หลวงปู่มั่นแสดงธรรมแก่ หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่อ่อน

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย ภูเขาสายน้ำ, 26 มีนาคม 2009.

  1. ภูเขาสายน้ำ

    ภูเขาสายน้ำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +64
    01.jpg
    หลวงปู่ฝั้น.jpg หลวงปู่อ่อน.jpg

    นับตั้งแต่ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตฺตเถร แยกจากคณะศิษยานุศิษย์ ไปอยู่ทางภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่แต่ลำพังองค์เดียว เปรียบประดุจช้างเผือกหัวหน้าจ่าฝูงออกจากโขลงเที่ยวอยู่แต่ลำพังผู้เดียว ไม่เกลื่อนกล่นไปด้วยช้างและลูกช้างด้วยกัน มีตนตัวเดียวเที่ยวหากินแต่ลำพังตามใจชอบ ย่อมได้รับรสจากหญ้าอ่อนและน้ำใส อย่างสะดวกสบาย เพียงพอแก่ความต้องการนี้ฉันใด แม้ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตฺตเถร ก็ได้ออกจากคณะไปเที่ยววิเวกอยู่ตามป่าภาคเหนือ ที่จังหวัดเชียงใหม่ ในส่วนเหนือของแดนไทยก็ฉันนั้น

    พระอาจารย์ฝั้น มีความรำลึกถึงท่านพระอาจารย์มั่น ผู้เป็นอาจารย์ของท่านมิได้ขาด เมื่อออกพรรษาแล้ว จึงได้คิดตัดสินใจออกเที่ยวเดินธุดงค์ ตั้งจิตเจาะจงตรงไปที่ท่านพระอาจารย์ของท่าน ณ ภาคเหนือ เมืองเชียงใหม่ เพราะได้ทราบข่าวว่า ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่นท่านไปอยู่ที่นั่น มีพระอาจารย์อ่อนได้ร่วมทางไปด้วย พอไปถึงวัดเจดีย์หลวง ก็ได้ไปพบพระอาจารย์ใหญ่มั่น มารอคอยอยู่ก่อนแล้ว พอพระอาจารย์อ่อนและพระอาจารย์ฝั้น เดินเข้าไปหา ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น ได้พูดทักพระอาจารย์ทั้งสองว่า " แหม พวกพระเจ้าชู้ " พระอาจารย์ฝั้นพอได้ยินท่านพระอาจารย์ใหญ่พูดว่าดังนั้น นึกสะดุ้งเกิดมีความละอายในใจตัวท่านเองมาก แต่ท่านก็มีความสำนึกระลึกรู้สึกตัวขึ้นได้ว่า " เรามีความผิด เพราะแต่ก่อนเมื่ออยู่กับท่านพระอาจารย์มั่น ผ้าจีวร สบง บริขาร ท่านพระอาจารย์ใหญ่ท่านพาย้อมด้วยแก่นขนุน(สีกรัก) ท่านไม่ให้ใช้ย้อมสีเหลืองตลาด ที่อาจารย์ฯทั้งสองเวลานั้น ผ้าจีวร ผ้าสบง บริขาร ล้วนแต่ย้อมสีเหลืองแจ๋ว ประกอบกับฝาบาตรก็ประดับด้วยมุก ขัดแวววาวด้วยลวดลายทั้งสององค์ ท่านพระอาจารย์ใหญ่จึงได้พูดอย่างนั้น ท่านพูดตามความจริง ความจริงมีอยู่อย่างนี้ ท่านก็พูดอย่างนี้ พระอาจารย์อ่อนท่านนึกละอายในใจมาก ท่านปรารภว่า จะเอาฝาบาตรโยนทิ้งเข้าไปในป่า แต่ภายหลังเห็นว่า มุกที่ประดับฝาบาตร ท่านไม่ได้ขัดหรือเลื่อยตัดทำเอง เป็นของเขาทำไว้แล้วคงใช้ได้
    วันต่อมา พระอาจารย์ทั้งสอง จึงได้ถากแก่นขนุน เอามาต้มเคี่ยวให้ออกเป็นสีดีแล้ว ซักผ้าจีวร สบง และผ้าบริขารให้สีเหลืองออกแล้ว จึงซักย้อมด้วยน้ำแก่นขนุนที่ต้มเคี่ยวเอาไว้ จนผ้าเป็นสีแก่นขนุนตามที่ต้องการ ท่านพระอาจารย์ใหญ่ ได้บอกให้จัดที่พักเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนเย็นค่ำวันนั้น พระอาจารย์ทั้งสองได้เข้าไปถวายการปฎิบัติ ท่านพระอาจารย์ใหญ่ได้พูดกับพระอาจารย์ทั้งสองว่า " พวกท่านมานี้ นับว่าโชคดีมากที่ผมได้มารอพบพวกท่านอยู่ที่นี้ มิฉะนั้นพวกท่านจะไม่ได้เห็นผมเลย มีพระภิกษุ สามเณร หลายคณะ หลายพวก มาเที่ยวตามหาผมแต่ไม่พบ เพราะผมออกไปปฎิบัติ ไปอยู่ตามสถานที่สงบสงัดแต่ลำพังองค์เดียว ไม่มีใครรู้จัก พระเณรเป็นร้อยๆมา ก็ไม่สำคัญเท่าพวกท่านมาดอก"


    พระอาจารย์ทั้งสองถวายการปฎิบัติอยู่ดึก เกือบสองยาม ท่านพระอาจารย์ใหญ่ได้ลุกขึ้นนั่ง ตั้งท่าตรงองอาจ แล้วแสดงธรรมปฎิบัติ เปิดเผยให้พระอาจารย์ทั้งสองฟังอย่างจะแจ้ง ยกขึ้นมาแสดงเรื่อง มรรคผล นิพพาน ญาณวิมุตติ แล้วแสดงอริยวงศ์ อริยประเพณี ของพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์สาวกเจ้าทั้งหลายว่า
    " พระพุทธเจ้าก็ดี พระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าก็ดี ท่านผู้เป็นพระอริยะทั้งหลายเหล่านั้น ท่านมีข้อวัตรปฎิบัติเพื่อให้เป็นเยี่ยงอย่าง ทุกกาล ทุกเวลา ทุกอิริยาบถ ท่านไม่ได้เลิกละ สละปล่อยวางจนตลอดชีวิต พระองค์ไม่คลุกคลี ทรงชักนำพาสาวกยินดี แต่ในที่วิเวกสงบสงัด พาสาวกของพระองค์ปฎิบัติ อัปปิจฉตา มักน้อย สันโดษ มีจิตใจเด็ดเดี่ยวมั่นคง คงที่ไม่เปลี่ยนแปลง มรรคผลธรรมวิเศษนั้น ไม่เลือกบุคคล เพศ ภูมิ ชนชั้น วรรณะ และไม่เลือกกาล สถานที่ ผู้ดีมีจน มรรคผลมีตลอดกาล ตลอดเวลา มีประจำอยู่ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เรายังขาด ศีล สมาธิ ปัญญา ศรัทธา สติ ความเพียรยังไม่แก่กล้าเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ จิตจึงไม่มีกำลังต่อสู้เอาชนะกับกิเลสได้ พวกเรามานี้ ไม่ใช่มาเล่น เราบวชก็ไม่ใช่บวชเล่น เราบวชจริง เรามาจริง เราต้องปฎิบัติจริง จึงจะรู้ จึงจะเห็นธรรมอันเป็นของจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสรู้ธรรมจริง เป็นสัจธรรม พระองค์ทรงแสดงธรรมเป็นคำที่มั่นคง มีอยู่และตั้งอยู่ตลอดกาลไม่เคยเปลี่ยนแปลง ทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต ไม่เคยคร่ำคร่า ยังสดใสใหม่เอี่ยม เต็มเปี่ยมอยู่ตลอดกาลทุกเมื่อ ไม่เคยขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย จงพากันปฎิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง เพื่อจิตจะได้มีกำลังแข็งแกร่งต่อสู้กับข้าศึกผู้คึกคะนองก่อกวนเราอยู่ตลอดเวลา มาเป็นเวลาอันยาวนาน จะนับจะประมาณ กี่ร้อยกี่พันกัปกัลป์อนันตชาติก็ประมาณมิได้ ทำให้เราได้รับทุกข์ทรมานแสนสาหัสจนนับร่องรอยไม่ได้ "

    ธรรมปฎิปทาที่ท่านพระอาจารย์ใหญ่เทศนาแสดงในคืนวันนั้น แหมน่าอัศจรรย์มาก ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลย ท่านนั่งตัวตั้งตรง ท่าทางองอาจ ตาแหลมคมทอดต่ำ สำรวม เสียงก้องดังฟังกังวานนุ่มนวล ชวนให้จิตผุ้ฟังปลื้มปิติ สงบอิ่มอย่างบอกไม่ถูก ทำให้พระอาจารย์ทั้งสองมีกำลังใจ ในคืนวันนั้นท่านนั่งสมาธิจนสว่าง ไม่รู้สึกเจ็บปวดเหน็ดเหนื่อย อ่อนเพลียเลย

    (บูรพาจารย์ 295)
     

แชร์หน้านี้

Loading...