หลวงพ่อสำเร็จศักดิสิทธิ์ /เห็นภพชาติในถ้ำทอง

ในห้อง 'ประวัติและนิทานธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 12 สิงหาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    หลวงพ่อ ..ปราบผีหวงวัด

    thamnu onprasert
    Feb 5, 2023

    เรื่องราวลึกลับ ผีหวงวัด หลอกหลอนจนพระอยู่ไม่ได้กลายเป็นวัดร้าง จนกระทั่งมีหลวงพ่อผู้ทรงคุณรูปหนึ่งเดินทางมาปราบด้วยเมตตาธรรม.
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    อาจารย์ยอด : อาถรรพ์ถ้ำเชียงดาว [ลึกลับ]

    อาจารย์ยอด
    149,368 views Feb 7, 2023
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    ๒๖๖.ผีป่าแย่งร่าง ธุดงค์ป่ารัฐฉาน

    thamnu onprasert
    Feb 3, 2023
    หญิงสาวและสามี ไปนอนหลับอยู่กลางดง ระหว่างหลับไหล เธอถูกนางผีป่าเข้าสวมร่าง แย่งสามี ส่วนเธอกลายเป็นสัมภเวสีเร่ร่อนอยู่กลางดงน่าเวทนา!
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    หลวงปู่ถวิล สุจิณโณ - อรหันต์สันโดษ

    หลวงตา
    247,860 views Dec 5, 2022
    หลวงปู่ถวิล สุจิณฺโณ วัดป่าสุจิณโณ อ.บ้านฝาง จ.ขอนแก่น
    --> https://www.ariyaesan.com/shop/all/7655/

     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    บุญถวายน้ำนม มีพลังปราบยักษ์

    thamnu onprasert
    Jan 20, 2023
    ชายหนุ่มผู้หนึ่งได้ถวายนมสดแด่พระพุทธเจ้าและหมู่สงฆ์ด้วยจิตศรัทธาเลื่อมใส ด้วยอานิสงส์แห่งบุญทำให้เขามีกำลังมหาศาล สามารถต่อสู้กับยักษ์ได้อย่างน่าอัศจรรย์! แก้คำอ่านผิดครับ "อะนันโท" ให้แก้เป็น "อันนะโท" นะครับ กราบขออภัยทุก ๆ ท่านครับ

     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    แม่ชีแสดงฤทธิ์ เหาะลอยอยู่เหนือวัด หลวงปู่จวนมองเห็น จึงเหาะไปไล่ให้ลงมา

    ปู่ดอน station
    Feb 8, 2023
    หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ได้เมตตาเล่าให้ลูกศิษย์ลูกหาฟังว่า มีแม่ชีอยู่คนหนึ่ง อยู่อำเภอบ้านม่วง ชื่อแม่ชีโสดา แกไปภาวนากับหลวงปู่จวนที่ภูทอก ภาวนาดีจนเกิดมีฤทธิ์มีเดช ยามค่ำคืนดึกๆ แม่ชีได้แสดงฤทธิ์ เหาะลอยอยู่บนอากาศเหนือวัดภูทอก หลวงปู่จวนเดินจงกรมอยู่ มองเห็นเข้า ท่านเลยต้องเหาะไปไล่แม่ชีให้ลงมา..

    more :- > https://palungjit.org/threads/พระอร...ดา-โสสุด-ผู้ถอดกายทิพย์เหาะเหนือภูทอก.224993/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2023
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    27500333_1552038154832674_8098339147628974479_o.jpg
    ประวัติคุณยายชีโสดา โสสุด

    วันนี้วันที่ ๑ กุมภาพันธ์เป็นวันคล้ายวันละขันธ์ครบรอบ ๙ ปีของคุณยายชีโสดา โสสุด แห่งสำนักปฏิบัติธรรมทิพยสถานวิสุทธิมรรค ต.ดงหม้อทองใต้ อ.บ้านม่วง จ.สกลนคร คุณยายชีโสดา โสสุด ท่านเป็นผู้รู้แจ้งแทงตลอดในพระธรรมจึงไม่มีความอาลัยอาวรณ์และไม่ยึดมั่นในเบญจขันธ์ อันเป็นเชื้อแห่งการเกิดในภพชาติอีก ท่านพากเพียรปฏิบัติธรรมอยู่กับพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ แห่งวัดภูทอก คุณยายชีปฏิบัติอย่างจริงจัง ทั้งเดินจงกรม นั่งภาวนาจากหัวค่ำจนรุ่งเช้าอีกวัน ครั้งนึงหลวงปู่จวนเรียกคุณยายชีไปอบรมว่า “ตู้จ่อย(ปกติหลวงปู่จวนเรียกคุณยายชีว่าตู้จ่อย เพราะคุณยายมีรูปร่างเล็ก) ตู้จ่อย ห้ามไม่ให้ถอดกายทิพย์ลอยเหนือภูทอก เพราะอยู่บนหัวพระเณร เดี๋ยวจะเป็นบาป” คุณยายชีโสดา โสสุด ท่านปฏิบัติเป็นแบบอย่างอันดีงาม เคารพครูบาอาจารย์และต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ ในเส้นทางอริยมรรคมาอย่างยาวนาน จนถึงการสิ้นสุดลงแล้วของวัฏสงสาร ทั้งชาติ คือความเกิด ชรา คือความแก่ พยาธิ คือความเจ็บ และสุดท้าย มรณา คือความตาย ขอน้อมนำประวัติคุณยายชีโสดา โสสุด มาเผยแพร่เพื่อน้อมบูชาคุณอริยสาวิกาแห่งภูทอก

    “สติอย่าได้หวั่นไหว สติเป็นรั้วรอบของจิต อย่าให้จิตเศร้าหมอง ให้จิตผ่องใส ให้จิตประภัสสร เหมือนเด็กน้อยที่เพิ่งออกจากท้องแม่” ธรรมคำสอนของคุณยายชีโสดา โสสุด

    • ชาติภูมิ
    คุณยายชีโสดา โสสุด มีนามเดิมว่า นางโสดา เทพคำดี เกิดเมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๖๓ ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๒ ค่ำ เดือนอ้าย ปีวอก เป็นบุตรสาวคนโตของนายคำสิงห์ และนางเจือ เทพคำดี บ้านเดิมอยู่อำเภอคำชะอี ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่บ้านโพนไค ตำบลมาย อำเภอบ้านม่วง จังหวัดสกลนคร เป็นชนเผ่าภูไท จบการศึกษาชั้นประถมปีที่ ๔ ชีวิตครองเรือน คุณยายโสดา อาชีพค้าขาย ได้ สมรสกับนายลี เคนยา มีลูกด้วยกัน ๑๒ คน เสียชีวิตในวัยเยาว์ ๑๐ คน เหลือชาย ๑ หญิง ๑

    • อุปนิสัย
    คุณยายชีมีอุปนิสัยอ่อนน้อมถ่อมตน โอบอ้อมอารี มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์และสัตว์ ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๐๐ เป็นต้นมา ท่านไม่ยอมฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ฉันชอบทำบุญเข้าวัดรักษาศีลเรื่อยมา เมื่อถึงวันพระท่านจะปิดร้านค้าเข้าวัด เพื่อรักษาอุโบสถศีล บำเพ็ญภาวนา ถ้าไม่ห่วงเรื่องครอบครัว เพราะท่านมีฐานะดี ปานกลาง ซึ่งท่านคาดหวังว่าในบั้นปลายชีวิต จะออกบวชชีและจบชีวิตใต้ร่มเงาพระพุทธศาสนาเหมือนกับคุณพ่อและคุณแม่ของท่าน

    • การออกบวชชี
    พ.ศ.๒๕๑๘ เมื่อลูกชายของฉันเรียนจบสอบบรรจุครูได้รับราชการแล้ว หลังจากนั้นหกเดือน ลูกชายได้รับเงินตกเบิกเป็นเงินหกพันกว่าบาทนำมามอบให้ท่าน และท่านก็ขออนุญาตนำเงินจำนวนนั้นไปใช้หนี้สินที่จ้างติดค้างอยู่ประมาณสองพันบาท และบอกกับลูกชายว่า ท่านอย่างบวช ฉันรอเวลานี้มานานแล้ว พ่อท่านไม่มีห่วงอะไรนอกจากลูกชาย เมื่อลูกชายมีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่งแล้ว เรื่องจริงขออนุญาตออกบวช ลูกชายขอร้องไว้ไม่ให้บวชในช่วงนั้น เพราะต้องการเลี้ยงดูท่านตามหน้าที่ของลูก แต่ท่านบอกว่าท่านสบายดี ขอให้ท่านบวชเถอะ แม้การบวชของท่านจะทุกข์ขนาดไหน สำหรับทุกข์กายท่านจะอดทน เพราะมีความสุขใจ ที่ท่านได้บวชตามใจที่ท่านปรารถนา เมื่อเห็นฉันพูดอย่างนั้น ลูกชายก็อนุโมทนา ไม่ขัดขวาง หลังจากท่านได้รับอนุญาตจากลูกชายแล้ว ท่านก็ปรึกษากับพ่อลีและลูกสาวของท่าน คุณยายว่า ท่านจะลองบวชดูซะ ๑ พรรษา ในช่วงที่ท่านบวชนี้ หากพ่อลี่คิดอยากมีเมียใหม่ ท่านก็จะจัดพิธีแต่งงานให้เป็นที่เรียบร้อยเสียก่อน ฮักบุญบวชท่านหมด สร้อยก็จะกลับมาอยู่กับลูก เมื่อทุกคนเห็นความตั้งใจจริงของท่านแล้ว จึงพากันอนุโมทนา

    ท่านบอกว่าจะไปบวชกับหลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ เจ้าอาวาสวัดภูทอก หลวงปู่จวนทำพิธีบวชให้ในวันที่ ๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๑๙ หลังจากท่านบวชเป็นแม่ชีแล้ว ท่านก็ขออนุญาตหลวงปู่จวน ขอแยกจากหมู่คณะแม่ชี ไปปลูกกุฏิอยู่ตามลำพังผู้เดียว ซึ่งห่างจากหมู่คณะประมาณ ๓๐๐ เมตร ขณะนั้นปกติมีแม่ชีอยู่เป็นหมู่คณะและมีแม่ชีอยู่ด้วยกัน ๒๔ รูป

    หลังจากหลวงปู่จวนอนุญาตให้ท่านแยกออกจากหมู่คณะแล้ว ท่านก็มีเวลาบำเพ็ญเพียรกรุณาอย่างเคร่งครัด โดยช่วงเช้าหลังจากฉันอาหารเสร็จ ท่านจะตั้งจิตอธิษฐาน เดินจงกรมเป็นเวลา ๒ ชั่วโมง ในเวลาบ่ายท่านเดินจงกรมเป็นเวลา ๓ ชั่วโมง ทุกวันท่านจะปฏิบัติเช่นนี้เป็นกิจวัตรประจำวัน เพราะช่วงกลางคืนหลังจากสวดมนต์ ฟังคำอบรมสั่งสอนจากหลวงปู่จวนเสร็จ คุณยายจะไปนั่งสมาธิเป็นเวลา ๔ ชั่วโมง บางราตรีก็สว่างจนตลอดทั้งพรรษา ถ้าปฏิบัติอย่างนั้นจนครบตลอดทั้งพรรษามิได้ขาด หลังจากออกพรรษาแล้ว หลวงปู่จวนท่านอนุญาตให้คุณยายชีเจริญภาวนาบำเพ็ญภาวนาอย่างเต็มที่ และให้ท่านมีอิสระส่วนตัวและปฏิบัติด้วยตนเองตลอดมา

    ในพรรษาที่สอง ลูกชายที่เป็นครู ได้ลาอุปสมบทที่ภูทอก ซึ่งขณะที่บวชเป็นพระ ได้บิณฑบาตเลี้ยงโยมแม่ตลอดพรรษา ในคืนสุดท้ายของพรรษา พระลูกชายขอลาสิกขา หลวงปู่จวนเลยถามว่า “ใครจะไม่สึก” คุณยายชีโสดา ตอบหลวงปู่ว่า “ข้าน้อยขอบวชจนตลอดชีวิตนี้ โสสุดแล้ว ขอตายในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์” หลวงปู่จวนเลยตั้งฉายาให้คุณยายชีโสดาว่า “คุณแม่ชีโสดา โสสุด” ตั้งแต่นั้นมา

    • ปฏิปทาจริยวัตร
    ปฏิปทาและจริยวัตรที่น่าเคารพเลื่อมใสของคุณยายชีโสดา โสสุด เป็นสิ่งที่ลูกศิษย์ทั้งหลายสมควรเอาเป็นแบบอย่างในคุณงามความดีที่คุณยายชีด้วยพากเพียรประพฤติปฏิบัติในสิ่งต่างๆเหล่านี้ คือ

    • เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติ
    การปฏิบัติธรรมของคุณยายชีโสดา โสสุด ดำเนินตามแนวปฏิบัติธรรมของพระธุดงคกรรมฐานและพระอริยสงฆ์ผู้เป็นพระบุพพาจารย์ พี่หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ ดังนั้นท่านจึงมุ่งแต่ภาวนาตามคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์อย่างเคร่งครัดตลอดทั้งช่วงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่เข้าพรรษา และออกจากพรรษา ท่านปฏิบัติกิจอันควรในบวรพระพุทธศาสนาไม่เคยว่างเว้น

    • ความกล้าหาญ มุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว ในอรรถในธรรม
    คุณยายชีโสดา โสสุด เคยได้ตั้งสัจจะปฏิบัติภาวนาอยู่ในทางจงกรมด้วย ๓ อิริยาบถ ได้แก่ การยืน เดิน นั่งภาวนา ไม่นอน เป็นเวลา ๙ เดือน เท่ากับระยะเวลาที่ได้อยู่ในท้องแม่ แสดงให้เห็นถึงปฏิปทาที่ตั้งมั่น ตามรอยทางของพ่อแม่ครูอาจารย์อย่างมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว คุณยายชีเคยพูดว่า เมื่อใดที่มีความเกียจคร้าน ง่วงเหงาหาวนอน ให้เตือนตนเองว่า “เรานอนอยู่ในท้องแม่ เป็นเวลาตั้ง ๙ เดือนแล้ว ...เรายังมีเวลาได้นอนอีกนาน ต่อแต่นี้เราจะลุกขึ้น ไม่นอนอีกแล้ว”

    • อุบายธรรมของหลวงปู่จวน ที่ทดสอบคุณยายชี
    ครั้งหนึ่งที่ภูทอก หลวงปู่จวน ได้มีอุบายทำให้แม่ชีออกไปจากภูทอก และมีหมอดูมาทำนายว่า พระแม่ชีไม่ออกไปจากภูทอกจะตายภายใน ๗ วัน ๗ คืน แต่คุณยายชี้ไม่ไปไหน ยังคงอยู่ที่ภูทอก และปฏิบัติกิจเช่นเดิม จนวันหนึ่งหลวงปู่จวนได้เรียกคุณยายไปซักถาม
    หลวงปู่จวน “ตู้จ่อย ไหนลองว่ามาซิ ไล่อย่างไรก็ไม่ไป”
    คุณแม่ชีโสดา “หลวงปู่จวน บ่ ได้ไล่ข้าน้อย หลวงปู่ไล่กิเลสข้าน้อยต่างหาก”
    หลวงปู่จวน “นี่แหละ เพชรน้ำหนึ่งของภูทอก เป็นหนึ่งแล้วจริงๆ”

    • ความเคารพนอบน้อมในพระสัทธรรม
    คุณยายชีก็เป็นผู้ที่เคารพพระธรรมมากและมีความนอบน้อมต่อพ่อแม่ครูบาอาจารย์ พระภิกษุและสามเณรทุกรูป ทุกนาม สังเกตจากจริยวัตรของท่านที่งดงามเรียบร้อย โดยเฉพาะเมื่อพ่อแม่ครูอาจารย์แสดงพระธรรมเทศนา ไม่ว่าต่อหน้าองค์ท่าน หรือในทีวี วิทยุ ท่านจะตั้งใจฟัง นั่งพับเพียบเรียบร้อย และมักจะไม่เปลี่ยนอิริยาบถ หากท่านยังแสดงพระธรรมไม่จบ คุณยายชีฟังพระธรรมเทศนาขององค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนเป็นประจำ และมักเขียนท่านยกมือขึ้นเหนือศีรษะด้วยความเคารพบูชาองค์หลวงตาอย่างสูงสุด

    • จากบันทึกด้วยลายมือของคุณยาย
    “จิตขาวคือนวลฝ้าย แยงเบิ้งกายก็เป็นแก้วเป็นแว่น แม่นละน้อฮานี้ พระธรรมเจ้าเข้ารักษา”
    บันทึกเมื่อ เมษายน ๒๕๕๑

    “ข้าสิเอาตนข้าม หนองกระแสแสนยาน ข้ามพ้นแล้ว นางแก้วบ่ตาวคืน
    เทวดาอยู่ฟ้าโมทนาชมชื่น ปานว่าได้หมื่นแก้ว มาเข้าใส่ถุง
    สงสารนี้คือกันทั้งโลก ขั้นผู้ใดบ่ข้าม โคกกว้างซิเทียมไซ้อยู่เลิง”
    บันทึกเมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

    • การอาพาธ
    ปกติคุณยายชีโสดา โสสุด มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่ใคร่จะเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าท่านมีอาการเจ็บป่วย ในบางครั้งฉันจะภาวนารักษาอาการป่วยของท่านด้วยธรรมโอสถ ในเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๑ คุณยายได้ลื่นล้มในห้องน้ำ ทำให้ท่านเริ่มเจ็บป่วยมาโดยลำดับ จนถึงวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๒ อาการได้ทรุดหนัก ฉันอาหารไม่ได้ ฉันได้เฉพาะน้ำหวาน น้ำเปล่า น้ำอุ่น ครั้งละ ๒ ช้อนชา ตลอดเวลาที่ท่านป่วย ท่านได้รับความเมตตาจากท่านพระอาจารย์ตุ๊ หรือหลวงพ่อเติมศักดิ์ ยุตฺตธัมโม วัดป่าดงพระ จ.สกลนคร ผู้เป็นศิษย์หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐผู้หนึ่ง ปกติแล้วท่านได้ช่วยให้การอุปการะดูแลสำนักปฏิบัติธรรมของคุณยายชีโดยเสมอมา ท่านพระอาจารย์ตุ๊ มาเยี่ยมเยียนอาการป่วยของคุณยายชีทันที เมื่อได้ทราบข่าวอาการป่วย

    • ละวางธาตุขันธ์
    วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ หลวงปู่อุ่นหล้า ฐิตธัมโม วัดป่าแก้วชุมพล จ.สกลนคร ได้มาเยี่ยมอาการป่วยคุณยายชี เป็นชุดสุดท้าย เวลา ๒๑.๕๐ น. คุณยายนอนสงบอยู่บนเตียง ฉันขอดื่มน้ำแล้วบอกว่าคอแห้ง แม่ชีอุปัฏฐากถวายนักบุญให้ท่านดื่ม ๓ ช้อนชา ทุกคนที่เฝ้าไข้ดีใจที่คุณแม่จะหายป่วยแล้ว พระลูกชายถามคุณแม่ว่า “คุณแม่หายป่วยแล้วใช่ไหม” ถ้าไม่ตอบแต่พยักหน้ารับว่า “หายแล้ว” เพราะลูกชายจึงพูดกับคุณแม่ว่า “คุณแม่อยู่กับลูกหลานต่อไปอีกนานๆ นะ” คุณแม่ท่านนอนเฉยๆ ไม่ตอบรับเอาลูกชาย พระลูกชายจึงถามต่ออีกว่า “คุณแม่หมดหนี้สิน ไม่มีเวรมีกรรมต่อใครแล้วใช่ไหม” คุณแม่พยักหน้ารับว่า “หมดแล้ว” จากนั้นได้ก็จัดเสื้อผ้าที่ท่านสวมใส่อยู่ให้เรียบร้อย แล้วก็หลับตาลงอย่างสงบ ในเวลา ๒๒.๐๐ น. คุณยายชีโสดา โสสุด ได้ละขันธ์ด้วยอาการสงบเหมือนคนนอนหลับไป สิริอายุ ๘๙ ปี ๑ เดือน ๒๑ วัน รวม ๓๓ พรรษา เมื่อท่านละขันธ์ไปแล้ว อาทิตย์ของท่านได้กลายสภาพเป็น “พระธาตุ” อันงดงาม ซึ่งแสดงถึงความบริสุทธิ์ โดยปราศจากความสงสัย ดังที่พ่อแม่ครูอาจารย์ได้เคยกล่าวไว้ ตั้งแต่ท่านยังมีชีวิตอยู่…

    คุณยายชีเคยบอกไว้ว่า… “ไม่มีสิ่งใดต้องสงสัยในยาย ยายไม่มีสิ่งใดต้องสงสัยอีกแล้ว”

    “จงทำตัวให้เป็นผ้าขี้ริ้ว ทำหัวใจให้หนักแน่นเหมือนแผ่นดิน” ธรรมคำสอนของคุณยายชีโสดา โสสุด
    :->
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    ผีนางตะเคียนปราบโจร

    thamnu onprasert
    Feb 10, 2023
    เรื่องราวลึกลับของผีนางตะเคียนในป่าเขาใหญ่ ที่ปราบโจรร้ายหนังเหนียวยิงไม่เข้าจนสิ้นฤทธิ์
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    ย่าชีนารี ศิษย์เอกหลวงปู่มั่น

    หลวงตา
    Feb 5, 2023
    ย่าชีนารี ศิษย์เอกหลวงปู่มั่น คุณแม่ชีพิมพา วงศาอุดม หรือ คุณแม่ชีน้อย แห่งวัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กุมภาพันธ์ 2023
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    หลวงพ่อสาย - ธุดงค์แขวงจำปาศักดิ์

    หลวงตา
    50,551 views Feb 13, 2023

    หลวงปู่สาย จารุวัณโณ วัดป่าหนองยาว อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    หลวงปู่สาย-จารุวณฺโณ.jpg
    ประวัติและปฏิปทา
    พระครูภาวนานุศาสน์ (หลวงปู่สาย จารุวณฺโณ)

    วัดป่าหนองยาว
    อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี

    พระครูภาวนานุศาสน์ หรือ หลวงปู่สาย จารุวณฺโณ มีนามเดิมว่า สาย ถิ่นขาม เกิดเมื่อวันพฤหัสบดี เดือนอ้าย แรม ๘ ค่ำ ปีมะเมีย ตรงกับวันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ บ้านขามใหญ่ ตําบลขามใหญ่ อําเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี

    บิดาชื่อ ทา มารดาชื่อ สุข มีพี่น้อง ๑๐ คน ท่านเป็นคนที่ ๓
    บรรพชาเป็นสามเณร ปี พ.ศ. ๒๔๗๔ ขณะอายุ ๑๔ ปี ณ วัดแจ้ง อ.เมือง จังหวัดนครพนม

    ุวณฺโณ-วัดป่าหนองยาว-จ.อุบลราชธานี.jpg
    พระครูภาวนานุศาสน์ (หลวงปู่สาย จารุวัณโณ) วัดป่าหนองยาว อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี
    อุปสมบท ขณะอายุ ๒๐ ปี เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๑ ณ วัดศรีคุณเมือง บ้านนาจาน ตำบลระเว อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี พระพรหมมา จารุวัณโณ เป็นพระอุปัชฌาย์

    เมื่อครั้งที่หลวงปู่สายบวชใหม่ ท่านจําพรรษาอยู่ที่วัดสารพัดนึก อําเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ศึกษาปริยัติ ธรรมจนสอบได้นักธรรมตรี-โท และได้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาส ขณะที่ท่านเรียนปริยัติอยู่ก็เกิดคําถามขึ้นในใจว่า…

    “เราเรียนหนังสือมา ๓-๔ ปี แล้วยังไม่ได้ดวงตาเห็นธรรม และยังไม่รู้เลยว่าพระไตรสรณคมน์ที่แท้จริงนั้นคืออย่างไร เรานี้กลัวจะเรียนหนังสือเสียเปล่า”

    พ.ศ.๒๔๘๖ ท่านจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ หยุดเรียนหนังสือ ลาออกจากการเป็นเจ้าอาวาส ตั้งใจไปแสวงหาครูบาอาจารย์ ผู้รู้เรื่องวิชาวิปัสสนากัมมัฏฐาน อยู่ตามป่าตามเขา ท่านได้เดินทางไปนครจําปาสัก (ขณะนั้นนครจําปาศักดิ์ เป็นจังหวัดหนึ่งของไทย) หลวงปู่สายได้มาฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่บุญมาก ฐิตปุญฺโญ , หลวงปู่กิ ธัมมุตตโม และ หลวงปู่ทองรัตน์ กันตสีโล ท่านได้จําพรรษาและ สอนปริยัติอยู่ที่วัดป่าสาลวัน ตําบลหนองผำ นครจําปาสัก ได้ออกธุดงค์ไปกับหลวงปู่กิ โดยถือรุกขมูล (อยู่โคนต้นไม้) ตามป่าช้า บ่าเปลี่ยว เชิงเขาที่ห่างไกลจากผู้คน เป็นที่อยู่ของสัตว์ป่าเช่น ช้าง เสือ เป็นวัตร
    ในช่วงแรกที่ท่านเริ่มธุดงค์ในป่าช้า เกิดความฟุ้งและความกลัวอย่างแรงกล้า แต่ท่านไม่ละความเพียร นั่งภาวนาต่อเนื่อง ๖-๗ ชั่วโมง จนจิตเริ่มคลายความกลัวลง ได้เกิดความสงบ แช่มชื่นเบิกบาน ปรากฎเห็นสัตว์โลกทั้งหลาย เหมือนเป็นพ่อแม่เดียวกัน เห็นนรก สวรรค์อยู่ที่จิตใจอย่างชัดเจน เป็นครั้งแรกที่ท่านได้ประสบกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับใจ จนท่านตั้งใจว่า

    “ต่อไปนี้จะถวายชีวิตไว้ในพุทธศาสนา เกิดชาติใหม่ก็จะขอบวชในพุทธศาสนาเป็นพระธุดงค์กรรมฐานตลอดไป”

    หลวงปู่สายได้บําเพ็ญเพียร ด้วยจิตใจที่กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว มีครั้งหนึ่งที่ท่านได้ธุดงค์ไปตามป่าทึบ เกิดตื่นขึ้นมากลางดึกพบว่ามีเสือยืนอยู่นอกกรดที่ปลายเท้า เมื่อท่านขยับแขนมันจึงวิ่งหนีไป รุ่งเช้าถามชาวบ้านจึงทราบว่า บริเวณนั้นเป็นทางสัญจรของเสือ มันมักจะเอาเหยื่อมากินตรงนี้เป็นประจํา เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้ทําให้ท่านย่อท้อหรือเกรงกลัว ยังคงปักกรดภาวนาอยู่ที่เดิมต่อไป ท่านเคยกล่าวไว้ว่า

    “ด้วยจิตใจที่กล้าหาญ สละเลือดเนื้อยอมเป็นข้าพระรัตนตรัย ปฏิบัติ ตามพระวินัย ศัตรูจะกลับเป็นมิตร คําว่าแพ้จะไม่มีเลย เรามีธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ถ้าสิ่งร้ายจะมาทําลายเรา เรายอม ตายทุกขณะลมหายใจเข้าออก”

    -หลวงพ่อสาย-จารุวณฺโณ-1024x611.jpg
    หลวงปู่สายเคยไปอยู่ศึกษาปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่ทองรัตน์ กนฺตสีโล
    และช่วงเข้าพรรษาหลวงปู่ชามักจะให้พระเณร วัดหนองป่าพง เดินทางไปทำวัตร
    หลวงปู่สายที่วัดป่าหนองยาว อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี
    หลวงปู่สาย ปฏิบัติสมถวิปัสนากรรมฐานมาตลอดชีวิตสมณเพศ มีพุทธบริษัทและลูกศิษย์เลื่อมใสศรัทธามากมาย ก่อตั้งสํานักปฏิบัตินับได้ ๑๒ สํานัก

    พระครูภาวนานุศาสน์ (หลวงปู่สาย จารุวณฺโณ) ท่านมรณภาพวันที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๕ สิริอายุ ๖๔ ปี พรรษา ๔๔ พิธีบําเพ็ญกุศลจัดขึ้นที่วัดป่าบ้านหนองยาว อําเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี

    โอวาทธรรม หลวงปู่สาย จารุวณฺโณ วัดป่าหนองยาว
    “..ร่างกายสังขารของคนเราไม่นานก็จะกลายเป็นขี้เถ้า เป็นดินไปในที่สุด ก่อนที่มันจะเป็นเช่นนั้น ควรจะใช้มันให้เป็นประโยชน์ มากที่สุด..”
    :-->https://www.108prageji.com/หลวงปู่สาย-จารุวัณโณ/
    เหรียญรุ่นแรก หลวงปู่สาย วัดป่าหนองยาว อุบลราชธานี ปี2520 -->https://shopee.co.th/เหรียญรุ่นแรก-...ยาว-อุบลราชธานี-ปี2520-i.49083250.14162394728
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    ๑๓๘.ป่าผีภูตมายา ผจญภัยบนดอยสูง

    thamnu onprasert
    Feb 13, 2023

    เรื่องราวในตำนานข้างกองไฟคนกองวัวต่างม้าต่าง ในป่าจะมีผีภูตมายา คอยล่อลวงให้ผู้คนหลงใหลแล้วจับไปกิน.
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    อภิญญาบารมี หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ

    หลวงตา
    Feb 15, 2023
    หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ วัดเขาถ้ำบุญนาค จังหวัดนครสวรรค์
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    lpseechantasiri.jpg
    ประวัติหลวงปู่สี ฉันทสิริ วัดเขาถ้ำบุญนาค อำเภอตาคลี
    หลวงปู่สีท่านเป็นชาวอำเภอรัตนะ จังหวัดสุรินทร์ ท่านเกิดเมื่อปีจอ พ.ศ.๒๓๙๒ตรงกับสมัยของรัชกาลที่๓(แต่หนังสือส่วนมากจะลงรัชกาลผิดจะลงเป็นรัชกาลที่ ๔ ทั้งที่ความเป็นจริงองค์รัชกาลที่ ๓ เสด็จสวรรคต ปี ๒๓๙๔ ซึ่งหลวงปู่ท่านเกิดก่อนรัชกาลที่๓ เสด็จสวรรคตถึง ๒ ปี พวกหนังสือที่ลงไม่ค่อยตรวจสอบนึกจะลงก็ลงทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องสำคัญแท้ ๆ น่าจะตรวจสอบก่อนลง)ส่วนเกิด วัน เดือน ใด ท่านไม่เคยบอก พ่อแม่ของหลวงปู่มีลูกทั้งหมด ๖ คน ท่านเป็นคนโต และแต่เดิมท่านไม่ได้ชื่อ สี ท่านชื่อ ลีเมื่อมีการใช้นามสกุลขึ้นตระกูลของท่านก็ใช้นามสกุลว่า “ดำริ”
    ชีวิตในวัยเด็ก ท่านได้เติบโตขึ้นท่ามกลางกลิ่นไอของป่า ได้ติดตามพ่อของท่านล่าสัตว์เพื่อนำมาเป็นอาหารและเก็บของป่าเพื่อไปขายนำเงินซื้อข้าวของ จนกระทั่งท่านได้อายุ ๑๑ ปี พ่อของท่านได้นำท่านไปฝากกับพระธุดงค์ซึ่งเคยเป็นสหายเก่าของพ่อท่าน ซึ่งเมื่อพระธุดงค์ได้เห็นหลวงปู่สีแล้วก็ถึงกับออกปากขอท่านไปดูแล ซึ่งพ่อของหลวงปู่สีก็ยกให้ ดังนั้นท่านถึงต้องตามพระธุดงค์ตระเวนธุดงค์ด้วยกัน เรียกว่าค่ำไหนนอนนั่น จากป่าดงดิบจังหวัดสุรินทร์จนกระทั่งมาถึงเมืองหลวง (กรุงเทพฯ) ท่านได้พาหลวงปู่สีมากราบสักการะ พระสหธรรรมิกของท่านคือ ขรัวโต (พระเทพกวี) ซึ่งท่านก็คือ สมเด็จพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี ในปีพุทธศักราช ๒๔๐๓ ซึ่งพระอาจารย์อินกับสมเด็จโต เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกัน คือหลวงตาแสง จังหวัดลพบุรี จึงสนิทกันมาก เมื่อสมเด็จโตท่านได้เห็นรูปร่างลักษณะของหลวงปู่สี ก็ยินดีนักด้วยบุคลิก ลักษณะของท่านเป็นที่ถูกใจยิ่งนัก จึงได้รับหลวงปู่สีเป็นศิษย์ สมเด็จโตท่านก็ได้อบรมข้อธรรม ถ่ายทอดวิชาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอักขระขอมไทย และคาถาอาคมต่าง ๆ รวมทั้งการปฏิบัติสมาธิจิต จนแตกฉาน ที่ท่านเรียนรู้ง่ายเป็นเพราะว่าท่านมีพื้นฐานมากจากพระอาจารย์อินได้สอนนั่นเอง ซึ่งต่อมาสมเด็จฯโต ท่านได้เลื่อนลำดับจาก พระเทพกวี เป็น สมเด็จพุฒาจารย์ ทางวัดระฆังก็มีการบวชพระและเณรจำนวน ๑๐๘ รูป พร้อมด้วยบวชชีพราหณ์อีกมากมายเพื่อฉลองตำแหน่งโดยมีสมเด็จฯโตเป็นพระอุปัชฌาย์ ซึ่งในการบวชเณรนั้นได้มีหลวงปู่สีรวมอยู่ด้วย ซึ่งได้บวชในพุทธศักราช ๒๔๐๗ ซึ่งตอนนั้นหลวงปู่สีมีอายุได้ ๑๕ ปีหลังจากที่ได้บวชเป็นเณรแล้วท่านก็ได้อยู่วัดระฆังเพื่อเรียนวิชากับสมเด็จโต ซึ่งรวมถึงการทำผงวิเศษทั้งห้าประการอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีอยู่ในพระเครื่องของสมเด็จฯ (มีมูลค่านับล้านบาท และถือเป็นจักรพรรดิ์พระเครื่อง) จนกระทั่ง ปี ๒๔๑๑ องค์รัชกาลที่ ๔ ได้เสด็จสวรรคต ทำให้สมเด็จฯโตจะเก็บตัวเงียบไม่ค่อยจะออกมาพบปะญาติโยมเท่าใดนัก ในช่วงนี้หลวงปู่สี จึงไม่ค่อยได้ติดตามรับใช้สมเด็จฯโต เท่าใดนัก ประกอบกับพระอาจารย์อินทร์กลับจากธุดงค์มาแวะเยี่ยมสมเด็จฯโต หลวงปู่สี จึงขออนุญาตสมเด็จฯ กลับไปเยี่ยมโยมพ่อโยมแม่ พร้อมกับพระอาจารย์อินทร์ ตอนนี้หลวงปู่สีหรือสามเณรลี ได้เริ่มโตเป็นหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ สง่างาม ผิวพรรณดี ผิดกับเด็กหนุ่มทั่วไป เมื่อกลับมาเห็นสภาพครอบครัวซึ่งมีความลำบาก ก็ขออนุญาตพระอาจารย์อินทร์ สึกออกมาเพื่อช่วยเหลือครอบครัว พระอาจารย์อินทร์ได้ตรวจดูชะตาของหลวงปู่สี ซึ่งขณะนั้นอายุย่าง ๑๙ ปี ว่าชะตาจะต้องเกี่ยวพันกับทางโลก เมื่อพ้นภาวะกรรม ก็จะบวชไม่สึกและสำเร็จในบั้นปลายชีวิต จึงให้สึกตามคำขอ ชีวิตตอนเป็นหนุ่มท่านเป็นคนจริงไม่เคยเกรงกลัวใครนอกจากทำไร่ทำนาแล้วท่านยังมีอาชีพรับจ้างคุมฝูงวัวไปขายข้ามจังหวัด ต่อมาปี ๒๕๑๖ หลวงปู่สีได้ถือโอกาสมาร่วมงานอุปสมบทเป็นพระขององค์รัชกาลที่ ๕ เลยได้มีโอกาสมาพักที่วัดระฆัง และทำให้ท่านได้ทราบว่าสมเด็จฯโตซึ่งเป็นองค์อาจารย์ของท่านได้มรณะภาพไปแล้ว เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน๒๔๑๕ หลังจากองค์รัชกาลที่ ๕ ขึ้นครองราชย์ได้ ๕ ปี
    ต่อมาเมื่อปี ๒๔๑๘ มีกบฏฮ่อเกิดขึ้น หลวงปู่สีก็ได้กาสาสมัครเป็นทหารเพื่อไปร่วมรบกับเขาด้วย ปรากฏว่าท่านได้รับเลือกให้อยู่ในหน่วยอาสากล้าตายระดับแนวหน้าซึ่งตอนนั้นเจ้าพระยาภูธราภัยเป็นแม่ทัพ ภายหลังสามารถปราบกบฏฮ่อลงได้ ท่านได้รับความดีความชอบอย่างมากได้ยศเป็นหัวหมู่ และได้เป็นคนสนิทกับเจ้าพระยาภูธราภัยอีกด้วย ซึ่งเจ้าพระยาได้เรียกหลวงปู่สีในตอนนั้นว่า “ไอ้เสือหาญ” เพราะศึกปราบฮ่อเจ้าพระยาได้เห็นประจักษ์ตาว่า ทหารลี หนังดีเหนียว ใจกล้า ตอนหลังได้รับเลื่อนให้เป็นตำรวจหลวงคอยติดตามขบวนเสด็จ ฯ
    หลวงปู่สีท่านใช้ชีวิตความเป็นหนุ่มอยู่นานหลายปี จนกระทั่งบังเกิดความเบื่อหน่ายทางโลกจึงได้อุปสมบท โดยท่านบอกว่า ท่านบวชที่วัดบ้านเส้า อำเภอบ้านเส้า (อำเภอบ้านหมี่ในปัจจุบัน) โดยมีพระครูธรรมขันธ์สุนทร เป็นพระอุปัชฌาย์ส่วนคู่สวดท่านไม่ได้บอกว่ามีพระอาจารย์รูปใดบ้างเมื่อบวชได้ระยะหนึ่งท่านได้เดินทางมาจำพรรษาอยู่ที่ ถ้ำเขาเสียบ เขตตำบลช่องแคอำเภอตาคลี เพราะว่าก่อนบวชท่านเคยอยู่ในเขตนี้มาก่อน หลวงปู่สีท่านถือปฏิบัติในการออกธุดงค์ ตลอดเวลาที่ท่านยังมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงหลวงปู่สีท่านบอกว่าท่านธุดงค์ไปทั่วประเทศไทย จากเหนือถึงใต้ตะวันออกถึงตะวันตก ท่านไปมาทั้งหมดเคยธุดงค์ไปฝั่งประเทศลาวจำพรรษาอยู่ในประเทศลาวหลายปี ธุดงค์เข้าประเทศพม่าเลยไปประเทศอินเดียไปนมัสการสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา ท่านยังเล่าว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งท่านธุดงค์ไปภาคเหนือ เพื่อจะไปนมัสการพระบาทสี่รอย เมืองเชียงตุง ประเทศพม่าท่านเดินหลงป่าไม่ได้ฉันอะไรเลยเป็นเวลา ๗ วัน จนรุ่งเช้าของวันที่ ๘มีช้างป่านำหัวบัว และอ้อยมาถวายท่าน (ไม่ทราบว่าเป็นเทวดาหรือว่าเทวานุภาพดลใจให้ช้างนำมาถวาย ?) ท่านจึงนำหัวบัวต้มกับน้ำอ้อยฉันและช้างยังเดินนำทางท่านไปจนพบกับบ้านของชาวบ้านป่า ท่านเล่าว่าท่านเดินธุดงค์อยู่ในป่าแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ พบชายหญิงกำลังกินอะไรกันอยู่ท่านจึงเดินไปถามว่า ทำอะไรกันอยู่หรือทั้งสองก็ตอบหลวงปู่สีว่ากำลังกินยาอายุวัฒนะกันอยู่แต่ หลวงพ่อมาช้าไปยาหมดเสียแล้วจะมีเหลืออยู่ก็ตามใบไม้เท่านั้นเองและทั้งสองคนก็เก็บยาที่ติดอยู่ตามใบไม้ให้ท่านฉัน ซึ่งมีอยู่เล็กน้อยเท่านั้นท่านบอกว่าที่ท่านมีอายุยืนก็เพราะยานี้แหละ และยานี้ยังทำให้ท่านมีร่างกายแข็งแรงไม่หลงลืมเหมือนคนแก่ทั่วๆไปในการธุดงค์ของท่านนั้นต้องเรียกว่า ยอมตายในผ้าเหลืองเลยทีเดียว หลวงปู่เองได้พบกับอาถรรพ์ในป่ามากมายยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ร้าย ผีป่า แม้กระทั่งเทวดามาขอฟังธรรมจากท่านเสมอ และระหว่างที่ธุดงค์นั้นหลวงปู่สีเองได้พบกับพระเกจิที่มีชื่อเสียงต่อมาในอนาคตมากมาย และได้พบปะสนทนาธรรมจนเป็นพระสหธรรมิกที่สนิทกันมากได้แก่ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท หลวงปู่กลั่น วัดพระญาติการามจ.พระนครศรีอยุธยา และที่สำคัญท่านยังเคยได้ร่วมเดินธุดงค์กับ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ใหญ่สายกรรมฐานที่มีลูกศิษย์มากมายทั่วประเทศ และตัวท่านยังเป็นสหธรรมิกกับหลวงพ่อ ปาน วัดคลองด่านผู้ที่สร้างเขี้ยวเสือจนโด่งดังและมีราคาแพงอันดับหนึ่งด้วย และท่านเองก็ได้พบกับพระที่มาขอเป็นศิษย์ ในช่วงระหว่างธุดงค์ ซึ่งต่อมามีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ ได้แก่ หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ (ท่านได้พบกับหลวงปู่สีก่อนที่จะพบกับพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต) หลวงปู่บุดดา วัดกลางชูศรีเจริญสุข จ.ชัยนาท หลวงปู่เย็น วัดสระเปรียญ จ.ชัยนาท เมื่อท่านอายุมากขึ้นท่านก็ไม่ได้ธุดงค์อีก
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    (cont.)
    เนื่องจากพระอาจารย์สมบูรณ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดเขาถ้ำบุญนาค ต้องการจะสร้างวัดให้รุ่งเรือง ซึ่งตอนนั้นแทบจะไม่มีอะไรเลย ว่ากันว่า พระอาจารย์สมบูรณ์ได้ไปปรึกษา ปู่โทน หลำแพร(ท่านเป็นลูกศิษย์ของพระครูเทพโลกอุดร) ฆราวาสผู้มีอาคมสูง ซึ่งปู่โทนหลำแพร ได้แนะนำให้ไปนิมนต์หลวงปู่สี ซึ่งตอนนั้น ท่านอยู่ที่บ้านหนองพุก ตำบลหนองเรือ อำเภอโนนสัง จังหวัดอุดรธานี (ปัจจุบันเป็นจังหวัดหนองบัวลำภู) ตอนที่ยกขบวนไปรับหลวงปู่สีนั้น หลวงปู่ท่านรู้ล่วงหน้าว่าจะมีผู้มารับไปสร้างวัดท่านจึงเตรียมตัวคอยอยู่แล้ว ทำให้ทุกคนที่ไปนิมนต์หลวงปู่ต่างแปลกใจไปตาม ๆ กัน หลวงปู่ท่านมาอยู่ที่วัดเมื่อปี ๒๕๑๒ ท่านอยู่ที่วัดนี้จนกระทั่งท่านได้มรณภาพเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ รวมท่านอยู่วัดถ้ำเขาบุญนาค เป็นเวลา ๘ ปี

    ขอกล่าวถึงลูกศิษย์องค์สำคัญ ๆ ของหลวงปู่สีก่อน ซึ่งมีอยู่หลายองค์เช่น หลวงปู่แหวน วัดดอยแม่ปั๋ง หลวงปู่บุดดา วัดกลางชูศรี หลวงปู่เย็น วัดสระเปรียญ เป็นต้น


    พบหลวงปู่แหวนที่จังหวัดเลย ปี๒๔๕๓
    จากคำบันทึกบอกเล่าของหลวงปู่แหวน ท่านได้กล่าวว่า เมื่อปี๒๔๕๒ ตอนที่ท่านอายุได้๒๒ ปี ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดสร้างถ่อ จังหวัดอุบลราชธานี หลังจากนั้นท่านได้ออกธุดงค์ไปแต่ลำพังผู้เดียวด้วยใจเด็ดเดี่ยว ท่านได้จาริกไปเรื่อย ๆ หยุดพักตามถ้ำบ้างป่าบ้าง โคนต้นไม้ตามชายทุ่งบ้าง ช่วงนั้นท่านได้ธุดงค์แถบถิ่นอุบลราชธานีเข้าสู่จังหวัดเลย เรื่อย ๆมา แต่แล้ววันหนึ่งท่านได้พบกับพระธุดงค์องค์หนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ เป็นพระภิกษุที่อยู่ในวัย ๖๒ ปี ลักษณะเป็นผู้ที่มีเมตตาเต็มเปี่ยม มีปฏิปทาสูง นั่งปฏิบัติธรรมอยู่บนหน้าผาในหุบเขาจังหวัดเลย ในเย็นวันนั้นท่านได้มีโอกาสเข้าไปกราบพระภิกษุองค์นั้นเพราะตลอดระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควร ท่านนั่งปฏิบัติอยู่ หลวงปู่แหวนมิได้เข้าไปรบกวนเลย จนเมื่อมีโอกาสจึงได้เข้าไปกราบ หลวงปู่สีเพ่งมองหลวงปู่แหวนอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงเอ่ยถามพระภิกษุแหวนว่า “ ท่านมาจากไหน” หลวงปู่แหวนได้ตอบว่า“มาจากจังหวัดเลยครับ ผมเข้าป่ามาตั้งใจจะแสวงหาที่ปฏิบัติธรรมครับ” หลวงปู่สีได้พูดว่า “ตั้งใจดี หมั่นภาวนานะ” ในวันต่อมาหลวงปู่สีท่านได้สอนกรรมฐานให้กับหลวงปู่แหวน ทำให้การปฏิบัติของหลวงปู่แหวนก้าวหน้าอย่างมาก ทั้งสององค์ได้ร่วมธุดงค์ร่วมกันถึงสองปี ก่อนที่หลวงปู่แหวนจะแยกย้ายไปหาพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตต่อไป

    พบหลวงปู่บุดดา ที่หนองคาย ปี๒๔๖๗
    จากคำบอกเล่าของหลวงปู่บุดดา ท่านได้กล่าวว่าหลังจากท่านได้บวชในพรรษาที่ ๓ ซึ่งตรงกับปี ๒๔๖๗ ได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านทุ่ง อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย พอออกพรรษาท่านก็ออกธุดงค์เข้าป่าแถบป่าเมืองหนองคาย และหลวงพบกันหลวงปู่สี และได้เข้าฝากตัวเป็นศิษย์ ซึ่งขณะนั้นหลวงปู่สีมีอายุได้ ๗๕ ปี ในเรื่องการเคารพต่อหลวงปู่สีของหลวงปู่บุดดานับว่ามากมายยิ่งนัก จะเห็นได้ว่าบางครั้งท่านเจ็บป่วยอย่างไร เมื่อถึงวาระท่านจะต้องไปกราบหลวงปู่สีทุกปี บางครั้งอาพาธจนลงจากรถไม่ได้ ก็ให้คนขับรถพาท่านไปที่เขาถ้ำบุญนาค แล้วท่านก็กราบนมันการหลวงปู่สีจากในรถตู้ที่เป็นพาหนะ นี่เป็นตัวอย่างบางเรื่องเท่านั้นจากหลวงปู่บุดดา ถาวโร แห่งวัดกลางชูศรีเจริญสุขพระอรหันต์ ที่มรณภาพแล้วร่างกายไม่เน่าเปื่อย

    พบหลวงปู่เย็น วัดสระเปรียญพระผู้เป็นสหธรรมิกของหลวงปู่บุดดา
    จากคำบอกเล่าของหลวงปู่เย็น ท่านได้กล่าวว่า ท่านได้พบกับหลวงปู่สี ในป่าแถบจังหวัดลพบุรี หลวงปู่สีท่านเป็นพระดี พระเก่ง พูดน้อย ปฏิบัติมาก เวลาไปไหน ถ้าหลวงปู่สีพบต้นไม้ใหญ่ ๆ ท่านจะยืนคุยกับรุกขเทวดา สักพัก ท่านจึงเดินต่อไป เวลาที่หลวงปู่เย็นพักตามถ้ำ จะได้ยินหลวงปู่สีคุยกับเทวดา บางครั้งหลวงปู่สีก็แสดงธรรมแผ่เมตตา หลวงปู่สีเป็นพระที่เมตตามาก เป็นพระแท้ เป็นพระทองคำ หลวงปู่เย็น ทานรโต เทพเจ้าแห่งตัว “ พ “ กล่าวถึงหลวงปู่สีด้วยความเคารพ ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใน ด้วยจิตใจที่ยกย่องบูชา

    ปาฏิหารย์แยกกายโปรดโยม
    เมื่อราวต้นปี ๒๕๑๙ ทางวัดเขาถ้ำบุญนาค ได้มีการจัดให้มีงานประจำปีขึ้น ซึ่งไปตรงกับงานอีกวัดหนึ่งในจังหวัดชลบุรี ซึ่งทางวัดก็ได้นิมนต์หลวงปู่สี ไปโปรดญาติโยมชาวจังหวัดชลบุรี ในงานที่วัด หลวงปู่สีก็รับปากว่าจะไป ในวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๑๙ ต่อมาวันงานที่ชลบุรีหลวงปู่ท่านก็ไปประพรมน้ำมนต์ให้ญาติโยมในงานด้วยตามคำนิมนต์ วันถัดมาชาวจังหวัดชลบุรีก็ได้เหมารถมาเที่ยวที่วัดเขาถ้ำบุญนาค ตั้งใจมากราบหลวงปู่สี เพราะติดใจหลวงปู่สี ที่ได้กราบรับพรจากท่านเมื่อวานนี้ที่จังหวัดชลบุรี ข่าวที่หลวงปู่เดินทางไปจังหวัดชลบุรี ในเมื่อวานนี้ แพร่ออกไป เหล่าลูกศิษย์หลวงปู่ที่วัดเขาถ้ำบุญนาค ต่างก็แปลกใจและงงไปตาม ๆ กัน เพราะว่าเมื่อวานนี้หลวงปู่ท่านไม่ได้ไปไหน ท่านอยู่ที่วัดเขาบุญนาคตลอดเวลา เพราะว่าทางวัดมีงาน มีคนกราบไหว้หลวงปู่อยู่ตลอดเวลา พระและลูกศิษย์ที่วัดเขาถ้ำบุญนาค จึงไปกราบถามหลวงปู่ว่า “ หลวงปู่ครับ เมื่อวานนี้หลวงปู่ไปเมืองชลบุรีมาหรือครับ “ หลวงปู่ท่านไม่ตอบ พอมีคนถามนัก ท่านก็เลยล้มตัวลงนอน เลยไม่มีใครกล้าถามอะไรท่านอีก

    ตามคนมาทอดกฐินที่วัด
    หลังจากเมื่อหลวงปู่มรณะภาพไปแล้วเมื่อต้นปี ๒๕๒๐ ปรากฏว่าปีนั้นทางวัดเงียบเหงา ไม่มีใครมาแม้แต่กฐินก็ไม่มีใครนำมาทอด ซึ่งทางวัดก็คิดว่าคงจะไม่มีใครมาแล้วเพราะใกล้จะหมดกำหนดเวลาในการรับผ้ากฐิน จู่ ๆ ก็มีลูกศิษย์หลวงปู่สี ได้นำกองกฐินมาทอดที่วัดเขาถ้ำบุญนาค และเมื่อมาแล้วไม่เห็นหลวงปู่สี ลูกศิษย์หลวงปู่ผู้นั้นก็ถามขึ้นว่า “พระอาจารย์ครับหลวงปู่ท่านไปไหนครับ ไม่เห็นท่านเลยครับ” พระที่อยู่ดูแลท่านก็ได้บอกว่า “ โยม หลวงปู่สีท่านมรณะภาพแล้ว ตั้งแต่ วันที่๒๓ กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา คุณโยมไม่ทราบหรือ” ศิษย์หลวงปู่สีผู้นำกฐินมาทอดทำสีหน้าฉงนออย่างงง ๆ แล้วก็พูดขึ้นว่า “อาจารย์ครับ เมื่อราวสองสัปดาห์นี้เอง หลวงปู่ท่านไปหาผม หลวงปู่ท่านบอกว่าให้ช่วยจัดกฐิน มาทอดที่วัดเขาถ้ำบุญนาคด้วยเพราะไม่มีใครมาทอดในปีนี้ พอกระผมทราบเรื่องจากหลวงปู่เช่นนั้น กระผมก็รีบรวบรวมจัดกฐินมาอดนี้แหละครับ “ พระเณรที่วัดต่างมองหน้ากัน แม้แต่ท่านจะละสังขารไปแล้ว ท่านก็ยังเป็นห่วงพระเณรที่วัด ต่อจากนั้นทางวัดก็นำศิษย์หลวงปู่ไปกราบศพหลวงปู่สี ทำให้ศิษย์ผู้นั้นได้ทราบว่าหลวงปู่สีละสังขารไปแล้วจริง ๆ ส่วนที่ไปพบกับตนเมื่อเร็ว ๆนี้นั้น เป็นกายทิพย์ของหลวงปู่

    ไม่ยอมอยู่กุฏิหลังใหม่
    เป็นที่รู้จักกันว่าหลวงปู่สี ท่านเป็นพระที่ปฏบัติที่ไม่ติดในวัตถุ ไม่สะสม และไม่ติดยึดในสิ่งใด ๆ แม้แต่ความสะดวกสบายต่าง ๆ ที่ ลูกสิษย์ทุกคนพร้อมที่จะถวายให้ท่าน แต่ท่านไม่เอา ดังนั้นกุฏิของท่านที่อยู่จึงเป็นกุฏิหลังไม้เก่า ๆ หลังเล็ก ๆ หรือไม่ก็ในถ้ำที่ท่านชอบเข้าไปปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ในวันหนึ่งท่านพระอาจารย์สมบูรณ์เจ้าอาวาสวัดเขาถ้ำบุญนาค ดำริทีจะสร้างกุฏิหลังใหม่ให้หลวงปู่สี คณะกรรมการทุกคนก็พร้อมใจกันจึงได้เรียกช่างปูนมาทำการก่อสร้าง โดยสร้างเป็นกุฏิปูนชั้นเดียว พอท่านทราบเรื่องว่าจะสร้างให้ท่าน ท่านก็บอกว่าจะไม่ยอมไปอยู่ที่กุฏิหลังใหม่ เป็นที่น่ามหัศจรรย์หลังจากที่หลวงปู่สี ท่านพูดเช่นนั้น ช่างปูนที่รับคำสั่งจากท่านเจ้าอาวาสได้ลงมือก่อสร้างกุฏิหลังใหม่ วันนั้นปรากฏว่าช่างปูนไม่สามารถฉาบปูนได้เลย เพราะฉาบปูนเท่าใดก็ไม่ติดจนกระทั่งช่างปูนนึกท้อใจ เพราะไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อนเลยในชีวิตที่รับงานก่อสร้างมานับไม่ถ้วน ในที่สุดก็ตัดสินใจเลิกทำ ความทราบถึงท่านเจ้าอาวาส และพระอาจารย์รักษ์ เตชธัมโม ซึ่งเป็นพระอุปัฏฐากของหลวงปู่ ได้ไปนมัสการหลวงปู่สีและได้ถามท่านว่า “หลวงปู่ครับทำไมไปแกล้งช่างปูนอย่างนั้นครับหากหลวงปู่ไม่อยากอยู่ก็ไม่เป็นไรครับ ให้ช่างปูนเขาสร้างให้เสร็จก่อน” หลวงปู่สีท่านจึงกล่าวว่าก็ให้เขามาทำใหม่สิต่อจากนั้นอีก๒วันพระอาจารย์สมบรูณ์ ท่านเจ้าอาวาสก็เรียกช่างมาทำใหม่ ซึ่งคราวนี้ช่างปูนสามารถฉาบปูนได้เป็นผลสำเร็จอย่างไม่มีปัญหา เพียงวันเดียวก็สามารถฉาบปูนสำเร็จเสร็จ หมดทั้งกุฎิ ทีมงานก่อสร้างในครั้งนั้นต่างเลื่อมใสศรัทธาหลวงปู่ทุกคน กุฎิหลังดังกล่าว ในสมัยที่หลวงปู่ท่านยังมีชีวิตอยู่ท่านไม่เคยได้ไปใช้สอยเลย เเต่หลังจากที่ท่านมรณะแล้ว บรรดาศิษยานุศิษย์จึงได้อัญเชิญศพของท่านบรรจุในโลงแก้ว แล้วประดิษฐานไว้ที่กุฎิหลังใหม่ ซึ่งเป็นการสะดวกที่จะให้ลูกศิษย์ของหลวงปู่ไปกราบไหว้บูชาหลวงปู่


    ย่นระยะทางไปพบสหายธรรม
    ในสมัยที่หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ยังดำรงขันธ์อยู่ หลวงปู่สีมักจะเดินทางไปสนทนาธรรมกันอยู่บ่อยครั้ง ในบางครั้งหลวงปู่ศุข ก็เดินทางไปพบหลวงปู่สี และบางครั้งก็ไปพบหลวงปู่สี และบางครั้งก็ไปพบกับหลวงปู่กลั่น วัดพระญาติ ทั้งสามท่านมีความผูกพันกันมาก มักจะผลัดเปลี่ยนเวียนกันไปพบซึ่งกันและกัน และในบางครั้งก็ออกธุดงค์ไปตามป่าดงพงเขาด้วยกันในบางครั้งบางคราว พระสหธรรมทั้งสาม หลวงปู่กลั่น หลวงปู่ศุข หลวงปู่สี ทั้งสามเกิดปี ใกล้เคียงกัน หลวงปู่กลั่นวัดพระญาติ เกิดปี ๒๓๙๐ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า พระอาจารย์ของกรมหลวงชุมพรฯ เกิดปี ๒๓๙๐ ส่วนหลวงปู่สี เกิดปี ๒๓๙๒ ซึ่งอ่อนกว่าทั้งสองท่านเพียง ๒ ปี แต่พระอาจารย์ทั้งสามท่านก็มีความผูกพันกัน ธุดงค์และศึกษาปฏิบัติธรรมด้วยกัน มีอะไรก็แลกเปลี่ยนกัน ในครั้งที่หลวงปู่ศุข เป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงปู่สีได้เดินทางไปเยี่ยมและอยู่สนทนาธรรมกัน หลังจากที่ออกพรรษาแล้วหลายวันก็คิดว่าจะออกธุดงค์ไป แต่หลวงปู่ศุขก็ขอร้องให้หลวงปู่สี รออยู่ที่วัดก่อนเช้าวันนั้นหลวงปู่ศุขท่านก็ออกบิณฑบาตร ฝ่ายหลวงปู่สี พอเห็นหลวงปู่ศุขไปแล้วท่านก็เก็บของ ๆ ท่านที่จำเป็นแล้วออกเดินทางไป เมื่อหลวงปู่ศุข กลับจากบิณฑบาตร ทราบจากพระในวัดว่าหลวงปู่สีท่านไปแล้ว หลวงปู่ศุขจึงให้พระเณรฉันข้าวก่อน เดี๋ยวจะกลับมาฉันด้วย ต่อจากนั้นท่านก็เข้ากุฏินำพระคัมภีร์ ๓ เล่ม ตามไปให้หลวงปู่สี ปรากฏว่าพระอาจารย์ทั้งสองรูปมาพบกันที่ตาคลีจากนั้นหลวงปู่ศุข ท่านก็เดินทางกลับวัดที่ชัยนาท ไปฉันอาหารร่วมกับพระเณรจนเสร็จ พระอาจารย์ทั้งสามรูปนี้ท่านสำเร็จอภิญญาชั้นสูง จึงสามารถย่นระยะทางไปไหนมาไหนได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งระยะทางจากชัยนาทมาถึงตาคลี ระยะทางประมาณ ๔๐-๕๐ กิโลเมตร ถ้านั่งรถก็ต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมงเห็นจะได้ ในเรื่องฤทธิ์เดชต่าง ๆ นี้เวลาที่ลูกศิษย์ถามหลวงปู่ท่านจะแกล้งล้มตัวนอนไม่ตอบคำถามของลูกศิษย์ แต่หากจะถามเรื่องธรรมะต่าง ๆ ท่านก็จะอธิบายขยายข้อธรรมให้อย่างชัดเจน เพราะท่านไม่ต้องการให้ลูกศิษย์ โดยเฉพาะพระภิกษุไปติดในเรื่องเดชฤทธิ์อำนาจ ท่านต้องการให้ใผ่ใจในเรื่องการปฏิบัติธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2023
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    (cont.)
    หลวงปู่สีใบ้หวย
    ตามที่ได้กล่าวไว้ตอนต้นว่าข้าพเจ้ามาหาหลวงปู่สี เพราะได้ทราบจากเพื่อนว่าหลวงปปู่ให้หวยแม่น และให้ง่าย ๆ ไม่ยาก จึงลองมาดู ในวันแรกที่มาหาหลังจากที่คุยกับหลวงปู่อยู่สักพักหนึ่ง หลวงปู่สีท่านก็ได้หยิบกล้วยน้ำว้าจำนวน 3 ลูกห่อกระดาษส่งมาให้ พร้อมทั้งบอกว่า เอ้าเอาไปข้างล่าง ซึ่งข้าพเจ้าก็ทราบแล้วว่าท่านให้หวย แต่ก็แกล้งบอกหลวงปู่สีไปว่า ทำไมหรือครับผมไม่รู้ หลวงปู่ท่านคงรำคาญ เลยบอกว่า " หวยข้างล่าง 35 " ข้าพเจ้ารู้ท้นทีว่าเลขท้ายสองตัว 35 และงวดนั้นก็ออกตามที่หลวงปู่บอกตรง ๆ เลย พองวดที่สองข้าพเจ้าไปหาหลวงปู่ท่านก็พูดดว่า "ส้วมกลม ๆ สองส้วมอยู่ข้างล่าง" ซึ่งข้าพเจ้าก็คิดออกทันทีว่า 00 หรือ 20 และหวยงวดนั้นก็ออก 00 ตรงตามที่คิด หลวงปู่ท่านจะบอกปัญหา ๆ ให้ฟังง่าย ๆ ไม่ต้องคิดมากให้ลึกซึ้ง อย่างเช่น งวดสุดท้ายก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ท่านบอกว่าข้างล่าง " ควายสามตัวต้อนเข้าคอก" ซึ่งใคร ๆ ที่ไปหาก็คิดได้ว่า 34 หรือ 43 และหวยก็ออก 34 ปรากฏว่างวดนั้นถูกกันมากมาย และเป็นการให้หวยครั้งสุดท้ายของหลวงปู่ การไปขอหวยหลวงปู่ ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรเลย ขึ้นไปกราบท่านเสร็จก็ถามท่านได้เลยว่า "หลวงปู่ปัญหางวดนี้มาหรือยัง" ท่านก็จะบอกให้ทันที และแยกให้รู้ด้วยว่าเป็นข้างล่างหรือข้างบน ท่านมักจะบอกอยู่เสมอ ๆ ว่าไม่ใช่ปัญหาของท่านหรอก "ผีมันทำให้ดู" แต่มีสิ่งที่เรา ๆ จะถามและคำพูดที่หลวงปู่ท่านไม่ชอบอยู่หลายอย่าง คนที่ขึ้นไปหาท่านจะโดนดุทันที เมื่อถามท่านดังนี้
    1 อย่าไปถามว่าหลวงปู่มียุงกัดไหม ท่านจะบอกว่าไม่มียุงมันก็มาถามให้มียุงแล้วท่านก็จะทำท่านั่งตบยุงให้ดู ทันทีทั้งที่ก่อนหน้านั้นท่านไปเคยตบยุงเลยสักนิดเดียว
    2 ห้ามพูดคำว่าฝันดี ฝันว่าอย่างนั้นฝันว่าอย่างนี้ ให้หลวงปู่ท่านฟัง เพราะหากไปพูดแล้วหลวงปู่จะดุ แล้วพูดว่า "มึงฝันดี แล้วมาหากูทำไม" นอกจากทั้งสองเรื่องนี้ที่ท่านไม่ชอบแล้ว เวลาที่หลวงปู่ท่านฉันอาหารอยู่ ท่านไม่ชอบให้ใครไปสูบบุหรี่บริเวณใกล้เคียง ท่านจะบอกว่าเหม็น หากใครสูบท่านจะเลิกฉันทันที อาหารที่หลวงปู่ชอบฉันคือ "บะหมี่เหลืองแห้งหมู" กับงบน้ำอ้อย พอคนรู้ว่าหลวงปู่ชอบ ก็นำมาถวายให้ท่านฉันเป็นประจำ มีอยู่วันหนึ่ง หลวงปู่ท่านจะฉันเพล ท่านเปิดปิ่นโตอาหารออกมาดู ปรากฏว่ามีแต่บะหมี่เหลืองแห้งทั้งนั้น ท่านเกาหัวแล้วหันมาบอกข้าพเจ้าพร้อมทั้งพูดว่า " อีกหยัง อีหยังก็บะหมี่ทั้งนั้น" ท่านคงจะเบื่อ เพราะต้องฉันทุกวันทุกมื้อเลย

    เอกซ์เรย์หลวงปู่สีไม่ติด
    ในคราวที่หลวงปู่สีท่านล้มป่วย คณะศิษย์ได้นำท่านไปรักษายังโรงพยาบาลกองบิน 4 แพทย์ได้นำหลวงปู่สี เข้าเครื่องเอกซ์เรย์ แต่เมื่อล้างฟิล์มเอกซ์เรย์ออกมาแล้ว ปรากฏว่าฉายร่างหลวงปู่สีไม่ติด สร้างความประหลาดใจให้แกแพทย์ที่ทำการรักษาท่านเป็นอย่างมาก ท่านพระครูนิวิฐปริยัติคุณ(หลวงพ่อสมบูรณ์) ต้องเดินมาบอกหลวงปู่สีว่า หมอเขาจะรักษาหลวงปู่ให้หาย หลวงปู่สีไปแกล้งเขาทำไม หลวงปู่ตอบว่า ท่านไม่ใช่คนธรรมดานี่จะได้ถ่ายติด แล้วก็บอกให้นำ ท่านไปเข้าฉายใหม่ ปรากฏว่าครั้งหลังถ่ายติด และในการฉีดยาทุก ๆ ครั้ง หมอต้องขออนุญาตหลวงปู่ทุกครั้ง หากไม่ขออนุญาตก็จะฉีดยาไม่เข้า หมอที่โรงพยาบาลกองบิน 4 และโรงพยาบาลจังหวัดชัยนาท เจอเหตุการณ์เช่นนี้บ่อย ๆ ครั้ง

    ยังไม่ไปจนกว่าโบสถ์จะเสร็จ

    คนที่ใกล้ชิดหลวงปู่ มักจะได้ยินท่านพูดคนเดียวเสมอ ๆ ว่า "ยังไม่ไป ให้โบสถ์เสร็จเรียบร้อยก่อนถึงจะไป" ท่านพูดแบบนี้บ่อย ๆ ครั้ง เคยถามท่าน ท่านตอบว่า "เขาจะรับไปอยู่ด้วย(หมายถึงตาย)แต่ท่านขอผลัดให้โบสถ์เสียก่อน" ซึ่งเมื่อสร้างโบสถ์วัดเขาถ้ำบุญนาคเสร็จและทำการปิดทองฝังลูกนิมิตได้ไม่ นาน หลวงปู่สีท่านก็มรณภาพ ตามที่ท่านได้พูดไว้

    หลวงปู่สีย่นระยะทางได้ (ภาคสอง)
    ในการออกธุดงค์ของหลวงปู่นั้น หลายชายของท่านคนหนึ่ง เคยติดตามไปด้วย ได้เล่าให้ฟังว่า ขณะนั้นยังเป็นสามเณรได้ติดตามหลวงปู่ไปนมัสการพระพุทธบาทจังหวัดสระบุรี โดยค้างคืนที่พระพุทธบาท รุ่งเช้าพอฉันอาหารเช้าเสร็จเรียนร้อยแล้ว ปรากฏว่ามาถึงตาคลีเป็นเวลาฉันอาหารเพลพอดี ซึ่งระยะทางจากพระพุทธบาทมาถึงตาคลีให้เดินเก่งอย่างไร ก็ไม่สามารถที่จะเดินถึงได้ ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน แต่หลวงปู่ท่านพาเดินได้

    อุจจาระหลวงปู่สีเป็นขี้ผึ้ง
    ในช่วงปลายปี 2519 หลวงปู่สีท่านป่วย คณะศิษย์ได้พาท่านไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลจังหวัดชัยนาทระหว่างที่ท่านรักษา ตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ท่านไดด้พูดกับลูกศิษย์ว่า " กูจะให้ของดีมึงเอาไว้ใช้ " แต่ก็ไม่มีใครรู้ได้ว่าท่านจะให้ของสิ่งใด ในวันต่อมาหลวงปู่สีท่านมีอาการท้องผูกอย่างแรง ท่านจึงบอกให้พระรักษ์สวนทวารท่าน เพื่ออุจจาระออกมา พระรักษ์จึงทำการสวนตามที่ท่านบอก เมื่ออุจจาระออกมาแล้วปรากฏว่าแทนที่จะมีกลิ่นเหม็นเหมือนของคนทั่วไป แต่กลับมีกลิ่นคล้ายกับสีผึ้ง พระรักษ์ได้ลองใช้มือบี้ดูต่อหน้าคนหลาย ๆ คน ปรากฏว่าเป็นสีผึ้ง ทางวัดจึงได้นำมาเก็บรักษาไว้ เมื่อท่านพระครูนิวิฐปริยัติคุณ( หลวงพ่อสมบูรณ์) ท่านจะทำสีผึ้งครั้งใด ท่านก็จะเอาสีผึ้งส่วนนี้มาผสมด้วยทุกครั้ง ผลปรากฏว่ามีอานุภาพมากมาย จึงเป็นที่ต้องการกันมาก ปัจจุบันทางวัดหมดไปนานแล้ว คงเหลืออยู่ไว้เพียงที่ผสมไว้เท่านั้น

    คำบอกเล่าจาก นาย เพชร ปล้องทอง(ลุงแตง) อายุ 73 ปี บ้านอยู่แถววัดเขาถ้ำบุญนาค มีศักดิ์เป็นเหลนหลวงปู่สี ถ่ายทอดประสบการณ์ในสมัยที่หลวงปู่สีท่านยังอยู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2023

แชร์หน้านี้

Loading...