หลวงพ่อฤาษีลิงดำ กับ ธุดงควัตร ตอน หลวงพ่อปานนำออกธุดงค์

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 7 กุมภาพันธ์ 2016.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,438
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ กับ ธุดงควัตร ตอน หลวงพ่อปานนำออกธุดงค์
    [​IMG]
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันที่บันทึกวันนี้ เป็น วันที่ 27 มิถุนายน 2533 สำหรับวันนี้ก็มาคุยกันถึงเรื่องที่ไปเรียนกับ หลวงพ่อเนียม วัดน้อย จังหวัดสุพรรณบุรี
    ในเมื่อหลวงพ่อเนียมแนะนำเรื่อง สังโยชน์ 10 และก็แนะนำวิธีปฏิบัติว่า จงอย่าทำให้เครียด การทำ ให้ใช้ปัญญาให้มาก แต่ก็อย่าใช้มากเกินไป ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องสม่ำเสมอกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระมัดระวังนิวรณ์ 5 ประการ ถ้าจิตเรายังหลงนิวรณ์ 5 ประการ ตัวใดตัวหนึ่งอยู่ ก็ยังชื่อว่าเราเป็นคนโง่ แล้วประการที่ 2 ถ้าจิตยังติดในฌานอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ก็ถือว่า เราเป็นคนโง่ ประการที่ 3 ถ้าจิตยังข้องอยู่ในสังโยชน์ทั้ง 10 ประการ อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ก็ยังถือว่าเราเป็นคนโง่ จงอย่าคิดว่าเราเป็นคนฉลาด
    ท่านสอนแบบนี้แล้ว ท่านก็ยังแนะนำว่า ต่อนี้ไปจงปฏิบัติ วิธีปฏิบัติไม่ใช่นั่งหลับตาเฉย ๆ จะคุยกับคน จะคุยกับพระ จะทำธุระต่าง ๆ ให้ใช้กิจการนั้นเป็นวิปัสสนาญาณตลอดเวลา ศีลคุมไว้ สมาธิทรงตัว สมาธิ คือ ตั้งใจทำงาน ปัญญา คือ พิจารณาสภาวะต่าง ๆ เช่น คน เราจะต้องเห็นว่า คนมีความเกิด แก่ เจ็บ ตายในที่สุด หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ วัตถุก็มีสภาพเช่นเดียวกัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวเราเองก็มีสภาพอย่างนั้น สิ่งที่เราต้องการจริง ๆ นั่นคือ นิพพาน
    นิพพานเขาไปกันอย่างไร คนที่จะไปนิพพานได้ ต้องเป็นคนดี ดีที่ไม่มีความเลวคือว่าไม่ติดในนิวรณ์ 5 ไม่ติดอยู่ในฌาน อย่างใดอย่างหนึ่ง และไม่หลงใหลใฝ่ฝันในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของรูป พระพุทธเจ้าทรงแนะนำเราจริง ๆ ก็คือ ขันธ์ 5 ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่ที่เนื้อแท้จริง ๆ ที่ติดหนักก็คือ รูป ตัดรูปได้อย่างเดียวตัดได้ทั้งหมด เพราะทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในรูป เมื่อท่านแนะนำอย่างนี้แล้ว ท่านก็ส่งกลับ
    เมื่อกลับมาแล้ว เข้ามาในวัด ก็มาหาหลวงพ่อปาน ท่านก็ซักถามว่า หลวงพ่อเนียมสอนอะไรมาบ้าง ก็กราบเรียนให้ท่านทราบตามที่กล่าวมาแล้ว หลวงพ่อปานก็บอกว่าหลังจากนี้ไป เดือนหน้าฉันจะพาเธอออกธุดงค์ แต่การไปธุดงค์คราวนี้ เราจะไปไม่เกิน 1 เดือน พวกเธอจงซักซ้อมธุดงค์ไว้
    อันดับแรก ซักซ้อมเรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา จงอย่าลืม
    ประการที่ 2 ซักซ้อมในการหากินกับเทวดากับนางฟ้า
    ประการที่ 3 ซักซ้อมญาณ 8 ประการ
    พอท่านบอก ญาณ 8 ประการ เท่านี้ก็งง ก็ถามว่า หลวงพ่อขอรับ ญาณ 8 ประการ เป็นอย่างไร ท่านบอกว่า ญาณ 8 ประการ พวกเธอทำได้แล้ว แต่เธอไม่รู้จักชื่อ เพราะฉันไม่เคยสอนไว้ก่อน แต่วันนี้ฉันจะบอกให้ ญาณ 8 ประการ ก็คือ
    1. ทิพพจักขุญาณ ที่เราสามารถเห็นผี เห็นนรก เห็นเทวดา เห็นสวรรค์ รู้ได้ด้วยญาณ (ญาณ คือ ความรู้ทางใจ)
    2. จุตูปปาตญาณ ที่เราเห็นคนก็ดี เห็นสัตว์ก็ดี ก็ทราบว่าก่อนจะเกิดเขามาจากไหนมาจากสัตว์นรก หรือมาจากเปรต มาจากอสุรกาย มาจากสัตว์เดรัจฉาน มาจากคน มาจากเทวดา หรือมาจากพรหม เมื่อทราบข่าวคนตาย เราจะรู้ได้ทันทีว่า คนตายไปอยู่ที่ไหนมีความสุข หรือมีความทุกข์
    3. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ พยายามถอยหลังระลึกชาติให้ได้ ให้คล่อง
    4. เจโตปริยญาณ การรู้จักกำลังใจของคน ความรู้สึกของคน ความสะอาด หรือความสกปรกของจิตของคน
    5. อตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอดีต รู้ที่มาของประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ก่อนหน้านั้นมีอะไรมาบ้าง
    6. อนาคตังสญาณ รู้เหตุการณ์ข้างหน้า ประเภทหมอดู แต่ก็รู้ตามความเป็นจริง
    7. ปัจจุปปันนังสญาณ คือ ญาณปัจจุบัน รู้ว่าเวลานี้ใครอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่มีความสุข หรือมีความทุกข์
    8. ยถากัมมุตาญาณ รู้กฏของกรรมว่า คนเราที่มีความสุข และมีความทุกข์เพราะกรรมอะไรเป็นเหตุ กรรมที่ทำไว้ เป็นกรรมชาตินี้ หรือกรรมชาติก่อน ๆ
    และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี เราจงอย่าให้ท่านเป็นผู้มาหาเสมอไป ต้องฝึกใช้กำลังใจไปหาท่าน วันทั้งวันให้คุยกับเทวดา นางฟ้า หรือพรหมหรือพระอริยเจ้าที่ท่านนิพพานไปแล้ว หรือเทวดา นางฟ้า พรหม ที่ท่านเป็นพระอริยะก็มาก คุยกับครูบาอาจารย์ที่ท่านตายไปแล้ว หรือว่าย่องไปดูในสถานที่ใดที่หนึ่ง ที่ยังมีชีวิตอยู่ที่เรามีความพอใจ หรือมีความไม่พอใจ (คำว่าไม่พอใจ ก็หมายความว่า ปฏิปทานั้น มันไม่ดีเป็นโทษ) ที่พอใจ ก็หมายถึงว่า ท่านมีปฏิปทาดี มีประโยชน์
    ในเมื่อหลวงพ่อปานท่านแนะนำแบบนี้แล้ว พวกเราทั้ง 3 องค์ก็เข้าป่าช้าตามเดิมซักซ้อมกันทั้งวัน ทั้งคืน แต่ไม่ได้หมายความว่า ไม่ได้หลับไม่ได้นอน ต้องทำเบาๆ ทำแบบสบาย ๆ แบบหลวงพ่อเนียม บางเวลาเราก็ใช้ ทิพพจักขุญาณ แต่ก่อนจะใช้ทิพพจักขุญาณก็ต้องพิสูจน์ศีล ระงับนิวรณ์ 5 แผ่เมตตาไปในจักรวาลทั้งปวง ทำให้จิตเป็นสุข เรื่องพรหมวิหาร 4 นี่ทิ้งไม่ได้ ต้องมีประจำใจ เมื่อพรหมวิหาร 4 ประจำใจ อารมณ์ก็เป็นสุขจิตก็มีสภาพแจ่มใส อย่างนี้ ทิพพจักขุญาณแจ่มใสทุกราย
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคิดว่า ชีวิตนี้มันต้องตาย แต่เราจะตายอย่างคนไม่ขาดทุน คือ ไม่ยอมไปนรก อย่างเลวไปสวรรค์ อย่างกลางไปพรหม อย่างนิยมที่สุดก็คือ ไปนิพพาน เราจะไปได้ หรือไม่ได้ เราจับนิพพาน เป็นกำลังนอกจากนั้นก็จับภาพพระพุทธเจ้าจะไม่ขอพูดว่า พระพุทธรูป จับภาพพระพุทธเจ้าเท่าที่เคยเห็น และต่อแต่นั้นไป ถ้าต้องการรู้อะไร ก็ถามท่าน
    อันนี้เป็นลีลาที่หลวงพ่อปานบอก หลวงพ่อปานบอกว่า การรู้เองจริง ๆ มันมีอุปาทานกิน ถ้าสิ่งที่สูง เป็นธรรมะที่สูง ควรถามตรงพระพุทธเจ้า ถ้าต่ำลงมา เป็นโลกีย์วิสัยอยู่บ้าง ก็ถามเทวดา หรือพรหม เฉพาะองค์ที่ท่านสงเคราะห์ อย่าถามพร่ำเพรื่อ เจอะใครก็ถาม ๆ อย่างนั้นใช้ไม่ได้ ต้องดู องค์ไหนท่านสงเคราะห์เรา หวังเมตตาเราจริง ๆ เราถามเฉพาะองค์นั้น ถ้าองค์อื่นมาพูดเป็นอย่างอื่น เราไม่เชื่อ ถ้าอย่างนี้จะรู้จริงเสมอ
    เมื่อซักซ้อมกันอยู่ประมาณสักครึ่งเดือนเศษ หลวงพ่อปานก็สั่งจัดแจงการเดินธุดงค์ การเดินธุดงค์ไม่มีอะไรมีจีวรสีกรัก 1 ตัว ตามปกติอยู่วัดห่มผ้าสีเหลือง แล้วก็มีสังฆาฏิสีกรัก มีอังสะสีกรัก มีสบงสีกรัก รัดประคดสีกรัก ผ้ารัดอกสีกรัก บาตร 1 ลูก กาน้ำ 1 ลูก แล้วก็ย่าม ในย่ามจะมีสิ่งที่เป็นอาวุธไม่ได้ จะมีเงินมีทองไม่ได้ แม้แต่ทองปิดพระก็มีไปไม่ได้ เพราะว่าถือว่าเป็น อนามาส
    เมื่อเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาวันขึ้น 15 ค่ำ หลวงพ่อปานก็พาเดินออกจากวัด ท่านบอกว่า ฉันจะนำเธอไปธุดงค์เป็นครั้งแรก และครั้งสุดท้าย ฉันก็แก่มากแล้ว แต่ว่าการที่เธอฝึกธุดงค์ก็ทำถูกบ้าง ผิดบ้าง แต่ก็ใช้ได้ แต่การไปกับฉัน ให้ฟังคำสั่งฉันโดยเฉพาะท่านก็สั่งบอกว่า ก่อนจะออกเดินทางให้เตรียมกำลังใจไว้ว่า
    1. เราจะเป็นคนมีศีล
    2. เราจะไม่เป็นทาสของนิวรณ์
    3. เราจะมีพรหมวิหาร 4 ประจำใจ
    4. เราจะไม่ติดในโลกีย์วิสัย มนุษยโลก พรหมโลก เทวโลก เราต้องการนิพพาน
    และหลังจากนั้นขณะเดินทางออกไป ใครจะภาวนาว่าอย่างไรก็ได้ จะพิจารณาก็ได้สุดแล้วแต่กำลังใจ จงอย่าทำใจคิดห่วงหน้าห่วงหลัง การห่วงหน้าห่วงหลังไม่มีประโยชน์ เพราะเราไม่ได้อยู่ที่นั่นเราห่วงเฉพาะเราตัวเดียว ร่างกายไม่น่าห่วง ห่วงแต่เพียงว่าเมื่อตายแล้วมันจะไปไหนกันแน่ จะไปสวรรค์หรือนรก ถ้าเราภาวนาอยู่ก็ดี พิจารณาก็ตาม ถ้าเราตายจะไปตามกฎของกรรมที่เราพึงทำได้
    ในเมื่อท่านสอนแล้ว ตอนเช้าฉันข้างเช้าแล้ว ออกเดินทางไปทางสีกุก พอไปถึงสีกุกเห็นค่ายพม่า สมัยมาตีอยุธยา ตอนนั้นก็ไม่ได้บังคับจิต จิตก็มีความรู้สึกเห็นภาพพม่า เห็นภาพกองทัพพม่ามีกำลังมากมาย ความเป็นอยู่ก็เป็นไปด้วยความลำบาก นอนกับดินกินกับทราย และพม่าก็เป็นชาติที่ใจร้าย ข่มเหงคนไทย หลังจากนั้นก็เดินต่อไป ข้ามจากสีกุกเข้าเขตอำเภอบางบาล เมื่อออกจากบางบาลก็เดินตรงไปอยุธยา จากอยุธยาก็เข้าอำเภอบ้าหมอ พอเข้าถึงเขตอำเภอบ้านหมอ ก็หมดเวลาพอดี คือหมดเวลาเดิน
    เวลานั้นประมาณบ่ายสัก 5 โมงเศษ หลวงพ่อปานก็สั่งปักกลด การปักกลด เขามีคาถาปักกลด ว่าคาถา คาถาก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากแสดงความเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ กับชุมนุมเทวดา (ที่เรียกว่า บวงสรวงบ้าง ชุมนุมเทวดาบ้าง) เวลาปักหลักผูกสายอัพโภกาส ก็มีคาถาว่า คาถาก็ไม่เห็นมีอะไร พุทธังรักษา ธัมมังรักษา สังฆังรักษา คือใจนึกถึงพระพุทธเจ้า ใจนึกถึงพระธรรมใจนึกถึงพระอริยสงฆ์ ใจนึกถึงเทวดา และเจ้าที่ ไปที่ไหนต้องเคารพเจ้าที่
    เมื่อปักกลดกันเสร็จ หลวงพ่อปานท่านบอกว่า การนึกมีความรู้สึกอย่างนั้นถูกต้อง และต่อมาท่านก็แนะนำว่า ต้องทำพิธีบวงสรวง ก็มานั่งประชุมกัน ท่านก็กล่าววาจาบวงสรวงตามที่ปฏิบัติในปกติ หลังจากนั้นก็ขอความคุ้มครอง ตั้งแต่พระพุทธเจ้า ลงมาถึงเจ้าที่ ท่านบอกว่าเราไปที่ไหนก็ตามต้องเคารพเจ้าที่ เพราะเจ้าที่มีความสำคัญมาก จะป้องกันอันตรายได้
    เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะอาบน้ำ ก็มีชาวบ้านเขาเห็นพระเข้า ก็พากันตักน้ำมาคนละหาบ เอาน้ำมาถวายพระให้พระสรง พระอาบ (ลืมบอกไปว่าไปคราวนั้นมีผ้าอาบน้ำไปด้วย คือเป็นสีกรักเหมือนกัน โตเท่าสบง)
    เมื่ออาบน้ำเสร็จ ทรงสบงจีวรดีเรียบร้อยแล้ว ก็กลับเข้ามานั่งที่ ก็มีชาวบ้านเขาเข้าไปคุยกับหลวงพ่อปาน ก่อนที่จะเข้าที่ หลวงพ่อปานบอกว่า พวกเธอฉันให้นำสมุดมา จงเขียนมาว่า ขณะที่ผ่านมาจากวัด จนกระทั่งถึงที่นี่ เธอพบอะไรในอดีตบ้าง (นั่นหมายถึงอตีตังสญาณ) ก็เขียนตามที่พบตามที่เห็น
    การเดินไปบรรดาท่านพุทธบริษัท การเดินไปคราวนั้น เดินธุดงค์จริง ๆ 4 องค์ แต่ว่าการเดินไปจริง ๆ มีเทวดามากมายหลายท่าน ท่านก็เดินไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทวดาชั้นจาตุมหาราช ท่านจะอยู่ไม่ห่าง ท่านจะบอกความเป็นมาของสถานที่ทั้งหมดว่าที่ตรงนี้มีอะไรอยู่บ้าง
    พอถึงสีกุก ท่านบอกว่า ตรงนี้เป็นค่ายของพม่า พม่าใช้กำลังเท่าไรมาตั้งที่นี่ เพื่อตีกรุงศรีอยุธยา การตีอยุธยาแตกครั้งใหญ่คราวนั้นและใครเป็นแม่ทัพนายกอง แล้วท่านก็ทำภาพให้ดูลีลาการรบ การรบเขาทำอย่างไรแบ่งเป็นหมวด เป็นหมู่ เป็นกอง มีลีลาหลายอย่างเวลานั้นอยุธยาของเราเสียท่าเขา มีหน้าที่อยู่ในบ้าน คอยให้เขาเข้ามาตีบ้าน บางครั้งก็ยกทหารออกมาตีกับเขาบ้าง บางครั้งบางคราว แต่ในที่สุดอยุธยาก็พัง ถูกไฟเผา พระเจ้าตากสินตีฝ่าข้าศึกออกไป เห็นภาพทั้งหมด เทวดาท่านแสดง
    เราก็เขียน จากอยุธยามา เห็นอะไรบ้าง พบอะไรบ้าง เขียนทุกอย่างตามที่มีความรู้สึก และตามที่เทวดาชั้นจาตุมหาราชบอกให้ฟังด้วย และนึกถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ทรงยืนยันถึงอดีตต่าง ๆ ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระพุทธกัสสป พระกกุสันโธ พระโกนาคม เป็นต้น และบางกรณี บางสถานที่ ก็บอกไปถึงสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระพุทธทีปังกร มีพระเท่าไร พระปฏิบัติกันแบบไหน ท่านทำภาพให้ดูหมด เมื่อเขียนตามที่เห็นสมควร ตามที่ท่านบอกก็หยุดการเขียนตอนเช้าก็มาอ่านให้หลวงพ่อปานฟัง ท่านยอมรับว่า อย่างนี้ใช้ได้
    หลังจากนั้นท่านก็บอกว่า ประเดี๋ยวเราจะถอนกลดไป ฉันข้าวเช้าแล้ว เราจะเดินทางต่อ ท่านก็นำเดินทางมาต่อ เวลานั้นป่ามีมากนามีน้อย เดินจากบ้านหมอ ไม่ช้าก็เข้าเขตพระพุทธบาท เข้ามาปักกลดที่พระพุทธบาท ค้างที่พระพุทธบาท 2 คืน
    ที่พระพุทธบาทนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ทั้ง ๆ ที่มีเทวดาอารักขาอยู่มาก เทวดาก็ดีนางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี อารักขาอยู่มาก ก็ยังมีเทวดาจรเข้ามาอีก เทวดาจรเข้ามา ก็น่ากลัวจะเป็นพวกเดียวกับเทวดาที่อารักขา ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นก็คงจะเข้ามาไม่ได้ เพราะเทวดาชั้นจาตุมหาราชนี่เขาถือว่า มีความดุร้ายมาก เข้มแข็งมาก แต่ก็ยังมีเทวดาแปลกเข้ามา (สำหรับเพื่อน ๆ เขาจะมีอะไรบ้างก็ไม่ขอเล่าสู่กันฟัง ขอเล่าเฉพาะส่วนตัวเอง)
    ขณะที่เจริญสมาธิอยู่ในกลด อุซุง กายัง ปติฏฐายะ ตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก แผ่เมตตาไปทั่วจักรวาล จิตตั้งอยู่ในพรหมวิหาร 4 และก็ใช้กำลังวิปัสสนาญาณ คือพิจารณาร่างกายว่า มันเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อย่างไร ๆ เราก็ต้องตาย จะตายที่ไหน มันก็ตายเหมือนกัน ตายที่ตรงนี้ก็ช่างเราต้องการไปนิพพาน แล้วก็นั่งไล่เบี้ย ฌาน 1,2,3,4,5,6,7,8 แล้วก็ถอยหลังมาตั้งอยู่ที่ฌาน 4 ลดกำลังใจมาถึงอุปจารสมาธิ ตั้งอยู่ในกำลังของวิปัสสนาญาณ
    เวลานั้นก็พอดี พอเริ่มจับกำลังวิปัสสนาญาณได้ประเดี๋ยวเดียว ก็มีสาวสวย 2 คน เดินผ่านเข้ามาในกลด เปิดมุ้งเข้ามานั่งข้างหน้า ก็นึกในใจว่า สายอัพโภกาสกันทั้งผีกันทุกอย่าง นี่เข้ามาได้อย่างไร เธอก็ถามว่า ท่านจะไปไหน ก็บอกว่า จะไปธุดงค์ เวลานี้อยู่ในเขตธุดงค์ ก็ถามว่า เธอมาได้อย่างไร เธอก็บอกว่า ฉันจะไปทางไหน ฉันไปได้ทุกทาง ไม่มีอะไรขีดคั่น ก็ถามเธอบอกว่า เธอเป็นนางฟ้าใช่ไหม เธอก็ตอบว่า ไม่ใช่ ถามว่า เป็นมนุษย์หรือ เธอก็ตอบว่า ไม่ใช่ ถามว่า เป็นผีหรือ เธอก็ตอบว่า ไม่ใช่ ถามว่า พวกเธอเป็นพวกอนัตตาใช่ไหม เธอตอบว่า ใช่ และถามว่า มาทำไม
    เธอก็บอกว่า ผู้หญิงก็อยากจะพบผู้ชาย ท่านเป็นผู้ชายไม่อยากพบผู้หญิงบ้างหรือ ก็บอกว่า ตามปกติแล้วไม่อยากพบใครทั้งหมด ผู้หญิงก็ไม่อยากพบ ผู้ชายก็ไม่อยากพบ ส่วนที่อยากพบอย่างเดียวคือ พระนิพพาน เธอทั้ง 2 คนหันไปยิ้มเข้าหากัน แล้วก็พูดบอกว่า เราผิดหวัง นี่ความจริงเราเป็นสาวใหญ่มานานแล้ว หาสามีไม่ได้ คิดว่าพระท่านอยากจะมีเมียบ้าง ก็มาหาท่านท่านไม่ต้องการเสียแล้ว เราไปดีกว่า แล้วก็ลากลับ
    ในเมื่อเธอไปแล้ว ก็มาคิดในใจว่า ทั้ง 2 คนนี่ ต้องเป็นเทวดาที่มีอานุภาพมาก ไม่ใช่นางฟ้า นางฟ้าเขาจะไม่ยุ่ง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง จะต้องเป็นเทวดาที่เป็นพระอริยเจ้า เมื่อมีความสงสัยอย่างนี้ จึงถามท่านคณะท่านท้าวมหาราช ท่านเวสสุวัณก็บอกว่า ใช่ 2 ท่านที่มาเมื่อกี้นี้ไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่นางฟ้า ไม่ใช่คน เป็นพรหม ท่านแปลงกายเป็นผู้หญิงเข้ามา หวังจะทดลองใจท่านว่า มีความพอใจไหม ท่านท้าวเวสสุวัณท่านก็บอกว่า ท่านทำกำลังใจถูกแล้ว ถ้ารักษากำลังใจอย่างนี้ ทุกอย่างที่ท่านต้องการไม่พลาดแน่ หลังจากนั้นท่านก็บอกว่า ต่อแต่นี้ไปไม่มีอะไรอีก นิมนต์ตามสบาย
    ก็นั่งเจริญกรรมฐานบ้าง เมื่อเมื่อยก็นอน เมื่อยลงไปก็นอนมองดูเวลา หยิบนาฬิกาขึ้นมาดูประมาณตี 2 เมื่อถึงเวลาตี 2 เห็นว่าควรพักผ่อน ก็นอน อารมณ์จับนิพพานเป็นอารมณ์ที่เรียกว่า อุปสมานุสสติกรรมฐาน จากนั้นก็จิตจับภาพพระ คือ ภาพพระพุทธเจ้าเท่าที่เคยเห็น เห็นท่านมีสภาพแจ่มใส ท่านยิ้มแย้มก็มีความดีใจ มีปีติเกิดขึ้นในที่สุดก็หลับ
    พอเวลา 6 โมงเช้า ได้ยินเสียงปลุกว่า ท่าน เวลานี้ 6 โมงเช้าแล้ว นิมนต์ลุกได้ประเดี๋ยวจะต้องไปบิณฑบาต พอตื่นขึ้นมาแล้ว ก็เอาน้ำในกามาล้างหน้า พอล้างหน้าเสร็จก็ปรากฏว่า (ไม่ได้ไปบิณฑบาต) มีคนใส่บาตร คือเป็นแบบชาวบ้านธรรมดา (ชาวบ้านธรรมดาก็มี ชาวบ้านผิดธรรมดาก็มี ชาวบ้านที่ผิดธรรมดาก็คือว่าแต่งเนื้อแต่งตัวร่างกายเหมือนชาวบ้านธรรมดา แต่ว่านัยน์ตาไม่กระพริบ ชาวบ้านประเภทนี้มีข้าวแต่ไม่มีกับมีข้าวกับดอกไม้) ชาวบ้านธรรมดาก็มีต้ม มีแกงเอามาใส่ พอฉันข้าวเสร็จ หลวงพ่อปานนำให้พร ให้พรเสร็จ ทุกคนเขาก็ลากลับ
    หลวงพ่อปานก็เล่าความเป็นมาของพระพุทธบาท คือ ประวัติพระพุทธบาทตั้งแต่ต้น ตั้งแต่องค์สมเด็จพระเทศพลมาโปรดพราหมณ์ที่นั่น และหลังจากนั้นมามีอะไรบ้าง ท่านก็เล่าสู่กันฟัง หลังจากนั้นก็ขึ้นไปนมัสการพระพุทธบาท ท่านก็ยืนยันว่า รอยพระพุทธบาทนี้ เป็นรอยพระพุทธบาทจริง ๆ แท้ ๆ ไม่มีใครทำขึ้น ไม่ใช่ของปลอม หลังจากกราบเสร็จ เรียบร้อยแล้ว ท่านก็สั่งให้ทุกองค์นั่งทำสมาธิ
    พอเริ่มทำสมาธิ บรรดาท่านพุทธบริษัท จับลมหายใจเข้า ไม่ทันจะหายใจออกเห็นภาพพระพุทธเจ้าประทับยืนยิ้มอยู่ข้างหน้า และก็ทรงมีวาจาตรัสว่า เธอทั้งหลายจงอย่าประมาทในชีวิต ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ร่างกายนี้ไม่ช้าก็มีวิญญาณไปปราศแล้ว มันก็ตาย เมื่อร่างกายนี้ตายเราก็ต้องทิ้งร่างกาย ร่างกายก็เป็นของไร้ประโยชน์ จงหวังพระนิพพานเป็นที่ไป ตั้งใจไว้อย่างนั้น เมื่อท่านตรัสเพียงเท่านี้ ท่านก็หายไป พวกเราก็เอาจิตจับพระนิพพาน
    เวลานั้นจริง ๆ เรื่องรู้จักนิพพานจริง ๆ ยังไม่มี ก็นึกในใจขออาราธนาบารมีขององค์สมเด็จพระชินสีห์ ว่า ถ้าพระนิพพานมีที่ไหน ขอไปที่นั่น เพียงเท่านี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ไปปรากฏกายที่นิพพานทันที นิพพานมีความสวยสดงดงามมาก มีสภาพแจ่มใสมีอาการสงบสงัด เป็นเมืองแก้ว ที่เขาบอก เมืองแก้วกล่าวแล้ว คือ พระนิพพาน มีบ้านมีเมือง ไม่ใช่มีสภาพว่างอย่างหนังสือว่า
    ที่มา http://palungjit.org/posts/9917844
     

แชร์หน้านี้

Loading...