หลวงพ่อตอบปัญหาเรื่องพระนิพพานคืออะไร

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย mahaasia, 20 มกราคม 2008.

  1. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    (good) <TABLE border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=4 borderColorDark=#0000ff cellPadding=3 width=700 bgColor=#ffd700 borderColorLight=#000000 border=1><TBODY><TR bgColor=#00ffcc><TD align=left>6. ถาม : พระนิพพานคืออะไร ? </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE cellSpacing=4 borderColorDark=#0000ff cellPadding=3 width=700 bgColor=#ffd700 borderColorLight=#000000 border=1><TBODY><TR bgColor=#00ffcc><TD align=left>ตอบ :
    นิพพาน คือ ความดับร้อน เหลือแต่ความเย็น อะไรคือความร้อน ความร้อนก็คือ ความยึดมั่นถือมั่น ในร่างกายเรา ร่างกายเขา ทรัพย์สมบัติในโลกนั่นแหละเป็นความร้อน เป็นความทุกข์ พระนิพพานเป็นธรรมชาติที่แท้จริง นิพพานัง ปรมัง สูญญัง หมายถึงนิพพานเป็นธรรม ว่างอย่างยิ่ง ธรรมหมายถึงธรรมชาติทั้งหมด นิพพาน เป็นธรรมชาติที่ว่างจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน ทุกข์ทั้งหมด นิพพานเป็นสภาวะที่เป็นสุข เพราะไม่มีกิเลส ไม่มีความทุกข์ คำว่า สูญแปลว่า ว่าง ไม่ใช่สูญโญ สูญสลายอย่างที่เข้าใจผิดกัน
    นิพพานัง ปรมัง สุขัง หมายถึง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง มีสภาวะบริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากกิเลส มีลักษณะตามที่ได้สัมผัสทางมโนมยิทธิดังนี้
    1. นิพพานมีความแน่นอน (นิจจัง) มีความสุข เป็นอมตะ ไม่มีคำว่าสูญสลาย ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต มีแต่ปัจจุบัน เพราะไม่มีการเกิดการตายอีก(พ้นวัฏฏสงสาร) จิตที่เสวยสุขพระนิพพานเป็นจิตทิพย์ กายทิพย์ กายเบา จะไปไหนจะคิดอะไรได้รวดเร็วตามความปรารถนา มีหูทิพย์ ตาทิพย์ มีอิสระเสรีแท้จริง ไม่อยู่ในอำนาจของกฎแห่งกรรมหรือกฎธรรมชาติ
    2. พระนิพพานเป็นสถานที่กว้างใหญ่ไพศาลไม่มีที่สิ้นสุด ไม่อยู่ในเขตสุริยจักรวาลใด ๆ ไม่มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ไม่มีดิน น้ำ ลม ไฟ มีแสงสว่างไสวสวยงาม ในกายนิพพาน ไม่มีขันธ์ 5 ไม่มีกระดูกหรืออวัยวะภายใน ไม่มีเพศ ไม่มีเด็ก ไม่มีสัตว์
    จิตที่สะอาดสดใส หมดจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง เสวยสุขอย่างยิ่งตลอดกาลที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารท่านค้นคว้า และเมตตาสอนทุก ๆ คนให้ทำความดีเพื่อพระนิพพาน โลกนี้ไม่มีอะไรสุขจริง มีพระพุทธเจ้าหลายแสนพระองค์ที่แดนพระนิพพาน เพราะ พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสรู้จากโลกอื่น ๆ ด้วย จิตที่เป็นพระอรหันต์แดนนิพพาน ท่านเรียกว่า พระวิสุทธิเทพ จิตจะเปลี่ยนแปลงรูปร่างลักษณะอย่างไรก็ได้ จะเข้าสิ่งสู่อาศัยที่หนึ่งที่ใดก็ได้ ท่องเที่ยวได้รวดเร็วกว่ากระแสไฟฟ้า พระพุทธเจ้า พระอรหันต์เจ้า ที่เข้าสู่พระนิพพานก็ยังคอยช่วยเหลือผู้ปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง จะรับสัมผัสจากพระองค์ท่านได้เมื่อจิตสะอาด มีสมาธิถึงฌาน 4 พระอรหันต์ พระพุทธเจ้า ท่านจะเมตตามาสั่งสอนแนะนำให้จิตสะอาด เข้าใจในปัญหาธรรมที่ยังติดขัดสงสัย ถ้าจิตเคารพท่านจริง ท่านก็จะมาสอนในจิตจริง ไม่เป็นที่สงสัย พระพุทธเจ้า พระอรหันต์เจ้า ท่านก็ยังช่วยโลกอยู่ทุกวัน
    3. พระโอวาทของพระองค์ที่ 10 มีอยู่ว่า
    พระนิพพาน ไม่ใช่ภาษาพูด
    พระนิพพาน ไม่ใช่ภาษาเขียน
    พระนิพพาน เป็นภาษาปฏิบัติ
    4. รูปกายทิพย์ที่อยู่ในแดนนิพพานสะอาดสว่างไสว สามารถเปลี่ยนแปลงจาก หนึ่งเป็นแสนหรือล้านรูป เล็กใหญ่ภายในเวลาเดียวกันได้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ได้เผยแพร่วิชามโนมยิทธิ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาสอนนักปฏิบัติธรรมให้มีจิตเป็นทิพย์ สามารถสัมผัสพระนิพพานได้ เมื่อจิตสะอาดไม่เกาะติดขันธ์ 5 ทรัพย์สมบัติในโลกมีศีลครบ มีสมาธิ ตั้งแต่อุปจารสมาธิถึงฌาน 4 ก็พิสูจน์ด้วยจิตตนเองว่า นรก สวรรค์ พรหม นิพพาน มีจริงหรือไม่ เพื่อจะได้หายสงสัย มีความมั่นคงในพระธรรมวินัยของพระพุทธองค์ ผู้ที่พ้นทุกข์ในโลกนี้โลกหน้าคือ ผู้เห็นธรรม ผู้ที่เห็นธรรมคือผู้ที่เห็นองค์พระตถาคต ผู้ที่เห็นพระตถาคต คือผู้ที่เห็นพระนิพพาน ผู้ที่เข้าใจพระนิพพาน คือ ผู้ที่เป็นพระอริยเจ้า ได้ง่ายและรวดเร็ว
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE cellSpacing=4 borderColorDark=#0000ff cellPadding=3 width=800 bgColor=#ffd700 borderColorLight=#000000 border=1><TBODY><TR bgColor=#00ffcc><TD align=left>ถาม : หลวงพ่อพระราชพรหมยาน กราบทูลถามองค์สมเด็จพระพิชิตมาร ที่พระจุฬามณีชั้นดาวดึงส์ว่า คนที่ปฏิบัติเพื่อพระนิพพานจะใคร่ครวญอย่างไรจึงจะง่ายที่สุด สั้นที่สุดพระพุทธเจ้าข้า ? </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE cellSpacing=4 borderColorDark=#0000ff cellPadding=3 width=800 bgColor=#ffd700 borderColorLight=#000000 border=1><TBODY><TR bgColor=#00ffcc><TD align=left>ตอบ :
    เจ้าจงใคร่ครวญอย่างนี้ จงคิดว่าเราเป็นผู้ไม่มีอะไรเลย ทรัพย์สินก็ไม่มี ญาติ เพื่อน ลูกหลาน เหลนก็ไม่มี เพราะทุกอย่างที่กล่าวมามีสภาพพังหมด เราจะทำกิจที่ต้องทำตามหน้าที่ เมื่อสิ้นภาระ คือ ร่างกายพังแล้ว เราจะไปนิพพาน เมื่อความป่วยไข้ปรากฎ จงดีใจว่าภาวะที่เราจะมีโอกาสเข้าสู่พระนิพพานมาถึงแล้ว เราสิ้นทุกข์แล้ว ร่างกายเป็นเพียงเศษธุลีที่เหม็นเน่า มีความสกปรกโสโครก ทรุดโทรม เดินไปหาความเสื่อม แตกสลายทุกขณะ คิดไว้อย่างนี้ทุกวัน จิตจะชิน จะเห็นเหตุผล เมื่อตาย อารมณ์จะสบาย แล้วจะเข้าสู่พระนิพพานได้ทันที
    พระพุทธองค์ทรงสอนต่อไปว่า ให้ลูกหลานของเธอทุกคน หรือ บริษัทของเธอทุกคน เขาตั้งใจอย่างที่ฉันพูดนะ การไปสวรรค์ก็ดี ไปพรหมโลกก็ดี ไปนิพพานก็ดีเป็นของง่าย ไม่ใช่ของยากแบบที่นักปราชญ์ในโลกเขาพูดกันเวลานี้ เวลานี้นักปราชญ์ทั้งหลายนิยมความยาก สิ่งไหนก็ตามที่มันยาก เขาถือว่าดี เป็นแบบฉบับที่ถูกต้อง แต่ว่าฉันเห็นว่านั่นไม่ถูกต้อง ถ้าตามคติของฉัน ฉันว่าไม่ถูก เพราะสอนคนหรือพูดให้คนเข้าใจง่ายที่สุด และได้ผลมากที่สุด อันนี้ดีกว่า ดีกว่าหาวิธีที่ยากที่สุด แล้วได้ผลน้อยที่สุด อย่างนี้ไม่ดี ไม่ใช่ความประสงค์ของฉัน สัมภเกสี(ชื่อของหลวงพ่อพระราชพรหมยานที่พระพุทธองค์ทรงเรียก) เตือนบริษัทและลูกหลานของเธออย่างนี้นะ ว่าให้ทุกคนรู้ตัวแล้วว่ามีวิมานอยู่บนชั้นกามาวจร เมื่อถึงเวลาเขาทำชั่วอะไรมาก็ช่างเถอะ เวลาก่อนนอนให้นึกถึงความดีที่ทำไว้ ขึ้นชื่อว่าความชั่วทั้งหลายปล่อยมันไปนึกถึงแต่ความดี แล้วเอาใจนี้จับไว้ว่านี่เรามีวิมานแก้ว 7 ประการไว้บนสวรรค์ชั้นกามาวจร จากทำบุญ วิหารทาน สังฆทาน และธรรมทาน เมื่อเวลาที่เราตาย เราจะไปอยู่วิมานนั้น ถ้าเวลาป่วยไข้ไม่สบาย ไม่ต้องเอาอะไร นึกถึงคุณพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะนึกถึงพระพุทธก็ได้ พระสงฆ์ก็ได้ สิ่งก่อสร้างก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่งไว้ในใจ แล้วตั้งใจว่าเราจะไปอยู่วิมานของเราที่มีอยู่แล้ว เพียงเท่านี้นะ ถ้าเขาตาย เขาจะถึงสวรรค์ชั้นกามาวจรทันที
    พวกที่จะไปพรหมโลกก็เป็นของไม่ยากนะ สัมภเกสี บอกเขานะคนที่ต้องการไปพรหมโลก คืนหนึ่ง ให้สร้างความดี 10 นาที ตอนกลางวันมันอาจจะเลว จะเอาดีกันตอนกลางคืน นั่งนับลมหายใจเข้าออกก็ตาม นั่งก็ได้ นอนก็ได้ ยืนเดินก็ได้ นับลมหายใจเข้าออกก็ได้ หรือจะนึกถึงกรรมฐานกองใดกองหนึ่งก็ได้ เพียง 10 นาที ให้รู้ลมหายใจเข้าออกเท่านี้ก็พอ เวลาตายแล้วก็เป็นพรหมแน่
    ทีนี้คนไหนที่ตังใจจะไปนิพพาน ก็เป็นของไม่ยาก สัมภเกสี ให้เขาคิดว่าโลกนี้ทั้งหมดไม่มีอะไรที่เรารักเราชอบ เพราะเต็มไปด้วยความทุกข์ยากทรมาน ใคร่ครวญหาความจริงในโลก จะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม มันมีสภาพคงตัวได้ตลอดกาลหรือไม่ ถ้ามันมีการเปลี่ยนแปลงสลายตัว ก็ถือว่าโลกทั้งโลกหาความดีไม่ได้ แล้วก็หันเข้ามาคิดถึงกายของตัวว่า กายของเรามันยังจะตาย ยังจะพัง เรายังปรารถนาอะไรภายนอกอีก เราไม่ต้องการทุกสิ่งทุกอย่างในโลก เราจะไปพระนิพพานแดนไม่ตาย เป็นสุขตลอดกาล ที่พระพุทธองค์ไปอยู่แดนพระนิพพานนั้น เขาคิดเท่านี้นะ เพียงคืนละ 10 นาทีนะ สัมภเกสีนะ ลูกหลานของเธอจะพ้นนรกหมด พ้นอบายภูมิ อย่างน้อยไปกามาวจรสวรรค์ อย่างกลางก็ไปพรหมโลก อย่างดีก็ไปพระนิพพาน
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    <TABLE border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=4 borderColorDark=#0000ff cellPadding=3 width=700 bgColor=#ffd700 borderColorLight=#000000 border=1><TBODY><TR bgColor=#00ffcc><TD align=left>ถาม : ถ้าจะดับจิต ห้ามจิตไม่ให้คิดเลย ได้หรือไม่ ? </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE cellSpacing=4 borderColorDark=#0000ff cellPadding=3 width=700 bgColor=#ffd700 borderColorLight=#000000 border=1><TBODY><TR bgColor=#00ffcc><TD align=left>ตอบ :
    ธรรมชาติของจิตคือ อารมณ์รู้คิด ถ้าจะให้จิตไม่คิดอะไรเลยเป็นไปไม่ได้ นอกจากจิตอยู่ในฌาน 4 เป็นเอกัคคตารมณ์ อารมณ์เดียว ถ้ายังเป็นฌาน 1 ,2,3 จิตยังดิ้นส่ายไปมาอยู่ ในเมื่อธรรมชาติของจิตจะต้องคิดเราก็ควรหัดเปลี่ยนให้คิดในด้านกุศลฉลาดสะอาดเสียดีกว่า ด้วยการคิดถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ความดีของศีล ของพระนิพพาน </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...