้พรรษาแรก เพิ่งบวช หลวงน้าของท่านอยู่ที่วัดโพธิ์ ท่าเตียนและหลวงน้าของท่านได้เปรียญ 9 ประโยค เป็นเจ้าคุณด้วย เมื่อท่านบวชพระเสร็จอยู่ไม่กี่วันท่านก็เข้าไปหาหลวงน้าท่านที่กรุงเทพฯ หวังจะเรียนหนังสือ หลวงน้าเห็นพระหลานชายมาก็ดีใจมาก จัดห้องจัดหับให้อยู่<O:p</O:p
    ต่อมาวันรุ่งขึ้น ท่านมีโอกาสก็ถามหลวงน้าว่า หลวงน้าขอรับ หลวงน้าเป็นเปรียญ 9 ประโยค แล้วก็เป็นเจ้าคุณด้วย ตัดกิเลสหมดไหมครับ หลวงน้าฟังแล้วก็ชอบใจ ท่านไม่ตอบ ท่านบอก โหน่ง ลองเข้าไปดูข้างในห้องฉันสิ หลวงพ่อโหน่งก็เข้าไปดู คิดว่าจะมีตำราแต่ไม่มีหรอก มีโต๊ะหมู่ทองบ้าง โต๊ะหมู่มุกบ้าง งาช้างบ้าง เครื่องประดับประดา สวยสดงดงามมาก แล้วท่านก็ออกมา บอก ไม่เห็นมีอะไรครับ เห็นมีโต๊ะหมู่ทองบ้าง โต๊ะมุกบ้าง งาช้างบ้าง เครื่องประดับต่าง ๆ บ้าง แพรวพราวเป็นระยับ สวยสดงดงาม<O:p</O:p
    หลวงน้า ก็เลยบอกว่า โหน่ง ที่ฉันให้เข้าไปดู ฉันจะได้บอกให้ทราบว่า ถ้าฉันหมดกิเลสของทั้งหลายเหล่านี้มันไม่มี ถ้ามันมี มันก็ต้องไม่ใช่ของฉัน เป็นของสงฆ์ แต่นี่ฉันยังถือว่าของทั้งหลายเหล่านี้เป็นของฉัน แสดงว่า ฉันได้เปรียญ 9 ก็จริง และเป็นเจ้าคุณก็จริง แต่ว่าฉันไม่ได้เป็นพระอรหันต์ กิเลสไม่ได้หมด หลวงพ่อโหน่งก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นหลวงน้าขอรับ ในเมื่อเรียนถึงเปรียญ 9 ประโยคแล้ว และเป็นเจ้าคุณแล้ว กิเลสไม่หมด ผมก็ไม่เรียนแล้วครับ ผมขอลากลับบ้าน วันรุ่งขึ้นท่านก็เดินทางกลับ (นี่ตามประวัติที่ท่านเล่าให้ฟังย่อ ๆ นะ)<O:p</O:p
    แล้วท่านก็ชี้ไปที่พระอุโบสถ ท่านบอกว่าที่ตรงนี้มันเป็นดงไผ่ แต่เป็นที่โปร่งหน่อยหนึ่ง ฉันก็มานั่งกรรมฐานตรงนี้ ถึงเวลากลางคืนฉันก็มานั่งกรรมฐานที่นี่ ที่วัดนี้มีการเจริญกรรมฐานฉันคนเดียว แล้วผลที่ได้รับจากบรรดาเพื่อนทั้งหลายก็คือว่า ฉันบ้า แต่ว่ากรรมฐานที่ฉันเรียนนี่ ฉันไปเรียนกับ หลวงพ่อเนียม วัดน้อย อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี ฉันไปเรียนกับหลวงพ่อเนียม หลวงพ่อเนียมยืนยัน บอกว่า การปฏิบัติกรรมฐานกับท่านถึงที่สุดแน่<O:p</O:p
    ฉันก็มาเลือกชัยภูมิ เห็นตรงนี้ เวลาหน้าแล้งจัด ดินที่อื่นแตกเป็นระแหง แต่ที่นี่ชุ่มมีความชื้น แล้วนั่งก็เย็น ฉันเลยถือเป็นที่นั่งเจริญกรรมฐาน เวลานั้นฉันบวชเข้าพรรษาที่ 2 อยู่ในพรรษาที่ 2 แต่ยังไม่ครบพรรษาที่ 2 ฉันนั่ง กรรมฐานไป ตอนกลาง ๆ พรรษาจิตก็เริ่มเป็นสุขขึ้นมาทีละน้อย ๆ ปฏิบัติตามที่หลวงพ่อเนียมสอน<O:p</O:p
    ก็หมายความว่า ก่อนที่จะภาวนา อันดับแรกก็นึกถึงวิปัสสนาอย่างอ่อน คืออนิจัง ทุกขัง อนัตตา ก่อน เห็นความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของชีวิต ของร่างกายของทรัพย์สิน แล้วก็ต่อจากนั้นไป ก็กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก แล้วภาวนา ผลที่ได้ก็คือ อารมณ์เป็นสุข มีจิตสว่างบ้าง มีแสงสว่างบ้าง มืดบ้าง ตามเรื่องตามราวตามธรรมดา แต่ว่าสิ่งที่ต้องการจริง ๆ ก็คือ มีอารมณ์เป็นสุข<O:p</O:p
    มาคืนวันหนึ่ง ตอนกลาง ๆ พรรษา วันนั้นฝนไม่ตก ฉันนั่งกรรมฐานไป เวลาประมาณสัก 2 ทุ่มเศษ เพราะว่าทุ่มกว่า ๆ มืด ฉันก็เริ่มทำแล้ว ปรากฏว่า มีพระสวย มีพระสงฆ์รูปร่างหน้าตาสวยทรวดทรงดี ผิวเหลือง เนื้อกับจีวร เหลืองคล้ายคลึงกัน แต่จีวรเหลืองมากกว่า เนื้อเหลืองน้อยกว่านิดหน่อย มีรัศมีออกจากกาย มาบอกว่า โหน่ง เธอจงสร้างพระอุโบสถตรงนี้นะ เวลานั้นวัดนั้นยังไม่มีพระอุโบสถ ท่านก็กราบเรียนพระว่า กระผมเป็นพระหนุ่มขอรับ บวชยังไม่เต็ม 2 พรรษา เกรงว่าญาติโยมจะไม่เชื่อ และประการที่สองการติดต่อหาซื้อของ ติดต่อหาช่องก็แสนยาก เพราะไม่เคยปฏิบัติมาก่อน ท่านบอกว่าไม่เป็นไร เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น จะเป็นวันพระให้ประกาศกับบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่มาทำบุญ บอกว่า อยากจะสร้างโบสถ์ที่ตรงนั้น แล้วก็จะมีคนช่วยตัดไม้นั่งร้านไม้ในป่า มีคนช่วยตัดมา จะมีคนหาทราย มีช่างทำอิฐ แต่ละคนจะต่างคนต่างอาสาทำจนครบ<O:p</O:p
    หลวงพ่อโหน่งท่านก็ประกาศแบบนั้นจริง ๆ วันพระ เรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไป ท่านบอกว่า ท่านก็เป็นลูกคนจน ไม่ใช่ว่าพ่อแม่เป็นคนมั่งมี เป็นที่เคารพนับถือ หรือเป็นเจ้าบุญนายคุณใคร แต่ว่าประกาศไปเท่านั้น คนนั้นก็รับอาสา คนนี้ก็รับอาสา คนนั้นจะตัดไม้ คนนี้จะทำอิฐหาทราย หาแกลบ ต่างคนต่างทำกันจนเสร็จ เมื่อทำอิฐ ทำทรายเสร็จดี เรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างคนต่างช่วยกัน ใครที่เป็นช่างก็ช่วยแนะนำ สร้างพระอุโบสถเสร็จไป 1 หลัง ใช้เวลาเพียง 1 ปีเศษ ๆ พระอุโบสถเสร็จ<O:p</O:p
    ในเมื่อพระอุโบสถเสร็จแล้ว ก็ปรากฏว่า พระประธานยังไม่มี ท่านก็คิดว่า จะปั้นพระประธานแต่ไม่ทราบว่าจะหาช่างที่ไหน ก็ทิ้งไว้ก่อน มีพระพุทธรูปองค์ย่อม ๆ ก็ไปตั้งเป็นประธานเข้าไว้ ก็ปรากฏว่า เวลานั่งกรรมฐานตอนกลางคืน ก็มีพระองค์เดิม ท่านบอกว่า โหน่ง ช่างที่จะปั้นพระประธานมีอยู่นะ อยู่ที่จังหวัดอยุธยา (อาตมาก็ลืมตำบลเสียแล้ว นึกเชื่อไม่ออก ต้องอ่านหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน ตอนนั้นยังนึกออก) ให้ไปปักกลดที่นั้น ตอนเช้าจะมีคนมาก่อนคนอื่นทั้งหมด ถือขันข้าวมา 1 ขัน นุ่งขาวห่มขาว ผมยาว นั่งจะไม่คุยกับใคร นั่งเรียบร้อย ใส่บาตรแล้วก็นั่งเฉยๆ คนนี้แหละเป็นช่างปั้นพระประธาน ให้คุณโหน่ง ติดต่อกับเขา แล้วเขาก็จะรับเอง ให้ไปในลักษณะธุดงค์<O:p</O:p
    ตอนเช้าหลวงพ่อโหน่ง ท่านเชื่ออยู่แล้วนี่ ท่านก็เอา ตกลง เตรียมตัวออกธุดงค์เดินตัดทุ่งไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก็ปักกลดที่นั่น ถึงตอนเช้าก็มีคนนั้นจริง รูปร่างหน้าตาทรวดทรงดี ผมขาว ผิวเนื้อขาว นุ่งขาวห่มขาวเสร็จ มีขันข้าว มีแต่ข้าวแต่ว่าไม่มีกับ เดินมาเป็นคนแรก มาใส่บาตรพระธุดงค์ แล้วต่อมาญาติโยมทั้งหลายก็มา<O:p</O:p
    เมื่อหลวงพ่อโหน่งฉันเสร็จ ท่านก็หันไปถามว่า โยม คุณโยมเป็นช่างปั้นพระใช่ไหม โยมนั้นก็ตอบว่า ใช่ ท่านก็บอกว่า อาตมาอยากปั้นพระประธานในพระอุโบสถ เพิ่งสร้างพระอุโบสถเสร็จ ยังไม่มีพระประธาน โยมก็รับปากว่า ผมจะทำให้ ทำถวายขอรับ เต็มใจทำถวาย เมื่อคุยกันมา คุยกันไป ก็ลืมบอกตำบลที่อยู่ หลวงพ่อโหน่งก็ลากลับ ถอนกลดเดินทางกลับ เมื่อเดินทางมาระหว่างทาง ก็นึกขึ้นมาในใจว่า เอ๊. เราก็ลืมบอกตำบลที่อยู่ให้โยมไปแล้ว โยมท่านจะมาถูก หรือไม่ถูกก็ไม่ทราบ และเวลาที่นึกได้ก็ใกล้วัดเต็มทีแล้ว เข้าวัดก่อน<O:p</O:p
    ปรากฏว่าตอนเช้า ช่างมาถึงวัดพอดี มาพร้อมกับลูกน้อง รับอาสาทำพระประธานไม่กี่วันนัก ทำพระประธานเสร็จ พระประธานสวยสดงดงาม เรียบร้อย ทรวดทรงดีมาก เป็นที่ถูกใจกันทุกคน<O:p</O:p
    แต่ปรากฎว่า พอทำพระประธานเสร็จ ช่างกับลูกน้องก็เดินทางกลับโดยไม่บอกให้ใครทราบ หลวงพ่อโหน่งก็ไม่ทราบ พระเณรก็ไม่ทราบ หลวงพ่อโหน่งก็ไม่แน่ใจว่า ช่างเขามีลูกน้อง มันต้องใช้เงินใช้ทอง ก็ใช้วิธีการเดินธุดงค์ไปที่เดิม พอไปถึง ชาวบ้านก็มาทำบุญ ก็ถามถึงคน ๆ นั้น ชาวบ้านบอกว่า คน ๆ นั้นไม่ใช่คนแถวนี้ครับ วันนั้นผมเห็นเหมือนกัน ผมไม่รู้จัก ไม่ทราบว่าคนที่ไหน ก็รวมความว่า หลวงพ่อโหน่งท่านก็บอกว่า ช่างที่มาทำ ผมก็เพิ่งรู้ทีหลังว่า นั่นคือ ท่านวิษณุกรรมเทพบุตร เป็นคำสั่งของพระอินทร์ท่าน<O:p</O:p
    ทีนี้สำหรับประวัติหลวงพ่อโหน่งมีอยู่ว่า ท่านไม่เคยเรียนแม้แต่นักธรรมตรี ตั้งใจเจริญกรรมฐานอย่างเดียว แต่ว่าเวลาเช้าบิณฑบาตกลับมาแล้ว ท่านก็แบ่งข้าวให้กับโยม ท่านเอาโยมท่านมาเลี้ยงที่วัด เมื่อโยมรับประทานเสร็จ ท่านฉันเสร็จ ท่านก็เทศน์ให้โยมฟัง 1 กัณฑ์ การเทศน์นี่ไม่ต้องการหนังสือ ก็ไปถามหลวงพ่อโหน่งว่า
    เวลาเทศน์หลวงพ่อเทศน์เรื่องอะไรบ้างครับ ท่านก็บอกว่า สุดแล้วแต่พระท่านให้เทศน์พระให้เทศน์เรื่องอะไร ก็เทศน์อย่างนั้น ท่านดลใจเอง ไม่ต้องนึก
    ปากก็ว่าไปตามความรู้สึกของใจ ถ้าเวลาใครไปนิมนต์หลวงพ่อโหน่ง
    ท่านบอกว่า จะถามพระก่อน พระจะให้ไป หรือไม่ให้ไป ก็จะไป พระไม่ให้ไป รวมความว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านทำขึ้น อาศัยพระอย่างเดียว ท่านต้องถามพระก่อน ถ้าพระไม่อนุมัติ ท่านจะไม่ทำเด็ดขาด ก็เลยถามหลวงพ่อขอรับ คำว่า พระ หมายถึง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช่ไหม ท่านมองหน้า แล้วท่านก็บอกว่า นี่เฉพาะที่คุณนั่งอยู่เวลานี้ไม่มีใครนะ ถ้ามีคนอื่น ฉันจะไม่ตอบ และเวลานี้ก็มีแต่ ท่านอาจารย์ปาน กับเธอทั้ง 3 องค์ พอพูดกันรู้เรื่อง ฉันก็ ยอมรับว่า คำว่า พระ ก็คือ พระพุทธเจ้า ทุกอย่างที่ฉันจะทำ ฉันทำตามพระพุทธเจ้าสั่งทุกอย่าง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 กุมภาพันธ์ 2010
  2. เงินไหลมา

    เงินไหลมา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    551
    ค่าพลัง:
    +3,413
    เรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อโหน่ง ตอนที่ 1

    เรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อโหน่ง ตอนที่ 1<O:p</O:p

    <O:p</O:p

    เป็นอันว่า หลังจากไปวัดหลวงพ่อโหน่ง กับหลวงพ่อปานแล้ว ต่อมา ตอนเดือนสาม ปลายเดือน ข้างแรม การเกี่ยวข้าวของชาวบ้านรู้สึกว่าน้อยลงไป ข้าวเหลือน้อย บางรายก็เกี่ยวหมดแล้ว บางรายก็เหลือบ้างเล็กน้อย การออกธุดงค์เวลานั้นไม่เหยียบข้าวไม่เหยียบปลาของชาวบ้านเขา ก็พอไปได้<O:p</O:p
    หลวงพ่อปานจึงมีบัญชาบอกว่า ถ้าอย่างนั้นเธอก็จงไปหาหลวงพ่อโหน่งไปเรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อโหน่งอีกครั้งหนึ่ง เพราะว่าพระแต่ละองค์มีความสามารรถไม่เสมอกัน อย่างท่านมีความสามารถไปทางหนึ่ง หลวงพ่อโหน่งมีความสามารถไปทางหนึ่ง แต่ว่าหลวงพ่อโหน่งนี่มีความสำคัญมากที่สุด ยากที่จะหาพระเหมือนได้ นั่นก็คือว่า ติดต่อกับพระได้โดยตรง
    (คำว่า ติดต่อกับพระ หมายความว่า ติดต่อกับ พระพุทธเจ้า ก็ได้ติดต่อกับ พระอรหันต์ ก็ได้)
    <O:p</O:p
    ท่านพุทธบริษัทอ่านตอนนี้คงจะมีบุญหลายคน มีบาปหลายคน ทั้งนี้เพราะอะไรเพราะว่าที่บอกว่า ติดต่อกับพระพุทธเจ้าได้ ติดต่อพระอรหันต์ได้ หลายท่านคิดว่า นิพพานมีสภาพสูญในเมื่อสูญไปแล้วจะพบกันได้อย่างไร (นี่นักตำรา) แต่ว่านักปฏิบัติที่เขาได้ตั้งแต่วิชชาสาม ขึ้นไป เขาบอกว่า ไม่ใช่ของเกินวิสัย มันเป็นของทำได้แน่นอน

    เพราะว่านิพพานนั้นสูญจริง สูญแต่กิเลส สูญแต่ความชั่ว
    แต่ว่าตัวจริง ๆ คือ กำลังจิตไม่สูญไปด้วย มีความเป็นทิพย์ เขาเรียกว่า ทิพย์พิเศษ ไม่มีการเคลื่อนไหวไปทางไหนอีก (คำว่า ไม่มีการเคลื่อนไหวไม่ได้หมายความว่าไปนั่งปุ๊กเหมือนตุ๊กตา ไม่ใช่อย่างนั้น) หมายความว่า ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ
    กรรมชั่วที่จะสนองให้มีความทุกข์นั้น ไม่มี<O:p</O:p
    ก็เป็นอันว่า หลวงพ่อปานก็มีพระบัญชาบอกว่า วันมะรืนนี้ คุณทั้ง 3 องค์ ไปหาหลวงพ่อโหน่ง ก็ถามท่านบอกว่า หลวงพ่อขอรับ ไปวันนั้นไปด้วยกันมาก ผมก็ไม่มีโอกาสเข้าใกล้หลวงพ่อโหน่ง นั่งอยู่ไกล ๆ ท่านจะจำได้หรือครับ หลวงพ่อปานท่านบอกว่าฉันติดต่อกันแล้วว่า วันมะรืนนี้จะให้เธอไป 3 องค์ ท่านบอกว่า ท่านจัดห้องไว้ให้แล้ว สำหรับเจริญกรรมฐาน
    สำหรับพัก เป็นอันว่า ในเมื่อท่านผู้ใหญ่สั่ง ก็ต้องทำและก็ทำด้วยความเต็มใจ ทั้งนี้เพราะอะไรเพราะว่าการเจริญกรรมฐานเป็นหน้าที่ของพระจริง ๆ ที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ต้องมีคุณสมบัติ 3 อย่างครบถ้วน<O:p</O:p
    1. อธิศีลสิกขา รักษาสิกขาบท คือ ศีล มากกว่าฆราวาส และก็รักษาให้ครบถ้วน<O:p</O:p
    2. อธิจิตสิกขา รักษาสมาธิให้มีการทรงตัวเป็นฌานอยู่เสมอ เป็นการป้องกันนิวรณ์เข้ามารบกวน<O:p</O:p
    3. อธิปัญญาสิกขา นั่นหมายถึงว่า ใช้ปัญญาตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหาน<O:p</O:p
    แต่ว่าจะตัดได้หมด หรือไม่หมด ก็เป็นเรื่องของจิตใจในเวลานั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะบังคับกันว่าต้องตัดหมด ถ้าตัดหมดได้ก็ดี เพราะการบวชเวลานั้นถือภาษิตอยู่บทหนึ่งว่า นิพพาน สจฺฉิกิริยา เอต กาสาว คเหต์ว่า ซึ่งแปลเป็นใจความว่า ข้าพเจ้าขอรับผ้ากาสาวพัสตร์มาเพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
    <O:p</O:p
    ทั้งนี้เพราะว่า เมื่อปลายพรรษาคิดว่า จะอยู่ หรือจะสึก เมื่อตัดสินใจว่าไม่สึก ก็ตั้งใจเจริญกรรมฐานหนักขึ้น เพราะการอยู่ต้องใช้กรรมฐานเป็นพี่เลี้ยง เพราะถ้าไม่มีกรรมฐานจิตใจมันก็วอกแวก อารมณ์ไม่เป็นสุข
    <O:p</O:p
    ถ้าจะถามเรื่องกามารมณ์ บรรดาท่านพุทธบริษัท ในเมื่อยังไม่เป็นพระอนาคามีเพียงใด กามารมณ์มันต้องมี ถ้าถามว่า เคยรักผู้หญิงอยากจะแต่งงานกันไหม ต้องขอตอบว่าเคยเห็นผู้หญิงลักษณะดีดี มรรยาทดีดี คิดว่า คน ๆ นี้เป็นคนดี อย่างนี้มีอยู่
    แต่ว่าคิดว่าจะแต่งงานจริง ๆ ไม่มี<O:p</O:p
    ในเมื่อถึงวันมะรืนตามที่หลวงพ่อปานสั่ง (คือ สั่งวันนี้ วันนี้ก็เตรียมของ เตรียมกลด เตรียมมุ้ง เตรียมกาน้ำ เตรียมแก้วน้ำ เตรียมย่าม เตรียมผ้าสบง จีวร สังฆาฏิ ผ้าอาบ อังสะ) พอถึงกำหนดวัน ฉันข้าวเช้าแล้วก็ไปลาหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานบอก เออ..ไปได้ เดินทางอย่างนี้นะ เดินทางตัดเข้าเขตบางซ้าย ไปข้ามฟากที่บางซ้ายนอก แล้วก็เดินไปถึงองครักษ์ ข้ามฟากที่องครักษ์ เดินทางตัดไปทางบางใหญ่ ข้ามฟากที่บางใหญ่ แล้วเดินทางตัดตรงไปตอนบ่าย ๆ ก็ถึง เวลานั้นป่ายังมีมาก ก็ไปตามสบาย ๆ<O:p</O:p
    ในที่สุด ก็ไปถึงวัดคลองมะดันเวลาประมาณ 3 โมงเย็นเศษ ๆ อากาศก็ยังร้อน ก็มีความรู้สึกว่า ถ้าหากว่าเราจะเข้าไปหาหลวงพ่อเวลานี้ ท่านอาจจะมีแขก ก็เป็นการไม่สมควร จึงเอากลดวาง แล้วก็นั่งที่โคนต้นพุทรา หลังกุฏิของท่าน พอนั่งเรียบร้อย ท่านก็เปิดหน้าต่างออกมา ท่านถามว่า มานั่งอยู่ทำไมพ่อคุณ คอยมาตั้งแต่เช้าแล้ว เข้ามาที่นี่ได้เลย
    <O:p</O:p
    ญาติโยม พุทธบริษัท คิดบ้างไหมว่า หน้าต่างของท่านปิด เราไปกันเงียบ ๆ ต้นพุทราห่างจากกุฏิของท่านประมาณ 20 วา นั่งอยู่ที่นั่น พอนั่งเรียบร้อย ท่านก็เปิดหน้าต่าง ออกมาแล้วก็เรียกบอก คอยตั้งแต่เช้าแล้ว นี่เป็นอันว่า หลวงพ่อโหน่ง กับหลวงพ่อปาน ติดต่อกันแล้ว เขาเรียกกันว่า ทางใน (คำว่า ทางใน นี่ก็คือ อภิญญา) ก็แสดงว่า พระทั้ง 2 องค์นี่เป็นผู้ทรงอภิญญาทั้ง 2 ท่าน<O:p</O:p

    เมื่อเข้าไปก็นมัสการท่าน กราบท่านแล้ว ท่านบอกว่าเดินมาเหนื่อยคุณเอ๊ย อย่าเพิ่งคุยอะไรกันเลย เดินมาตั้งแต่เช้าไม่ได้พักกัน ฉันข้าวเวลาเดียว เข้าไปพักที่พักก่อนเถอะ ฉันจัดไว้แล้ว แล้วท่านก็นำไป นำเข้าห้อง 3 ห้องติด ๆ กัน เป็นเรือนไทย สมัยนั้นมี 3 ห้อง แล้วท่านก็กลับ ท่านบอกว่า ถ้าอยากจะพบฉัน ก็พบในเวลากลางคืนนะ เวลาประมาณ 2 ทุ่มพบได้เลย พักเสียก่อน อาบน้ำอาบท่าพักผ่อนให้สบาย ก็กราบท่าน ท่านก็กลับ พวกเราก็อาบน้ำอาบท่า นอนพักตามสบาย
    <O:p</O:p
    ถึงเวลา 2 ทุ่มก็ไปหาท่าน ท่านก็บอกว่า เอ้า..พวกเธอ 3 องค์หลับตา ใช้กำลังฌานตามลำดับที่ได้มา ทีนี้คณะอาตมาก็พากันหลับตามใช้กำลังฌานตามลำดับ พอถึงที่สุดของฌานทั้งหมดก็ลืมตาขึ้น ทั้ง 3 องค์ ก็เป็นการบังเอิญ ลืมตาพร้อมกันเพราะได้เท่ากัน ท่านก็ลืมตา(ท่านก็หลับตาเหมือนกัน) ท่านก็บอกว่าในเมื่ออาจารย์ปานสอนขนาดนี้แล้ว จะเรียนอะไรกับฉัน เขาเรียนกันโดยมากเขาไม่ทำกันถึงนี่หรอกนะ ที่เขามาเรียนกับฉันน่ะ แค่เขาภาวนาว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ ได้ รู้ลมหายใจเข้าออกได้ เขาก็เลิกกันแล้ว นี่พวกเธอทำขนาดนี้ยังไม่เลิกอีกหรือ ก็ถามว่า หลวงพ่อขอรับ ทำขนาดนี้ มันจบกิจพระพุทธศาสนาหรือยัง ท่านก็ถามว่า เธอมีความรู้สึกว่า เธอจบกิจพระพุทธศาสนาหรือยัง ก็กราบเรียนท่านบอกว่ายังไม่จบขอรับ ท่านก็บอกว่า ในเมื่อเธอมีความรู้สึกว่า ยังไม่จบ มันก็ต้องไม่จบ ถ้าจบก็ต้องมีญาณเป็นเครื่องรู้ว่า เวลานี่เราจบแล้ว<O:p</O:p
    ท่านก็ถามอาตมาว่า คุณ คุณปรารถนาพุทธภูมิใช่ไหม ก็กราบเรียนว่า ใช่ ท่านหันไปถามอีก 2 องค์ว่า ทั้ง 2 องค์ปรารถนาสาวกภูมิใช่ไหม ทั้ง 2 องค์ก็บอกว่า ใช่ ท่านก็บอกทั้ง 2 องค์บอกว่า เออ..สังโยชน์ 3 นี่เธอตัดได้แล้วนะ (นั่นแสดงว่าทั้ง 2 องค์ เป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบัน หรือสกิทาคามี) ท่านบอกว่า สังโยชน์ 3 นี่ไม่ต้องห่วง พยายามก้าวเข้าไปหาสังโยชน์ 4-5 แล้วก็ 6,7,8,9,10 เลยก็แล้วกัน แต่ค่อย ๆ ทำ แต่ว่าวิชานี้หลวงพ่อปานก็สอนมาแล้วใช่ไหม ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ใช่ ท่านก็หันมาถามว่า เธอทำไมถึงปรารถนาพุทธภูมิ ก็เลยบอกท่านบอกว่า หลวงพ่อปานท่านชวนปรารถนาพุทธภูมิ ผมเองก็ไม่อยากปรารถนาพุทธภูมิ ผมมีความต้องการจะเป็นสาวกภูมิมากกว่า
    <O:p</O:p
    ท่านก็เลยบอกว่า ตั้งแต่สมัยชาติก่อน ๆ มา เธอปรารถนาพุทธภูมิไว้ เวลานี้กำลังพุทธภูมิก็มีความเข้มข้นมาก ใกล้จะจบอยู่แล้ว ก็ควรจะทำให้จบ ก็ถามว่า พุทธภูมิของผมนี่จะจบ หรือไม่จบขอรับ จะต้องเกิดอีกกี่ชาติ ท่านก็ยิ้ม ท่านบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ไปรู้กันปลายมือนะ ถึงเวลาปลายมือ พระจะอนุญาต หรือไม่อนุญาต ถ้าเธอจะลาพุทธภูมิ ถ้าพระอนุญาต เธอก็ออกได้ เป็นสาวกภูมิได้ ในเมื่อเป็นสาวกภูมิ เธอก็สามารถจะตัดสังโยชน์ได้เหมือนเพื่อน ถ้าพระไม่อนุญาต เธอก็ไม่มีโอกาส
    <O:p</O:p
    ก็เลยกราบเรียนถามท่านว่า พระ คือใครขอรับ ท่านก็บอกว่า พระที่สูงสุดของพวกเรามีองค์เดียว คือ พระพุทธเจ้า แล้วพระที่รองลงมาคือ พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอริยสาวกทั้งหลาย นั่นคือ พระ ก็ถามว่า หลวงพ่อเวลาที่หลวงพ่อปฏิบัติแล้วถามพระน่ะ ถามพระองค์ไหนครับ ท่านบอกว่า ฉันถามพระพุทธเจ้าองค์เดียว โดยตรง เฉพาะงานธรรมะ ถ้างานอย่างอื่นอาจจะถามพระสาวกบ้างถามเทวดาบ้าง ถามพรหมบ้าง
    <O:p</O:p
    ก็กราบเรียนท่านบอกว่าการเรียนถามนี่กระผมไม่ทราบขอรับ อยากศึกษา ท่านก็เลยบอกว่า ฉันเองฉันก็ตั้งใจจะสอนเธอในด้านนี้เหมือนกัน เพราะการถามพระได้ก็ดี ถามพระอริยสงฆ์ได้ก็ตาม ถามเทวดา ถามพรหมได้ก็ตาม ที่ท่านเป็นพระอริยเจ้า ท่านจะแนะนำทางตรงของเรา เราบกพร่องตรงไหน ท่านจะเตือนตรงนั้น ก็กราบเรียนถามท่านบอกว่า ถ้าจะถามพระจะทำอย่างไรขอรับ
    <O:p</O:p
    ท่านก็บอกว่า พยายามทำจิตให้บริสุทธิ์ไว้ ถ้าเวลานั้นจิตใจ นิวรณ์ไม่กวนใจก็ดีสังโยชน์ทั้งหลายไม่กวนใจก็ดี เวลานั้นอารมณ์ใจเป็นทิพย์เต็มที่ ถ้าต้องการเห็นพระจะพบพระ จะเป็นพระองค์ไหนก็ได้ หรือว่าจะเป็นเทวดาหรือพรหม นางฟ้าองค์ไหนก็ได้เราจะพบท่าน แล้วก็คุยกับท่านได้ ท่านแนะนำอะไร ปฏิบัติตามนั้น อย่าฝืน
    <O:p</O:p
    ต่อไปก็กราบเรียนถามว่า เวลาที่หลวงพ่อเทศน์ตอนเช้า ๆ โปรดโยมนี่ หลวงพ่อปานบอกว่า ตอนเช้าเมื่อฉันข้าวเสร็จแล้ว หลวงพ่อเทศน์โปรดโยมทุกวัน วันละ 1 กัณฑ์อย่างนี้หลวงพ่อใช้ตำราอะไรขอรับ ท่านก็บอกว่า ฉันไม่ได้เรียนนักธรรม แม้แต่นักธรรมตรีก็ไม่ได้เรียนในโรงเรียน ฉันดูวินัยมุข ฉันก็ดูหนังสือตามแบบฉบับที่เขาเรียนกันแล้วก็อาศัยพระทุกอย่างฉันถามพระหมด ถ้าพระให้เทศน์ ฉันก็เทศน์ ถ้าพระไม่ให้เทศน์ ฉันก็ไม่เทศน์ กราบเรียนถามท่านว่า ถ้าเวลาพระให้เทศน์ พระท่านสอนหรือขอรับท่านบอกว่า พระท่านสอน แต่สอนทางใจ ไม่ได้สอนทางวาจา คือพระท่านดลใจให้เราพูดเวลานั้นไม่ต้องใช้อารมณ์คิด เมื่อมีความรู้สึกอย่างไร พูดตามนั้น นั่นเป็นลีลาของพระที่ท่านสอน ฉะนั้นวิชานี้ฉันจะสอนพวกเธอ
    <O:p</O:p
    ก็กราบเรียนถามท่านว่า แล้วก็ฌานสมาบัติที่พวกผมได้กัน มันจะเสื่อมไหม ท่านบอกว่า ถ้าเธอเกาะพระไม่มีอะไรจะเสื่อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 2 องค์นี่ คำว่าเสื่อมไม่มีหมายถึงเพื่อน เพราะเขาตัดสังโยชน์ 3 ได้แล้ว เธอยังเป็นพุทธภูมิ พุทธภูมิยังมีกิเลสเต็มกำลังพยายามระงับนิวรณ์ให้มาก ท่านก็เลยถามว่า การอยู่ที่วัดบางนมโค เธออยู่ในป่าช้าใช่ไหมทั้ง 3 องค์ ก็กราบเรียนว่า ใช่ แล้วเวลานี้ตามปกติก็หากินกับเทวดา กับนางฟ้าใช่ไหมก็กราบเรียนว่า ใช่<O:p</O:p
    การหากินกับเทวดา กับนางฟ้านี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นการแก้สงสัย บางทีท่านจะไปถามชาวบางนมโค ขอรับรองว่า 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีความเข้าใจเรื่องนี้ โดยเฉพาะเรื่องของอาตมาเขาจะเข้าไม่ได้ แม้แต่พระก็ไม่มีความเข้าใจ ที่มีความเข้าใจได้องค์เดียวก็คือหลวงพ่อปานเพราะว่าเวลาเช้าอาตมาก็ไปบิณฑบาตกับพระ ไปบิณฑบาตกลับมาแล้ว ก็บอกว่า ผมฉันเวลาเดียวขอรับ ฉะนั้นจะต้องไม่ฉันพร้อมกัน และก็ไม่แบ่งอาหารเอามาก็กลับเข้าป่าช้า เมื่อล้างบาตรเช็ดบาตรเสร็จแห้งดีแล้ว ก็เอาบาตรไปแขวนที่ต้นไม้ยืนภาวนาว่า พุทโธ อยู่ประเดี๋ยวเดียว ก็ปรากฏว่าเทวดา กับนางฟ้า ท่านก็ใส่บาตรให้ มีดอกไม้สวย ๆ 1 ดอก เพียงเท่านี้เราก็ได้ข้าวกินอิ่ม และก็มีความสุข ก็ทำอย่างนี้จริง ๆ ประมาณ 10 ปี
    <O:p</O:p
    ถ้าจะถามว่า มีพระอะไรรู้เรื่องบ้าง ก็ขอตอบว่า สงวนเป็นความลับ ไม่บอกใครเลยนอกจากหลวงพ่อปาน ถ้าถามว่าทำไมจึงสงวน ก็ต้องตอบว่า การเจริญกรรมฐาน บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าเราไปกล่าววาจาโอ้อวด พระพุทธเจ้าถือว่าเป็น อุปกิเลส เพราะว่าการแสดงตัวว่าเราเองเป็นผู้เจริญกรรมฐาน ห่มผ้าสีกรัก ทำท่าหลับตา ทำท่าสงบเสงี่ยมเกินไป อย่างนี้เป็นการโอ้อวดแสดงออกว่า ฉันเจริญกรรมฐานพระพุทธเจ้าท่านกลาวว่าเป็นอุปกิเลสทำไม่ได้ ต้องทำตัวให้เหมือนเขา ฉะนั้นยามปกติทั้งหมด จะทำตัวเหมือนกับชาวบ้านเหมือนกับพระธรรมดา ๆ ทั้งหมด จะคุยสนุกสนานเฮฮาตามเรื่องตามราวไป ไม่ขัดจังหวะกัน แต่ว่าถึงเวลาของเรา เราก็ทำของเรา
    <O:p</O:p
    หลังจากนั้นหลวงพ่อโหน่งก็พยายามสอน เมื่อถึงเวลาที่พระท่านมา ท่านก็บอกว่าเวลานี้พระมาแล้ว ทุกองค์จงกำหนดใจดูพระว่ารูปร่างเป็นอย่างไร ก็บอกรูปร่างกับท่านว่าสีสันวรรณะเป็นอย่างไร ท่านก็ตอบว่า ถูก แล้วก็บอกว่า เวลานี้ฉันจะเทศน์ละนะ ดูพระท่านจะแสดงอย่างไร ก็เห็นว่าพระท่านลอยอยู่เฉย ๆ แต่ว่ามีแสง ๆ หนึ่ง พุ่งลงมาที่จิตหลวงพ่อโหน่ง หลวงพ่อโหน่งท่านก็เทศน์เทศน์ไป ๆ พอจบลีลาการเทศน์ แสงนั้นก็ลอยกลับขึ้นไปหาพระ นี่เป็นอันว่า พระท่านสงเคราะห์หรือพระท่านบอก ก็คือใช้แสง หรือฉัพพัณณรังสี รัศมี 6 ประการ สีใดสีหนึ่ง เข้ามาช่วยกำบังใจ ให้หลวงพ่อโหน่งพูดตามความต้องการของท่าน<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กุมภาพันธ์ 2010
  3. เงินไหลมา

    เงินไหลมา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    551
    ค่าพลัง:
    +3,413
    เรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อโหน่ง ตอนที่ 2<O:p</O:p

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ วันที่ 23 มิถุนายน 2533 ก็ขอคุยเรื่องวัดคลองมะดัน กันต่อไป ไปวัดคลองมะดันครั้งที่ 2 คือวัดหลวงพ่อโหน่งไปศึกษาวิชาการที่นั่น<O:p</O:p
    เมื่อไปถึงท่าน ท่านให้นั่งหลับตา เราหลับตา ท่านก็หลับ ท่านสั่งให้เข้าสมาธิตั้งแต่ต้นยันปลาย พวกเราก็หลับตากัน เมือเราลืมตาขึ้น ท่านก็ลืมตา ท่านก็ถามว่า อาจารย์ปานสอนขนาดนี้แล้ว คุณต้องการอะไรอีก จึงได้ถามท่านบอกว่า การทำได้แค่นี้ ถึงที่สุดความรู้ในพุทธศาสนาแล้วหรือยัง ท่านก็ตอบว่า ยังไกลมาก ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็ต้องศึกษาต่อถ้าจะไม่จบ ก็ให้มันใกล้จบเข้าไป ค่อย ๆ ทำตามกำลังที่จะพึงทำได้ ท่านก็พอใจ ท่านถามว่า
    สิ่งที่ต้องการจริง ๆ คืออะไร ก็เลยกราบเรียนท่านตรง ๆ บอกว่า ตามที่หลวงพ่อปานบอกว่า หลวงพ่อจะทำอะไรต้องถามพระก่อน เมือพระอนุญาตให้ทำ ก็ทำ พระแนะนำทางไหน ทำตามนั้น ถ้าพระสั่งว่า สิ่งนี้ไม่ควรทำ หลวงพ่อจะไม่ทำ ผมอยากจะศึกษาวิชานี้ขอรับ

    ท่านก็บอกว่า เธอต้องการในสิ่งที่ง่ายเกินไปเสียแล้ว ก็กราบเรียนถามท่านว่า ทำไมจึงง่าย ท่านก็บอกว่า ตามธรรมดานี่เธอเจริญกรรมฐานใช้อารมณ์พุทธานุสสติใช่ไหม ก็กราบเรียนว่า ใช่ ท่านถามว่าเคยเห็นภาพพระพุทธรูปไหม ก็ตอบว่า เคยเห็น ท่านถามว่า เคยเห็นภาพพระใหญ่แล้วครั้งหนึ่งใช่ไหม ก็ตอบว่า ใช่ แล้วทุกวันนี้ เวลานี้ก็เห็นพระพุทธเจ้าทุกวันใช่ไหม ก็ตอบว่าใช่ การเห็นพระ เธอทำไมจึงไม่ถามท่าน ถามในสิ่งที่ควร ท่านจะบอก ถ้าสิ่งใดที่ไม่ควรเราก็อย่าถาม ถ้าถาม ท่านไม่บอก
    <O:p</O:p
    เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ในเมื่อเธอเห็นพระท่าน ถ้าเธอต้องการจะถามอะไร แต่สิ่งที่จะถามต้องเป็นประโยชน์นะ ต้องเป็นคุณ ต้องเป็นประโยชน์ มีเหตุมีผลพอ ก็กราบเรียนท่านบอกว่า จะยอมรับปฏิบัติตามนั้นขอรับ
    <O:p</O:p
    ท่านถามว่า จะอยู่พักสักกี่คืน ตอนนี้ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ไม่แน่นอนนักครับก็คิดว่า อย่างน้อยก็ 7 วัน หรือ 15 วัน ท่านก็บอกว่า ตามใจ 7 วันก็ได้ 15 วันก็ได้ พอใจเมื่อไรก็บอกฉัน กลับได้ หลังจากนั้นท่านก็แนะนำกรรมฐาน<O:p</O:p
    การแนะนำกรรมฐานบรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ไม่ต่างกับหลวงพ่อปานเลย เหมือนกันทุกอย่าง เว้นไว้แต่ถ้อยคำที่พูดบางคำ จะต่างกันนิดหน่อย แต่ใจความเหมือนกันหมดแนะนำสิ้น ๆ ทีนี้ถ้าจะไม่กล่าวเสียเลย คนก็จะสงสัย ท่านแนะนำก็คือ<O:p</O:p
    1. จงละนิวรณ์ 5 ประการ นิวรณ์ 5 ประการนี่ ขออย่าได้ยึดถือมัน เราหลีกมันไม่ได้มันกวนใจเราเสมอ เป็นของธรรมดา ถ้าเรายังไม่เป็นพระอรหันต์ แต่ถึงอย่างไรก็ดี เราก็ต้องระงับมันได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ขณะที่เธอทำสมาธิ นิวรณ์มันไม่กวน กำลังใจดีพอแล้ว<O:p</O:p
    ประการที่ 2 ศีลบริสุทธิ์<O:p</O:p
    ประการที่ 3 รักษาไตรสรณคมน์ให้ดี ด้วยความเคารพ<O:p</O:p
    ประการที่ 4 กายคตาสติ ต้องมีความรู้สึกว่า ร่างกายของเราดูตามความเป็นจริงว่าในร่างกาย ตรงไหนมันดีบ้าง จะดูผิดหนัง นึกถึงไส้ ถึงปอด ถึงตับ ถึงไต อุจจาระ ปัสสาวะ ที่มันอยู่ข้างในว่า อะไรมันดีบ้าง ดูคนอื่น ก็ดูเหมือนกับดูตัวเรา เห็นผิวพรรณปั๊บก็ดูข้างในว่าตับไต ไส้ปอด อยู่ตรงไหนบ้าง มีน้ำเหลือง น้ำหนอง มีอุจจาระ ปัสสาวะ
    <O:p</O:p
    และอีกประการหนึ่ง สิ่งที่เราต้องทำกันจริง ๆ เอาแน่นอนละไม่ได้จริง ๆ นั้นคือบานมี 10 บารมี 10 ประกานี้ต้องท่องจำให้ได้ เขียนเอาไว้ข้างที่นอน(เหมือนหลวงพ่อปานเปี๊ยบเลย เขียนไว้ข้างที่นอน) พอตื่นขึ้นมาแล้วคิดว่าวันนี้ บารมี 10 จะไม่เคลื่อนไปจากเรา<O:p</O:p
    ประการที่สอง สังโยชน์ 10 สังโยชน์ 10 ประการนี่ ท่านหันหน้ามาทางอาตมาท่านบอกว่า ถึงแม้ว่าเธอจะปรารถนาพุทธภูมิเธอก็จงอย่าลืมว่า คำว่า พุทธภูมิ หมายถึงว่าเรียนวิชาครู การที่จะเป็นครูเขา ถ้าเราไม่มีความเข้าใจ เราจะสอนเขาได้อย่างไร มันต้องฝึกสังโยชน์ 10 ด้วย ค่อย ๆ ทำ ทำสังโยชน์ 3 ก่อน ให้ได้แน่นอน เมื่อได้สังโยชน์ 3 แล้ว ค่อย ๆ คลำสังโยชน์ 5 ไปอีก 2 แล้วต่อ ๆ ไปคลำไปถึง 10
    <O:p</O:p
    ก็ถามท่านว่า ถ้าคลำไปถึง 10 ไม่ได้เป็นพระอรหันต์หรือขอรับ เพราะผมปรารถนาพุทธภูมิ ท่านบอกว่า เธอต้องทำ จะเป็นหรือไม่เป็น ต้องทำ ทำให้ช่ำชอง แล้วตัดให้ได้เพราะถึงอย่างไรก็ดี เธอมีความจำเป็นจะต้องใช้ เพราะถ้าเราไม่ตัดสังโยชน์ 10 ประการโดยเฉพาะอย่างยิ่งสังโยชน์ 3 ประการตัดไม่ได้ เราไม่สามรถจะพ้นอบายภูมิได้ อย่างน้อย ๆ การปรารถนาพุทธภูมิไม่ควรจะลงนรก (ความจริงที่ท่านสอนนี่บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าเราฟังกันจริง ๆ ท่านสอนให้เป็นพระอรหันต์นั่นเอง) ก็เป็นอันว่า ท่านสอน และแนะนำให้ปฏิบัติตามที่กล่าวมาแล้ว ก็กราบท่าน ท่านก็บอกว่า ต่อนี้ไปปฏิบัติตามความพอใจนะ จะเอาตรงไหนก่อนก็ได้ ดีทั้งหมด ก็กราบท่าน<O:p</O:p
    กลับเข้าที่พัก ก็นั่งคุยกัน คุยกันถึงการที่ท่านแนะนำ บรรดาเพื่อนทั้งหลายก็บอกว่าอันดับแรก เราต้องถามพระให้ได้เพราะว่าการถามพระ พระทุกองค์ที่เป็นผู้ใหญ่เหมือนกันหมด หลวงพ่อปานมีอะไรสำคัญที่เกิดขึ้น ท่านบอกว่า พระบอกท่านพระครูอุดมสมาจารย์ เป็นพระกรรมฐานที่มีความสำคัญ ถ้ามีอะไรท่านก็บอกว่าพระบอกว่าอย่างนี้หลวงพ่อจงก็บอกว่า พระบอกว่าอย่างนี้ ถ้าพวกเราไม่สามารถจะถามพระได้ แล้วก็ไม่สามารถจะให้พระบอกได้กรรมฐานเบื้องต้นเราก็ยังใช้ไม่ได้ก็รวมความว่า เรายังไม่ได้กรรมฐานเบื้องต้น<O:p</O:p
    ทีนี้ก็มีปัญหาว่า การถามพระ จะพูดกันรู้เรื่องไหม เห็นหลวงพ่อโหน่งท่านกำลังนั่งว่าง ๆ ก็เข้าไปกราบใหม่ ถามว่า หลวงพ่อขอรับการถามพระนี่ ผมสงสัยว่า กำลังใจของพวกผมยังไม่แน่นอนนัก การถาม ถามด้วยวาจา หรือถามด้วยกำลังใจ ท่านบอกว่า ถ้ากำลังใจเวลานั้น สมาธิวิปัสสนาญาณเข้มแข็ง ก็ถามด้วยกำลังใจนั่นแหละแต่มันจะมีคล้ายๆ เสียง มันจะมีความรู้สึกเหมือนกับเสียงออกมาแล้วก็รับฟังตามนั้น ถามตามนั้น ถ้ากำลังใจเวลานั้นอ่อนไปหน่อยหนึ่ง มันจะเกิดความรู้สึกครั้งแรกทันที นี่อย่างอ่อน แล้วก็ต้องสังเกตตัวเองด้วยว่าการรับฟังมาแล้วนั่น ผิดหรือถูก ผลจะมีตามนั้นไหม อันนี้ต้องสังเกตให้ได้ จำให้ได้อย่าถามแล้วก็เชื่อเลย ถามแล้วต้องสังเกตว่า วันพรุ่งนี้จะมีอะไรบ้าง อย่างนี้ต้องถามบ่อย ๆ จะมีคนมาหา หรือจะมีภาระกิจ หรือจะมีอะไรสำคัญเอาจัดใดจุดหนึ่งอย่างเดียว อย่าไปถามเรื่องลาภสักการะ เพียงเท่านี้ ถ้ามันตรงทุกวัน ก็ใช้ได้ อย่างอื่นก็ตรงหมด เข้าใจแล้วก็กราบลาท่านมา<O:p</O:p
    ต่อมาถึงเวลากลางคืน ท่านก็เข้าไปเจริญกรรมฐานในโบสถ์ พวกอาตมาก็ไปที่กอไผ่มีกอไผ่อยู่กลุ่มหนึ่ง ไปนั่งที่กอไผ่ เอาผ้าอาบปู แล้วก็เอาย่ามทำหมอน นอนที่นั่นสบาย ๆ ทำกรรมฐานแบบเป็นสุข อันดับแรก ก็จับ พุทธานุสสติ กับอานาปานสติ ก่อน<O:p</O:p
    การจับพุทธานุสสติ บรรดาท่านพุทธบริษัท คำว่า พุทธานุสสติ หมายถึงว่า นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ อันนี้ก็ขอบอกกันไว้ก่อนเลยว่าการนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ทำเป็นปกติ ทุกวัน และทุกเวลา แม้จะนั่งคุยกับเพื่อน ก็นึกถึงภาพพระพุทธเจ้า เห็นภาพพระพุทธเจ้าในอกบ้าง ถ้าคุยกับใคร จะนึกเห็นภาพพระพุทธเจ้าในอก กับในสมอง แต่ว่าในอกเห็นภาพเป็น 2 องค์คือ พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ในสมองจะเห็นภาพพระพุทธเจ้า 2 องค์คือ สมเด็จพระพุทธทีปังกร กับสมเด็จพระพุทธกัสสป ตามความรุ้สึกของจิตมันเห็นตามนั้นนะ ถ้าถามว่า เห็นกี่วัน ก็ต้องขอตอบว่าเห็นมาตลอด ทั้งเวลานี้ก็ยังเห็นอยู่เหมือนกัน แล้วก็เวลาเดินไปไหนมาไหนก็ตาม เรื่องภาพพระพุทธเจ้านี่ จะไม่ห่างกันเด็ดขาด จะเห็นทั้งข้างใน และเห็นทั้งข้างนอก แต่ว่าการจะถามท่าน ถามไม่เป็น วันนั้นก็ไม่ลองกัน<O:p</O:p
    วิธีลองทำอย่างไรทำกรรมฐานตั้งแต่เริ่มต้น จับอานาปานสติให้ทรงตัว แล้วก็ใช้พุทธานุสสติ คือ ภาวนาว่า พุทโธ จนกระทั้งจิตเป็นฌานเต็มกำลัง ฌาน 1, ฌาน 2, ฌาน 3, ฌาน 4, ฌาน 5, ฌาน 6, ฌาน 7, ฌาน 8 พอถึงฌาน 8 แล้วก็ลองถอยหลังมาฌาน 7, ฌาน 6, ฌาน 5 มาหยุดอยู่ฌาน 4 พอถึงฌาน 4 ก็หย่อนอารมณ์มานิดหนึ่ง ถึง อุปจารสมาธิ (คำว่า อุปจารสมาธิ ก็เหมือนกับที่เขาฝึกมโนมยิทธินี่แหละ ถ้าคนสมัยนี้ที่เขาได้มโนมยิทธิ เขาทำตามที่เล่ามานี่ เขาจะดีกว่าอาตมามาก เพราะเวลานั้น อาตมามีความรู้ยังไม่เท่ากับพวกที่ฝึกมโนมยิทธิในเวลาปัจจุบัน เวลาปัจจุบันนี้ ลูกศิษย์ที่ได้มโนมยิทธินี่เก่งกว่าเยอะเห็นภาพพระชัดเจนแจ่มใส ไปนิพพานก็ได้ เขาเก่งกว่า แต่การเก่งกว่า ทะนงว่าเก่งกว่าไม่ช้าก็เจ๊ง แต่ว่าคนใดไม่ทะนง ใช้ให้ถูก ก็ใช้ได้)<O:p</O:p
    ก็รวมความว่า หลังจากนั้นแล้ว เมื่อเอาจิตลดลงมาถึงอุปจารสมาธิ กำลังฌาน 4 คุมจิต มีอารมณ์ทรงตัว นิวรณ์ไม่กวนใจ ก็กราบทูลถามองค์สมเด็จพระจอมไตร คือ พระพุทธเจ้า เห็นท่านนั่งงามสง่าอยู่ข้างหน้าสวยงามมาก แล้วก็แย้มพระโอษฐ์ ท่านถามว่าอยากจะคุยกับพระใช่ไหม ก็กราบเรียนท่านบอกว่าอยากจะคุยกับพระขอรับ ท่านบอกได้เลยตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป มีอะไรถามฉันได้ แต่ว่าจงทิ้ง อุปาทาน นะ (คำว่า อุปาทาน คือ อารมณ์จิตที่คิดไว้ก่อนว่า ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ ต้องเป็นอย่างโน้น ระวัง) และประการที่สอง การที่จะพบพระพุทธเจ้าได้จริง ๆ ต้องใช้กำลังวิปัสสนาญาณให้มีความเข้มข้น มีความเบื่อหน่ายในร่างกายจริง ๆ เห็นทุกข์ในร่างกายจริง ๆ แล้วก็มีความต้องการละร่างกายจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นจะพบพระพุทธเจ้าอย่างดี (คำว่า อย่างดี ก็หมายความว่า ของแท้) ถ้าหากว่ายังมีอุปาทานครอบงำอยู่ ระวัง กิเลสมารจะเข้าครอบงำ มารจะแปลงตัวเป็นพระพุทธเจ้า มีสภาพแจ่มใส แล้วก็จะพูดคล่องกว่าพระพุทธเจ้า เขาจะบอกทุกอย่างแต่มันไม่ถูก มันถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง จงจำอารมณ์ไว้ว่า อารมณ์วันไหนมีสภาพอย่างไรถามแล้วได้รับคำตอบตรงตามความเป็นจริงทุกอย่าง วันต่อไป ถ้าอารมณ์ไม่ดีถึงขนาดนั้น จงอย่าเชื่อ จงอย่าถาม จะถามต่อเมื่ออารมณ์ดีถึงที่สุดก่อน<O:p</O:p
    ก็เป็นอันว่า เป็นการฝึกการถามพระ ท่านพุทธบริษัทคงคิดว่า ถามอะไรในวันนั้นก็ถามท่านว่า วันนี้หลวงพ่อโหน่งสอนแปลก ในเมื่อข้าพระพุทธเจ้าเองปรารถนาพุทธภูมิแต่ว่าท่านสอนให้ปฏิบัติในสังโยชน์ 10 ประการ ตัดสังโยชน์ 10 ประการให้ได้ พระท่านก็ยิ้ม ท่านก็บอกว่า มีความจำเป็น ถ้าเราไม่ทรงบารมี 10 ให้ครบถ้วน ไม่สามรถชำระสังโยชน์ 10 ประการให้สะอาดจากใจ ความปรารถนาใดใดในเรื่องนิพพาน ของเราจะไม่มี<O:p</O:p
    ก็ถามท่านว่า ตามธรรมดา คนที่ปรารถนาพุทธภูมิ ก็ยังจะไม่เป็นพระอริยเจ้าใช่ไหม ท่านบอกว่า ใช่ ก็ถามท่านว่า ถ้าบังเอิญตัดสังโยชน์ขาด เป็นพระอริยเจ้าไป จะไม่ผิดสัจจะหรือท่านบอก ก็ไม่มีอะไรผิด การเป็นพระพุทธเจ้าก็ไปนิพพาน การเป็นพระอริยสาวกก็ไปนิพพาน ขอให้สรุปตัวเองว่า เราต้องการนิพพานดีกว่า ถ้าเราเป็นพระพุทธเจ้าได้ เราก็จะสอนคนให้ไปนิพพาน และวิชาที่จะสอนคนให้ไปนิพพานคือ บารมี 10 กับสังโยชน์ 10ปฏิบัติในบารมี 10 ให้ได้ครบถ้วน ละสังโยชน์ 10 ให้ได้ครบถ้วน อันนี้เราต้องรู้ไปก่อน นั่นหมายความว่า จิตเราสามารถจะระงับสังโยชน์ได้ แต่มันไม่เด็ดขาด นั่นคือ พุทธภูมิถ้าตัดได้เด็ดขาด ก็เป็นพระอริยเจ้า เรียกว่า บรรลุความเป็นพระอริยเจ้ากัน<O:p</O:p
    ท่านพูดแล้วท่านก็ยิ้ม ๆ ท่านก็บอกว่า เธอจงสนใจในสังโยชน์ 10 และสนใจในบารมี 10 ให้ครบถ้วน เพราะว่าสัญญาใดที่มีมาในกาลก่อนที่จะเกิด สัญญานั้นยังไม่ขาด ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นไปตามสัญญา ก็ถามท่านว่า สัญญามีอะไรขอรับ ท่านบอกว่า มันไม่ใช่จะรู้เวลานี้ เวลานี้ไม่ใช่เป็นเวลารู้สัญญา เป็นการรู้การฝึกปฏิบัติให้มันถูกต้อง ปฏิบัติให้มันตรงตามความเป็นจริง<O:p</O:p
    หลังจากนั้นท่านก็บอกว่า ต่อนี้ไปจงตั้งใจรักษาสัจจะ คือ<O:p</O:p
    1. บารมี 10 จะปฏิบัติให้ครบถ้วนจริง <O:p</O:p
    ประการที่ 2 จะค่อย ๆ ตัดสังโยชน์ สังโยชน์ 3 ข้อ จะตัดให้ได้ทรงตัว<O:p</O:p
    ต่อไปก็สังโยชน์ 5 ข้อ จะตัดให้ได้ทรงตัว<O:p</O:p
    สังโยชน์ 10 ข้อ จะตัดให้ได้ทรงตัว<O:p</O:p
    ก็ถามว่า จะตัดให้ได้ทรงตัวจะใช้เวลานานไหมขอรับ ท่านบอกว่า ก็ต้องใช้กำลังกันเป็นเวลา 10 ปี ไม่ใช่วันนี้ ไม่ใช่พรุ่งนี้ ไม่ใช่ปีหน้า ไม่ใช่ปีโน้น สำหรับเธอ ตัวเธอนี่จริง ๆ จะต้องใช้เวลาเกิน 20 ปี เวลานั้นก็บวชเข้ามา 2 พรรษาแล้วจะเข้าพรรษาที่ 2 เป็นพรรษาที่ 1 คือ ออกจากพรรษาที่ 1 แล้ว ถึงเดือน 3 ยังไม่เข้าพรรษาที่ 2 แต่ต้องว่าไปอีก 20 ปี ถามท่านว่า เมื่อเวลานานแบบนั้น ไม่ต้องการได้ไหม เอาเฉพาะด้านพุทธภูมิ ท่านบอกนี่แหละเป็นหลักการของพุทธภูมิ พุทธภูมิก็ต้องมีบารมี 10 ครบถ้วน และก็มีจิตละเอียดในสังโยชน์ 3 ประการ, 5 ประการ,10 ประการ จะต้องเข้าใจในสังโยชน์ทุกประการจึงจะเป็นได้ หลังจากนั้นท่านก็ลากลับ หายไปเลย<O:p</O:p
    เมื่อพระพุทธเจ้าที่ท่านลอยมาหายไป ท่านสวยมาก ท่านมาใหญ่เท่าเดิม หน้าตักประมาณ 8 ศอกเศษ ๆ สวยมาก พูดจาไพเราะ ยิ้มแย้มแจ่มใสที่ใครเขาว่า พระพุทธเจ้าไม่ยิ้มนี่ไม่จริงหรอก ทรงแย้มพระโอษฐ์สวยมาก หลังจากพระพุทธเจ้าไปแล้ว จิตก็ชุ่มชื่น ไม่อยากหลับ จิตใจชุ่มชื่นที่ได้คุยกับพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก หมายความว่า ครั้งก่อน ๆ อาจจะพูดบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ แต่ไม่เป็นเหตุเป็นผล ไม่ใช่หลักวิชาการ<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กุมภาพันธ์ 2010
  4. เงินไหลมา

    เงินไหลมา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    551
    ค่าพลัง:
    +3,413
    เรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อโหน่ง ตอนที่ 3<O:p</O:p

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้คงเป็น วันที่ 23 มิถุนายน 2533 ตามเดิมมาคุยกันต่อไป<O:p</O:p
    หลังจากที่จิตตกลงนิดหนึ่ง กำลังสมาธิลดลงมาถึงอุปาจารสมาธิ ความรู้สึกมันก็เกิดขึ้นทันที ตามกำลังของปัญญาของสมาธิ ที่ท่านบอกว่า เมื่อจิตเป็นสมาธิ ปัญญาก็เกิด ปัญญาตัวเกิดตัวแรกก็คือ ปัญญาจับ กายคตาสติกรรมฐาน เพราะว่า กรรมฐาน 40 นี่ ปฏิบัติกันไม่ได้แน่นอนนะญาติโยม สุดแล้วแต่ว่าอันไหนขึ้นมา จับอันนั้น ต้องศึกษากันครบ 40 มีประโยชน์มาก
    <O:p</O:p
    อันดับแรก จิตจะล้วงเข้าไปถึงตับ ไต ไส้ ปอด ตั้งแต่หัว ถึงเท้า ถ้าหนังมันลอกไปแล้ว จะมีความรู้สึกอย่างไร มีแต่เนื้อ เลือดไหลซิบ ๆ คำว่า สวย ของคน หมดกันตรงนี้แล้วก็ต่อมา ถ้าลอกเนื้อออก จะมีความรู้สึกอย่างไร เหลือแต่โครงกระดูก แต่ข้างในยังมีตับ ไต ไส้ ปอดอยู่ ถ้าตับไต ไส้ ปอดหมดแล้ว จะเหลือแต่กระดูก ก็พิจารณากันไม่ยาก ทุกอย่างเมื่อเห็นแล้ว ก็มีความรู้สึกว่า ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ร่างกายทั้งหมดนี้มันเป็นธาตุ 4 แบ่งเป็น อาการ 32 และมันเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก อย่างนี้เป็นกายคตาสติ
    <O:p</O:p
    แล้วในที่สุดมันก็สลายตัว เป็น อนัตตา อันนี้เป็นวิปัสสนา จิตมันก็เห็นชัดด้วยกำลังของฌาน มีอารมณ์ผ่องใส สดชื่น มีความดีใจว่า เวลานี้เราเพิ่งรู้จักของจริง เรามุ่งเฉพาะสมถภาวนามานาน ทำกันถึงฌาน 8 คือ รูปฌาน 4 อรูปฌาน 4 นี่เรายังไม่มีดีอะไรเลย ยังวนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่แค่รูปฌาน และอรูปฌานก็ไปหลงคำยอของคนอื่น พระอื่นที่เขาทำมาก่อนเขาบอกว่าเก่งแล้วดีแล้ว ๆ นี่เรามันโง่ จะไปโทษท่านไม่ได้ เพราะเรามันโง่เอง
    <O:p</O:p
    นเมื่อมาพบกับของจริงเข้าอย่างนี้ จิตใจก็ชุ่มชื่น คิดว่า ร่างกายนี้เต็มไปด้วยความเลวอย่างนี้ เราก็ไม่ต้องการมีต่อไป ทีหลังอารมณ์นี้มันก็จับอารมณ์ใจ เห็นใครเข้าปั๊บเห็นผิวนอก ก็เห็นข้างในหมด มันมีความรู้สึกเหมือนกันหมด เห็นข้างในแล้ว ในที่สุดก็มีความรู้สึกว่า ทุกคนต้องตายหมด คืนนั้นทั้งคืนเกือบไม่หลับ มันมีธรรมปีติ แต่ว่าในตอนเช้ามือ ประมาณสักตี 3 ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงบอก คุณเสียงที่พูดนี่เคยเป็นแม่คุณนะ จำวัดเสียเช้าจะงง อย่าทรมานมากเกินไป การเพลิดเพลินเกินไปเป็นการทรมานกาย จะขัดต่อคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผลที่จะพึงได้ มันก็จะไม่ได้
    <O:p</O:p
    ก็ถามว่า ทำไม่จึงจะหลับ เวลานี้จิตมันฟูเหลือเกิน ท่านก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้น แม่จะทำให้หลับ เอนกายลง ไม่เห็นตัว พอเอนกายลง ท่านบอก จับอานาปานสติ ก็ทิ้งภาพ กายคตาสติ จับ อานาปานสติ นึกถึงพุทธานุสสติ พอนึก พุท หายใจเข้า โธ ออก แค่นั้นเองหลับ เมื่อหลับแล้วก็พ้นไป
    <O:p</O:p
    พอตอนเช้า ฉันเช้าเสร็จ ก็มาคุยกันหน่อยหนึ่ง ฉันเช้าที่ไหน ขอตอบว่า ฉันเช้าในป่าเวลานั้นมันยังเป็นป่าเยอะ ดินแดนเมืองสุพรรณป่าเยอะแยะ เป็นป่ามาก มีทุ่งน้อยก็เอาบาตรแขวนกับต้นไม้ จับพุทธานุสสติกรรมฐานเห็นภาพพระพุทธเจ้า เห็นท่านยิ้ม ท่านถามว่ามีอะไรจะคุยไหม (ความจริงเห็นภาพอย่างนี้ เห็นทุกวัน แต่คุยไม่เป็น ความโง่ของคน มันเป็นอย่างนี้คนที่เขามาคุยกับอาตมาบ้าง มาศึกษากรรมฐานบ้าง เขาคงคิดว่า คงฉลาดมาก แต่ความจริง โง่บัดซบ โง่แสนโง่ พบพระพุทธเจ้ามานานพูดไม่ได้ ถามไม่ได้) ท่านก็ถามว่า เมื่อคืนนี้มีความรู้สึกอย่างไร ก็เลยกราบเรียนท่านบอกว่า มีธรรมปีติสูงมาก ท่านบอกว่าระวังนะ ปีติ ถ้ามากเกินไป มรรคผลจะไม่เกิด เพราะอารมณ์ปีติฟู ปีติ ถ้าน้อยเกินไปมรรคผลก็จะไม่เกิด ต้องมีกำลังใจแค่พอดี ๆ
    <O:p</O:p
    จึงกราบเรียนถามท่านว่า คำว่า พอดี แค่ไหน ท่านบอกว่า แค่อารมณ์จิตเป็นสุข อย่าให้ฟูเกินไป อย่างเมื่อคืนนี้ฟูเกินไปไม่อยากจะเลิก อย่างนั้นใช้ไม่ได้ ต้องถอยหลังก็รับปากท่าน ที่ท่านสอนเมื่อท่านพูดจบ ก็มีเสียงบอกว่า บาตรมีอาหารครบแล้วครับ เป็นเสียงผู้ชายแต่ไม่เห็นตัว ก็ลืมตาขึ้นมา บาตรมีอาหารครบ มีดอกไม้สวย ๆ 1 ดอก ต่างองค์ต่างก็ฉันข้าวกัน เมื่อฉันข้าวเสร็จ ก็เดินจงกรมเดินไปเดินมา เดินมาเดินไป ตามสบาย ๆ ให้ร่างกายหายเครียด ร่างกายคลายเครียดแล้วก็นั่ง หลังจากเที่ยง ถึงเวลาที่หลวงพ่อโหน่งออกมารับแขก
    <O:p</O:p
    เมื่อเห็นว่าเป็นเวลาพอสมควร เวลาประมาณบ่าย 3 โมงก็เข้าไปกราบท่าน เมื่อเข้าไปกราบท่าน ท่านก็ถามว่า เมื่อคืนนี้พบพระแล้วใช่ไหม ก็กราบเรียนท่านบอกว่า เรื่องพบพระ นี่พบทุกวันตั้งแต่เจริญกรรมฐานมา วันแรกก็พบพระเรื่อย แต่ว่าไม่เข้าใจเรื่องการถามพระ ท่านบอกว่า นี่มันเป็นหน้าที่ของอาจารย์ปานท่าน ที่ท่านไม่บอกเธอเพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่าหน้าที่การบอกเธอคือ ฉัน เราเคยทำบุญร่วมกันมา แต่หน้าที่ของใครก็หน้าที่ของใคร หลังจากนี้มีความพอใจหรือยังว่า การถามพระได้ บอกว่า พอใจแล้วครับ ท่านก็เลยบอกว่า การปฏิบัติกรรมฐาน ต้องถามพระทุกขั้น ทุกตอนนะ อะไรที่ได้มา เขาเรียกกันว่าอะไร อย่างนี้ถูกต้องแล้วหรือยัง ถูกหรือผิด ถ้าผิดพลาด จะทำอย่างไรในการแก้ไข ให้ถามพระโดยตรง อย่าถามใคร แต่ว่าอย่างอาจารย์ปาน หรืออย่างอาจารย์จง นี่ถามได้ ไม่ผิด แต่คนอื่นอย่าเพิ่งไปถามเข้า เพราะว่าหลวงพ่อเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าใครเขาได้ชั้นไหน
    <O:p</O:p
    ถ้าบังเอิญไปพบกับคนที่เขาได้จริง ๆ มันไม่ผิด ถ้าไปพบกับคนที่ไม่ได้จริง ๆ เขาจะแนะนำว่า อย่างนี้ใช้ไม่ได้ เฝือ การเห็นภาพพระเป็นจิตเลื่อนลอย การเห็นนิพพานมีจริงเป็นของเลื่อนลอย อย่างนี้เธอก็จะผิดทาง ก็รับปากท่าน ท่านบอกว่า ต้องทำทุกวัน ถึงแม้ว่าฌานสมาบัติที่เธอได้ก็เหมือนกัน เมื่อทำอารมณ์ถึงที่สุดแล้ว หลังจากนั้น วิปัสสนาญาณมันจะเข้า ปัญญามันเกิดเอง คำว่า วิปัสสนาญาณ คือ ปัญญา ที่รู้แจ้งเห็นจริง มีความเข้าใจตามความเป็นจริง อย่างเมื่อคืนนี้ที่เธอเห็น กายคตาสติ ร่างกายเป็นทุกข์ ร่างกายน่าเกลียด ลอกหนัง ลอกเนื้อ เอาตับ ไตไส้พุงออก อย่างนั้นเป็นกายคตาสติ และอสุภกรรมฐาน แล้วเธอก็นึกถึงความตาย หรือการสลายตัวซึ่งเป็น อนัตตา
    <O:p</O:p
    นี่เป็นอันว่า ไม่ได้บอกท่าน ท่านรู้ ท่านบอกว่า นี่แหละเป็นตัวปัญญาที่เกิดจากสมาธิมันตั้งมั่นดีแล้ว ขณะที่สมาธิตั้งมั่น มันจะไม่คิดอะไร มันจะมีสภาพดิ่งของมันทรงตัวก็ปล่อยไป อย่าฝืน (คนที่เคยมาถามบ่อย ๆ ว่า จิตดิ่ง ทำอย่างไร ๆ จำไว้ด้วยนะ) ปล่อยให้ดิ่งไปตามนั้น สักครู่หนึ่งจิตมันจะลดตัวเอง กำลังสมาธิจะลดตัว ในเมื่อสมาธิลดตัวมาถึงอุปจารสมาธิ อารมณ์ก็จะเกิด ความรู้สึกจะเกิด ความรู้สึกตัวนี้เป็นตัววิปัสสนาญาณ เป็นตัวปัญญา จะเข้าใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเต็มไปด้วยความทุกข์ ถ้ามันจะเกิดมุมไหน ก็จับเฉพาะมุมนั้นนะ มันดีทุกมุม
    <O:p</O:p
    รวมความว่า การฝึกกับหลวงพ่อโหน่ง ฝึกจนคล่องอยู่ที่นั่นใช้เวลา 15 วัน ก็ไปลาท่านกลับ ท่านถามว่า แล้วจะมาอีกไหม ก็กราบเรียนท่านบอกว่าสุดแล้วแต่หลวงพ่อปาน ท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้น เธอก็ยังไม่ได้มาอีกนาน ถ้าจะมาก็จวนฉันจะตายนั่นแหละ ใกล้ ๆ เวลาที่ฉันจะตาย เธอจะได้มากับหลวงพ่อปานอีกครั้งหนึ่ง ก็กราบเรียนท่านว่า ท่านจะตายก่อนหลวงพ่อปานหรือขอรับ ท่านบอกว่า ใช่ พระท่านบอกว่า ฉันจะตายก่อนหลวงพ่อปาน แต่ไม่เป็นไร มีอะไรมาถามกันได้เลยนะ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน การเดินไปเดินมาเป็นของยากเราไปพบกันที่ต่อหน้าพระก็แล้วกัน ถ้าเธอเห็นพระเมื่อไร นึกถึงฉันเมื่อนั้น ฉันจะพบกับเธอทันที ที่ข้างหน้าพระเธอมีอะไรถามฉันได้ ถ้าฉันไม่เข้าใจ พระท่านจะตอบแทน แหม..เป็นโชคหนัก แต่บรรดาท่านพุทธบริษัทสังเกตดูให้ดีนะว่า การศึกษากันทั้งหมดนี่ไม่พูดกันถึง เรื่องฤทธิ์ เลย เรื่องการเหาะเหินเดินอากาศนี่ ไม่ได้มีการศึกษากัน
    <O:p</O:p
    ทีนี้ก็มีคนหลายคนคุยว่า อาตมาเก่ง เก่งกว่าความเป็นจริงเยอะ ที่เขาคุยกันนะแต่ความจริงเรื่องฤทธิ์นี่ไม่ได้คิดว่าจะเหาะ คิดว่า ทำอย่างไรจะคุยกับพระได้ คุยกับพระถูก
    <O:p</O:p
    ที่นี้มาก็ขอเล่าเรื่องหลวงพ่อโหน่งสักเรื่องหนึ่ง คือ หลวงพ่อปานท่านเล่าให้ฟังนี่หลวงพ่อปานท่านพูดเองนะว่า สมัยหนึ่ง สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดมหาธาตุฯ คือ หลวงพ่อเฮง เวลานั้นท่านเป็นพระราชาคณะ ยังไม่ได้เป็นสมเด็จฯ ท่านจะไปฝังลูกนิมิตที่วัดปากคลองสองพี่น้อง (วัดนี่จำไม่ได้แน่อน) ในฐานะที่ท่านเป็นเจ้าคณะมณฑล แล้วในงานนั้นเขาก็ต้องนิมนต์หลวงพ่อโหน่งมาด้วยเป็นของธรรมดา ถึงเวลากลางคืน ตอนที่เขาจะทำนิมิตกัน พระทุกองค์มาหมด แต่ว่าขาดหลวงพ่อโหน่งองค์เดียว
    <O:p</O:p
    เป็นอันว่า หลวงพ่อโหน่งไม่มา สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์วัดมหาธาตุฯ (หลวงพ่อเฮง) ท่านก็บอกกับพระทั้งหลายว่า ถ้าหลวงพ่อโหน่งไม่มา เรายังทำกันไม่ได้ เพราะว่าหลวงพ่อโหน่งเป็นพระที่มีความสำคัญมาก การที่เราทำ มันอาจจะผิดวิธีการก็ได้ ตามตำรานี่ ตำราเขาเขียนถูก แต่ความรู้สึกของเราอาจจะผิด แต่ความจริง สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(เฮง) ใคร ๆ ก็ยอมรับนับถือว่าเป็นนักตำราจริง ๆ มีการแตกฉานในพระไตรปิฏกจริง ๆ ทุกคนก็ต้องคอยในเมื่อหัวหน้าบอกให้คอย ก็ต้องคอย คอยจนกระทั้งยันเช้า หลวงพ่อโหน่งยังไม่มา ก็ไม่มีใครทำกัน
    <O:p</O:p
    พอตอนสายประมาณ 3 โมงเช้าหลวงพ่อโหน่งมาในเมื่อหลวงพ่อโหน่งมา หลวงพ่อเฮง ท่านก็เรียนถามหลวงพ่อโหน่ง ท่านเห็นหลวงพ่อโหน่ง (ท่านเข้าไปกราบหลวงพ่อโหน่งนะ ท่านไม่ได้คิดว่า ท่านเป็นเจ้าคณะมณฑล อันนี้ต้องคิดให้ดี พระชั้นดีนะ หลวงพ่อเฮงนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กนะ ไม่ใช่ดีแต่ตำรา ด้านจิตใจสมาธิก็ดีมาก) ท่านเข้าไปกราบหลวงพ่อโหน่งในฐานะที่เป็นอาวุโสกว่าท่าน ท่านก็ถามว่า เมื่อคืนนี้ทำไมไม่มาครับหลวงพ่อ พวกผมคอยกันจนสว่าง ท่านก็เลยบอกว่า พิธีกรรมที่ทำนี่ ที่กำหนดว่าจะทำ พระท่านบอกว่าผิด ทำไม่ถูกท่านไม่ให้ผมมา ให้มาตอนสาย ผมก็เลยมาตามคำสั่งของท่าน
    <O:p</O:p
    หลวงพ่อเฮงก็ถามว่า (สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์นะ) พระสั่งว่าอย่างไรขอรับท่านก็บอกว่า พระสั่งว่าต้องทำแบบนี้ แล้วสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เฮง) ก็ให้พระจดทันที(เลขานุการจด) ช่วยกันจดพิธีกรรมต่าง ๆ เมื่อจดเสร็จ สั่งทำตามพิธีกรรมนั้นทันทีทันใด ท่านบอกว่า อย่างนี้ถูกแน่นอน
    <O:p</O:p
    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ความจริงพระสมัยนั้นท่านดีจริง ๆ พระดีมีมาก แต่ขึ้นชื่อว่า ของธรรมดาในโลก บรรดาท่านพุทธบริษัท มันเป็นของคู่กัน เมื่อมีความดีแล้วก็ต้องมีความชั่ว มีความชั่วแล้วก็มีความดี มีคนรู้จริง ก็ต้องมีคนรู้ไม่จริง คนรู้ไม่จริงมี ก็ต้องมีคนรู้จริง คนรู้อย่างประเภทหยิ่งยะโสโง่แกมหยิ่ง ประเภทนี้ก็ต้องมีประจำโลกเหมือนกัน ก็เป็นของธรรมดา ๆ ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ คนในโลกก็ไม่มี ไปนิพพานกันหมด
    <O:p</O:p
    ก็รวมความว่า หลังจากนั้นก็ลาหลวงพ่อโหน่งกลับ เมื่อลาหลวงพ่อโหน่งกลับวัดมาถึงที่วัดก็มาเจอะของดีอีก เราจะเรียกกันว่าอย่างไรดี ก็เจอะพระชั้นดี ลูกศิษย์หลวงพ่อปานบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ถ้าไปที่ไหนมีคนยกย่องสรรเสริญ เคารพนับถือ บูชาสักการะเลี้ยงดูอย่างดีมาก แต่ว่าที่ดีจริง ๆ มีปริมาณน้อยเหลือเกิน เพราะอะไร เพราะว่าวิชาที่หลวงพ่อปานสอนไม่เอาหรอก อย่างสมถวิปัสสนานี่ อาตมาจำได้ ในสมัยนั้นก็มี พระสำรวย คือพระครูธรรมโสภิต วัดสร้อยทอง องค์หนึ่ง ที่สนใจกรรมฐานจริง ๆ แล้วก็ หลวงพ่อเล็กเกสโร อาจารย์ฉัตร 3 องค์นี่เอาจริง นอกนั้นก็เป็นลิงหลอกเจ้า คำว่า ลิงหลอกเจ้านี่หมายความว่าไม่เอาเลย เรียนนักธรรมบาลีก็ไม่อยากจะเรียนแต่การงานชอบทำเพราะไม่ต้องเรียน อย่างนี้เราจะพบดีกันที่ไหน
    <O:p</O:p
    ในเมื่อเข้าไปวัดก็เจอะของดีเข้าซิ บรรดาพระพวกนี้แหละ เอ้า. อรหันต์มาแล้วโว้ยคนเก่งแล้ววะ เอ้า..พวกเราใครอยากจะดูอะไร ใครอยากจะดูแสดงฤทธิ์ ก็ต้องยิ้ม เขาว่าอย่างไร เราก็ยิ้ม ที่ยิ้มเพราะอะไร ยิ้มเพราะว่า เราดีใจว่า เรารู้แล้วว่าพวกนี้เขาจะไปไหน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะกำลังใจเราคุมพระจิตใจเห็นพระตลอดเวลา พอเขาพูดปั๊บ เห็นภาพในอดีตของเขาลงไปนอนจมในอเวจีมหานรก ไฟลุกพึ่บ ๆ ๆ มีหอกร้อย หอกเสียบดิ้นรนไม่ไหว เราก็ยิ้ม เราคิดว่า นี่เราจะไปเถียงกับสัตว์ในอเวจีอย่างไร ถ้าเถียงกับเขาดีไม่ดีเราก็ลงอเวจีไปด้วยคน ถ้าด่ากันฝ่ายเดียว ฝ่ายหนึ่งด่า อีกฝ่ายหนึ่งไม่ด่า ถ้าขึ้นสถานีตำรวจ ฝ่ายที่ไม่ด่า ไม่ต้องเสียเงินค่าปรับ ถ้าด่าด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย ถูกปรับทั้ง 2 ฝ่ายนี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเขาเลว ถ้าเราไปเลวตามเขา ไปโกรธเขา เราก็เลว เราก็ต้องไปนรกกับเขาด้วย เราก็ยิ้ม พอพวกเรายิ้มมันก็บอกว่า นั่นแน่..เห็นไหม คนธรรมดา ถ้าพูดอย่างนี้ เขาต้องเถียง ไอ้นี่มันบ้า ๆ บวม ๆ ใครเขาพูดอย่างไร ก็เอาแต่ยิ้มอย่างเดียวอย่างนี้เขาเรียกว่า บ้ายิ้ม เขายังเอาอีก
    <O:p</O:p
    ต่อมาเมื่อเดินเข้าไป เห็นหลวงพ่อปานกำลังรับแขก ก็เข้าไปกราบท่านท่านก็นิ่งเงียบไม่พูดอะไรทั้งหมด เพราะท่านกำลังคุยกับแขก เรากราบท่าน ท่านก็ยกมือรับไหว้ เราก็ยังไม่เข้ากุฏิก่อน เข้าไม่ได้ ในเมื่อท่านยังไม่พูด ยังไม่สั่ง ในเมื่อท่านคุยกับแขกจบเรื่องท่านก็ถามว่า วิชาคุยกับพระได้มาแล้วใช่ไหม บรรดาพวกแขกเขาก็ตะลึง เขามองดูเขาถามว่าคุยกับพระอย่างไรขอรับ หลวงพ่อปานท่านบอก คำว่า คุยกับพระ ก็คือ พูดกับพระพุทธเจ้าการที่พบพระพุทธเจ้าได้ก็ดี พบเทวดา หรือพรหม นางฟ้าได้ก็ดี เป็นของดี แต่ก็ยังไม่ดีจริง ถ้าจิตเราเลว ทีนี้การพบพระได้ เราจะถามได้ว่ากรรมฐานที่เราทำ หรือข้อวัตรปฏิบัติที่เราทำมันดี หรือไม่ดี มันถูก หรือมันผิด ถ้าสิ่งใดที่มันยังพร่องอยู่ สมมติว่าเวลานี้บารมีเรายังพร่องเรายังมีบารมีชั้นสวรรค์ชั้นกามาวจร เราอยากจะเป็นพรหม เราจะทำอย่างไร ท่านจะบอกให้สั้น ๆ ง่าย ๆ แล้วก็ปฏิบัติตามท่าน เพียงแค่นี้ ประเดี๋ยว 2-3 วันก็ได้ ถ้าเราต้องการจะไปนิพพาน จะทำอย่างไร ท่านก็จะบอกให้แบบสั้น ๆ เฉพาะที่พร่อง เพราะบุญบารมีทุกคนทำมาแล้ว อย่างไหนมันเต็มแล้ว ท่านก็บอก ไม่ต้องทำ อันนั้นมันเต็มแล้ว รักษาไว้ไม่ต้องทำใหม่ ทำสิ่งที่มันบกพร่องให้มันเต็ม
    <O:p</O:p
    ในสมัยพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เวลานั้นสมเด็จพระบรมครูเทศน์ไม่ยาก เทศน์คนฟังง่าย ๆ อย่างเทศน์ให้ เปสการี ฟังว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยงขอเธอทั้งหลายจงอย่าประมาทในชีวิต คิดว่าความตายจะมีกับเราวันนี้ไว้เสมอ และทุกคนให้นึกถึงพระไตรสรณาคมน์ รักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์(อันนี้แถม) เพียงเท่านี้เธอก็เป็นพระโสดาบัน เพราะอะไร เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างเขาพร้อมแล้ว มันขาดเท่านั้นที่นี้ถ้าเราเจริญกรรมฐาน พบกับพระได้ คุยกับพระได้ เขาถือว่า เป็นการเจริญกรรมฐานที่ได้อาจารย์ที่ไม่ใช่มนุษย์ ผลที่จะพึงได้จริง ๆ ถ้าบุคคลใดได้อาจารย์ที่ไม่ใช่มนุษย์ บุคคลนั้นมีหวังไปนิพพานในชาตินี้ ถ้ากรรมอย่างอื่น กรรมชั่ว ไม่มาลิดรอน ไม่มาตัดทอนเขา เขาสามารถจะไปนิพพานได้
    <O:p</O:p
    ก็มีโยมผู้ชายคนหนึ่งถามว่า พระทั้ง 3 องค์นี่ พบพระได้แล้วหรือยัง ท่านก็บอกว่าฉันสอนให้เขาพบพระได้ตั้งแต่วันแรกบวช เขาก็พบ แต่ว่าเขาคุยกับพระไม่ได้ เพราะเขาไม่เข้าใจ ถ้าฉันจะบอกเขา ฉันก็บอกได้ แต่ไม่ใช่หน้าที่ของฉันมันเป็นหน้าที่ของหลวงพ่อโหน่ง ที่จะต้องบอก เพราะทั้ง 3 องค์นี่เขาเคยบำเพ็ญบารมีร่วมกันมา ร่วมกับฉันเขาก็ร่วม ร่วมกับหลวงพ่อโหน่งเขาก็ร่วม แต่หน้าที่ในการบอกจะต้องเป็นหลวงพ่อโหน่ง ฉันก็ให้เขาไปหาหลวงพ่อโหน่งเขาก็ไปหาหลวงพ่อโหน่ง เขาก็เรียนมาแล้ว ท่านก็หันมาถามว่า เวลานี้คล่องตัวแล้วใช่ไหม ก็ตอบท่านว่า คล่องแล้วครับ ญาติโยมทั้งหลายก็ถามว่า การคุยกับพระทำอย่างไรขอรับ ก็บอกว่าโยมถามหลวงพ่อปานก็แล้วกัน อาตมาเป็นลูกศิษย์ เพิ่งจะได้เล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนี้ ยังเป็นคนที่ไม่ถึงความดี อย่าเพิ่งถามกันเลย
    <O:p</O:p
    หลวงพ่อปานก็บอกว่า จริงอย่าไปยุ่งกับพระท่าน เอ้า..คุณทั้ง 3 องค์กลับไปกุฏิได้นะตามสบาย ตอนเช้าจะไปบิณฑบาตก็ได้ ไม่ไปบิณฑบาตก็ได้ แต่การบิณฑบาตกับต้นไม้ของเธอให้ทำตามปกติ และธุดงค์ 13 ให้เลือกปฏิบัติตามชอบใจนะ
    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กุมภาพันธ์ 2010
  5. fullmoonsun

    fullmoonsun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    735
    ค่าพลัง:
    +2,321
    anumothana sathu ka
     
  6. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260

    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ

    เชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญครับ
    www.buddhasattha.com<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มีนาคม 2010
  7. anoldman

    anoldman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,950
    ค่าพลัง:
    +4,558
    สาธุๆ


    ลูกหลานขอกราบพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ เคารพยิ่งแล้ว ขอรับ
    ขออนุโมทนาครับ __^/|^__

    ______________________________
    hello9
    กลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ สายอีสาน
    กลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ สายอีสาน มารายงานตัวกันหน่อยครับ

    โครงการถวายพระบรมสารีริกธาตุทั่วทุกวัดฯ ทั่วภาคเหนือตอนล่าง
    โครงการถวายพระบรมสารีริกธาตุทั่วทุกวัด สำนักสงฆ์สำนักปฏิบัิติธรรม ทั่วภาคเหนือตอนล่าง
     
  8. EakChutidet

    EakChutidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +856
    ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ ขอความสุขความสำเร็จ ความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุกท่าน ทุกรูปทุกนาม อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ
     
  9. Guide_Raito

    Guide_Raito เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    892
    ค่าพลัง:
    +2,990
    โมทนาบุญอย่างยิ่งครับ
    _____________________________________________________________________________________________________________
    มีบุญมาฝากคับทางกลุ่มพระพุทธศาสนา ม. สงขลานครินทร์ ภูเก็ต ได้ จัดทำโครงการแจกสือ่ ธรรมะของสายหลวงพ่อฤาษีลิงดำคับ เพราะ ที่นี่มีเด็กหลายคนสนใจมาฝึกมโนมยิทธิและหันมาทำความดีกัน เนื่องด้วย สื่อ ธรรมะ ของหลวงพ่อ ครับทางชมรมเลยจัดโครงการแจกสือ่ธรรมะเป็นสาธารณะประโยชน์ แก่ โรงเรียน ห้องสมุดต่างๆเพื่อ ชักจูง คนให้เป็นสัมมาทิฐิและเป็นกำลังพระศาสนา สืบต่อไปครับ
    ขอให้ชาวเวปพลังจิตทุกท่าน เจริญขึ้นทั้งทางโลก และทางธรรม เข้าถึงธรรมขององค์สมเด็จฯ ได้โดยง่ายครับ
    [​IMG] [​IMG]
    เข้าชมรายละเอียดได้ที่http://palungjit.org/forums/ขอเชิญร่วมบุญ-โครงการธรรมทานกับนักศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์-ภูเก็ต-[.109/FONT]218421.html<O:p></O:p>
     
  10. Natthakorn

    Natthakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,003
    ค่าพลัง:
    +7,078
    ดีจริงๆเลยนะครับ
    ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ
     
  11. จันทร์เจ้า

    จันทร์เจ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    830
    ค่าพลัง:
    +1,948
    ขอโมทนาสาธุครับ
     
  12. pradet66728541

    pradet66728541 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    395
    ค่าพลัง:
    +1,221
    อนุโมทนาจริงๆครับอ่านแล้วซึ้งขนแขนลุกตลอดเลยครับ

    รู้จักความหมายคำว่าสูญจริงๆแล้วครับ
     
  13. fay10

    fay10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    732
    ค่าพลัง:
    +2,760
    อ่านแล้วยากพบพระจังอยากนิพพานจังแต่ติที่ยังต้องมีบ่วงในโลกนี้อยู่ ชาติหน้าจะขอเกิดเป็นชาติสุดท้าย
    อนุโมทนาด้วยนะค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...