หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต วัดบรรพตคีรี (ภูจ้อก้อ) จ. มุกดาหาร

ในห้อง 'ทวีป อเมริกา' ตั้งกระทู้โดย Wat Pa Gothenburg, 1 ธันวาคม 2008.

  1. Wat Pa Gothenburg

    Wat Pa Gothenburg เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    920
    ค่าพลัง:
    +260
    <table border="0" cellpadding="7" cellspacing="7" width="500"> <tbody><tr> <td colspan="3" align="center">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td colspan="3" align="center">[SIZE=+2]หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต [/SIZE] </td></tr> <tr> <td colspan="3" align="center">[SIZE=+1]วัดบรรพตคีรี (ภูจ้อก้อ) จ. มุกดาหาร [/SIZE]</td> </tr> </tbody></table>

    <center> ธรรมเป็นของกลาง </center> การปฏิบัติพระพุทธศาสนาจะปรารภยากบ้าง เพราะเหตุว่า เพราะบารมีอินทรีย์ที่ไม่แก่กล้า ไม่อยู่ในระดับเดียวกัน คล้ายกันกับดอกบัวสี่เหล่านี้มีอยู่ทุกยุคทุกสมัยทุกกาลเวลา มรรคผลนิพพานก็มีอยู่ทุกกาลทุกเวลา ไม่ล่วงลับดับไปทางใดเลย พระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายจะมากกว่าล้านๆพระองค์ที่ บังเกิดขึ้นเป็นยุคๆก็ดี ก็เป็นคำสั่งและคำสอนอันเดียวกัน ไม่ได้ลบล้างและคัดค้านกันเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะบริบูรณ์พร้อมทั้งเหตุและผลพอ ไม่มีขัดแย้งแข่งดีแข่งเด่นกันอันใดเลย (เพราะเป็นธรรมาธิปไตยเต็มภูมิแล้ว)
    และก็เป็นโลกุตตระคำสอนโดยตรงๆด้วย ไม่มีโลกีย์มาปนเปไปทางใดเลย ถึงจะแจกแยกออกเป็นตอนต้น ตอนกลาง ตอนท้าย ก็แจกออกตามนิสัยวาสนาของกุลบุตรกุลธิดาของท่านผู้จะปฏิบัติให้เข้าใจความ หมายของจิตและธรรมไปเป็นชั้นๆเท่านั้น คิวสุดท้ายที่ประสงค์จงใจ ก็หวังเพื่อให้พ้นจากกิเลสอาสวะโดยสิ้นเชิงเท่านั้น จะทรงเทศน์สั้นหรือยาว หรือขนาดกลางก็เทศน์ตามวาสนาบารมีอินทรีย์ของผู้ฟังที่แก่กล้ามาแล้วหรือ ประการใดขนาดไหนเท่านั้น (สุดท้ายก็มุ่งหมายให้พ้นทุกข์ในสงสารโดยด่วนเท่านั้น)
    บรรดาท่านผู้ทรงเจตนาแท้ไม่เทียม ไม่ปลอมยอมจำนน ไม่ถือลัทธิอื่นมาปรนปรือกับพระพุทธศาสนาคลุกเคล้ามอมมัวเมาให้ช้าเวลา เจตนาเพื่อพ้นทุกข์ในปัจจุบันชาติแล้ว “เป็นเครื่องตัดสินส่อแสดงให้รู้ได้ว่าบารมีแก่กล้ามาแล้วหนอ” และก็ปัญหาของเจ้าตัวท่านผู้นั้นก็ไม่มีมากอะไร นักปฏิบัติตรงไป ไม่สงสัยลังเล ไม่มัวเมาเซในด้านภาวนา ไม่ติดปัญหาอยู่กับนิมิตแขกนอก ที่เป็นรูปและอรูปนิมิตเดิมตั้งเป็นประธานอาจารย์เดิม ก็ทรงสติปัญญาจดจ่ออยู่ให้ชัดแจ้งเป็นหลักฐานที่ตั้งทัพ "เช่นลมออกเข้าเป็นต้น" เอาเป็นแม่เหล็กดึงดูดของกรรมฐานทั้งหลายให้มาอยู่ในวงแขนของ พระอานาปานสติที่เป็นกรรมฐานเลิศในพระพุทธศาสนา ทั้งสมถะและวิปัสสนา กลมกลืนกันไปในขณะเดียว ไม่เกี่ยวกับการส่งส่ายหาให้เคลื่อนที่ เห็นแจ้งชัดกันอยู่ดีๆ พร้อมกับลมออกเข้าแห่งไตรลักษณ์ เห็นติดต่อกันอยู่ในอู่ของพระสติปัญญา ไม่ต้องสงสัยสรรพโลกว่าจะเป็นอื่นนอกไปจากไตรลักษณ์เห็นประจักษ์ชัดแจ้งเป็น สันทิฏฐิโก ก็ลงโอเบื่อหน่ายคลายหลง ก็ปลงภาระสะสางตัวเหตุ หมดประเภทที่จะทะเยอทะยานในสังขารโลกทั้งปวง สมุทัยก็ดี ตัณหาก็ดี ทุกข์ทางใจก็ดี ก็ไม่มีประตูจะส่งเสริม มรรคก็เจริญไปในตัวแล้ว นิโรธก็แจ้งไปในตัวแล้ว "ไม่ต้องเรียงแบบก็ได้"
    มรรคแปดก็กลายเป็นเชือกแปดเกลียวรวมเป็นอันเดียวไปในตัว จะว่าไปครบแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ เป็นมูลกระจายก็ตามทีเถิด สังขารก็ไม่พ้นจะได้หารลงมาหา เอกะสติ เอกะปัญญา ในปัจจุบันอันสมดุลย์กันขณะนี้เดี๋ยวนี้นี่แลฯ
    ข้ามทะเลหลงด้วยความไม่หลง ข้ามผู้รู้ด้วยความไม่ติดอยู่ในผู้รู้ ข้ามความลืมตัวลืมใจลืมธรรม ด้วยความไม่ลืมตัวไม่ลืมใจไม่ลืมธรรม
    ว่าไปเท่าใด ก็กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร พระนิพพานมิได้มายืนยันว่า และไม่ว่าด้วยดอก อนิจจาเอ๋ยฯ
    ทรัพย์อ่านว่าทรัพย์ ทรัพย์ภายนอกคือโลกีย์ ทรัพย์ภายในคือโลกุตรทรัพย์ และก็เป็นทรัพย์ที่เจริญก้าวหน้าสูงส่งตรงไปนิพพาน มีศรัทธาทรัพย์ เชื่อในพระพุทธศาสนา คือ พุทธ ธรรม สงฆ์ พร้อมด้วยสติปัญญาสมดุลย์กันแบบแยบคาย เป็นนายหน้าหัวจักรเบื้องต้น เมื่อมีทรัพย์เบื้องต้นเป็นนายกและทรัพย์อื่นๆที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็เจริญมากขึ้น ผู้ที่เคารพรักปฏิบัติพระพุทธศาสนา ใจย่อมรักษาและพยายามสร้างขี้นทำขี้น ให้เกิดให้มีในขันธสันดานดวงใจ เพราะไม่เป็นของหนักได้หาบหิ้วเหมือนทรัพย์ภายนอก โจรลักปล้นจี้ไปไม่ได้ เพราะเอาฝากคลังมหาสมบัติไว้ที่ เมืองใจ กรุงใจ แล้ว และก็เป็นทรัพย์สินที่อบอุ่นของใจชั่วนิรันดรด้วย เรียกว่า “ทรัพย์ภายในมั่นคงถาวร”
    ท่านผู้ยินดีทรัพย์ภายในก็คือผู้รู้จักทรัพย์ และรู้จักคุณค่าของทรัพย์ด้วย บรรดาท่านผู้ไม่ยินดีทรัพย์ภายในก็ตรงกันข้ามไป ไม่ต้องอธิบายไปมากก็ได้หรอก กล่าวต่อไปให้ถึงพริกถึงขิงว่า ทรัพย์ภายนอกที่เป็นสังหาริมทรัพย์ก็ดี อสังหาริมทรัพย์ก็ดี สวิญญาณกทรัพย์ก็ดี อวิญญาณกทรัพย์ก็ดี อันมีอยู่ทรงอยู่ในสรรพไตรโลกาทั้งปวง ย่อมเป็นเมืองขึ้นของพระพุทธศาสนาทั้งนั้น ความจริงในส่วนนี้ “ไม่ปรารภอีกก็จริงอีกแท้ๆ” พระพุทธศาสนาเต็มภูมิแท้ "หมายเอาพระนิพพาน" แต่มิใช่นิพพานนอกพระพุทธศาสนาที่หมายเอาพรหมโลกเป็นพระนิพพาน "เหมือนเกจิอาจารย์นอกพระพุทธศาสนาที่ยืนยันกัน" มิได้ปรารภเข้าข้างกิเลสของผู้เขียน ปรารภเข้าข้างธรรมาธิปไตยอันเป็นธรรมแท้ มีปัญหาสอดเข้ามาว่า มีท่านผู้ใดมาถวายสรรพไตรโลกธาตุเป็นสมบัติของพระพุทธศาสนาเล่า ถ้าผู้เขียนไปล่วงเกินเอาตามอันโนมัติก็ต้องเป็นปาราชิกสิ ตอบเบาๆไว้ว่า นั่นเป็นเรื่องของพระวินัย และผู้เขียนมิได้สำคัญตัวว่ามิได้เป็นเจ้าของพระพุทธศาสนาแต่ผู้เดียว วางไว้ตามธรรมชาติ ปล่อยไว้ให้มนุษย์ เทวดา มาร พรหม ทุกถ้วนหน้าทั่วทั้งไตรโลกา มีอิสระเป็นพระพุทธศาศนาสามัคคีด้วย “คล้ายกับทอดผ้าป่าสามัคคีเป็นต้น”
    ตอบแบบเบาๆเข้าไปอีกว่า พระพุทธศาสนาเปรียบเหมือนของสูง ก็ไม่มีอันใดจะส่งเท่าทัดเทียมถึงได้ ทีนี้เทียบกับของนอกๆ ที่ตาเห็นได้ไม่ต้องเปลืองเวลาทุ่มเถียงกัน เข็มทิศจะมีกี่ล้านๆก็ตามเป็นเมืองขึ้นของทิศเหนือ ชี้ไปทางทิศเหนือโดยมิรู้ตัว โดยมิได้มีท่านผู้ใดบังคับและถวายให้ชี้ไปในทางทิศเหนือเลย ชี้ไปอยู่ไม่มีกาล ไม่มีเวลา ไม่มีกลางวัน ไม่มีกลางคืนเลย และก็เข็มทิศก็มิได้บ่นพิไรรำพันว่า ข้าพเจ้าเสียเปรียบทิศเหนือมาก เพราะเป็นเมืองขึ้นของทิศเหนือ และทิศเหนือก็ไม่ตะลีตะลานโอ้หังมังคะโลว่า เข็มทิศทั้งหลายเป็นบ่าวไพร่ เป็นเมืองขึ้นของเรา ชี้มาทางเราโดยไม่มีกลางวันกลางคืน เทียบพระพุทธศาสนาในทางลึกซึ้งเพื่อให้สติปัญญาคำนึงได้หลายทาง น้ำห้วยหนองคลองบึงบางต่างๆ ไหลลงสู่ทะเลและมหาสมุทร ไม่มีกาลไม่มีเวลาทั้งกลางคืนทั้งกลางวันฉันใด ทรัพย์สินในสรรพไตรโลกาก็ดี ลัทธิและวิชาใดๆในสรรพโลกทั้งปวงก็ดี ก็ไหลลงสู่เป็นทรัพย์สินเป็นเมืองขึ้นของพระพุทธศาสนาโดยไม่รู้ตัวทั้งนั้น ล่ะ ดังได้ปรารภเรื่องเข็มทิศกี่ล้านๆก็เป็นเมืองขึ้นของทิศเหนือ ชี้ไปเสมอๆ แต่ด้วยอำนาจของความจริง ไม่หนีจากความจริง ย่อมทรงไว้ซึ่งความจริงตามธรรมชาติ แต่ละชั้นๆสูงขึ้นไปๆ แม้ธรรมชาติอันไม่มีกิเลส คือ พระนิพพาน ก็ยิ่งละเอียดมากไม่มีประมาณ สูงแหลมคมลึกซึ่งไม่มีประมาณได้อยู่นั้นแลนา จึงกล้ายืนยันได้ว่าทรัพย์สินในสรรพไตรโลกาเป็นเมืองขึ้นของพระพุทธศาสนา กล้าพูดไม่ประหม่าเลย จะถูกกล่าวตู่ว่า เป็นบ้าเข้าข้างตัวก็ตาม ก็มีที่ปล่อยวางว่า เป็นของสักแต่ว่ารู้ตามเป็นจริงของธรรมอันเป็นจริง ในส่วนนี้ “อนัตตาส่วนนี้” เมื่ออนัตตาไม่เลยเถิดก็ยิ่งเกิดปัญญา อนัตตามีขอบเขตทรงเดชกำจัดอวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม ฯลฯ จะขอตอบแบบเบาๆ เข้าไปอีกให้ถึงทุติ ตะติ ว่า ทรัพย์ในสรรพไตรโลกาธาตุเป็นเศษกระดาษของพุทธสี่จำพวกก็ว่าได้ เพราะท่านได้คลายได้ทอดบังสุกุลหรือทอดผ้าป่าไว้ไม่อาลัย แต่ผู้ท่องเที่ยวในสงสาร ผู้มีกิเลสมาก ก็ของกู ของกู มีความหวังและยึดถือเอามาก ท่านผู้มีกิเลสน้อยก็ยึดถือและมีความหวังเอาน้อย ถึงจะว่าของกู ของกูบ้าง ก็กำไม่แน่น มีขอบเขตพอจะปล่อยวางได้ และก็แสวงหาทางบริสุทธิ์มียางอาย ไม่โลดโผนแบบกินไม่เลือก เพราะมีหิริโอตตัปปะ สะดุ้งกลัวตัวบาป จะกลายเป็นกลืนกินคมขวานคมพร้าไป และบางรายก็จะกลายเป็นยาพิษเคลือบน้ำตาล ก็ต้องแสวงหาไม่ปีนเกลียวธรรมะของพระพุทธศาสนา พร้อมทั้งแบ่งเวลา เวลาแต่ละวันละคืนปฏิบัติธรรมะอันใกล้ชิดติดสนิทใจ เพื่อให้กิเลสอนุสัยสิ้นไปในขันธ สันดานโดยด่วน ในปัจจุบันจิตปัจจุบันธรรม "แต่มักเรียกกันว่า ปัจจุบันชาติ" ปัจจุบันชาติอันใกล้ชิด ก็คือปัจจุบันจิตปัจจุบันธรรมเราดีๆนี้เอง เพราะเหตุว่าจะตัดมรรคผลชั้นใดๆก็ดี ก็ปัจจุบันจิตปัจจุบันธรรมทั้งนั้น มิใช่จิตอดีตธรรมอดีต มิใช่จิตอนาคตธรรมอนาคต "เพราะอดีตล่วงไปแล้วมีแต่บัญชี" อนาคตเล่าก็มีแต่บัญชี เพราะยังไม่มาถึง เมื่อมัวเคี้ยวบดเอื้องอดีตอนาคตอยู่ ปัจจุบันก็พลอยเสียไปด้วย (กลายเป็นนิทานหมากับเงา เสียทั้งเงาและก้อนเนื้อ)
    ย้อนคืนหลังเพราะยังไม่ได้ปรารภพุทธสี่จำพวก "พุทธสี่จำพวกนั้นก็คือพระอรหันต์" พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายมากกว่าร้อยโกฏิ พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เช่นกัน พระสาวกอรหันต์ พระสาวิกาอรหันต์ก็เช่นกัน แต่ละจำพวกก็มากกว่าร้อยโกฏิเช่นกัน พระองค์ท่านทั้งหลายเหล่านั้น คายทิ้ง ถ่ายทิ้ง เหมือนน้ำลาย และอุจจาระปัสสาวะ เรื่องทรัพย์ๆของสรรพไตรโลกธาตุแล้ว เพราะเรารู้ชัดปฏิบัติชัดหลุดพ้นไม่อาลัย คือ พ้นชัดตัดหลงตรงลงสู่ที่เมืองใจ ไฟกิเลสดับรอบที่เมืองใจ เพราะพระสติปัญญาเป็นกองดับเพลิง ไฟไหม้เมืองใจก็เอาน้ำเมืองใจดับ ถ้าจะไปเอาเมืองตา เมืองหู เมืองจมูก เมืองลิ้น เมืองกายนั้น เขาโทรเลขด่วนถึงเมืองใจ มอบความเป็นใหญ่ให้เมืองใจผูกขาดในตัวแล้ว "เขาไม่บอกปัดอะไรกับเมืองใจก็ว่าได้" (คำว่าทรัพย์หมายความว่าทรัพย์ภายนอก) "ทรัพย์ภายนอกอยู่ใต้อำนาจไตรลักษณ์" ถ้าใดๆในโลกล้วนที่เป็นรูปและเป็นนามอยู่เหนือไตรลักษณ์แล้ว ก็ไม่มีประตูจะเบื่อหน่ายคลายเมาหลุดพ้นได้ ที่สอนให้พิจารณากองนามรูปตามเป็นจริงนี้ ไม่ได้หมายความว่า จะให้เอากองนามรูปไปพระนิพพานด้วย พิจารณาถอนความหลงคืออวิชชาให้เป็นวิชชา เพื่อให้เบื่อหน่ายคลายหลุดพ้นแบบแยบคายถี่ถ้วน ดับสนิทแบบเย็นๆต่างหาก "ใช้เย็นแทนดับ" ไม่ใช่เย็นแบบน้ำแข็งหรือเย็นแบบฤดูหนาวเลย รสชาติธรรมอันดับสนิทเย็นสนิททรงอยู่มีอยู่ มิได้สูญมิได้ดับมิได้ว่างไปจนเลยเถิด "เรียกตามเป็นจริงว่าธรรมอันไม่ตายไม่แปร"
    พระนิพพานไม่ใช่ผู้รู้ "เหนือผู้รู้ไปจนไม่มีที่หมาย" ถ้าหมายอยู่ยังมิใช่พระนิพพาน เป็นเพียงความหวังและเจตนากำลังเดินทางใจ มรรคใจเท่านั้น ธรรมชั้นนี้เป็นธรรมชั้นสูงมาก มอบไว้ให้เจ้าตัวแต่ละรายเป็นผู้มีสิทธิ์เห็นเองรู้เอง จึงเป็นของไม่นอกเหนือ ถ้านอกเหนือไปกว่านี้แล้ว เป็นธรรมหาพรรคหาเสียงภายนอก เหมือนชาวโลกที่อลหม่านกันอยู่ เป็นปัญหาโลกแตก ชาวโลกรบราฆ่าฟันกันเพื่อให้โลกแตกและฉิบหาย อ้ายที่แท้ก็คือสร้างเวรภัยคูณทวีหมกไหม้ไว้ในโลก กูทีมึงทีไม่จบสิ้น ขอผู้เขียนและท่านผู้อ่านหรือทั่วทั้งไตรโลกา ด้วยเดชพระพุทธศาสนา จงปราศจากสรรพเวร สรรพภัยแก่กันและกัน เป็นมิตรเป็นสหายกันในธรรมที่ชอบยิ่งๆขึ้นไปจนถึงที่สุดทุกข์โดยชอบ โดยด่วนทุกเมื่อเทอญ ฯ

    *********
     

แชร์หน้านี้

Loading...