หลวงปู่สอ พันธุโล (เสนอต่อตอนที่2)

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย tum399, 10 มกราคม 2007.

  1. tum399

    tum399 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    732
    ค่าพลัง:
    +2,908
    [​IMG]
    อ้างอิงจาก www.baanruenthai.com ครับ​

    นิมิตกลายเป็นความจริงในพรรษาที่ 8 ( พระอินทร์ถือพิณมาด้วย )
    เมื่อเข้าสู่ปีพรรษาที่ 8 วันแห่งการรอคอยยิ่งใกล้เข้ามาทุกขณะ ปีนี้มีพระเณรอยู่จำพรรษากับหลวงปู่สอ 3 - 4 รูป วันเข้าพรรษาผ่านไป พระเณรทุกรูปต่างก็พยายามฝึกฝนอบรมตนเอง ทั้งในด้านกิจวัตรและการภาวนา เพราะในช่วงเวลาที่เข้าพรรษานี้ พระเณรตามวัดป่าสายกัมมัฏฐาน ท่านมักจะถือโอกาสทำความเพียรเป็นกรณีพิเศษ เช่น อดนอน ผ่อนอาหาร หรืออดอาหารเพื่อประกอบความเพียร เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาตลอดพรรษา เพื่อเป็นการชำระซักฟอกจิตใจให้มีความขาวสะอาด ซึ่งเป็นหน้าที่อันสำคัญยิ่งของนักบวชในพระพุทธศาสนา วันเข้าพรรษาที่ 8 ผ่านไปได้ประมาณ 25 วัน ก็ถึงวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ซึ่งตรงกับประมาณวันที่ 6 สิงหาคม 2508 วันนี้หลังจากหลวงปู่สอฉันเช้าเสร็จแล้ว ท่านก็เก็บบริขารขึ้นกุฏิ ขณะที่นั่งพักผ่อนอยู่บนกุฏิ จิตใจของหลวงปู่กำลังนึกถึงนิมิตที่เกิดขึ้นเมื่อพรรษาที่ 2 และพรรษาที่ 6 หลวงปู่รำพึงในใจว่า “ อะไรหนอ คือสัญลักษณ์ของเราที่จะได้มาในวันนี้ ”

    ในขณะนั้นหูของหลวงปูก็พลันได้ยินเสียงเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ดังลั่นเข้ามาในวัด หลวงปู่จ้องมองออกไปด้านหน้ากุฏิก็เห็นเครื่องบินจริงๆ ต้นไม้บริเวณหน้ากุฏิโอนเอนไปมา ใบ้ไม้ปลิวว่อนไปทั่วบริเวณนั้น หลวงปู่คิดในใจว่า เครื่องบินมันจะลงจอดที่วัดหรืออย่างไร มันไม่น่าจะลงจอดได้ เพราะบริเวณแคบ แต่ในขณะที่หลวงปู่กำลังคิดอยู่นั้น เครื่องบินดังกล่าวก็ลงจอดลานดินด้านหน้ากุฏิจริงๆ ท่านเพ่งมองไปยังเครื่องบินก็เห็นบุคคลที่นั่งอยู่ในเครื่องบินนั้น แตกต่างจากคนเราทั่วไป ลักษณะคล้ายกับพระอินทร์หรือเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง ขณะที่มองเห็นเทวดาอยู่นั้น จิตมันบอกหลวงปู่ว่า นั่นคือพระอินทร์ เพราะดูลักษณะการแต่งกายและสีผิวคล้ายกับที่เราเคยเห็นในภาพ ในมือของพระอินทร์นั้น เขาถือพิณมาด้วย หลวงปู่มองเห็นพระอินทร์ถือพิณก็นึกถึงพุทธประวัติตอนที่มหาบุรุษทรงบำเพ็ญทุกข์กิริยาอาศัย ที่พระอินทร์มาดีดพิณถวาย จึงทรงได้คติในการทำความเพียร เปลี่ยนจากการทมานตนให้ลำบาก มาดำเนินความเพียรทางจิต จนได้ตรัสรู้ธรรมเป็นพระพุทธเจ้าในที่สุด

    พระอินทร์เดินตรงมาที่กุฏิหลวงปู่ แต่ไม่ขึ้นมาบนกุฏิ เขาเดินเข้าไปใต้ถุนกุฏิ หลวงปู่ลุกขึ้นไปแล้วก้มลงมองดูใต้ถุนกุฏิก็ไม่เห็นใคร และเมื่อมองกลับไปที่เครื่องบินจอดอยู่ ก็ไม่เห็นเครื่องบินดังกล่าวเลย หายไปอย่างไร้ร่องรอย หลวงปู่ท่านนึกแปลกใจว่า ทั้งพระอินทร์และเครื่องบินหายไปไหนโดยไม่มีวี่แวว หรือว่าสิ่งนี้เป็นเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ของเราอย่างนั้นหรือ ขณะกำลังคิดใคร่ครวญอยู่นั้น พลันก็ได้ยินเสียงรถดังเข้ามาในวัด จิตมันบอกกับท่านว่า“ มาแล้วนะ มาแล้ว ” ไม่นานนักก็มีรถสีขาว เป็นรถบรรทุกวิ่งเข้ามาในวัด หลวงปู่เพ่งมองไปที่รถเห็นบุคคล 2 คน และมาจอดตรงบริเวณที่เครื่องบินลงจอดพอดี เป็นหญิงกับชาย ฝ่ายชายเดินถือขันดอกไม้ตรงมาหาหลวงปู่ที่กุฏิ แต่ผู้หญิงยืนถือห่อผ้าขาวอยู่ที่ข้างรถ หลวงปู่จำได้ว่าบุคคลทั้ง 2 นี้ คือนายffice:smarttags" /><?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]กำพล ทองทิพย์</st1:personName> และนาง<st1:personName ProductID="แท่ง ทองทิพย์" w:st="on">แท่ง ทองทิพย์</st1:personName> เป็นสามีภรรยากัน มีครอบครัวอยู่ในตัวอำเภอบ้านผือนั้นเอง เขาเดินเข้ามากราบหลวงปู่บนกุฏิพร้อมกันยืนขันดอกไม้ไปถวายหลวงปู่ แต่หลวงปู่ห้ามไว้พร้อมกับถามว่า “ โยมมาธุระอะไร ”เขาตอบว่า “ ผมเอาของมาถวายหลวงปู่ครับ ” หลวงปู่ถามว่า “ ของอะไร ” “ พระพุทธรูปครับ ” เขาตอบ

    นายกำพลลุกขึ้น แล้วเดินลงไปข้างล่างพร้อมกับรับของจากภรรยา แล้วเดินขึ้นมาบนกุฏิพร้อมกัน เขาแก้ห่อผ้าขาวนั้นออก ภาพที่ปรากฏต่อหน้าหลวงปู่สอขณะนั้น คือพระพุทธรูปปางนาคปรกลักษณะแบบโบราณ จิตของหลวงปู่บอกท่านว่าใช่แล้ว เมื่อชื่นชมพระพุทธรูปพอสมควรแล้ว ท่านจึงถาม 2 สามีภรรยาว่า เพราะเหตุใดจึงได้เอาพระนี้มาถวายท่าน เขาเล่าความเป็นมาให้ท่านฟังอย่างละเอียดว่า หลายปีมาแล้วที่เขารับพระองค์นี้มาจากพี่ชาย ขณะนั้นเขายังไม่ได้แต่งงาน แต่พอแต่งงานมีครอบครัว ภรรยาของเขาฝันแทบทุกคืนว่าพระพุทธรูปองค์นี้ ท่านสั่งให้เอาท่านไปถวายหลวงพ่อวัดป่า จนกระทั่งมาเมื่อคืนวานนี้ พระพุทธรูปองค์นี้ก็ได้บอกและบังคับภรรยาว่า พระพุทธรูปองค์นี้ไม่ใช้ของพวกเธอ เป็นของหลวงพ่อวัดป่า ให้เอาไปถวายท่านตอนเช้าวันพรุ่งนี้เพราะฉะนั้น 2 สามีภรรยาจึงได้นำมาถวายหลวงปู่สอ หลวงปู่ท่านถามเขาว่า “ พระพุทธรูปนี้พวกโยมได้มาอย่างไร ” เขาตอบว่า “ ผมก็ไม่ทราบว่าสืบทอดกันมาอย่างไร แต่เท่าที่จำได้ คือตกทอดมาจากพ่อของพ่อ ( ปู่ ) พอพ่อของพ่อตาย พ่อเขาก็เก็บรักษาไว้ พ่อตายพี่ชายของเขาก็เก็บรักษาไว้ พี่ชายตายเขาจึงได้นำมาเก็บรักษาไว้ จนกระทั่งบัดนี้ก็หลายปีพอสมควร ”

    เมื่อเขาเล่าความเป็นมาทั่งหมดให้หลวงปู่ฟังแล้ว ท่านจึงบอกให้เขายกขันดอกไม้และพระพุทธรูปเข้ามาถวาย เสร็จแล้วท่านก็ให้ศีลให้พร 2 สามีภรรยาจึงได้เดินทางกลับไป หลวงปู่ท่านไม่รอช้าเมื่อได้รับพระพุทธรูปมาตรงตามนิมิตที่ปรากฏชัดเจนในพรรษาที่ 2 และพรรษาที่ 6 เท่ากับเป็นการยืนยันความจริงของนิมิตนั้น ท่านปรารถนาที่จะนำสิ่งของดังกล่าวนี้ไปถวายให้พ่อแม่ครูอาจารย์มหาบัวและหลวงปู่ขาวได้ชม จึงได้เรียกให้โยมคนหนึ่งไปเอารถออกมารับท่านไปวัดป่าบ้านตาดและวัดถ้ำกลองเพล เวลาประมาณ 4 โมงเช้า หลวงปู่สอไปถึงวัดป่าบ้านตาด ท่านรีบเดินไปยังกุฏิพ่อแม่ครูอาจารย์มหาบัว ขณะนั้นท่านกำลังนั่งรออยู่ด้านนอกห้อง คล้ายกับว่าท่านกำลังนั่งรอใครอยู่ พอเห็นหลวงปู่สอขึ้นไปกราบบนกุฏิ ท่านก็พูดทักว่า “ ว่ายังไง สิ่งที่ท่านพูดเป็นความจริงหรือเปล่า ” หลวงปู่สอท่านไม่ตอบ แต่บอกให้คนขับรถไปเอาสิ่งของดังกล่าวนั้นมาถวายให้ท่านดู เมื่อเปิดผ้าที่ห่อคลุมอยู่ออก พ่อแม่ครูอาจารย์มหาบัวพูดว่า“ อือ…มันเก่งกว่าพ่อมันอีกนะ ของดีนะนี้ ให้รักษาให้ดีๆ ”

    เวลาประมาณเที่ยงวันหลังจากนำพระพุทธรูปไปถวายให้พ่อแม่ครูอาจารย์มหาบัวท่านชม หลวงปู่สอก็เดินทางไปถึงวัดถ้ำกลองเพล หลวงปู่สอร้องเรียกหลวงปู่ขาวอยู่พักหนึ่งท่านจึงมาเปิดประตุกุฏิ หลวงปู่สอรีบกราบเรียนท่านว่า “ ได้มาแล้วครับหลวงปู่ ” หลวงปู่ขาวพิจารณาดูพระพุทธรูปอย่างละเอียดพร้อมกับสอบความเป็นมาต่างๆแล้วจึงพูดว่า “ เป็นของดีจริงๆนะ ให้ท่านรักษาไว้ให้ดี ” หลวงปู่ขาวขอพระพุทธรูปไว้เพื่อภาวนาดูอีกครั้งหนึ่งประมาณ 1 อาทิตย์ เสร็จแล้วหลวงปู่สอ จึงกราบลาท่านกลับวัดอรัญญิกาวาส และเมื่อครบ 1 อาทิตย์แล้ว หลวงปู่สอจึงเดินทางไปวัดถ้ำกลองเพลเพื่อรับพระพุทธรูปคืน หลวงปู่ขาวเล่าให้ฟังว่า ขณะที่พระพุทธรูปองค์นี้อยู่ภายในกุฏิท่านในตอนกลางคืน จะมีแสงสว่างรุ่งเรืองออกมาจากองค์ท่าน มีอยู่คืนหนึ่งมีช้างป่ามาเดินวนเวียนอยู่ข้างกุฏิท่าน แสงสว่างจากองค์พระทำให้สามารถมองเห็นช้างป่าได้

    หลวงปู่ขาวได้มอบพระคืนให้หลวงปู่สอพร้อมกับพูดว่า “ พระพุทธรูปนี้เป็นของดีจริงๆ นะ ดูลักษณะของท่านสิ ปกป้องคุ้มครอง ต่อไปภายหน้าบ้านเมืองจะได้พึ่งพาอาศัยท่าน ให้รักษาไว้ให้ดี ๆ ” ข่าวคราวที่หลวงปู่สอได้รับพระพุทธรูปเก่าแก่ มีความศักดิ์สิทธิ์ตรงตามนิมิตที่ปรากฏไว้ เป็นเรื่องเล่าลือกันในหมู่พระเถระผู้ใหญ่ในสายกัมมัฏฐาน ได้เดินทางมาขอดูพระพุทธรูปดังกล่าวที่วัดอรัญญิกาวาส เช่นหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี หลวงปู่ชอบฐานสโม หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ และหลวงปู่ฝั้น อาจาโร เป็นต้น โดยเฉพาะหลวงปู่ฟั่น อาจาโร ได้มาพักค้างคืนอยู่กับท่านด้วย หลวงปู่ฟั่นพูดกับหลวงปู่สอว่า “ ไหนเอามาดูซิ พระที่เกิดในสมาธิ ” เมื่อหลวงปู่สอได้ถวายให้ท่านดูแล้ว หลวงปู่ฝั้น ท่านบอกว่า “ อือ…ดีจริงๆ หายากนะ พระที่เกิดจากสมาธิอย่างนี้ ร้อยองค์ พันองค์ ก็ไม่มีองค์หนึ่งนะ ”

    หลังจากที่หลวงปู่สอ ได้รับพระพุทธรูปมาตามนิมิตที่ปรากฏขณะทำสมาธิ ปรากฏว่าพระพุทธรูปองค์นี้สามารถที่จะสื่อความหมายกับหลวงปู่สอได้ ท่านจะทำอะไร จะไปที่ไหน หรือจะมีเหตุการณ์อะไร พระพุทธรูปองค์นี้มักจะบอกหรือตักเตือนท่านเสมอ ในบางครั้งท่านจะเทศน์อบรมหลวงปู่สอเหมือนกับครูบาอาจารย์ที่หวังดีกับลูกศิษย์ คอยพร่ำสอนตักเตือนศิษย์ทีเดียว หลวงปู่สอท่านเล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า ในช่วงเวลาที่ออกเที่ยวธุดงค์ ท่านก็จะอาราธนาใส่ในย่ามสะพายไปไหนมาไหนตลอดระยะเวลาประมาณ 20 ปี จนย่ามขาดไปหลายผืน หรือแม้กระทั้งเส้นเอนบริเวณบ่าไหล่หลวงปู่เสีย ทำให้เจ็บปวดเวลายกแขนอยู่เสมอจนกระทั้งปัจจุบัน ในคราวที่ได้รับพระพุทธรูปมาใหม่ๆ ลูกศิษย์ของหลวงปู่คิดที่จะเรียกพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “ หลวงพ่อนาค ” ซึ่งไปตรงกันกับหลวงพ่อนาคบ้านแวง อำเภอบ้านผือ หลวงปู่จึงกราบเรียนถามท่านว่าชื่ออะไร ท่านบอกว่าท่านเป็นสัจธรรม ให้เรียกชื่อท่านว่า “ หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ ” หลวงปู่สอและลูกศิษย์ของท่านจึงเรียกพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “ หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ ” ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา


    ffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    ลักษณะของพระพุทธรูป ( หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ องค์จริง )
    เป็นพระพุทธรูปปางนาคปรก ขนาดกว้างของฐานพระประมาณ <st1:metricconverter ProductID="10 นิ้ว" w:st="on">10 นิ้ว</st1:metricconverter> สูงประมาณ <st1:metricconverter ProductID="15 นิ้ว" w:st="on">15 นิ้ว</st1:metricconverter> เป็นพระพุทธรูปหล่อแบบโบราณเนื้อสัมฤทธิ์ น้ำหนักประมาณ <st1:metricconverter ProductID="10 กิโลกรัม" w:st="on">10 กิโลกรัม</st1:metricconverter> อายุตามการสันนิษฐานของเจ้าหน้าที่กรมศิลปากร ประมาณ 800 ปี ซึ่งใกล้เคียงกับที่หลวงปู่สอกราบเรียนถามหลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ ท่านว่าอายุ 800 กว่าปี นอกจากนั้นท่านยังบอกว่า ท่านเข้ามาครั้งแรกที่จังหวัดนครปฐม ในประเทศไทยจะมีพระพุทธรูปลักษณะเช่นนี้อยู่ 2 องค์ องค์หนึ่งอยู่ในเจดีย์นครปฐม ส่วนอีกองค์หนึ่งอยู่กับหลวงปู่สอ พันธุโล วัดป่าหนองแสง อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร พระพุทธรูปหลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์องค์นี้ยังมีลักษณะที่แปลก คือมีพญางูใหญ่ 7 ตัว 7 หัว แผ่ปกคลุมองค์พระอยู่ โดยส่วนมากแล้วเราจะเห็นเฉพาะเป็นนาคตัวเดียว 7 หัว หรือ 5 หัว เท่านั้น และองค์พระมีลักษณะคล้ายศิลปะสมัยเชียงแสนหรือทางเวียงจันทร์<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    พรรษาที่ 3 ( พ.ศ. 2503 ) เกิดนิมิตแทบทุกวัน
    ก่อนเข้าพรรษาปีนี้ หลวงปู่ท่านได้ไปพักปฏิบัติธรรมอยู่ใกล้ๆ กับวัดป่าบ้านตาด เพราะถือว่าอยู่ใกล้พ่อแม่ ครูอาจารย์<st1:personName ProductID="หลวงปู่มหาบัว ญาณสัมปันโน" w:st="on">หลวงปู่มหาบัว ญาณสัมปันโน</st1:personName> หากมีปัญหาติดขัดในการภาวนา ก็จะได้เข้าไปกราบเรียนศึกษา อบรม และขอคำแนะนำได้ง่าย ถ้าผู้เขียนจำไม่ผิดคงเป็นบ้านดงหัวหมู เพราะท่านเคยชี้ให้ดูเวลานั่งรถผ่านไป ท่านเล่าว่า ในพรรษานี้ท่านตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะทำความเพียร เพื่อเอาชนะตัณหาราคะ เพราะรู้สึกว่ามันเป็นภัยจริงๆ คือความหลงรูปร่างกายของหญิง ของชาย ของเขา ของเรา ว่าเป็นของสวยงาม น่ารัก น่าปรารถนา ท่านจึงกำหนดพิจารณาร่างกายให้เห็นสภาพเป็นอสุภะ คือไม่สวยงาม ท่านใช้สติปัญญากำหนดจดจ่อดูอวัยวะน้อยใหญ่ในร่างกายทุกสัดส่วน จนเห็นชัดว่าเป็นสิ่งปฎิกูลไม่สวยงามดังที่หลงเข้าใจ ทำให้จิตใจเริ่มเบื่อหน่ายคลายเมา บรรเทาความกำหนัดยินดีในกามคุณทั้งหลายได้พอสมควร

    หลวงปู่เล่าว่า ในพรรษานี้การภาวนาของท่านมักจะเกิดนิมิตอยู่แทบทุกวัน คือเมื่อนั่งสมาธิจิตใจมีความสงบพอสมควร แล้วจิตมักจะพุ่งออกไปดูหลุมฝังศพในป่าช้า ซึ่งแต่ละครั้งก็จะมองเห็นป่าช้าอื่นๆ เรื่อยไปไม่ซ้ำกัน จิตเป็นอยู่อย่างนี้ตลอดพรรษา เป็นอาการของจิตที่แปลกมาก หลวงปู่เองก็ไม่ทราบว่าจิตออกไปเห็นป่าช้า และหลุมฝังศพหรือที่เผาศพนั้นหมายความว่าอย่างไร เมื่อมีโอกาสท่านจึงกราบเรียนถามหลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่ขาวท่านไม่ตอบตรงๆ แต่บอกหลวงปู่สอว่าให้เร่งภาวนาเข้าไป และเมื่อไปกราบเรียนถามพ่อแม่ครูอาจารย์มหาบัว ท่านก็ได้บอกเช่นเดียวกัน ทำให้หลวงปู่ไม่ได้ความกระจ่างในการแก้ไขจิตใจช่วงนั้นเลย ภายหลังเมื่อหลวงปู่ท่านมีความชำนาญในกระบวนการของจิตมากขึ้น ท่านจึงรู้ว่าการที่จิตออกไปเยี่ยมป่าช้าบ่อยๆ นั้น เพราะจิตออกไปรู้ภพชาติการตายของท่านในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งมีมากมายจนไม่อาจคำนวณได้

    พรรษาที่ 4 ( พ.ศ. 2504 ) เจอเสาไม้ลอยมา
    ในพรรษานี้หลวงปู่จำไม่ได้ว่าจำพรรษาที่ใด แต่ท่านบอกว่าอยู่ใกล้กับวัดป่าบ้านตาด พอออกพรรษาแล้วท่านไปพักภาวนาอยู่หมู่บ้านร้างแห่งหนึ่ง มีต้นไม้รกทึบไปทั่วบริเวณ อากาศค่อนข้างเย็นเพราะเป็นฤดูหนาว มีอยู่คืนหนึ่งขณะท่านนั่งสมาธิอยู่ได้มิติเห็นพระรูปหนึ่งเดินเข้ามาหาพร้อมกับชี้มอไปอีกด้านหนึ่งแล้วพูดว่า “ อาจารย์ของท่านอยู่ทางโน้น ” หลวงปู่มองตามทิศทางที่พระรูปนั้นชี้มือไปก็ไม่มีใคร มองเห็นแต่ต้นมะพร้าวต้นหนึ่งอยู่ห่างจากที่ท่านพักไม่ไกลนัก พอมองมาที่พระรูปนั้นก็หายไปแล้ว เมื่อได้เวลาพอสมควรหลวงปู่จึงออกจากสมาธิ พิจารณาดูตามนิมิตที่ปรากฏก็ไม่ได้ความกระจ่าง พอรุ่งขึ้นวันใหม่ หลวงปู่จึงเปลี่ยนสถานที่ปักกลดใหม่ โดยย้ายไปพักใต้ต้นมะพร้าวตามที่เห็นในนิมิตลองดูว่ามันจะเป็นอย่างไร คือนั้นหลังจากเดินจงกรมเสร็จ แล้วเข้าที่พักไหว้พระสวดมนต์และนั่งสมาธิต่อไป พอจิตสงบก็ปรากฏนิมิตขึ้นอีก ครั้งนี้ท่านได้นิมิตว่าได้สะพายบาตร แบกกลดเดินทางเที่ยวธุดงค์ไปจนถึงสระน้ำมีสิม ( โบสถ์ ) อยู่กลางน้ำสวยงามจึงลองเข้าไปดู พอคิดเช่นนั้นก็ลอยข้ามสระน้ำเข้าไปยังโบสถ์ แต่ปรากฏว่าประตูหน้าต่างปิดหมด ท่านจึงเอามือไปลูบที่ประตูโบสถ์ประตูก็เปิดออก แล้วท่านก็เดินเข้าไปข้างใน พบตู้พระไตรปิฏกหลังหนึ่งค่อนข้างเก่า จึงเปิดออกดูก็ไม่พบหนังสืออะไร พบแต่คราดเก่าๆ อันหนึ่งและดาบเล่มหนึ่ง ขณะนั้นมีเสาไม้ลอยมาคล้ายกับจะตีท่าน ท่านจึงร้องห้ามว่า“ อย่าตีนะ ไม่ได้ขโมยอะไรหรอก มาดูเฉยๆ ” เมื่อหลวงปู่ออกจากสมาธิ ท่านมาพิจารณาใคร่ครวญดูนิมิตที่ปรากฏไม่สามารถเข้าใจความหมายแห่งนิมิตนั้นได้ ในพรรษานี้การภาวนาของหลวงปู่เป็นไปด้วยดี จิตใจมีความสงบเยือกเย็นเป็นสุข แม้ว่าจะปรากฏนิมิตต่างๆ ขึ้น แต่หลวงปู่ก็มิได้หลงไปตาม คงปฎิบัติตามแนวทางที่ครูบาอาจารย์ท่านแนะนำตักเตือนอยู่เสมอ<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    พรรษาที่ 5 ( พ.ศ. 2505 ) เจอผีที่นครเวียงจันทร์
    หลวงปู่เล่าว่าก่อนเข้าพรรษาท่านดำริว่า จะไปจำพรรษอยู่กับหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ เพราะเคยไปปฎิบัติธรรมอยู่กับท่านบ่อย ๆ แต่เมื่อใกล้จะเข้าพรรษา หลวงพ่ออ่อนศรี ( พระครู สีลขันธ์สังวร ) วัดท่างาม อำเภอท่าบ่อ ได้ขอร้องให้ท่านไปจำพรรษาด้วย ท่านก็เลยได้จำพรรษาอยู่ที่วัดท่างาม พออกพรรษาท่านก็ไปพักภาวนา อยู่ที่หินหมากเป้งบ้าง ที่ผาชันบ้าง ประมาณเดือนกว่าแล้วข้ามไปฝั่งลาวไปพักอยู่ที่วัดหนองบัวพาน นครเวียงจันทร์ ซึ่งวัดแห่งนี้ชาวบ้านเล่าลือกันว่ามีผีดุ และแล้วคืนหนึ่งขณะที่หลวงปู่นั่งเจริญภาวนาอยู่ มีผีตนหนึ่งได้เดินเข้ามาหาท่านแล้วถามท่านว่า “ มาอิหยัง ” ( มาทำอะไร ) ในขณะนั้นท่านพิจารณา ดูสภาพจิตใจของตนเอง ก็ไม่ได้มีความหวาดกลัวแต่ประการใด จึงตอบไปว่า “ มาแสวงหาโมกข์ธรรม ” ผีตนนั้นจึงถามต่อไปอีกว่า “ สวดปาฏิโมกข์ได้บ่ ” หลวงปู่ตอบว่า “ สวดได้ ” เสร็จแล้วก็หายไป หลังจากนั่งสมาธิอยู่พอสมควรแล้ว หลวงปู่จึงลุกออกไปเดินจงกรม ผีตนนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นอีก อยู่ที่หัวทางจงกรม ท่านบอกว่าตัวมันใหญ่มากสูงประมาณ 50 - <st1:metricconverter ProductID="60 เมตร" w:st="on">60 เมตร</st1:metricconverter>. นัยตาเท่ากับลูกมะพร้าว ที่มือของมันมีบุหรี่มวนโตเท่าแขน หลวงปู่ตัดสินใจเดินเข้าไปหามันๆก็หายตัวไปเลย

    ในช่วงที่พักภาวนาอยู่ที่ฝั่งลาวนี้ เป็นช่วงที่บ้านเมืองลาวไม่มีความสงบสุข มีการยิงต่อสู้กันอยู่ตลอด เนื่องจากนายพลกองแล ได้ทำการปฎิวัติ บางวันก็มีทหารไปหาท่านที่วัดเพื่อขอวัตถุมงคล เมื่อหลวงปู่พิจารณาดูสถานการณ์แล้วก็เห็นว่าไม่เหมาะแก่การพักบำเพ็ญเพียร ท่านจึงเดินทางกลับฝั่งไทยพักอยู่กับหลวงปู่บัวพา แห่งวัดป่าพระสถิตย์ ออกจากวัดป่าพระสถิตก็เที่ยวธุดงค์ไปทางเมืองเลย อันเป็นถิ่นที่อุดมไปด้วยพระเถระผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ แวะกราบหลวงปู่คำดี วัดถ้ำผาปู่ พักปฏิบัติธรรมพอสมควรแล้ว ก็ลาท่านไปกราบหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ที่อำเภอวังสะพุง หลวงปู่ชอบท่านเป็นพระมหาเถระในสายพระกัมมัฏฐาน ที่มีปฏิปทาน่าเลื่อมใสมากรูปหนึ่ง และมีอุปนิสัยเด็ดเดี่ยวกล้าหาญมาก หลวงปู่สอท่านจึงเดินทางไปกราบนมัสการ และอยู่ศึกษาอบรมธรรมกับท่านอยู่เสมอ เมื่อพักอยู่กับหลวงปู่ชอบที่วัดป่าโคกมนพอสมควร หลวงปู่ชอบได้ชวนท่านเที่ยวธุดงค์ไปองค์เดียว โดยมีจุดหมายจะไปจำพรรษาที่วัดป่าทุ่งหล่ม อำเภอบ้านผือ

    พรรษาที่ 6 ( พ.ศ. 2506 ) แก้วเสด็จที่อุบล
    ในพรรษานี้ หลวงปู่ท่านได้จำพรรษาที่วัดอรัญญิกาวาส อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี วัดนี้เป็นป่าช้าของบ้านผือ ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่าทุ่งหล่ม ซึ่งในสมัยนั้นเป็นป่าอุดมสมบูรณ์ และอยู่ห่างจากบ้านผือ พอสมควร เคยมีครูบาอาจารย์หลายรูปมาพักปฎิบัติธรรมอยู่เสมอ เพราะเป็นสถานที่สัปปายะ ปัจจุบันนี้มีท่านพระครูภาวนาจิตสุนทร ( พระอาจารย์จิตร ) เป็นเจ้าอาวาสและเป็นเจ้าคณะอำเภอบ้านผือ ( ธรรมยุต ) ด้วย หลวงปู่เล่าว่า วันหนึ่งขณะที่ท่านกำลังเดินดูบริเวณวัดอยู่ ได้มีเสียงปรากฏขึ้นภายในตัวท่าน ซึ่งสามารถรับรู้ได้ด้วยโสตประสาทว่า “ สิ่งที่ปรากฏกับท่านพระอาจารย์ในพรรษาที่ 2 นั้น จะเป็นเครื่องหมายของท่านอาจารย์ในพรรษาที่ 8 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 จะตกทอดลงมาจากอากาศ หรือบางทีจะมีคนเขาเก็บไว้แล้วนำมาถวาย ” หลวงปู่ท่านแปลกใจว่าทำไมจึงเกิดเสียงขึ้นเช่นนี้จะว่าเกิดจากสิ่งภายนอกก็ไม่ใช่ เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าเป็นเสียงที่พูดมาจากภายในจิต แต่หากจะตัดสินว่าเสียงพูดอยู่ภายใจจิต ทำไมหูจึงสามารถได้ยินเล่า น่าอัศจรรย์เมื่อไม่อาจปลงใจในเหตุการณ์นี้ได้ ก็ยิ่งเพิ่มความสงสัยเข้าไปอีก เพราะอยู่ในเสียงนี้บอกว่า สิ่งที่ปรากฏในพรรษาที่ 2 คือสัญญาลักษณ์ของท่าน <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    และท่านผู้อ่านคงจำได้ว่า ในพรรษาที่ 2 นั้น หลวงปู่ได้นิมิตเห็นงูใหญ่สีทอง เลื้อยเข้ามาหาท่านในกุฎิ หรือว่างูคือสัญลักษณ์ของหลวงปู่ และที่สำคัญคือ มีการกำหนดระยะเวลาที่จะได้มาอีกด้วย ก็ยิ่งทำให้ชวนคิดตามว่าเมื่อถึงกำหนดดังกล่าวนั้น จะเป็นความจริงหรือจะเป็นความเท็จ หลวงปู่สอเล่าต่ออีกว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ท่านก็ระลึกถึงครูบาอาจารย์ที่เคารพนับถือ คือหลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล และหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่า บ้านตาด และเห็นว่าจะเป็นผู้ที่จะช่วยชี้แนะและให้ความกระจ่างได้ จึงนำเรื่องนี้ไปเล่าถวาย หลวงปู่ขาว ซึ่งท่านเตือนว่า “ เสียงที่ได้ยินนั้นอย่างเพิ่งไปเชื่ออะไรมากนัก มันอาจจะหลอกเราก็ได้ และถึงแม้มันจะเป็นจริง เราก็ไม่ควรจะไปใส่ใจ เพราะมันยังเป็นอนาคตอยู่ ต่อเมื่อเราได้รับมาแล้วจึงควรสนใจและให้เอามาให้ผมดูด้วย ”

    หลังจากที่เล่าเรื่องนี้ถวายหลวงปู่ขาวฟังแล้ว ต่อมาท่านก็ได้เล่าให้หลวงปู่บุญมีฟัง เพราะเห็นว่าเป็นเหมือนบุคคลครอบครัวเดียวกัน ไว้เนื้อเชื่อใจกัน มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมักเล่าให้ฟังเสมอ เช่นเดียวกันกับครั้งแรกที่ได้นิมิตแล้วถูกหลวงตามหาบัวเรียกไปพบ ครั้งนี้ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องไปพบเพื่อชี้แจงอีก หลวงปู่เข้าไปกราบนมัสการพ่อแม่ครูอาจารย์<st1:personName ProductID="มหาบัว ญาณสัมปันโน" w:st="on">มหาบัว ญาณสัมปันโน</st1:personName> ที่วัดป่าบ้านตาด คำแรกที่ท่านถามคือ “ ว่าอย่างไร บอกหลายครั้งแล้ว ว่าไม่ให้พูด บ้า .. .บ้าสัญญา ... บ้าวิปลาส ” ในขณะโดนหลวงตามหาบัวดุ หลวงปู่ท่านก็มิได้เสียใจหรือโกรธแต่อย่างใด ท่านนึกในใจว่า ธรรมดาคนเป็นบ้ามันไม่มีสติที่จะควบคุมตนเองได้ แม้จะให้นับนิ้วมือก็นับไปถึงห้าถึงสิบ แต่นี่เราก็มีสติรู้ตัวเองว่ารู้อย่างนั้นเห็นอย่างนี้ พอนึกเช่นนี้แล้วท่านก็เอานิ้วมือมานับดู ว่าจะนับครบห้าครบสิบไหม ก็ปรากฎว่าสามารถนับได้ครบ จึงตอบกับตัวเองว่า ยังไม่เป็นบ้า ยังปกติดีอยู่ มีอยู่คำหนึ่งที่หลวงตามหาบัวท่านเตือนหลวงปู่สอ ก่อนที่จะกลับว่า “ ต่อไปอย่าพูดอีก ให้มันได้มาถึงก่อนค่อยพูด ” เป็นอันว่าเรื่องนี้ต้องปล่อยให้กาลเวลาเป็นผู้ตัดสินว่าจริงหรือไม่จริงอย่างไร

    ขอย้อนเล่าเรื่องประหลาดอีกสักสองเรื่อง ที่หลวงปู่สอท่านได้ประสบในขณะที่ไปพักปฏิบัติธรรมอยู่กับหลวงปู่ขาว อนาลโย ที่วัดถ้ำกลองเพล ในช่วงออกพรรษาของปี พ.ศ. 2506 นี้ มีอยู่คืนหนึ่ง ขณะที่หลวงปู่กำลังเดินจงกรมอยู่นั้น ได้ปรากฏว่ามีลำแสงพุ่งขึ้นใกล้ๆ กับทางจงกรม ท่านหยุดพิจารณาดูพอสมควรแล้วจึงเดินทางไปที่จุดปรากฏแสง ก็พบพระพุทธรูปองค์หนึ่ง หน้าตักประมาณ 2 นิ้วครึ่ง ภายหลังท่านทำความสะอาด เช็ดถูอย่างดีแล้ว จึงรู้ว่าเป็นพระพุทธรูปทองคำ จึงนำไปถวายหลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่ขาวท่านว่า พระพุทธรูปนี้เป็นสมบัติของถ้ำนี้ จึงเก็บไว้ที่วัดถ้ำกลองเพล ( ปัจจุบันพระพุทธรูปนี้จะยังคงอยู่หรือไม่ ก็ไม่ทราบได้ )

    ต่อมาคืนหนึ่ง ขณะที่หลวงปู่เดินจงกรมอยู่นั้น ท่านได้มองเห็นดวงไฟเป็นแสงสีใสนวลลอยตกลงมาใกล้ ๆ ตัวท่านๆจึงเก็บเอามาดู ปรากฏว่าเป็นแก้วจริงๆ แต่ที่ประหลาดใจไปยิ่งกว่านั้น มีรูปผู้หญิงผมยาวปรากฏอยู่ ท่านรู้สึกแปลกใจมาก เมื่อมีโอกาสจึงนำไปถวายให้หลวงปู่ขาว ท่านดู และหลวงปู่ขาวเล่าให้ท่านฟังว่า “ แก้วดวงนี้ผมเห็นมันลอยผ่านไปผ่านมาหลายครั้งแล้ว แต่ผมไม่สนใจ เพราะเห็นว่าเป็นของภายนอก เพราะ ฉะนั้นให้ท่านเอาคืนไปวางไว้ที่เดิม มันก็จะหายไปเอง หลวงปู่ขาวท่านเล่าต่อไปว่า แก้วดวงนี้มีพระหลายองค์เห็นมาแล้วที่ยังอยู่ที่นี่ ก็เพราะเจ้าของอยู่ที่ถ้ำนี้ นับว่าเป็นเรื่องประหลาดใจที่คนในยุคโลกาภิวัฒน์อย่างเราๆ ท่านๆ จะมีโอกาสได้พบเห็นและหลายท่านคงเตรียมตัวปฏิเสธแล้วว่าเป็นไปไม่ได้ และเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ผู้เขียนขออนุญาตเสริมสักเล็กน้อย เพราะรู้สึกว่ามักจะมีบุคคลวิเศษชอบแอบอ้าง เอาแก้วมาหลอกลวงกันอยู่เรื่อยๆ ซึ่งเมื่อพิจาณาตามรูปลักษณ์และเหตุการณ์แล้ว ผู้มีวิจารณญาณย่อมพิจารณาได้ว่า ... จริงหรือเท็จ

    เคยมีเรื่องเล่าเมื่อ 3 - 4 ปีก่อนที่ผ่านมา ว่ามีวัดแห่งหนึ่งทางจังหวัดอุบลราชธานี มีแก้วเสด็จมาก มีพระสงฆ์และญาติโยมผู้ปรารถนาแก้วมาไว้ในครอบครองเพื่อความเป็นสิริมงคล เดินทางไปนั่งภาวนาเอาแก้วกันมาก ปรากฏว่าแก้วเสด็จตามธรรมชาติเกิดไม่ทันผู้มีบุญบารมี ท่านเจ้าอาวาสวัดนั้นก็เลยหายแก้วจากโรงงานมาเสริม ลูกศิษย์ผู้มีความช่างสังเกตหน่อย ก็ได้เห็นพฤติกรรมของท่านเจ้าอาวาสเข้า ก็เลยล่าถอยกลับภูมิลำเนา เพราะเห็นว่าถ้าเป็นแก้วเสด็จที่จะพุ่งออกครั้งละ 10 - 20 ลูกอย่างนี้ มันไม่มีค่าอะไร สู้แก้ว ( ใส่น้ำดื่มเย็นๆ ) ที่บ้านก็ไม่ได้เพราะฉะนั้นจึงขอให้พวกเราได้มาค้นหาแก้วภายในกันดีกว่า อาจเสียเวลาเท่ากันแต่ได้ประโยชน์ ต่างกันลิบลับ

    ในปี พ.ศ. 2506 ซึ่งเป็นพรรษาที่ 6 ของท่าน และเป็นพรรษาแรกที่ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดอรัญญิกาวาสนี้ มีเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากมายทำให้ต้องครุ่นคิดคำนึงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตตามที่นิมิตจากเสียงบอกไว้ เมื่อเริ่มเข้าพรรษาที่ 7 หลวงปู่จึงยังคงจำพรรษาอยู่ที่วัดอรัญญิกาวาสอีก มีหมู่คณะพระเณรอยู่ด้วยกันหลายรูปในวัดนี้ มีโยมคนหนึ่งที่เข้ามาปฏิบัติธรรมกับท่าน ชื่อโยมเมย ทองทิพย์ เป็นผู้มีฐานะพอมีอันจะกินอยู่อำเภอบ้านผือ ซึ่งหลวงปู่เคยเล่านิมิตที่ปรากฏให้โยมเมยฟัง เพราะเห็นว่าเป็นผู้ปฎิบัติธรรมด้วยกัน และเป็นลูกศิษย์ของท่าน โยมเมยพูดกับหลวงปู่สอว่า “ ถ้าได้สิ่งของอันเป็นสัญลักษณ์ของท่านมาตามนิมิตที่ปรากฏจริง กระผมขอหลวงพ่อด้วย ” ซึ่งโยมเมยเอง ก็คิดไม่ถึงหรือไม่เคยคิดเลยว่า สิ่งของดังกล่าวนั้นคือ พระพุทธรูปโบราณที่เป็นมรดกตกทอดมาหลายชั่วอายุคน ซึ่งน้องชายของโยมเมยได้ครอบครองเป็นเจ้าของอยู่
    <O:p></O:p>
    [​IMG]

    สุดท้ายขอประกาศข่าวจากบ้านเรือนไทยให้ทราบครับ</O:p>
    <O:p>กำหนดการหลวงปู่สอ พันธุโล มาพำนัก ณ บ้านเรือนไทย ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 14 มกราคม พ.ศ.2550 ถึงวันอังคารที่ 23 มกราคม พ.ศ.2550

    วันจันทร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ.2550 เวลาประมาณ 19.00 น.จะมีพิธีพุทธาภิเษกหลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ จำลอง พระบูชาขนาดหน้าตัก 7 นิ้ว.และ 9 นิ้ว. จึงขอเรียนเชิญทุกท่านมาโอกาสนี้ครับ

    </O:p>

    <O:p>ผู้จัดทำเว็บไซต์บ้านเรือนไทย</O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 มกราคม 2007

แชร์หน้านี้

Loading...