หลวงพ่อพระราชพรหมยาน กับหลวงปู่ครูบาชัยวงศ์ และพระสุปฏิปันโนสายหลวงพ่อ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 22 สิงหาคม 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    ประวัติการพบกันระหว่างหลวงพ่อกับหลวงปู่

    ต่อไปนี้ก็จะขอลำดับประวัติความเป็นมาระหว่างหลวงพ่อกับหลวงปู่ ซึ่งอาจจะขาดตกบกพร่องไปบ้าง ผมต้องกราบขออภัยหลวงปู่ไว้ ณ ที่นี้ด้วย แต่ก็คงจะช่วยย้อนภาพความทรงจำในอดีต เพื่อให้ลูกหลานภายหลังจะได้ทราบ ถึงแม้จะไม่ได้ถึง ๑๐๐ % ก็ยังดี แต่พอที่จะจำได้ก็เป็นตอนก่อนที่หลวงพ่อกับหลวงปู่จะพบกัน คงจะเป็นแนวทางให้คนภายหลัง จะได้นำเรื่องราวไปเรียบเรียบเป็นประวัติได้บ้าง จึงขอให้ทุกคนตั้งใจฟังให้ดีนะ


    ความเดิมนั้นมีอยู่ว่า หลวงพ่อจะจัดงาน "วันครบรอบ ๑๐๐ ปี เกิดของหลวงพ่อปาน" ที่วัดท่าซุง ตั้งแต่วันที่ ๖ สิงหาคม ถึงวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๑๘ ท่านตั้งใจจะนิมนต์ "พระสุปฏิปันโน" มาร่วมงานเป็นกรณีพิเศษ ด้วย ทั้งนี้ ท่านได้รับพุทธบัญชาให้ไปหาพระที่มีชื่อว่า "ทึม" ในตอนนั้นประมาณปี ๒๕๑๗ ผู้เขียนยังไม่ได้บวช จึงได้ยินท่านเล่าด้วยตนเอง หลังจากเลิกเจริญพระกรรมฐานแล้ว และได้มีโอกาสร่วมเดินทางไปกับท่านหลายครั้ง แม้กระทั่งที่นี่ก็ได้มาตั้งแต่ครั้งยังไม่ได้บวช "ล่าพระอาจารย์" เป็นครั้งแรก

    หลวงพ่อจึงเริ่มเดินทางสู่ภาคเหนือ ญาติโยมทั้งหลายคงจะจำได้ คำว่า "ล่าพระอาจารย์" จึงได้เกิดขึ้นกันตอนนี้เอง พระสุปฏิปันโน "ชุดแรก" ที่หลวงพ่อไปล่ามาได้ ทุกคนจำไว้ให้ดีนะ เผื่อมีใครเขาถาม จะลำดับให้ฟังกันนั่นก็คือ...หลวงปู่สิม หลวงปู่แหวน หลวงปู่ครูบาพรหมจักร วัดพระบาทตากผ้า (ผู้น้อง) และหลวงปู่ครูบาอินทรจักร วัดน้ำบ่อหลวง (ผู้พี่) ชุดแรกรวม ๔ องค์ด้วยกัน ที่หลวงพ่อเดินทางไปพบไปเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ ๑๖ พ.ย. ๒๕๑๗

    ครั้งที่ ๒ ต่อมาครั้งที่ ๒ ที่หลวงพ่อเดินทางไปอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๑๘ คือทิ้งระยะห่างเพียง ๒ เดือนเศษเท่านั้น ท่านก็ได้มาพบ หลวงปู่คำแสน (เล็ก) วัดดอนมูล อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ซึ่งในตอนนี้เองแหละเป็นตอนที่สำคัญ โดย หลวงปู่ท่านได้แนะนำพระสุปฏิปันโนที่สำคัญต่อไปอีกว่า ให้หลวงพ่อไปพบ หลวงปู่บุญทึม วัดจามเทวี และ หลวงปู่คำแสน (ใหญ่) วัดสวนดอก

    แล้วหลวงพ่อก็ได้เดินทางไปพบหลวงปู่ทั้ง ๒ องค์ทันที เพราะชื่อหลวงปู่บุญทึม ไปตรงกับชื่อ "ทึม" ตามที่พระท่านสั่งหลวงพ่อไว้ จึงเป็นอันว่าพบแล้วตามพระพุทธประสงค์ ชุดที่สองนี้จึงเพิ่มขึ้นอีก ๒ องค์ รวมเป็น ๖ องค์ ในเวลานั้นก็ได้พบกับ หลวงปู่บุดดา หลวงปู่สี อายุ ๑๒๖ ปี (อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์) และ หลวงปู่มหาอำพัน ด้วย

    ครั้งที่ ๓ ในกรณีนี้ จะลำดับเฉพาะพระสายเหนือต่อไปอีกว่า อาจารย์ที่ดีเขาไม่หวงลูกศิษย์กัน หลวงพ่อก็ได้นำลูกศิษย์ไปกราบพระผู้ทรงคุณพิเศษเหล่านี้อีก จึงได้มีการเดินทางอีกเป็นครั้งที่ ๓ ในวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๑๘ โดยเว้นเพียง ๒ เดือนกว่า หลวงพ่อก็เดินทางอีกแล้ว จะเห็นว่าเวลานั้น หลวงพ่อท่านทำงานหนักมาก กว่าจะล่ามาให้พวกเรารู้จักกัน ชุดนี้มีเพียงองค์เดียวเท่านั้น ที่จะพบกัน ณ วัดจามเทวี พวกเรารู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะในการล่าครั้งก่อนโน้น กลับมาก็ตัวเบากระเป๋าเบากันเป็นแถว

    การไปคราวนี้ จึงได้ทราบว่า หลวงปู่บุญทึม จะเปิดตัวพระสุปฏิปันโนอีกองค์หนึ่ง นั่นก็คือ หลวงปู่ชุ่ม โพธิโก วัดวังมุย แล้วพวกเราก็ได้พบเห็นการล่าของหลวงพ่อ โดยการซักถามถึงภูมิธรรมของท่าน ปรากฏว่าต้องจนแต้มหลวงพ่อ คือการยอมรับว่าตนเองเป็นพระสุปฏิปันโนไปในที่สุด หลวงปู่บุญทึมถึงกับพูดออกมาในตอนนั้น หลังจากเห็นหลวงพ่อไล่ต้อนหลวงปู่ชุ่ม ซึ่งท่านก็คงจะเล่นละครให้เราดูกัน

    ท่านบอกว่า "เราโดนต้อนเข้าคอกไปคนหนึ่งแล้ว เดี๋ยวก็คงจะโดนต้อนเข้าไปอีกคนนั่นแหละ...! " แล้วท่านก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ แสร้งแหงนหน้ามองดูเพดาน ปล่อยให้หลวงปู่โดนหลวงพ่อไล่ล่าจนจนมุม ผลที่สุดพวกเราก็ประทับใจที่ได้พบ "พระสุปฎิปันโน" เพิ่มขึ้นอีกองค์หนึ่ง

    หลวงพ่อเดินทางไปพบกับหลวงปู่วงศ์เป็นครั้งแรก

    ครั้งที่ ๔ ในครั้งนี้แหละเป็นครั้งที่สำคัญ ที่พวกเราอยากจะรู้กัน ลองทายซิว่าเป็นใคร..? คงจะเดากันได้ว่า ครั้งนี้คงจะมาถึงวัดพระพุทธบาทห้วยต้มอย่างแน่นอน ถึงแม้จะอยู่กันห่างไกลสักแค่ไหน สมัยนั้นหนทางกันดารจะลำบากเพียงใด ใจที่ได้ผูกพันกันมาตั้งแต่อดีตชาติ

    ทั้งนี้ ผู้ที่เชื่อมความสัมพันธ์ให้ท่านทั้งสองได้โคจรมาพบกัน นั่นก็คือ หลวงปู่บุญทึม อีกเช่นเคย เหมือนท่านจะรู้วาระว่าจะอยู่อีกไม่นาน จึงคิดจะละสังขารไว้ใ สถานที่แห่งนี้ แผนของท่านจึงได้ถูกวางไว้ โดยให้กะเหรี่ยงหามท่านมานอนพักรักษาตัวอยู่ ณ ที่นี้ เพื่อรอคอยเวลาที่จะมาถึง

    ฉะนั้น เมื่อถึงคราวที่ หลวงปู่ชุ่ม ท่านจะเข้านิโรธสมาบัติ เป็นเวลา ๗ วัน พวกเราต่างก็เกณฑ์ทัพกันมาด้วยรถบัสจำนวนหลายสิบคัน หลังจากได้บำเพ็ญกุศลกับผลของสมาบัติจนชื่นใจแล้ว บรรดาลูกแก้วทั้งหลายก็เดินทางกลับ แต่ยังมีเหลือเฉพาะหลวงพ่อและผู้ติดตามอีกเล็กน้อย เพื่อจะคอยติดตามไปเยี่ยมหลวงปู่บุญทึมกัน หลังจากนั้นก็เดินทางมาที่นี่

    วันแห่งความทรงจำ ซึ่งสมัยนั้นนับตั้งแต่ทางเข้าหน้าวัดไป มีต้นไม้อยู่หนาแน่นมาก จึงนับเป็นวันแห่งประวัติศาสตร์ก็ว่าได้ ที่หลวงพ่อและหลวงปู่พร้อมทั้งชาวเมืองและชาวกะเหรี่ยงทั้งหลาย จึงได้พบกัน และได้รู้จักกันเป็นครั้งแรก วันนั้นเป็นวันสำคัญที่จะลืมไม่ได้ก็คือ วันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๑๘ คือเมื่อ ๒๒ ปี (พ.ศ. ๒๕๔๐) ที่ผ่านมานั่นเอง

    ฉะนั้น ในวันนี้ นอกจากจะมาร่วมฉลองงานครบรอบ ๘๔ ปี ของหลวงปู่แล้ว ก็ยังตั้งใจจะมาเฉลิมฉลองเนื่องในวันที่หลวงและหลวงปู่ได้มาพบกันอีกด้วย เรียกว่าฉลองกัน ๒ ต่อก็ว่าได้ ส่วนอาการอาพาธของหลวงปู่บุญทึมนั้น ต่อมาหลวงพ่อท่านขอร้องให้ไปหาหมอ จึงต้องมาอยู่ที่โรงพยาบาลสวนดอก แล้วก็ได้มรณภาพไปในที่สุด เมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๑๙ คืออีก ๔๒ วันต่อมา จึงอยากจะให้พวกเราทุกคน เมื่อได้รับฟังเรื่องราวนี้แล้ว ทั้งที่ยังมิได้เคยนำมาเล่าย้อนกันเลย จะได้หวลนึกถึงพระคุณของท่าน

    ถ้ามิใช่เป็นเพราะความเมตตาของหลวงปู่บุญทึม ป่านนี้เราอาจจะมิได้ยืนอยู่ ณ ที่นี้ก็เป็นได้ จึงขอให้ทุกคนที่ได้รับฟังแล้ว จงจดจำไว้ว่าผู้ที่เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างหลวงพ่อและหลวงปู่ของเราให้ได้พบกัน นั่นก็คือ หลวงปู่บุญทึม หรือชื่อ "ทึม" ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงโปรดประทานพรให้หลวงพ่อตามหาให้พบ แล้วท่านก็พบกันจริงๆ อีกทั้งได้พบพระสุปฎิปันโนองค์อื่น ๆ ตามมาอีกหลายองค์ ซึ่งมาจนถึงวาระสุดท้ายของท่าน จึงได้มาพบหลวงปู่ครูบาชัยวงศ์เป็นที่สุด นี่เป็นผลงานที่ท่านทำไว้ให้พวกเราทุกคนก่อนจะสิ้นลมหายใจไปในชีวิตสุดท้ายของท่าน

    ในตอนนี้ก็จะขอนำเรื่องราวที่หลวงพ่อเล่าเอาไว้ในคราวนั้น มาให้ญาติโยมทั้งหลายทราบสักเล็กน้อย โดยหลวงปู่ชุ่มได้เล่าในขณะที่เข้านิโรธสมาบัติให้หลวงพ่อฟังก่อนว่า "แผ่นดินจะถล่ม" มีผู้หญิง ๒ คน เป็นเทวดา คนหนึ่งถือสมุด อีกคนหนึ่งถือถุงย่ามมาถามว่า มานั่งสมาธิทำไม ท่านก็บอกว่ามานั่งเพื่อบุญกุศลแล้วก็ชวนท่านไป ท่านก็บอกว่ายังไม่ไป ขันธ์ ๕ มันยังไม่ถึงเวลาพัง แล้วเขาก็ไล่เรียงด้วยประการต่าง ๆ ถึงผลแห่งการเข้านิโรธสมาบัติ

    ท่านบอกว่า ทำเพื่อความเยือกเย็นของบรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะเวลานี้ประเทศชาติกำลังเร่าร้อน แล้วเขาก็บอกว่า "เวลานี้...แผ่นดินมันจะถล่มแล้ว..!" ซึ่งคำนี้เอง...ทำให้นึกย้อนถึงเรื่องราวที่หลวงปู่ดาบส เล่าถึงเรื่องที่ ท้าวมหาพรหมมาบอกให้ อ.ศักดา หาถ้ำเป็นที่หลบภัย ไม่ทราบว่าจะเป็นเรื่องเดียวกันหรือไม่ ขออย่าให้เป็นจริงอย่างนั้นเถิด แล้วหลวงพ่อท่านก็เล่าต่อไป
    ลองมาฟังดูว่า หลวงพ่อท่านพูดถึงหลวงปู่ว่าอย่างไรบ้าง...? ความประทับใจของหลวงพ่อที่มีต่อหลวงปู่...

    "อาตมามีงานที่จะต้องไปอำเภอลี้ เขาบอกว่า หลวงปู่ทึมไปป่วยอยู่ที่นั่น อยู่กับหลวงปู่วงศ์ หลวงปู่วงศ์นี่เป็นพระพิเศษ คือชนะใจกระเหรี่ยงได้ เอากะเหรี่ยงเข้าปฏิบัติกันมากมาย กะเหรี่ยงทั้งหมู่บ้าน ทั้งหมดเป็นกะเหรี่ยงที่มีศีล ๕ บริสุทธิ์ เจริญสมถะวิปัสสนากรรมฐานกัน เหตุที่ไม่กินเนื้อสัตว์ แล้วก็หลวงปู่วงศ์ท่านมีนโยบาย เพราะว่า พวกนี้เลี้ยงหมูเลี้ยงไก่ไว้ฆ่าไว้แกงกินกัน

    ท่านบอกว่าใครจะมาเป็นลูกศิษย์ท่าน จะต้องกินเจ ๓ ปี ไม่กินเนื้อสัตว์ ถ้าเลย ๓ ปีไปแล้ว กินเนื้อสัตว์ได้ อันนี้เป็นนโยบายสำหรับท่าน ต่อมาเขาก็รักษาศีล ๕ กันอย่างเคร่งเครัด ไม่กินเนื้อสัตว์ ถ้าใครละเมิดศีล ๕ แม้แต่ข้อเดียว หัวหน้าของเขาจะขับออกจากหมู่บ้านนั้นทันที

    เมื่อฉันเช้าเสร็จเราก็เดินทางกันเข้าไปยังวัดหลวงพ่อวงศ์ "ครูบาวงศ์" เขาเรียกยังงั้น เดินทางเข้าไปถึงระหว่างทาง ทางมันมีน้ำอยู่บ้าง บรรดากะเหรี่ยงทั้งหลายเขาคอยกันตั้งแต่วานนี้แล้ว คือวันที่ ๒๒ มิถุนายน วันนี้เป็นวันที่ ๒๒ เป็นวันเดินทางนะ เมื่อเข้าไปถึงเขต ปรากฏว่ากะเหรี่ยงกำลังโรยลูกรัง พอรถผ่านไป ทุกคนนั่งพับเพียบลงกับพื้น ปูผ้าลงกราบกับพื้น

    อาตมาเองก็รู้สึกอายกะเหรี่ยงเหมือนกัน อายในจริยาแห่งความดีของกะเหรี่ยงทั้งหลาย ที่เขาเข้าถึงพระรัตนตรัยถึงเพียงนี้ ถ้าเราจะปรับปรุงพวกเขาก็รู้สึกว่านานสักนิด ที่จะมีจิตทำได้อย่างเขา รู้สึกว่าเขาดีมาก อันนี้ก็ต้องขอขมเชยครูบาวงศ์ ท่านเป็นหัวหน้าคณะ

    พออาตมาเข้าไปถึงวัด ก็ปรากฎว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทที่ขับรถนั่งรถตามไปข้างหลัง เขาไม่ได้ไหว้แต่รถพระ แม้แต่รถฆราวาสที่เข้าไป เขาก็เอาผ้าปูกับพื้น กราบกับพื้นดินเหมือนกัน เห็นแล้วก็รู้สึกนึกถึงคนแก่คนเฒ่า จิตใจของชาวไทยสมัยก่อน เราก็สภาพแบบกะเหรี่ยงในเวลานี้ เมื่อไปถึงแล้ว ครูบาวงศ์ท่านก็มารับ วัดในป่า บรรดาท่านพุทธบริษัท โบสถ์ใหญ่มหึมา ขนาดโบสถ์อาตมานี่ต้อง ๓ หลัง แล้วก็ศาลาการเปรียญยาว ๑๖๐ เมตร แล้วบริเวณวัดก็สวยงาม

    อาตมาเห็นเข้าแล้วก็นึกปลื้มใจในปฏิปทาของท่าน ผลงานทั้งหมดที่ปรากฏขึ้นมา เป็นแรงของกะเหรี่ยงทั้งสิ้น ไม่ต้องจ้างกัน (แต่เวลานี้ชาวเมืองเข้าไปช่วยกันแล้ว ซึ่งเป็นชุดแรกที่ไปกับหลวงพ่อ ๒๐๐ กว่าคน) ครูบาวงศ์ท่านก็ดีเหลือเกิน จึงถามว่าครูบาทึมป่วยอยู่ที่ไหน ท่านก็บอกว่าอยู่ที่กุฏิไกลออกไปโน้น
    แหม...บริเวณของท่านสวยมาก อยากจะพาบรรดาท่านพุทธบริษัทไปเที่ยว อาตมาไปเห็นครูบาวงศ์ท่านดึงกำลังใจ ชนะกำลังใจของกะเหรี่ยงไว้ได้ นี่แสดงว่าทำให้ประเทศไทยเราปลอดภัยไปอีกเยอะ เพราะพวกกะเหรี่ยงมีความเข้มแข็งในการบ แต่ถ้าครูบาวงศ์ไม่ดึงกำลังใจเขาไว้ อีกฝ่ายหนึ่งอาจจะดึงกำลังใจกะเหรี่ยงพวกนี้ไป

    พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนามีโอกาสช่วยประเทศชาติได้มากแบบนี้ ถ้าเราเต็มใจทำกัน ถ้าไม่เมาในลาภยศสรรเสริญสุขเสียแล้ว ร่วมกันสร้างความสามัคคี มาถึงตอนนี้ก็อยากจะขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลาย ช่วยกันปฏิบัติตามแบบของครูบาวงศ์นี่ได้จะดีมากครูบาวงศ์ก็ดี ครูบาชุ่มก็ดี ครูบาทึมก็ดี ทั้งสามท่านนี้เป็นผู้ชนะใจชาวเขาชาวป่า ดึงเอาชาวเขาชาวป่ามามากมาเป็นไทยแท้ มาเป็นพุทธศาสนิกชน

    แล้ววัดนี้ก็ปรากฏว่า สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ ทำทางเข้าไปให้ อาตมาตั้งใจไว้ว่า จะไปทอดกฐินที่วัดจามเทวี ก็จะซื้อเครื่องกำเนิดไฟฟ้า เครื่องสูบน้ำ แป๊ปน้ำปะปา ไปถวายท่านครูบาวงศ์ เป็นการช่วยดึงกำลังใจพวกกะเหรี่ยงให้มั่นคงยิ่งขึ้น เพราะว่าเราจะให้ทั้งบ้านไม่ได้ แต่ว่าให้วัดเป็นศูนย์ใจกลางของพุทธบริษัทชาวกะเหรี่ยง..."

    นี่เป็นคำพูดที่หลวงพ่อท่านมีความประทับใจ ที่ได้พบกับหลวงปู่และชาวกะเหรี่ยงเป็นครั้งแรก ในตอนนี้ จะขอแทรกจาก พ.ต.ท.อรรณพ กอวัฒนา ได้เขียนเล่าไว้ในหนังสือของท่านว่า...

    เกือบจะถูกสึกเป็นครั้งที่ ๒

    "สมัยที่ผมเป็นผู้บังคับหมวด ตชด.ที่อยู่ที่ ค่ายดารารัศมี มีรายงานว่าพบพระสงฆ์องค์หนึ่ง ซ่องสุมพวกกะเหรี่ยงอยู่ที่อำเภอลี้ มีการปลุกระดมกันทุกคืน จึงได้ส่ง ตชด. ไปสืบสวน ปรากฏว่าเป็นหลวงปู่ครูบาวงศ์นั่นเอง

    มันบอกว่าพอตกค่ำ พระองค์นั้นก็นำกะเหรี่ยงทั้งหมู่บ้านสวดมนต์ แล้วก็เทศน์เป็นภาษากะเหรี่ยง จบแล้วก็สอนกรรมฐาน เห็นกะเหรี่ยงนั่งหลับตานับลูกประคำกันเป็นทิวแถว เป็นอันว่า หลวงปู่รอดจากการถูกจับสึก เป็นครั้งที่ ๒ ส่วนเพื่อนผมนั้น ก็รอดจากนรกไปเส้นยาแดงผ่าแปด...

    หลวงปู่กับหลวงปู่ทึม เป็นพระที่สนิทสนมกันมาก เมื่อหลวงปู่ทึมได้รับแต่งตั้งเป็น "พระครูปลัด" จึงได้ขอตำแหน่ง "พระครูใบฎีกา" ให้กับหลวงปู่วงศ์ด้วย ไปไหนก็มักจะไปด้วยกัน ส่วนใหญ่หลวงปู่ทึมคิด แต่ให้หลวงปู่วงศ์ทำ เพราะหลวงปู่ทึมไม่แข็งแรง ส่วนหลวงปู่วงศ์โน่น...อยู่บนนั่งร้านหรือไม่ก็บนหลังคา ไม่ศาลา ก็โบสถ์...!"

    ผู้การอรรณพที่เล่าไว้ก็จบเพียงแค่นี้ ต่อมาหลังจากท่านทั้งสองได้พบกัน ก็มีผลงานมากมาย บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ทั้งชาติและพระศาสนา ในที่นี้จะขอนำมาสรุปโดยย่อว่า...

    หลวงปู่พร้อมคณะชาวกะเหรี่ยง ได้มาที่วัดท่าซุงเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๑๘ และ วันที่ ๗ พ.ย. ๑๘ เดินทางมาร่วมพิธีพุทธาภิเษก "ผ้ายันต์มหาพิชัยสงคราม" ณ วัดบวรนิเวศน์ วันที่ ๑๔ พ.ย. ๑๘ เดินทางไปร่วมพิธียกฉัตรบนพระเจดีย์องค์เล็ก ณ วัดพระธาตุจอมกิตติ ร่วมกับหลวงปู่อีกหลายองค์ ตามที่ได้เล่าเรื่องไปแล้ว เมื่อวันที่ ๑๘ ม.ค. ๒๕๔๐

    ครั้นต่อมา วันที่ ๑๕ พ.ย.๑๘ หลวงพ่อมาทอดผ้าป่าที่นี่อีก เป็นครั้งที่ ๒ แล้วไปทอดกฐินที่วัดจามเทวี ในวันที่ ๑๖ พ.ย. โดยมี หลวงปู่ชุ่ม, หลวงปู่คำแสนใหญ่, หลวงปู่ธรรมไชย รออยู่ที่นี่ วันที่ ๒๐ ธ.ค. หลวงปู่มาพักที่บ้านเจ้ากรมเสริมเป็นครั้งแรก ร่วมกับ หลวงปู่คำแสนเล็ก, หลวงปู่ชุ่ม และ หลวงปู่ธรรมไชย

    - ปี ๒๕๑๙ วันที่ ๑๙ มีนาคม หลวงปู่มางานยกช่อผ้าพระอุโบสถที่วัดท่าซุง เป็นครั้งที่ ๒ ครั้งนี้ หลวงปู่ทำตาลปัตรและบาตรถวาย หลวงพ่อเป็นที่ระลึก แล้วมีการแห่ต้นทานไปรอบพระอุโบสถ... หลังจากนั้นอีกไม่นาน หลวงปู่ก็มาที่วัดท่าซุงอีกเป็นครั้งที่ ๓ คราวนี้มาเป็นพิเศษ คือมาถึงวัดประมาณตี ๑ เพื่อนำเรือที่ทำขึ้นเอง มาถวายแก่หลวงพ่อ

    วันที่ ๒๔ เมษายน หลวงพ่อไปงานเผาศพ หลวงปู่บุญทึม วัดจามเทวี พบ หลวงปู่วงศ์ หลวงปู่ธรรมไชย, หลวงปู่คำแสนเล็ก, หลวงปู่คำแสนใหญ่, หลวงปู่ครูบาพรหมจักร, หลวงปู่ชุ่ม, หลวงปู่บุดดา, หลวงปู่มหาอำพัน และที่สำคัญคือได้พบ หลวงปู่ครูบาอภิชัย (ครูบาขาวปี) ที่นี่ เวลานั้นอายุ ๘๖ ปี ที่หลวงพ่อ บอกว่า "ขาวทั้งนอก ขาวทั้งใน" นั่นเอง

    วันที่ ๖ ส.ค. ๑๙ หลวงปู่ มาบ้านเจ้ากรมเสริม แล้วไปร่วมปลุกเสกที่ วัดระฆัง วันที่ ๒๔ เดือนนี้เอง หลวงปู่จึงได้เดินทางร่วมกับหลวงพ่อ และหลวงปู่องค์อื่น ๆ ไปพักที่บ้านอธิการบดีมหาวิทยาสงขลานครินทร์ แล้วจึงได้มีการยืนถ่ายภาพร่วมกันไว้ ณ ที่นั้น ที่เรียกกันในภายหลังว่า ๗ เซียนนั่นเอง

    ความจริงยังมี หลวงปู่กล่อม วัดบุปผาราม กรุงเทพฯ อีกองค์หนึ่งที่ร่วมไปด้วย หลวงปู่จึงได้มีความสัมพันธ์กับ วัดบุปผาราม ตั้งแต่นั้นมา หลังจากกลับมาจากปักษ์ใต้ไม่นาน หลวงปู่ชุ่ม ก็ถึงแก่มรณภาพ เมื่อวันที่ ๑๐ ก.ย. ๒๕๑๙ แต่ก่อนที่หลวงปู่ชุ่มจะมรณภาพนั้น ท่านก็ได้เข้าโรงพยาบาลพร้อมกับหลวงปู่วงศ์ โดยไปรับหลวงปู่ทั้งสองท่านมาเข้าโรงพยาบาลพร้อมมิตร

    หลวงปู่ชุ่มเป็นโรคต่อมลูกหมากอักเสบ ปัสสาวะไม่สะดวก ส่วนหลวงปู่วงศ์ ไปผ่าตัดทำกระดูกคอที่แตก เนื่องจากตกลงมาจากที่สูง ทั้งสององค์อยู่ห้องเดียวกัน แต่หลวงปู่ชุ่มสิ้นไปเสียก่อนด้วยโรคหัวใจกำเริบ เรื่องหลวงปู่ชุ่มมรณภาพนี้ ได้เล่าไว้ในหนังสือแจกงานศพของ คุณโยมเฉิดศรี (อ๋อย) ศุขสวัสดิ์ มีดังนี้ว่า..

    "...มาได้ความจากหลวงปู่วงศ์ในภายหลังว่า หลวงปู่ชุ่มท่านพูดกับหลวงปู่วงศ์ ตั้งแต่อยู่ลำพูนแล้ว บอกว่าอยู่ที่นี่ก็ตาย ไปกรุงเทพก็ตาย ไปตายกรุงเทพดีกว่า เขาจะได้ทำบุญกัน คุณโยมอ๋อยจึงต่อว่าหลวงปู่วงศ์ว่า "โธ่...! แล้วหลวงปู่ทำไม่บอก แล้ว หลวงปู่ก็หัวเราะแหะ ๆ"

    "บันทึกพิเศษ" ของหลวงปู่ชุ่ม โพธิโก

    ในตอนนี้ ถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะขออนุญาตลงพิมพ์ข้อธรรมะของหลวงปู่ชุ่ม โพธิโก เนื่องจากเป็นสิ่งที่หาได้ยากนัก ที่เราจะได้รับฟังโอวาทจากท่านโดยตรง เพราะท่านได้มรณภาพไปนานแล้ว ญาติโยมที่มาภายหลังก็ดี หรือที่มีโอกาสได้พบท่านมาแล้วก็ดี คงจะไม่ค่อยมีโอกาสได้รับฟังคำสอนจากท่านโดยตรง

    เพราะฉะนั้น เนื่องในวโรกาสที่เขียนเรื่องนี้มาเกี่ยวกันกับท่านพอดี จึงจะถือโอกาสเปิดเผยข้อคติธรรมคำสอนของหลวงปู่ชุ่ม ที่ท่านได้เขียนทิ้งไว้ให้เป็นปริศนาธรรม ตั้งแต่ครั้งที่ท่านได้เดินทางมาในวันงานยกช่อฟ้าพระอุโบสถ วัดท่าซุง วันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๑๘ แล้วจึงเขียนข้อความนี้ไว้ในกุฏิที่ท่านมาพักเมื่อท่านเดินทางกลับไปแล้ว คุณไพโรจน์ ชาติรักษา ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่อุปฐากท่านในระหว่างงาน ได้เข้าไปทำความสะอาดในกุฏิที่ท่านเคยพัก จึงได้พบกระดาษห่อการะบูน เมื่อคลี่ออกมาดูแล้ว จึงได้อ่านพบข้อความดังต่อไปนี้
    คติธรรมของหลวงปู่ชุ่ม

    "ของบุญและกรรมที่ทำไว้ จะส่งเสริมไปในทางที่ดี หรือชั่ว สิ่งที่จะพึ่งได้ให้เราพ้นทุกข์ ก็คือ...ธรรมะของพระพุทธเจ้า มี ศีล สมาธิ ปัญญา จงพิจารณาในวิปัสสนากรรมฐาน ก็จะรู้แจ้งเห็นจริง "วิ" แปลว่า "รู้" "ปัสสนา" แปลว่า "แจ้ง"
    รวมแล้วแปลว่า รู้แจ้งในสังขารทั้งหลาย ที่เป็นเครื่องปรุงแต่ง พระท่านว่า ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา นั่นเอง คือการเปลี่ยนแปลงผิด ธรรดาไป ถ้าเกิดความไม่เที่ยงขึ้นเมื่อใด ก็ต้องเกิดความทุกข์ขึ้นมาทันที แต่ถ้าเราจะห้ามไม่ให้มันเปลี่ยนก็ไม่ได้ เพราะธรรมชาติมันต้องเปลี่ยน ท่านจึงได้สอนให้ละ ให้วาง จะได้ไม่วุ่น

    ฉะนั้น เรื่องใจความของพระพุทธศาสนา จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ที่จะต้องศึกษาค้นคว้าให้เข้าใจจริง ๆ ตามสภาวะที่มันเป็นอยู่ตามความเป็นจริง ทีนี้...ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือไม่ว่าสิ่งใดทั้งหมดทั้งสิ้น ถ้าเราไม่ "ยึด" เสียอย่างเดียว มันก็ไม่มีความหมาย มันก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติของมันเอง

    ทีนี้คำว่า " นิพพาน" ก็คือความดับร้อน เหลือแต่ความเย็นนั่นเอง ถ้าจะถามว่า "อะไร...เป็นความร้อน..? ก็ตอบได้เลยว่า "ไอ้ตัวยึดมั่น ถือมั่น นั่นเแหละ มันเป็น ความร้อน หรือความทุกข์...!"

    เราลองมองดูให้ดีซิว่า เราทุกคนนี้กำลังมีปัญหากันอยู่มากที่สุด เพราะไอ้เรื่องดี เรื่อง ชั่ว เรื่องรัก และชัง สุขและทุกข์ เพราะอยากดี ก็ไปเกลียดชั่ว ทีนี้ก็เป็น "เราดี เราชั่ว" ขึ้นมาทันที เราไปยึดมันเข้าไว้ จึงเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์
    สรุปในปัจจุบันนี้ เรากำลังยังเป็นกันอยู่ ไม่ใช่ว่าตายแล้วจึงจะได้รับทุกข์ เราได้รับทั้งเป็น ๆ อย่างนี้แหละ เพราะฉะนั้น ในประเทศไทยเรา พวกพุทธบริษัทต่างคนต่างเรียนธรรมะกันมากอย่างยิ่ง แต่แล้วก็ยังทำความเข้าใจกันไม่ได้ เพระายังมีข้อขัดแย้ง ทำให้ความวุ่นวาย เกิดขึ้นในสังคมของชาวพุทธนั่นเอง การปฏิบัติให้ถูกต้องก็ไม่เกิดขึ้น เพราะไม่เข้าใจธรรมะ "กำมือเดียว" นั่นเอง
    ธรรมะมีหลักอยู่ ๔ ประการ

    ประการที่ ๑ คำว่า "ธรรม" หมายถึง "ธรรมชาติ" ทั้งหมด ทั้ง รูปธรรม นามธรรม กุศล อกุศล หรือ อัพยากฤต ก็ตาม แม้ที่สุด แต่พระนิพพาน ก็เรียกว่า "ธรรมชาติ" ทีนี้ทางพระพุทธศาสนา หมายถึงสภาวะธรรมที่เป็นเอง หรือเป็นไปเอง

    ประการที่ ๒ กฎของธรรมชาติ ตรงนี้ พยายามจับความหมายให้ดี เราจะต้องเข้าใจให้ดีว่า ตัวธรรมชาติอย่างหนึ่ง กฎของธรรมชาติ อย่างหนึ่ง สภาวะธรรม อีกอย่างหนึ่ง แล้ว ธรรมดา อีกอย่างหนึ่ง รวมความแล้ว ธรรม ก็คือ ธรรมชาติ นั่นเอง..."

    โอวาทของท่านก็จบเพียงแค่นี้ ต่อไปจะขอเล่าเรื่อง "หลวงปู่วงศ์" อีกว่า ครั้นถึงปี ๒๕๒๐ วันที่ ๑๖ เมษายน หลวงปู่ได้มาวัดท่าซุงอีกเป็นครั้งที่ ๔ มาในงานฝังลูกนิมิต กะเหรี่ยงพักที่ศาลาในน้ำ ข้างร้านอาหารโยมกิมกี หลวงพ่อจึงให้ชื่อว่า "เรีอนกะเหรี่ยง" ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

    ในระหว่างงาน หลวงปู่แต่ละองค์นั่งเรียงเป็นแถวตามลำดับอาวุโส เพื่อรับอาหารบิณฑบาตทุกเช้า และในตอนนี้มีการทำบุญต่ออายุหลวงปู่ชัยวงศ์กันด้วย ในวันที่ ๒๐ คณะหลวงปู่ได้มีการแห่ผ้าป่าเรือทานกันรอบวัด และมีกะเหรี่ยงฟ้อนรำดาบ ซึ่งมีตั้งแต่มาครั้งแรกแล้ว

    วันที่ ๕ พฤษภาคม หลวงปู่เดินทางไปร่วมงานพิธียกฉัตรกับหลวงพ่อ ณ วัดพระธาตุดอยตุง โดยหลวงปู่ได้รับหน้าที่ในการจัดหาฉัตร และเตรียมติดตั้งไว้บนยอดพระเจดีย์ เพราะหลวงปู่มีความชำนาญในเรื่องนี้ เมื่อได้เตรียมงานเสร็จแล้ว หลวงพ่อจึงได้นำคณะศิษย์ไปจัดงานพิธีดังกล่าว ในโอกาสนี้ หลวงปู่จึงได้บรรจุ "พระธาตุข้าว" ไว้ในพระเจดีย์นี้ด้วย

    ครั้นถึงปี ๒๕๒๑ หลวงพ่อตั้ง ศูนย์สงเคราะห์คนยากจนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ แล้วได้นำวัตถุสิ่งของ เช่น ข้าวสาร เกลือ และ เสื้อผ้า เป็นต้น มาแจกจ่ายแก่ชาวบ้านและชาวกะเหรี่ยง จำนวนคนประมาณพันคนเศษ เมื่อวันที่ ๗-๘ ม.ค. ๒๕๒๑
    ครั้นถึงวันที่ ๑๒ เดือนนั้นเอง คุณโยมอ๋อย ภรรยาท่านเจ้ากรมเสริมตาย หลวงปู่ได้มาร่วมงานศพแล้วพักที่บ้านสายลม ต่อมาหลวงปู่ได้ร่วมเดินทางกับหลวงพ่อตลอดมา ได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหลายครั้ง ได้ออกเยี่ยมทหารตำรวจชายแดน สงเคราะห์คนยากจนในถิ่นทุรกันดาร และโปรดพุทธบริษัททั้งหลาย จนมีผู้เคารพนับถือหลวงปู่มากยิ่งขึ้น

    ก่อนที่หลวงพ่อจะมรณภาพไม่กี่ปี หลวงปู่ก็ได้เอาเรือมาถวายหลวงพ่ออีก ๒-๓ ลำ เวลานี้ยังอยู่ที่ฝั่งโบสถ์เก่า และพวกกะเหรี่ยง ก็ได้เอาผักผลไม้มาให้ที่วัดอยู่เสมอ เมื่อหลวงพ่อมรณภาพไปแล้ว หลวงปู่ก็ได้อุตส่าห์มาร่วมงานบำเพ็ญกุศลครบ ๗ วัน ก็เป็นอันว่าสิ้นสุดเรื่องราวระหว่าง "หลวงพ่อกับหลวงปู่" โดยย่อไว้แต่เพียงเท่านี้

    ในระหว่างที่เล่าไปนั้น มีผู้อุปฐากบางท่านคอยถามหลวงปู่อยู่เสมอ เพราะเกรงว่าท่านจะนั่งไม่ไหว แต่หลวงปู่ท่านก็อุตส่าห์เมตตานั่งเป็นกำลังใจให้แก่ลูกหลานของหลวงพ่อ ที่ได้เดินทางกันมาจากที่ไกล อีกทั้งพวกเราก็เกรงใจท่านเหลือเกิน พยายามที่จะรวบรัดใจความให้สั้นที่สุด จนกระทั่งถึงพิธีบวงสรวงตามแบบฉบับของหลงงพ่อ ท่านก็ได้นั่งอยู่ต่อไปตามความประสงค์ของท่าน

    ครั้นหลวงพ่อบวงสรวงจบแล้ว พระครูสมุห์พิชิต (หลวงพี่โอ) ก็ได้เป็นตัวแทนคณะศิษย์ฯ เข้าไปนั่งข้างหน้าหลวงปู่ แล้วยกพานขอขมาที่ได้จัดทำอย่างวิจิตรสวยงาม กล่าวคำขอขมาพร้อมกัน...ฯลฯ

    ...ในที่สุดนี้ ขอให้ทุกท่านได้โปรดอนุโมทนาบุญกุศลทั้งหมดนี้ เพื่อความสุขสวัสดีจะมีแก่ท่านเช่นกัน..ขอเจริญพร.


    ข้อมูลจาก เวบวัดถ้ำเมืองนะ

    <!-- m -->http://www.watthummuangna.com/board/sho ... post134181

    <!-- m -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...