หลวงพ่อเล่าถึงอานิสงส์การถวายพระไตรปิฏก

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 13 กันยายน 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=578 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top colSpan=3>
    <TABLE class=webbody cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=webbody width=749 height=33>
    อานิสงส์ของการถวายพระไตรปิฎก <!-- #EndEditable -->​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR><TR><TD height=206></TD><TD vAlign=top colSpan=3><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><!--DWLayoutTable--><TBODY><TR><TD vAlign=top><!-- #BeginEditable "detail" -->
    [​IMG]
    วันหนึ่งท่าน พระสารีบุตร เวลานั้นชื่อ อุปติสสะ อาศัยที่ถวายพระไตรปิฎกไว้ในพระพุทธศาสนา เป็นเหตุให้เป็น ผู้มีปัญญาเลิศ ทีนี้ความเป็นผู้มีปัญญาเลิศของพระสารีบุตร เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว เราอาจจะคิดว่า เป็นของมหัศจรรย์ เราพบว่า แก้วนี่ถ้าปราศจากละอองธุลี เข้ามาเบียดบังทำให้แปดเปื้อนมันก็ใส จิตของพระอรหันต์ก็ใส ประกอบไปด้วยประกาย คือหาอะไรเปื้อนไม่ได้ จึงเป็นผู้ทรงปัญญาเลิศ ตอนนี้เราก็ว่าอัศจรรย์แล้วแต่คิดไปอีกทีไม่น่าอัศจรรย์ เพราะเป็นพระอรหันต์ ​
    นี่เราหลบกลับลงมา อีกครั้งหนึ่งตอนที่ พระโมคคัลลาน์ กับ พระสารีบุตร ยังเป็นลูกชาวบ้านอยู่เรา จะเห็นปัญญา พระสารีบุตร ที่ท่านทั้งสอง ไปดูมหรสพ แล้วเกิดอารมณ์เศร้าใจ วันอื่นนั้น สบายใจ ดีใจร่าเริง ให้รางวัล แก่ผู้แสดงมหรสพ แต่วันนั้น ทั้งสององค์ ต่างนั่งหน้าเศร้า หน้าสลด ไม่ร่าเริง ทั้งนี้เพราะดูๆ มหรสพก็นั่งคิดไปว่า
    "เฮ้อ คนดูมหรสพนี่ไม่ช้าก็ตายหมดพวกแสดงนี่ไม่ช้าก็ตายหมด แถมเราเองก็ต้องตายเสียด้วยถ้าอย่างนั้น เราเกิดมาเพื่อ ตายอยู่ทำไมกัน เกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิด"
    ท่านก็มาใคร่ครวญว่า "ธรรมที่ทำให้คนที่เกิดมาแล้วตายได้มันมี ก็ต้องมีอะไรสักอย่าง ที่เป็นธรรม ที่ทำให้คนเกิดไม่ตาย ได้"
    หมายความว่า เมื่อมีมืดแล้ว ก็มีสว่างคู่กัน หรือ ทางพ้นแห่งความตาย ที่เราเรียกว่า โมกขธรรม
    ท่านทั้งสองตกลงใจกันว่า เราเปิดเถอะไปหา โมกขธรรม ธรรมที่เป็นเครื่องพ้น แห่งความตายดีกว่า จึงลาพ่อลาแม่ มีบริวารคนละ 250 เพราะ เป็นลูกมหาเศรษฐี ออกจากสำนักพ่อแม่ไป บริวารของทั้งสองท่าน รวมกันเป็น 500 หัวหน้าอีกสอง คือ ตัวท่านเอง เป็น 502 ท่าน เข้าไปอยู่ในสำนักสัญชัยปริพาชก ท่านสัญชัยปริพาชก ก็สอนสุดกำลัง ท่านทั้งสอง ก็เรียนเต็มที่ เพราะความมีปัญญาด้วยกันทั้งคู่ ปรากฏว่า ไม่ช้าท่านก็เรียนจบ แล้วก็มีความฉลาดเก่งกาจมาก
    ท่านสัญชัยปริพาชก ก็ให้เป็นอาจารย์สอนแทน แต่ว่าท่านทั้งสองนี่อาศัยที่มีบุญญาบารมีเต็มแล้ว ควรที่จะเป็นพระอรหันต์ จึงมาคำนึงพิจารณาว่า ความรู้ที่ได้จากสำนักนี้ ยังไม่จบ ยังไม่พ้นจากความตาย ธรรมที่ดีกว่านี้ต้องมีอีก
    นี่เพราะดวงปัญญาของท่านเดิม ที่เคยถวายพระไตรปิฎกแก่พระ
    ท่านทั้งสองจึงตกลงกันว่า "นี่เราช่วยกันแสวงหาโมกขธรรม ถ้าใครเจอะอาจารย์ ดีกว่านี้ ก็มาบอกกัน หรือใครไปพบธรรมในการค้นคว้าดีกว่านี้ละก้อ กลับมาบอกกัน"
    ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้า บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เวลานั้น ก็มีลูกศิษย์ปัจจวัคคีย์อยู่ 5 องค์ เป็นพระบริวาร เมื่อท่าน 5 ท่านบรรลุอรหันต์แล้ว พระพุทธเจ้า ทรงสั่งให้ไปประกาศ พระศาสนา แต่มีเงื่อนไขว่า ไปแล้วอย่ารวมกัน ให้แยกกันไปคนละที่
    บังเอิญ พระอัสสชิ มาสายนั้นพอดี ท่านก็บิณฑบาต อยู่ใกล้ ๆ แถวนั้น ต่อมาวันหนึ่ง พระสารีบุตร เวลานั้น ชื่อว่า อุปติสสะ ท่านออกไปจากสำนัก ก็พอดีเห็นพระอัสสชิเดินออกบิณฑบาตผ่านไป เห็นลีลาของท่าน ไม่ว่าจะเป็นลีลาการเยื้องกาย ก้าวเท้าซ้าย แกว่งเท้าขวา อิริยาบถใด ดูแล้วงามจริง ๆ เป็นจริยานิ่มนวล ท่านจึงคิดในใจว่า
    "พระสมณะองค์นี้น่าเลื่อมใส เราอยากจะรู้จักนักว่าเป็นลูกศิษย์ใคร สำนักของเรานี่มีลูกศิษย์เป็นพันเป็นหมื่น แต่จริยานิ่มนวลในการสำรวมในการเดิน การทอดจักษุแบบนี้ไม่มีหากว่า เราจะถามเวลานี้ในขณะที่ท่านบิณฑบาต ก็ไม่ควร"
    นี่ดูความเป็นผู้มีปัญญาของพระสารีบุตรท่านก็นึกต่อไป
    "มันเป็นเวลาที่ไม่ควร เราควรจะถามในเวลาที่ท่านกลับ"
    เห็นท่านเดินไป พระสารีบุตรนั่ง ตอนนั้น ท่านยังเป็นปริพาชก ยังไม่เป็นพระสารีบุตร ชื่อเดิมว่า อุปติสสะ ที่เขาเรียก สารีบุตร ก็เพราะว่า เดิมแม่ชื่อ สารี เวลาพระอัสสชิกลับมา ท่านก็ย่องเข้าไปยกมือไหว้แล้วก็ถาม
    "พระคุณเจ้าเป็นลูกศิษย์ของใคร อยู่สำนักของใคร ชอบใจธรรมะของท่าน ครูของท่านสอนว่าอย่างไร"
    พระอัสสชิท่านเป็นอรหันต์รุ่นแรกซะด้วย นี่เขาว่าขลังนะ แต่ความจริง พระอัสสชินี่ เป็นพระอรหันต์ สุกขวิปัสสโก เราจะจับกันได้ ก็ตอนพระอัสสชินิพพาน ตอนนั้น เป็นโรคกระเพาะ ครางอ๋อย บ่นบอกให้พระไป ตามพระพุทธเจ้ามา เพราะโรคมัน เบียดเบียนมาก ท่านก็ยืนมอง พระสารีบุตร ปั๊บเดียวก็รู้ว่าเป็น พระอรหันต์ เพราะอรหันต์นี่จิตสะอาดมาก ท่านก็นึก
    "ปริพาชกคนนี้ฉลาดมาก หากเราขืนพูดมากเดี๋ยวถูกต้อนจนมุม"
    ท่านก็เลยบอก "ปริพาชก เราเป็นผู้ใหม่ในพระพุทธศาสนา เราเป็นลูกศิษย์ ของพระสมณโคดม ท่านถามปัญหาของท่าน เราตอบแบพิสดารไม่ไหว เพราะเรายังใหม่อยู่ มีความรู้ไม่มาก "
    แต่ความจริงพระอรหันต์น ี่ไปไล่ท่านไม่จนหรอก ตอนนั้นพระสารีบุตรยังไม่เป็นพระอรหันต์นี่ ไล่อย่างไรก็ไม่จน เพราะพระอรหันต์นี่ ปัญญาเกิดจากการปฏิบัติ ไม่ต้องอาศัยหนังสือ เดี๋ยวนี้ปัญญาจะเกิดได้ ต้องอาศัยหนังสือก่อน พระสารีบุตรได้ยิน เช่นนั้นก็เลยบอกว่า "ท่านจะพูดเรื่องพิสดารทำไมเอาแค่หัวข้อย่อๆ ก็พอแล้ว"
    พระอัสสชิจึงกล่าวว่า "ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระพุทธเจ้าตรัสเหตุของธรรมนั้น"
    เพียงเท่านี้พระสารีบุตรก็เข้าใจทันที แล้วก็สำเร็จพระโสดาบัน
    นี่เราจะเห็นว่า ปัญญาของท่าน แม้แต่ยังไม่เป็นอรหันต์ เพียงธรรมโดยย่อ ก็เข้าใจทันที และก็สำเร็จพระโสดาบันปัตติผล ต่อมากลับมาพบพระโมคคัลลาน์ก็บอกว่า
    "เวลานี้พบโมกขธรรมแล้ว เจออาจารย์ใหม่ด้วย"
    พระโมคคัลลาน์ก็ถาม "ธรรมนั้นได้มาอย่างไร"
    พระสารีบุตรก็บอกตามนั้น พระโมคคัลลาน์ ก็ได้พระโสดาปัตติผลเหมือนกัน นี่เราจะเห็นว่า ปัจจัยที่ได้ ถวายพระไตรปิฎก ไว้ในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ว่าจะเป็นผู้มีปัญญา ประเสริฐกว่าบุคคลอื่น เหมือนกันแต่ทว่าไป โดนคนที่เขาถวาย พระไตรปิฎกเหมือนกัน ก็เห็นจะไม่เหลื่อมล้ำกว่ากันแน่ เคยไปเทศน์ชนกัน เทศน์บางที เรื่องคืบเดียว 3 วันยังไม่จบ เพราะ มีข้อไล่ กันไป ไล่กันมาไม่จบอย่างนี้ ก็พิสูจน์ได้ว่า พวกนี้เขาฝึกฝนปัญญามาด้วยการถวายพระไตรปิฎกในพระศาสนา
    นี่เป็นอันว่า การที่ญาติโยมเอาพระไตรปิฎก กับเชิงเทียนมาถวายวัด เชิงเทียนนี่ก็เป็น ประทีปโคมไฟ พระไตรปิฎกก็เป็น ตัวปัญญา ฉะนั้นอานิสงส์ที่จะพึงได้ก็คือ

    1.ทิพจุกขุญาณ

    2. ปัญญาเลิศ

    สำหรับท่านที่เป็นผู้ร่วมรายการด้วยการโมทนาก็เป็น ปัตตานุโมทนามัย เราเป็นคนมีปัญญาไม่ถึงหัวแถวอยู่กลางๆแถว หรือท้าย ๆ แถวก็ได้ พวกที่จะได้ทิพจักขุญาณ ก็เหมือนกัน บุญใดที่เขาทำแล้วเรา ยินดีด้วย เรียกว่า ปัตตานุโมทนามัย ดูตัวอย่าง พระนางพิมพา ไม่เคยทำบุญเองเลย พระพุทธเจ้าทำคนเดียว แต่พระนางพิมพาโมทนาตลอดกาล เวลาพระพุทธเจ้าเป็นอรหันต์ พระนางก็เป็นอรหันต์ได้ เพราะปัตตานุโมทนาอันนี้เอง
    คัดมาจากหนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับพิเศษ โดยพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง อุทัยธานี
    </TD></TR></TBODY></TABLE>ที่มา http://www.firstbuddha.com/Buddha/dharma4.html</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. s_thit

    s_thit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2007
    โพสต์:
    785
    ค่าพลัง:
    +3,027
    ได้รู้ถึงอานิสงส์แล้ว รีบร่วมถวายพระไตรปิฎกนะ โมทนาครับ
     
  3. Kasem_a

    Kasem_a เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2005
    โพสต์:
    129
    ค่าพลัง:
    +508
    ผมก็เคยจัดทำ CD พระไตรปิฎกฉบับธรรมทาน จำนวน 550 แผ่น จัดส่งและแจกจ่ายไปให้แก่วัด โรงเรียน และสาธุชนจนหมดแล้ว ด้วยอานิสงค์ผลบุญที่ได้ทำไว้ดีแล้ว ขอให้ผมได้มีดวงตาเห็นธรรมด้วยครับ
     
  4. ธัมมนัตา

    ธัมมนัตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,516
    ค่าพลัง:
    +9,769
    ได้มา 1 แผ่น ได้ทำแจกต่อไปอีก 300

    ผมได้รับพระไตรปิฎกฉบับธรรมทาน มาจากคุณเกษมนี่เอง แล้วได้ทำแจกต่อไปอีก 300 แผ่น ทั้งพระและฆราวาส ได้ประโยชน์มาก สำหรับการศึกษาธรรมต่อไป เป็นบุญต่อบุญไปอีก

    ขอให้มี ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ มีดวงตาเห็นธรรม

    สาธุ สาธุ สาธุ

    ใครที่จะถวายพระไตรปิฎกอีกบอกบุญผ่านเวบนี้ด้วย นะครับ
    อนุโมทนาล่วงหน้า
     
  5. kaenlukson

    kaenlukson เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +2,126
    ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ สาธุ

    ทาน ศีล สมาธิ[Embarrass
     
  6. ahantharik

    ahantharik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,596
    ค่าพลัง:
    +6,346
    ผมได้เรียนพระอภิธรรม แล้วได้โอนเงินไปให้มูลนิธิพระอภิธรรม จำนวน 300 บาท เพื่อจะได้นำปัจจัยนี้ไปพิมพ์และเผยแผ่ พระอภิธรรมแก่ผู้ที่สนใจต่อไป
     
  7. ว.อริยะ

    ว.อริยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2007
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +346
    อนุโมทนาสาธุครับ..ขอให้ดวงตาเห็นธรรม พร้อมไหวพริบและปฏิภาน สาธุๆๆ
     
  8. ตระกูลศักดิ์

    ตระกูลศักดิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    167
    ค่าพลัง:
    +1,371
    ในชีวิตนี้ผมได้เป็นเจ้าภาพถวายตู้และหนังสือพระไตรปิฎกสองครั้งคือครั้งแรกได้ถวายตู้และหนังสือพระไตรปิฎกพร้อมพระพุทธรูปและคัมภีร์พระมาลัยพร้อมกับเพื่อนๆ ถวายที่วัดใหม่สามัคคีธรรม และอีกวัดหนึ่งจำไม่ได้ กิ่งอำเภอดอยหลวง จ.เชียงราย
    ครั้งที่สอง ได้เป็นเจ้าภาพร่วมกับหลายท่านสร้างตู้และหนังสือพระไตรปิฎกถวายวัดบวรวรวิหาร กทม.
    ขออำนาจผลานิสงค์ผลบุญครั้งนี้จงมีแด่ตัวข้าพเจ้าและทุกๆท่านที่มีจิตใจอนุโทนาบุญในครั้งนี้ทุกท่านทุกคน จงถึงพร้อมบริบูรณ์ด้วยปํญญาดุจพระสารีบุตรมีทิพจักขุญาณอันประเสริญ เพื่อชำระกิเลสให้หมดสิ้นไป บรรลุถึงพระนิพพานพลัน แด่ทุกท่านเถิด สาธุ...สาธุ...สาธุ
     
  9. bcbig_beam

    bcbig_beam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,821
    ค่าพลัง:
    +3,247
    ขอโมทนาบุญด้วยทุกประการครับ
    สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
  10. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,397
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628

แชร์หน้านี้

Loading...