หลวงพ่อเล่าเรื่องหลวงพ่อสดวัดปากน้ำสอนเรื่องพระนิพพาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 9 สิงหาคม 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    [​IMG]
    อาตมาเองก็เป็นคนงมงายมาก่อน ในกาลก่อนใครพูดเรื่องนิพพานไม่เชื่อ นิพพานมีสภาพสูญ เขาว่าอย่างนั้น ต่อมา หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ซึ่งเป็นอาจารย์ ท่านเห็นว่า เรามีสันดานชั่วละมั้ง ก็ส่งให้ไปหา หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ไปเรียนกับหลวงพ่อสดประมาณ ๑ เดือน ก็ทำได้ตามสมควร เรียกว่าพื้นฐานมีอยู่แล้ว ต่อมาวันหนึ่งประมาณ เวลา ๖ ทุ่มเศษ หลังจากทำวัตร สวดมนต์ เจริญกรรมฐานกันแล้ว หลวงพ่อสดท่านก็คุยชวนคุย คนอื่นเขากลับหมด ก็อยู่ด้วยกันประมาณ ๑๐ องค์ วันนั้น ท่านก็บอกว่าฉันมีอะไรจะเล่าให้พวกคุณฟัง คือ พระที่ไปถึงนิพพานแล้ว มีรูปร่างเหมือนแก้วหมด ตัวเป็นแก้ว เราก็นึกในใจว่าหลวงพ่อนี่ไปมากแล้ว นิพพานเขาบอกว่ามีสภาพสูญ แล้วทำไมจะมีตัวมีตนแล้วท่านก็ยังคุยต่อไปว่า นิพพานนี้เป็นเมือง แต่ว่าเป็นทิพย์พิเศษ เป็นทิพย์ที่ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก มีพระอรหันต์มากมาย คนที่ไปนิพพานได้ เขาเรียกว่า พระอรหันต์ จะตายเมื่อเป็นฆราวาสจะตายเมื่อเป็นพระก็ตาม ต้องถึงอรหันต์ก่อน เมื่อถึงอรหันต์ก่อนแล้วก็ตาย ตายแล้วก็ไปอยู่ที่นั่น ร่างกายเป็นแก้วหมด เมืองเป็นแก้ว สถานที่อยู่แพรวพราวเป็นระยับ อาตมาก็นึกในใจว่าหลวงพ่อนี่ไปเยอะ ตอนก่อนก็ดี สอนดี มาตอนนี้ชักจะไปมากเสียแล้วแต่ก็ไม่ค้าน ฟังแล้วก็ยิ้ม ๆ ท่านก็คุยต่อไปว่า เมื่อคืนนั้น ขี่ม้าแก้วไปเมืองนิพพาน (เอาเข้าแล้ว) แล้วต่อมาคุยไปคุยมาท่านก็บอกว่า (ท่านคงจะทราบ ท่านไม่โง่เท่าเด็ก เพราะพระขนาดรู้นิพพานไปแล้ว อย่างอื่นก็ต้องรู้หมด แต่ความจริงคำว่า รู้หมด ในที่นี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่ใช่รู้เท่าพระพุทธเจ้า แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่ควรจะรู้ ก็สามารถรู้หมด)ท่านก็เลยบอกว่า เธอดูดาวงดวงนี้นะ ดาวดวงนี้สุกสว่างมาก ประเดี๋ยวฉันจะทำให้ดาวดวงนี้ริบหรี่ลง จะค่อย ๆ หรี่ลงจนกระทั่งไม่เห็นแสงดาว ท่านชี้ให้ดู แล้วก็มองต่อไป ตอนนี้เริ่มหรี่ ละ ๆ แสงดาวก็หรี่ไปตามเสียงของท่าน ในที่สุด หรี่ที่สุด ไม่เห็นแสงดาว ท่านถามว่า เวลานี้ทุกคนเห็นแสงดาวไหม ก็กราบเรียนท่านว่า ไม่เห็นแสงขอรับ ท่านบอกว่า ต่อนี้ไป ดาวจะเริ่มค่อย ๆ สว่าง ขึ้นทีละน้อย ๆ จนกระทั่งถึงที่สุด แล้วก็เป็นไปตามนั้น พอท่านทำถึงตอนนี้ก็เกิดความเข้าใจว่า ความดีหรือวิชาความรู้ที่เรามีอยู่ มันไม่ได้ ๑ ในล้านที่ท่านมีแล้ว ฉะนั้นคำว่านิพพานจะต้องมีแน่ ท่านมีความสามารถอย่างนี้เกินที่เราจะพึงคิด ครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ที่ศึกษามาในด้านกรรมฐานก็ดีหรือที่คุยกันมาก็ดี นี่ท่านรู้จริง ท่านก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนิพพาน คำว่านิพพานสูญท่านไม่ยอมพูด ไปถามท่านเข้าว่านิพพานสูญรึ ท่านนิ่ง ในที่สุดก็ไปถาม ๒ องค์ คือ หลวงพ่อปาน กับหลวงพ่อโหน่ง ถามว่านิพพานสูญรึ ท่านตอบว่า ถ้าคนใดสูญจากนิพพาน คนนั้นก็เรียกว่านิพพานสูญ แต่คนไหนไม่สูญจากนิพพาน คนนั้นก็เรียกนิพพานไม่สูญ ก็รวมความว่า นิพพานไม่สูญแน่ทีนี้ต่อมา หลวงพ่อสดท่านก็ยืนยันเอาจริงเอาจัง ต่อมาท่านก็สงเคราะห์คืนนั้นเอง ท่านก็สงเคราะห์บอกว่า เรื่องต้องการทราบนิพพาน เขาทำกันอย่างนี้ ท่านก็แนะนำวิธีการของท่าน รู้สึกไม่ยาก เพราะเราเรียนกันมาเดือนหนึ่งแล้ว ตามพื้นฐานต่าง ๆ ท่านบอกว่าใช้กำลังใจอย่างนี้ เวลาผ่านไปประมาณสัก ๑๐ นาที รู้สึกว่านานมากหน่อย ทุกคนก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนิพพานมีจริง เห็นนิพพานเป็นแก้ว แพรวพราวเป็นระยับ พระที่นิพพานทั้งหมด เป็นแก้วหมด แต่ไม่ใช่แก้วปั้น เป็นแก้วเดินได้ คือแพรวพราวเหมือนแก้ว สวยงามระยับทุกอย่างที่พูดนี้ยังนึกถึงบุญคุณหลวงพ่อสดท่านยังไม่หาย ท่านมีบุญคุณมากรวมความว่า เวลานั้นเรายังเป็นคนโง่ อาจจะมีจิตทึมทึก แต่ความจริงขอพูดตามความเป็นจริงเวลานั้นจิตไม่ดำ จิตใสเป็นแก้ว แต่ความแพรวพราวของจิตไม่มีการใสเป็นแก้วนั้น เวลานั้นเป็นฌานโลกีย์ ฌานสูงสุด ใช้กำลังเฉพาะเวลานะ ฌานโลกีย์นี้เอาจริงเอาจังกันไม่ได้ จะเอาตลอดเวลานี้ไม่ได้ เพราะอยู่ต่อหน้าครูบาอาจารย์ แล้วท่านก็สั่งว่า หลังจากนี้ต่อไป ทุก ๆ องค์ จงทำอย่างนี้จิตต่อให้ถึงนิพพานทุกวัน ตามที่จะพึงทำได้ อย่างน้อยที่สุด จงพบนิพพาน ๒ ครั้ง คือ ๑. เช้ามืด และประการที่ ๒. ก่อนหลับ หลังจากนี้ไป เธอกลับไปแล้ว ทีหลังกลับมาหาฉันใหม่ ฉันจะสอบ
    เมื่อได้ลีลามาอย่างนั้นแล้วก็กลับ มาหาครูบาอาจารย์เดิม คือ หลวงพ่อปาน พอขึ้นจากเรือก็ปรากฏว่าพบหลวงพ่อปานอยู่หน้าท่า ท่านเห็นหน้าแล้วท่านก็ยิ้ม ว่าอย่างไรท่านนักปราชญ์ทั้งหลาย เห็นนิพพานแล้วใช่ไหม ตกใจ ก็ถามว่า หลวงพ่อทราบหรือครับ บอก เออ ข้าไม่ทราบหรอก วะ เทวดาเขามาบอก บอกว่าเมื่อคืนที่แล้วมานี่ หลวงพ่อสดฝึกพวกเอ็งไปนิพพานใช่ไหม ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ใช่ขอรับ ท่านบอกว่า นั่นแหละ เป็นของจริง ของจริงมีตามนั้น หลวงพ่อสดท่านมีความสามารถพิเศษในเรื่องนี้
    ก็ถามว่า ถ้าหลวงพ่อสอนเองจะได้ไหม ท่านก็ตอบว่า ฉันสอนเองก็ได้ แต่ปากพวกเธอมันมาก มันพูดมาก ดีไม่ดีพูดไปพูดมา งานของฉันก็มาก งานก่อสร้างก็เยอะ งานรักษาคนเป็นโรคก็เป็นประจำวัน ไม่มีเวลาว่าง ถ้าเธอไปพูดเรื่องนิพพาน ฉันสอนเข้าฉันก็ไม่มีเวลาหยุด เวลาจะรักษาคนก็จะไม่มี เวลาที่จะก่อสร้างวัดต่าง ๆ ก็ไม่มี ฉันหวังจะสงเคราะห์ในด้านนี้ จึงได้ส่งเธอไปหาหลวงพ่อสด ก็ถามว่า หลวงพ่อสดกับหลวงพ่อรู้จักกันดีรึ ท่านก็ตอบว่า รู้จักกันดีมาก เคยไปสอบซ้อมกรรมฐานด้วยกัน สอบกันไปสอบกันมาแล้ว ต่างคนต่างต้นเสมอกัน ก็รวมความว่ากำลังไล่เรื่อยกัน บรรดาท่านพุทธบริษัท นี่เป็นจุดหนึ่งที่อาตมาแสดงถึงความโง่กับครูบาอาจารย์และอีกประการหนึ่ง ก็มีเรื่องหนึ่ง คือเป็นเรื่องจริงทั้งหมด เรื่องมีมาในธรรมบท มีพราหมณ์คนหนึ่ง อาตมาอาจจะจำชื่อผิดเพราะไม่ได้นำหนังสือมา ไม่ได้ดูมา เวลานี้ก็ป่วย ร่างกายไม่ดีสมองแย่ อย่านึกว่ามันเพลียลงทุกวัน ๆ มันจะอยู่ไปถึงไหนก็ไม่ทราบคงไม่นานนัก มีพราหมณ์คนหนึ่ง ถ้าจำชื่อไม่ผิด ก็มีชื่อว่า ติสสะ ชื่อไม่ขอพูดดีกว่า อาจจะผิด ขออภัยด้วยถ้าผิด มีพราหมณ์คนหนึ่งท่านมีความรู้สึกตนเองว่ามีความรู้มาก มีลูกศิษย์ลูกหามาก ประกาศศาสนา คำว่าศาสนาคือคำสอน สอนคนเป็นลูกศิษย์ลูกหามาก แต่พราหมณ์คนนี้มีกรณีพิเศษ คือใช้เหล็กพืดคาดพุง ถ้าใครเขาถามว่าทำไมถึงใช้เหล็กพืดคาดพุง คาดพุงรอบตัวเลย ท่านบอกว่า วิชาความรู้ของท่านมีมาก ท่านเกรงว่าวิชาความรู้จะระเบิดออกมา พุงจะแตกตาย นี่มันก็เหมือน ๆ กันเลยนะ ก็เกรงว่าพุงจะแตก เลยเอาเหล็กพืดคาดพุงไว้แต่พราหมณ์คนนี้มีความรู้พิเศษอยู่อย่างหนึ่ง สามารถรู้สภาวะคนตายได้ คือคนตายแล้วไปเกิดที่ไหน ไปเกิดเป็นสัตว์นรก ไปเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา หรือเป็นพรหม เขาทราบได้แน่นอนถูกต้อง เพียงแต่เอากระโหลกศีรษะของคนที่ตายแล้วมา เอาเล็บกรีดไป เล็บจะติดอยู่ในสถานที่เขาเกิด ถ้าติดตำแหน่งไหน ตำแหน่งนั้นจะบอกว่าเกิดที่ไหน ต่อมาเขาเข้าใกล้สำนักองค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทราบว่าพระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนา เขาก็อยากจะแบ่งคงจะเบ่งเหมือน ๆ กัน อยากจะเบ่งทับพระพุทธเจ้า เขาก็ไปถามปัญหาพระพุทธเจ้าหลาย ๆ อย่าง พระพุทธเจ้าก็ทรงตอบ แต่การตอบของพระพุทธเจ้าอาจจะมีหลายลีลา ตอบตรงไปตรงมาบ้าง ตอบเลี่ยงเพื่อให้ซักบ้าง ตอบแบบอนุโยคบ้าง แต่การตอบเวลาเหลือน้อย บรรดาท่านพุทธบริษัท จะไม่พูดให้ฟังว่าตอบแบบไหน เป็นอย่างไรต่อมาองค์สมเด็จพระจอมไตรเห็นเขาหมดปัญหา ท่านก็ถามว่า ทำไมจึงเอาเหล็กมาคาดพุง เขาก็บอกว่าความรู้ของเรามากเกรงพุงจะระเบิดเพราะความรู้ ความรู้ระเบิดออกมา พุงมันแตกตาย เขายังกลัวตาย สมเด็จพระจอมไตรถามว่า ความรู้พิเศษของเธอมีอะไร เขาก็ตอบว่า เอาหัวกระโหลกมา จะบอกได้ทันทีว่าใครไปเกิดที่ไหน เอาหัวกระโหลกปุถุชนมา เรากรีด เขาก็บอกได้เลยว่า คนนั้นเกิดที่นั่น คนนี้เกิดที่นี่ ทั้งหมดตอบถูกหมด พระพุทธเจ้าก็ยอมรับต่อมา พระพุทธเจ้าเอากระโหลกศีรษะพระอรหันต์ที่นิพพานแล้ว อย่าลืมนะบรรดาท่านพุทธบริษัท พระอรหันต์ที่นิพพานแล้ว ไม่ใช่กระดูกละเอียดเหมือนกันหมด ที่ยังเป็นท่อน ๆ ยังมีอยู่เยอะ ไม่ใช่ว่าต้องละเอียดเหมือนกันจึงเป็นพระอรหันต์ อย่าเข้าใจผิด มีคนเข้าใจผิดอยู่มาก เอากระโหลกศีรษะพระอรหันต์มาให้ ก็ปรากฏว่าเขาไม่รู้ กรีดไม่ติด ตอบไม่ได้ องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงตรัสว่า พระองค์นี้ไปนิพพานแล้ว เขาไม่รู้คำว่า นิพพาน ก็อยากจะศึกษาต่อไปองค์สมเด็จพระจอมไตรก็ตอบว่า ถ้าจะเรียนเป็นของไม่ยาก เรียนได้ แต่ว่าต้องแต่งตัวเหมือนกัน ถ้าแต่งตัวไม่เหมือนกันนี่เรียนไม่ได้ อย่างไร ๆ ก็พุงยังไม่แตก ในที่สุดเธอก็ยอมรับ ยอมบวช เมื่อบวชแล้ว ฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็กน้อยก็บรรลุอรหัตผล เป็นพระอรหันต์ พร้อมไปด้วยปฏิสัมภิทาญาณนี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องคนที่มีความเข้าใจในความรู้ว่ามีมากเป็นอย่างพราหมณ์คนนี้ ความจริงก็ไม่มากจริงอย่างอาตมาก็เช่นเดียวกัน ที่ไปหาหลวงพ่อสดท่าน ท่านสอน ทั้ง ๆ ที่ท่านสอนมาแล้วก็ยังมีความเคลือบแคลงสงสัย ในเมื่อท่านพูดถึงนิพพาน แสดงว่าความโง่ยังไม่หมด
    ที่มา หนังสืออ่านเล่นเล่ม6
     

แชร์หน้านี้

Loading...