หลวงพ่อของเราแก้ข้อกล่าวหาพระเวสสันดร

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย newhatyai, 8 ตุลาคม 2007.

  1. newhatyai

    newhatyai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +6,204
    เรื่องพระเวสสันดรนี้ คนสมัยใหม่ ค่อนขอดกันมากว่า การสละลูกและเมียเป็นการเห็นแก่ตัว ผลักความลำบากไปให้ลูกเมีย เป็นการไม่ดีมากกว่าจะน่าชมเชย เมื่อนำมาเรียนถามหลวงพ่อก็เล่าให้ฟัง เมื่อ 15 พฤศจิกายน 2518 เป็นเรื่องยาว จะตัดและย่นย่อลงพอไห้รู้ใจความดังนี้
    พระพุทธเจ้าท่านทรงปรารถนา พุทธภูมิ ตั้งแต่สมัยเกิดเป็น มหาทุกขตะ ได้ฟังพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง เทศน์ว่า อานิสงส์ของการถวายผ้ากฐินทาน ใครจะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า อย่างตถาคตนี้ก็ได้ ท่านก็เลยเอาเครื่องแต่งตัวเก่าชุดเดียวของท่าน ไปแลกได้เข็ม 1 เล่ม กับด้าย 1 กลุ่ม ร่วมทอดกฐินกับเจ้านาย แล้วตั้งจิตปรารถนา เป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็บำเพ็ญบารมีเรื่อยมา เป็นอสงไขยกัป จนกระทั่งเข้าเขต ปรมัตถบารมี
    มาถึงสมัยพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระพุทธกัสสป พระพุทธเจ้าของเราตอนนั้นเสวยพระชาติเป็น สุเมธดาบส อยู่กับลูกศิษย์ลูกหาประมาณ 500 คนในป่าวันหนึ่งได้ยินว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก พระองค์พร้อมด้วยบริวาร ก็ไปเฝ้าฟังเทศน์จบหนึ่ง แล้วก็ทูลอาราธนา พระพุทธกัสสป ให้ ไปโปรดที่สำนักในป่า พระองค์ก็ทรงรับ เมื่อถึงเวลาที่สมเด็จพระสุคต พร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้งหลายเสด็จมา ท่านสุเมธดาบส ออกไปรับ ถึงตอนไหน เป็นลำราง ไม่มีสะพาน ท่านก็ทอดตัว เป็นสะพานให้พระพุทธเจ้ากับพระสงฆ์ เดินข้ามไปบนร่างของท่าน ด้วยอำนาจความดี และอำนาจของพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย ก็ทำให้ท่านสุเมธดาบส ไม่รู้สึกหนัก เมื่อถึงแล้วก็ถวายอาหาร และบิณฑบาต แก่พระพุทธ เจ้า พระพุทธเจ้า ท่านทรงทราบดีว่า ฤาษีองค์นี้ปรารถนาพุทธภูมิ ฉะนั้น ก่อนจะฉันอาหาร ท่านจึง เข้า นิโรธสมาบัติ บรรดาพระอรหันต์ทั้งหลายเข้า ผลสมาบัติ
    นิโรธสมาบัติ กับ ผลสมาบัติ นี้ต่างกัน วิธีเข้าไม่เหมือนกัน
    นิโรธสมาบัติ เป็นเรื่องของ อริยมรรค อริยผล ไม่ใช่ ฌานโลกีย์
    ถ้าจะเข้าสมาบัติแบบ ฌานโลกีย์ ต้องปลดนิวรณ์ 5 ประการก่อน ตั้งจิตกำหนดลมหายใจเข้าออก หรือ ใช้คำภาวนา อย่างนี้ เรียกว่า ฌานสมาบัติ เป็น ฌานโลกีย์
    สำหรับ ผลสมาบัติ กับ นิโรธสมาบัติ ไม่ทำแบบนั้น คือ พระพวกนั้นไม่มีนิวรณ์ หานิวรณ์รบกวนไม่ได้อยู่แล้ว เวลาที่พระพุทธเจ้าจะเข้า นิโรธสมาบัติ ก็จับสมาบัติ 8 เป็นพื้นฐาน คือ เข้ารูปฌาน 4 กำหนดผล ที่พระองค์ทรงบรรลุ คือ พระพุทธเจ้าทรงอารมณ์อยู่อย่างนี้ เรียกว่า นิโรธสมาบัติของพระพุทธเจ้า
    ส่วนบรรดา พระสงฆ์ทั้งหลายนั้น เข้า ผลสมาบัติ คือ เข้าไม่ถึงฌาน 8 เข้าแต่เพียง รูปฌาน คือ ฌาน 1 ถึง 4 แล้วแต่องค์ไหนจะเข้าแค่ไหน แล้วท่านก็ชำระผล ตามที่ท่านบรรลุแล้ว เป็นอรหัตผล แล้วก็ทรงฌาน อันนี้เรียกว่า สมาบัติ มีผลไม่เสมอกันนะ
    คนที่ถวายทานกับท่านที่ออกจาก ผลสมาบัติ จะมีอาการคล่องตัวมาก ในความเป็นอยู่ เรียกว่า หากินคล่องตัว ทีนี้ การถวายทาน กับพระสงส์ ที่เป็นพระอริยเจ้าที่ ออกจากสมาบัติ ผลการครองชีพของท่าน ผู้นั้นจะมีการคล่องตัวมากขึ้น เป็นกรณีพิเศษ คือ จิตจะสามารถบรรลุอริยมรรคอริยผลได้ในชาติปัจจุบัน ทานที่ถวายกับท่าน ที่ออกจากนิโรธสมาบัติ หวังมรรค หวังผล ได้โดยฉับพลัน หวังความร่ำรวยเป็น มหาเศรษฐีในวันนั้น มีผลไม่เสมอกัน เวลานี้หาพระเข้านิโรธสมาบัติไม่ได้ ที่เข้าได้เขาก็ไม่อยากเข้า เพราะคนมันไม่ควรจะได้รับผลแบบนั้น
    เมื่อพระพุทธเจ้ากับพระสงฆ์ ออกจากสมาบัติ และฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว พระพุทธเจ้าก็เทศน์โปรดถึง อานิสง์การเป็นพระพุทธเจ้าว่า มีอะไรบ้าง เทศน์จบ ท่านสุเมธดาบสก็เข้าปฏิญาณตน ปรารถนาพุทธภูมิ พระพุทธเจ้า ก็ทรงพยากรณ์ ว่า นับแต่นี้ต่อไปไม่ช้านัก จะได้เป็น พระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 (ของกัปนี้) เรียกว่า "พระสมณโคดม"
    ในขณะนั้น มีอัครสาวกซ้ายขวา ตามเสด็จมาด้วย มีความสง่า มีรัศมีดีกว่า พระสงฆ์ทั้งหลาย ฉะนั้น จึงมีฤาษี 2 ท่านด้วยกัน เข้ามากล่าวปวารณา เป็นสาวกเบื้องขวา และสาวกเบื้องซ้าย พร้อมกันนั้น มีผู้ชาย 1 ผู้หญิง 1 เข้ามาตั้งความปรารถนา จะเป็นบิดาและมารดาของพระพุทธเจ้าสมณโคดม สตรีท่านหนึ่งขอ เป็นภรรยาเป็นคู่บารมี เพราะการบำเพ็ญบารมีที่จะเป็นพระพุทธเจ้านั้น ต้องบริจาคลูกเมีย ให้เป็นทานก็ ไม่เป็นไรจะขอสนับสนุน เมธาดาบสเป็น พระพุทธเจ้า ให้ได้ แล้วก็มีผู้หญิงผู้ชาย อีกคู่ นึ่งมาขออาศัย พุทธบารมี ที่บำเพ็ญร่วมกันนี้ จะเป็น ลูกหญิง ลูกชาย ของท่าน เมธดาบส ยอมถูกบริจาคเป็นทานเพื่อ พระโพธิญาณ บรรดาท่านฤาษีทั้งหลาย บริษัททั้งหลาย ที่มีความเคารพในสุเมธดาบส ก็มากราบพระพุทธเจ้าบอกว่า
    ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายอาศัยบุญบารมีที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมานี้ ขอให้ข้าพเจ้าได้เป็นสาวกของท่านสุเมธดาบส ในสมัยที่ท่านบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า
    ตรงนี้อ่านแล้วทำความเข้าใจดีๆครับ
    แล้วสมัยต่อมา ว่างจากพระพุทธเจ้า พระสุเมธดาบส เป็น พระเวสสันดร หญิงชายคู่ที่ต้องการเป็น บิดามารดา ก็มาเกิดเป็น พระเจ้ากรุงสญชัย กับ พระนางผุสดี หญิงที่ปฏิญาณ เป็นคู่บารมี มาเป็น พระนางมัทรี อีก 2 คนที่ปรารถนา เป็นลูก ก็มาเป็น กับ ชาลี นี่เรื่องเดิม มีมาอย่างนี้ ต่างคน ต่างตั้งใจ จะมาเสริมสร้างบารมีให้ท่าน สุเมธดาบส มาเป็น พระพุทธเจ้า แล้วจะว่า พระเวสสันดร เห็นแก่ตัวอย่างไร
    พระพุทธเจ้าท่านตรัสพระบาลีบทหนึ่งว่า กัมมัง สัตเต วิภัชชติ กรรมย่อมเป็นเครื่องจำแนกสัตว์ คนที่เกิดมาในโลกนี้ ต่างคนต่างมีความดีความชั่วไม่เท่ากัน ฉะนั้น บางคนจึงมีความอยากจนเข็ญใจ บางคนรวย บางคนมีวาสนา บารมีมาก บางคนมีวาสนามีบารมีน้อย บางคนเกิดมาในกองเงินกองทอง แต่พอพ่อแม่ตาย กลับมาขอทานเขากิน อาศัยที่คนเกิดมานี้ มีกรรมไม่เท่ากัน เราจะไปกะเกณฑ์ให้ทุกคนมีความเข้าใจเสมอกันไม่ได้ ในเรื่องของศาสนา แล้วบรรดาคนที่คัดค้านความดีของพระพุทธเจ้า จงทราบว่าคน เหล่านั้นมาจาก อบายภูมิ เพราะว่า เวลานี้สัตว์ที่เกิดจากอบายภูมิมีอำนาจในโลก แล้วต่อไปไม่ช้ามันก็หมด ต่อจากนั้นก็จะมีสัตว์ที่มาจากสวรรค์ และพรหมโลกมากขึ้น เพราะว่า พระพุทธศาสนาจะก้าวขึ้นอีกวาระหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย เวลานี้มีพระอริยเจ้ามากแล้ว พระอริยเจ้ามี มากเพียงไร คนผู้รับธรรมจากพระอริยเจ้า ก็มีมากขึ้น โลกก็จะมีความเยือกเย็นขึ้น แต่พร้อมกันนั้น ก็จะได้พบกับบรรดา อลัชชีทั้งหลายไปด้วย
    อันนี้ เราต้องดูตัวอย่างพระพุทธเจ้า นับแต่ปรารถนาพระโพธิญาณเป็นต้นมา พระองค์ก็มีแต่ความดีสร้าง ความดีทุกชาติ แต่ในเวลาเดียวกัน ก็มีผู้ลิดรอนความดีทุกชาติเหมือนกัน เทวทัต ก็เป็นคู่ปฏิปักษ์ที่จอง เวรกันมา พระยามาราธิราช ผู้ปรารถนาพุทธภูมิอีกคนหนึ่ง ก็เป็นคู่จองเหมือนกัน
    ถอยหลังไป สี่ อสงไขยกำไรแสนกัป พระพุทธเจ้า กับ เทวทัต เป็นเพื่อกัน พุทธเจ้าเป็นพ่อค้าสุจริต วันหนึ่ง ยายแก่ยากจนนำถาดทองคำมาเสนอขายแก่เทวทัต แกทราบดีว่า เป็นทองคำ แต่ทำเป็นดูไปดูมาบอกว่า ยายถาดนี่ไม่ใช่ทองคำแท้ แล้วตีราคาให้ต่ำๆรุ่งขึ้น ยายแกเอาไปให้พระพุทธเจ้าดู ท่านตีราคาให้เท่ากับน้ำหนักทองคำที่ควรจะได้ แกก็ขายให้ ต่อมาเทวทัตรู้เรื่องโกรธหาว่า ตัดหน้า แล้วประกาศ เลิกเป็นมิตร บอกว่า เราจะจองล้างจองผลาญ ท่านทุกชาติ ไปเป็นจำนวนชาติ เท่ากับเมล็ดทราย ในกำมือนี้ แล้วแกก็ตามมาตัดรอนพระพุทธเจ้าทุกชาติ
    ชาติหนึ่ง พระพุทธเจ้าบำเพ็ญขันติบารมี เทวทัตไปเกิดเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ไปเชิญดาบสมาถามว่า ท่านถือขันติบารมีใช่ไหม ตอบว่า ใช่ ถ้างั้นใครทำอะไรท่านๆ ก็ไม่โกรธใช่ไหม ตอบว่า ใช่ อีกพระราชาก็ลอง โดยเอามีดตัดแขนซ้ายไปข้างหนึ่ง ถามว่า โกรธไหม ตอบว่า ไม่โกรธ แกก็ตัดเรื่อยไป ลงท้ายเลยตัดกลางตัวขาด ถามว่า โกรธไหม ก็ตายเสียแล้ว จะไปตอบได้ยังไง มาในสมัย พระเวสสันดร นี่แก ก็มาเกิด เป็น ชูชก อีก
    นี่เรื่องพระเวสสันดรมีความเป็นมาอย่างนี้ บรรดานักศึกษาเขาไม่มีความรู้ และครูเขาก็ไม่มีความรู้เบื้องต้น เมื่อลูกศิษย์ถาม ครูไม่มีความรู้ก็ตอบไม่ได้

    หมายเหตุของคณะศิษย์
    ความเข้าใจของคนส่วนมาก ในเรื่องพระเวสสันดรนั้นเชื่อว่า คงได้มาจากการ อ่านหนังสือ มหาเวสสันดรชาดก ที่มีผู้รจนาขึ้น เพื่อความไพเราะ ของภาษา จึงกล่าวหาว่า พระเวสสันดรเห็นแก่ตัว ในการบริจาคลูกเมียเป็นทาน หากท่านผู้มีความเข้าใจ ในทำนองนั้น จะไปดูจากต้นฉบับจริง คือ ในพระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่ม 28 ตั้งแต่หน้า 316 ไปแล้ว จะพบประโยคต่อไปนี้
    เมื่อใดเรายังเป็นทารกมีอายุ 4 ขวบแต่เกิดมาเมื่อนั้น เรานั่งอยู่ในปราสาท คิดจะบริจาคทานว่า เราจะพึงให้หทัย ดวงตา เนื้อ เลือด และร่างกาย เมื่อใครมาขอเรา เราก็ยินดีให้ ( แผ่นดินไหว)
    ชาวสีพีทั้งปวง จงขับไล่ จงฆ่าเราเสีย หรือจะตัดเราให้เป็นเจ็ดท่อนก็ตามเถิด เราจักไม่งดการให้ทานเลย
    พระน้องนาง (หมายถึง พระนางมัทรี) จงแสวงหาพระสวามีอื่นเถิด อย่าลำบาก เพราะจากพี่เลย
    ข้าพระองค์บำเพ็ญทาน อยู่ในปราสาทของตนยังชื่อว่า เบียดเบียนชาวนครของตน ( คือบริจาคช้างของ ตนเองเป็นทาน ชาวนครก็ไม่พอใจ ให้พระราชาขับออกจากเมือง )
    ข้าพระองค์ ไม่พยายามจะนำแม้ซึ่ง นางทาสี ไปสู่ป่าโดยเขาไม่ปรารถนา ( เมื่อพระเจ้าเจตรัฐ เชิญให้ครองเจตรัฐ หลังจากถูกขับจากเมืองแล้ว พระเวสสันดรไม่ยอมรับ )
    มานี่เถิด ลูกทั้งสองจงยังบารมีของพ่อให้เต็ม...ขอเจ้าทั้งสอง จงเป็นดังยานนาวาของพ่ออันไม่หวั่นไหว ใน สาคร คือ ภพ พ่อจักข้ามฝั่ง คือ ชาติ จักยังสัตว์โลก พร้อมทั้งทวยเทพให้ข้ามด้วย
    (พระนางมัทรี) หม่อมฉันขออนุโมทนา ปุตตทาน อันอุดมของฝ่าพระบาท (แผ่นดินไหว)
    (ทรงประทานพระนางมัทรีเป็นทาน ทำให้แผ่นดินไหว) พระนางเจ้ามัทรีมิได้มีพระพักตร์เง้างอด มิได้ทรงขวยเขิน และมิได้ทรงกันแสง ทรงเพ่งดูพระราชสวามี โดยดุษณียภาพ โดยทรงเคารพเชื่อถือว่า ท้าวเธอทรงทราบซึ่งสิ่งอันประเสริฐ
    ข้าพระบาทเป็นมเหสี ของพระองค์ตั้งแต่ยังแรกรุ่นสาว พระองค์ก็เป็นเจ้าเป็นใหญ่ในข้าพระบาทพระองค์ ปรารถนาจะพระราชทาน ข้าพระบาทแก่ผู้ใด ก็พึงพระราชทานได้ หรือ ปรารถนาจะขาย หรือจะฆ่า ก็พึงทรงขาย ทรงฆ่าได้
    พระองค์ (พระเวสสันดร) และพระมัทรีก็มีพระหฤทัย เสมอกัน เมื่อได้ข้อความที่คัดมานี้แล้ว ก็สมควรจะเกิดความรู้สึกสัก 2 ประการ คือ
    1. คนในสมัยนั้น ดูแล้วออกจะรู้ว่า การบริจาคทานครั้งนี้ มีความดีแก่สัตว์โลกทั้งมวลอย่างใหญ่หลวงรู้ว่าประโยชน์อะไรจะเกิดขึ้น แต่คนในสมัยเราไม่คิดถึงคนอื่น คิดถึงแต่จะช่วยตัวเอง เจตนาจึงเทียบกันไม่ได้ ความผิด-ถูก เทียบกันไม่ได้
    2. พระเวสสันดรทรงบำเพ็ญบารมี เพื่อจะช่วยขนสัตว์ทั้งปวงไปจากวัฏฏสงสาร แต่เราทั้งหลาย (ผู้วิจารณ์) ไม่ได้บำเพ็ญบารมีเพื่ออะไรเลย นอกจากสะสมกิเลสของตนเอง วิถีจิต หรือแนวความคิดของ 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายหนึ่งช่วยคนให้หลุดพ้น อีกฝ่ายหนึ่งฉุดกิเลสเข้าไว้ไม่ยอมหลุดพ้น จึงเป็นเรื่องที่เปรียบเทียบกันไม่ได้
    และไม่ควรอย่างยิ่งที่ผู้สะสมกิเลส จะติเตียนผู้ต้องการช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้น เพราะไม่ได้ความดีอะไรขึ้นมาเลย ถ้าได้ก็ได้ความฉิบหายมากกว่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...