หลวงปู่จันทร์หอมบุ้งขี้เหล็กรูปเหมือนหลวงปู่ถมเชิงท่ารุ่นแรก

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,754
    ค่าพลัง:
    +21,342
    0281EE12-1430-41C4-B14E-E32C4F4013AD.jpeg

    FB_IMG_1733713727871.jpg

    ครูบาชัยวงศ์ วัดพระบาทห้วยต้ม(ข้าวต้ม)อ.ลี้ จ.ลำพูน
    ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ที่รู้ใจคน ถอดกายได้
    "... โดยมีผู้ถ่ายรูปเดี่ยวของท่าน แต่ปรากฏว่ารูปถ่ายที่ออกมา กลายเป็น ๒ องค์ คือองค์หนึ่งนั่ง อีกองค์หนึ่งยืน ท่านออกธุดงค์ตั้งแต่ยังหนุ่ม ..."
    ครูบาศรีวิชัย สิริวิชโย ซึ่งเป็นอาจารย์องค์แรกของท่าน เคยทำนายตอนที่ท่านยังเป็นเณรว่า ท่านจะเป็นผู้มาสร้างวัดพระพุทธบาทห้วยต้มแห่งนี้ นอกจากนั้นท่านยังเป็นลูกศิษย์ของครูบาพรหมจักร(พระอุปัชฌาย์ของท่าน)และครูบาอภิชัยขาวปี ที่มรณะแล้วร่างไม่เน่าเปื่อยอีกด้วย
    ท่านยังได้เรียนวิชาทางจิต จากตำราเก่าสมัยอยุธยาที่พระเก่งๆ ในสมัยโบราณนำมาซ่อนไว้ในถ้ำ เพื่อไม่ให้ตกไปอยู่ในมือพวกพม่า โดยเทวดามาบอกที่ซ่อนคัมภีร์นี้ เมื่อท่านฝึกสำเร็จแล้ว ท่านจึงนำเข้าไปเก็บรักษาไว้ในเจดีย์ที่วัด ท่านฉันเจและชอบฉันลูกเกาลัด
    ที่แปลกก็คือ ท่านชอบไปเข้าฝันคนทั่วไป เช่นเคยไปเข้าฝันบอกตัวยาแก้โรคกระเพาะให้ คนตายแล้วฟื้นเล่าว่า ได้ไปพบครูบาศรีวิชัย ท่านบอกให้มากราบครูบาวงศ์ เพราะท่านเป็นพระอริยะ และเทวดาที่วัดพระบาทห้วยต้มบอกวัดนี้ จะเป็น ๑ ใน ๓ วัด #ที่จะอยู่ได้จนครบ ๕,๐๐๐ ปี ในศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน
    ที่วัด ยังมีรอยพระพุทธบาท ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงมาประทับรอยไว้ เมื่อคราวที่เสด็จมาที่วัดแห่งนี้ ในครั้งนั้น นายพรานได้ทำข้าวต้มเนื้อกวาง ถวายแก่พระพุทธเจ้า แต่พระองค์ทรงฉันเฉพาะแต่ข้าวต้มเท่านั้น ไม่ทรงฉันเนื้อกวางที่ถวาย
    ทั้งนี้เพราะทรงทราบว่ากวาง
    ตัวนั้นเป็นหน่อเนื้อพุทธางกูร ซึ่งต่อมาก็คือครูบาชัยวงศ์นั่นเอง และเนื้อกวางนั้น ต่อมาได้กลายเป็นหิน ปัจจุบันก็ยังเก็บรักษาไว้ อยู่ที่วัดพระบาทห้วยต้ม
    ท่านครูบาวิจิตร มนูญโญ แห่งวัดกุเตอร์โกล ต.สามหมื่น อ.แม่ระมาด จ.ตาก ได้เล่าให้ฟังว่า เคยขึ้นเขาไปกับท่านครูบาชัยวงศ์ เพื่อไปกราบพระพุทธบาท "วังตวง" อำเภอแม่พริก ได้เห็นท่านครูบาชัยวงศ์ ได้เอาเท้าของท่านเหยียบลงบนก้อนหินที่บนเขานั้น แล้วก็บอกให้ท่านคอยดูนะ เมื่อท่านยกเท้าขึ้น ก็ได้ปรากฏรอยเท้า บนก้อนหินนั้นจริงๆ..."
    เนื้อหาบางส่วนจาก : หนังสือพระชัยวงศานุสสติ ครูบาชัยวงศาพัฒนาคือ อดีตพระฤๅษีวาสุเทพ โดย...ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์(อู๋)
    หลวงปู่ครูบาวงศ์ฯ เป็นสหธรรมิกองค์เอกองค์หนึ่งของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(ฤาษีลิงดำ)ที่พวกเราเคารพรัก
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ได้กล่าวแก่ลูกศิษย์ครูบาวงศ์ฯ ว่า
    “พระดีแบบครูบาวงศ์ไม่มีอีกแล้ว หาได้ยาก…..พวกลูกมีบุญมาก และโชคดีที่มาพบพระระดับหลวงพ่อวงศ์ ซึ่งเป็นพระปฏิบัติดี มีคุณธรรมสูง หลวงพ่อได้อะไร หลวงพ่อวงศ์ก็ได้เช่นเดียวกัน ไม่ด้อยไปกว่ากันเลย…. อย่าเสียทีที่เกิดมามีบุญ ได้พบพระระดับหลวงพ่อวงศ์”
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างส่งครับ
    เหรียญครูบาวงศ์ พิมพ์ไม่มีพ.ศ. หายาก
    ให้บูชา 400 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20241209_094716.jpg IMG_20241209_094800.jpg
     
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,754
    ค่าพลัง:
    +21,342
    FB_IMG_1733727592104.jpg
    เปรตเฝ้าวัด
    ปีนี้ท่านไม่ได้บอกว่าจำพรรษาที่ไหน แต่ได้เล่าต่อไปว่า ออกพรรษาแล้วไปแสวงวิเวกอยู่ที่ถ้ำจำปา บ้านกะลึง อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ถ้ำนี้อยู่ในเขตวัดร้างโบราณสร้างสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ประมาณพ.ศ. ๒๐๙๐-๒๑๑๔.
    มีอยู่คืนหนึ่ง เดินจงกรมแล้วนั่งภาวนาจิตสงบเป็นสมาธิ นิมิตเห็นพระภิกษุ ๓ องค์ รูปร่างสูงใหญ่ประมาณ ๘ ศอกคนโบราณเดินเข้ามาหา และห่างออกไปมีแม่ชีอยู่หลายนางเดินไปเดินมาอยู่
    จิตบอกว่า พระ ๓ องค์และพวกแม่ชีที่เห็นนี้ เป็นพวกผีเปรตเฝ้าวัดร้างแห่งนี้แหละ !
    เปรตพระสูงใหญ่ทั้ง ๓ เข้ามาเอามือลูบขาซ้ายพระอาจารย์จันทา แล้วถามถึงอายุพรรษาพระอาจารย์จันทาบอกให้ทราบแล้วจึงถามว่า
    “พวกเราเป็นพระ มีจิตเดียวกัน ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วอย่างน้อยต้องได้ไปอยู่สวรรค์ แต่เหตุใดพวกท่านจึงมาตกค้างอยู่วัดนี้ด้วยการเป็นเปรตวิสัย ?”
    เปรตพระได้เล่าให้ฟังว่า สมัยเป็นพระอยู่วัดนี้เมื่อร้อย ๆ ปีมาแล้ว ศีล ๒๒๗ ทำขาดเกือบหมด เหลืออยู่แต่ข้อปาราชิกเท่านั้นที่รักษาไว้ได้
    พูดง่าย ๆ ก็คือว่า ตอนเป็นพระได้ทำตัวเหมือนชาวบ้านเกือบทุกอย่าง มีอย่างเดียวที่ยังไม่ได้ทำคือ มีเมียหรือได้เสียกับเพศตรงข้าม
    พระอาจารย์จันทาได้เรียกพวกเปรตแม่ชีเข้ามาถาม ก็ทราบว่าพวกแม่ชีทำความชั่วมาแล้วเช่นเดียวกันกับพวกพระ ท่านได้ซักถามต่อไปว่า
    “เป็นเปรตพระ เปรตชีนี้มีทุกข์มากไหม ?”
    ตอบเป็นเสียงเดียวกันอย่างเศร้าหมองว่า มีทุกข์มาก อดอยากไม่ได้กินอะไรเลย หิวโหยอยู่ตลอดเวลา ดินฟ้าอากาศร้อนแห้งแล้งหาที่เย็นสบายไม่มี นอนก็ไม่ได้เพราะอากาศร้อนมาก ต้องเดินไปเดินมาอยู่ทั้งวันทั้งคืนมาเกือบสามร้อยปีแล้ว และยังไม่รู้ว่าจะต้องได้รับโทษทัณฑ์อะไรต่อไปอีก
    พระอาจารย์จันทาถามว่า
    “พวกเจ้าอยากจะพ้นไปจากภูมิเปรตวิสัยไหม ?”
    “อยากพ้นไปใจจะขาดอยู่แล้ว แต่ไม่รู้จักทำอย่างไร”
    เปรตพระและเปรตแม่ชีตอบเป็นเสียงเดียวกัน ท่านพระอาจารย์จันทาจึงกำหนดจิตถามพระธรรมว่า สมควรจะสงเคราะห์ช่วยเหลือเปรตพระ เปรตแม่ชีพวกนี้หรือไม่ เป็นประการใด ?
    เสียงพระธรรมตอบว่า เปรตพระและเปรตแม่ชีวัดนี้ เคยเป็นญาติกับพระอาจารย์จันทามาแล้วหลายร้อยชาติ วิบากกรรมบันดาลให้มาพบกันอีกในชาตินี้ สมควรที่พระอาจารย์จันทาจะช่วยเหลือพวกเขาให้พ้นไปจากสภาพเปรตวิสัย
    พระธรรมได้บอกต่อไปว่า ให้เปรตพระและเปรตแม่ชีรับพระไตรสรณคมน์และศีล ๕ แล้วให้หัดเดินจงกรมบริกรรมภาวนาพุทโธ ๆ ๆ และไหว้พระสวดมนต์ไปเรื่อย ๆ อย่าหยุด อย่าเกียจคร้าน ถ้าวันใดมีญาติโยมมาทำบุญกับพระอาจารย์จันทา ก็ให้บอกญาติโยมกรวดน้ำอุทิศกุศลให้เปรตพระและเปรตแม่ชีด้วย
    ท่านพระอาจารย์จันทาทราบแล้ว จึงได้ให้เปรตพระและเปรตแม่ชีรับพระไตรสรณคมน์และศีล ๕ จากนั้นได้สอนให้รู้จักการเจริญภาวนา การเดินจงกรมซึ่งพวกเปรตก็ปฏิบัติตามอย่างตั้งใจ
    ท่านได้เข้าสมาธิสอนเจริญภาวนาให้พวกเปรตกลุ่มนี้อยู่ตลอดหน้าแล้ง ๓ เดือน แม่ชีเปรตนางหนึ่งเข้ามากราบลาว่า
    “ท่านครูบา ดิฉันมีเวรกรรมน้อยกว่าผู้อื่น บัดนี้กรรมเวรหมดแล้ว จะมาขอลาไปเกิดที่บ้านกะลึงเจ้าค่ะ “
    ท่านพระอาจารย์จันทาได้ห้ามไว้ ไม่ให้ไปเกิดบ้านเดิม เกรงว่าจะไปพบกับพระเณรที่ชอบประพฤติชั่ว ละเมิดธรรมวินัยอีก เหมือนชาติก่อนแล้วจะตายมาเกิดเป็นเปรตอีก
    ท่านได้แนะนำ ให้ไปเกิดในอำเภอบ้านผือ ไปเกิดกับพ่อค้าใหญ่เจ้าของโรงสีที่มีจิตใจเลื่อมใสในพระกรรมฐาน หรือจะไปเกิดในเมืองอุดรธานีก็ได้ แต่ให้เลือกเกิดในตระกูลพ่อค้าอาเสี่ยใหญ่ที่มีจิตเลื่อมใสในพระกรรมฐาน
    ก่อนที่จะเกิดกับตระกูลใดให้ตั้งจิตภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆ ให้แน่วแน่ แล้วอธิษฐานขอเกิดร่วมวงศ์ตระกูลกับเขา แล้วก็จะได้เกิดสมดังปรารถนา เปรตแม่ชีรับคำแล้วก็กราบอำลาไปเกิดใหม่
    จวนจะเข้าพรรษา พระอาจารย์จันทาได้บอกเปรตพระและเปรตแม่ชี ที่ยังไม่หมดเวรหมดกรรม ให้รีบเร่งเจริญภาวนาและรักษาศีล เพื่อช่วยตัวเองให้หลุดพ้นไปจากภพภูมิเปรตวิสัย ส่วนตัวท่านจะไปเข้าพรรษาอยู่กับหลวงปู่บัว สิริปุณโณ วัดบ้านหนองแซง อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี
    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญจอบและเหรียญกลมหลังหลวงปู่ หลวงปู่จันทาถาวโร ๒ เหรียญ
    ให้บูชา 350 ค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20241209_135513.jpg IMG_20241209_135630.jpg IMG_20241209_135657.jpg IMG_20241209_135544.jpg IMG_20241209_135609.jpg
     
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,754
    ค่าพลัง:
    +21,342
    วันนี้ จัดส่ง

    1733741812646.jpg
    ขอบคุณครับ
     
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,754
    ค่าพลัง:
    +21,342
    FB_IMG_1733818342302.jpg FB_IMG_1733818476176.jpg

    หลวงปู่เส่ง พระครูโศภณกัลยาณวัตร
    หลวงปู่เส่ง พระครูโศภณกัลยาณวัตร เส่ง โสภโณ หลวงพ่อเส่ง วัดกัลยาณมิตร เกจิ พระเกจิหลวงพ่อเส่ง
    พระครูโศภณกัลยาณวัตร(เส่ง โสภโณ) วัดกัลยาณมิตร วรวิหาร หลวงปู่เส่ง เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 10 มิ.ย. 2434 ที่บ้านย่านปากคลองตลาด เขตพระนคร กรุงเทพฯ เป็นบุตรของนายเพี้ยน และนางแดง นามสกุล เปี๊ยนสู่ลาภ มีพี่น้องร่วมท้องเดียว กัน 3 คน โดยหลวงปู่เส่งท่านเป็นบุตรคนโต
    หลวงปู่เส่ง โสภโณ วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร เจ้าพิธีตำรับน้ำมนต์บัวลอย
    วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร พระอารามหลวงชื่อดังแห่งฝั่งธนบุรี ไม่เพียงเลื่องลือระบือไกลด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของ "พระพุทธไตรรัตนนายก หรือหลวงพ่อโต" (ซำปอกง) ซึ่งมากด้วยอภินิหารเท่านั้น ทว่า อดีตเจ้าอาวาสของวัดแห่งนี้ ล้วนมากมีไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิทั้งสายวิปัสสนากรรมฐาน และวิทยาคมที่สูงส่ง หนึ่งในนั้นก็คือ "พระสุนทรสมาจาร" (พรหม อินทโชติ) หรือ "เจ้าคุณพรหม" พระเกจิอาจารย์ที่เก่งทางวิชาอาคมขลัง เจ้าของพระปรกใบมะขามอันลือลั่นสนั่นกรุง
    ท่านมีศิษย์เอกองค์สำคัญ ที่สร้างชื่อเสียงและความเจริญให้แก่วัดกัลยาณ์อย่างมากคือ "พระครูโศภณกัลยาณวัตร" หรือสมญานามที่บรรดาศิษย์กล่าวขานถึงด้วยความเคารพว่า "หลวงปู่เส่ง โสภโณ"
    แม้ท่านจะอยู่ในฐานะพระลูกวัด แต่มีผู้คนให้ความเคารพศรัทธามากมาย เนื่องจากต่างเชื่อมั่นในวิชาความรู้ที่ท่านได้รับการถ่ายทอดจากเจ้าคุณพรหม อีกทั้งเลื่อมใสในความเป็นพระผู้มากด้วยเมตตาบารมีโดยแท้ ท่านมรณภาพไปเมื่อวันที่ ๑๔ ม.ค.๒๕๒๖ สิริอายุได้ ๙๒ ปี ๗ เดือน ๔ วัน นับพรรษาได้ ๗๒ พรรษา รวมเวลากว่า ๒๐ ปีแล้ว แต่ความเลื่อมใสศรัทธาในคุณงามความดีของท่านไม่เคยจางหายไปจากจิตใจของชาว บ้าน
    "หลวงปู่เส่ง" เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ ๑๐ มิ.ย. ๒๔๓๔ที่บ้านย่านปากคลองตลาด เขตพระนคร กรุงเทพฯ เป็นบุตรของนายเพี้ยน และนางแดง นามสกุล "เปี๊ยนสู่ลาภ" มีพี่น้องร่วมท้องเดียว กัน ๓ คน ท่านเป็นคนโต สมัยที่ยังเยาว์วัย วัดกัลยาณมิตรซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับปากคลองตลาด มีพระเกจิอาจารย์ชื่อดังรูปหนึ่งมีบารมีทางธรรมสูงและมีความเชี่ยวชาญทาง ด้านพระวิปัสสนาธุระ-วิทยาคมคือ "พระสุนทรสมาจาร" (พรหม) เมื่อครั้งยังเป็นพระครูพินิตวิหารการ
    กิตติคุณทางไสยศาสตร์ของ ท่านเป็นที่เคารพศรัทธาของมหาชนจำนวนมาก จึงต่างพากันมาขอของดีและฝากตัวเป็นศิษย์ มีทั้งระดับชาวบ้านธรรมดาและชาววัง อาทิ พระยาศิริชัยบุรินทร์, พระยาสิงหเสนีย์, พระยาสุรเทพศักดิ์, พระยามนตรีสุริยวงศ์ และขุนหลวงพระยาไกรสีห์ (เปล่ง เวภาระ) เป็นต้น
    โยมบิดามารดาของหลวง ปู่เส่ง ก็เป็นอีกครอบครัวหนึ่งที่พากันมาฝากตัวเป็นสานุศิษย์ในท่านเจ้าคุณพระสุนทร สมาจาร (พรหม) ทำให้ท่านได้ติดสอยห้อยตามเข้าวัดอยู่บ่อยครั้ง อาศัยที่ท่านมีใจฝักใฝ่ในทางธรรม-รักความสงบชอบความสันโดษ จึงเกิดความพอใจความสงบวิเวกภายในบริเวณวัด โดยมีคำบอกเล่าต่อๆ มาว่า ท่านมักจะหนีออกจากบ้านข้ามฟากมาวัดกัลยาณ์บ่อยๆ เพื่อหนีสภาพความสับสนวุ่นวายในย่านปากคลองตลาด
    บางครั้งก็แอบไป นั่งสมาธิทำความสงบในป่าช้าคนเดียว ซึ่งป่าช้านั้นติดอยู่กับด้านหลังของคณะ ๔ อันเป็นที่พำนักของท่านเจ้าคุณพระสุนทรสมาจาร (พรหม)
    ในขณะนั้น บิดามารดาเห็นว่าท่านไม่มีอุปนิสัยไปในทางค้าขาย ใฝ่ใจไปในทางธรรม จึงนำบุตรชายไปมอบถวายตัวเป็นสานุศิษย์ของเจ้าคุณพรหม
    กระทั่ง อายุ ๑๔ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร และอุปสมบทเมื่ออายุ ๒๑ ปี ตรงกับปีพ.ศ. ๒๔๕๕ ณ วัดกัลยาณมิตร โดยมี สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฤทธิ์ ธัมมสิริ) วัดอรุณราช วราราม เป็นพระอุปัชฌาย์ พระธรรมเทศา จารย์ (มุ้ย ธัมมปาโล) วัดราชโอรสาราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระสุนทรสมาจาร (พรหม) วัดกัลยาณมิตร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาทางธรรมว่า "โสภโณ"
    สำหรับตำแหน่ง สมณศักดิ์ เดิมได้รับตำแหน่งเป็นพระฐานานุกรมในท่านเจ้าคุณพระสุนทรสมาจาร (พรหม) เป็นพระปลัด ปีพ.ศ.๒๔๙๓ ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตร เป็นพระครูสัญญาบัตร ชั้นโท (จปร.) ที่ "พระครูโศภณกัลยาณวัตร" และอยู่ในสมณศักดิ์เดิมตราบจนสิ้นอายุขัย
    ตลอดระยะเวลาที่ดำรง ตำแหน่งพระปลัดนั้น หลวงปู่เส่งได้มีส่วนช่วยท่านเจ้าคุณพรหม ในด้านการพัฒนาต่างๆ เพราะพระอาจารย์ของท่านนอกจากจะเป็นพระเถระที่ทรงคุณธรรมในด้านพระวิปัสสนา ธุระและวิทยาคม ยังเป็นพระนักพัฒนารูปสำคัญอีกด้วย
    สิ่งที่ "ท่านเจ้าคุณพรหม" สร้างสรรค์ไว้และได้กลายมาเป็นอนุสรณ์อันสำคัญยิ่งก็คือ การที่จัดหล่อระฆังใบใหญ่เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๔ ซึ่งต่อมาปรากฏตามหลักฐานประวัติศาสตร์ของกรมศิลปากรได้จารึกไว้ว่า "เป็นระฆังใบใหญ่ที่สุดในประเทศไทย"
    ภายหลังจากที่ท่านเจ้าคุณพรหมมรณภาพปี พ.ศ.๒๔๗๖ "หลวงปู่เส่ง" ได้รับภาระการสร้างต่อจนเสร็จสมบูรณ์เมื่อวันที่ ๑ ม.ค.๒๔๗๘ ทำพิธีนำระฆังไปประดิษฐานและฉลองเมื่อวันที่ ๑ ก.พ. ๒๔๗๘ โดยมีพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า เสด็จเป็นประธาน
    เนื่องจากท่านใช้เวลาส่วนมากในการช่วยงานพระอาจารย์พัฒนาวัด จึงไม่มีเวลาไปศึกษาทางด้านปริยัติธรรมอย่างจริงจัง ต้องอาศัยเวลาในยามว่างเล่าเรียนธรรมและวิทยาคมจากท่านเจ้าคุณพรหม แต่เป็นการเรียนเพื่อรู้ ไม่ได้เข้าสอบไล่ในสนามหลวงเอาใบประกาศวุฒิบัตร จึงเป็นไปในลักษณะเรียนรู้หลักธรรมเล่านั้น เพื่อที่จะได้นำมาปฏิบัติได้ถูกต้องตามขั้นตอนของพระพุทธศาสนา กล่าวคือ ปริยัติ-ปฏิบัติ-และปฏิเวธ
    ส่วนทางด้านวิปัสสนาธุระและวิทยาคมนั้น เข้าใจว่าท่านเจ้าคุณพรหมคงจะถ่ายทอดให้หมด เพราะท่านเป็นสานุศิษย์เพียงรูปเดียว ที่อยู่ปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิดตลอดมา แต่เนื่องด้วย อุปนิสัยที่สุขุมนุ่มนวลของท่าน ไม่ชอบโอ้อวด ไม่ค่อยแสดงออก จึงไม่เป็นที่เปิดเผยเท่าไรนัก
    ทั้งนี้ ปฏิปทาของหลวงปู่เส่งจะหนักไปในทาง "เมตตาธรรม" เป็นหลักใหญ่ ดังจะเห็นได้จากการที่ใครมีทุกข์เดือดร้อน เมื่อบากหน้ามาหา ท่านก็ไม่เคยปฏิเสธความช่วยเหลือกับใครเลย ถ้าขอเป็นเงินท่านก็ให้เป็นเงินสงเคราะห์ไป ถ้าขอเป็นสิ่งของท่านก็ให้เป็นสิ่งของ บางรายที่ได้ทราบว่าท่านคือศิษย์ก้นกุฏิของท่านเจ้าคุณพรหม ผู้เรืองวิทยาคม ก็จะพากันมาขอรับน้ำมนต์-น้ำพร ท่านก็ไม่เคยขัดศรัทธา ฉลองศรัทธาทำให้ทุกๆ รายไป
    นานวันเข้า คำร่ำลือในความศักดิ์สิทธิ์จากน้ำพระพุทธมนต์ที่หลวงปู่เส่งปลุกเสกก็แผ่ออกไปในวงกว้างมากขึ้นทุกที จึงมีมหาชนเป็นจำนวนมากแห่กันมาตั้งแต่เช้าจนกระทั่งเย็น ถึงยามวิกาล ทำให้ท่านเป็นพระเถระที่ทรงวิทยาคมขลังไปในทางปลุกเสก น้ำพระพุทธมนต์บัวลอย ปล่อยเคราะห์ไปโดยเหตุดังที่กล่าวมา
    สาเหตุที่เรียก "น้ำพระพุทธมนต์บัวลอย" ปล่อยเคราะห์ ก็เพราะว่าผู้ที่ต้องการน้ำมนต์-น้ำพรจากหลวงปู่เส่งจะต้องนำดอกบัวขาว ๓ดอกเทียนขาว ๑ เล่ม มาให้หลวงปู่เส่งท่านทำพิธีปลุกเสกให้ที่บาตรน้ำมนต์ แล้วท่านจะรด "น้ำพระพุทธมนต์บัวลอย" นั้นให้ เสร็จแล้วท่านก็จะให้ดอกบัวขาว ๒ ดอกนั้น แก่ผู้ที่นำมา นำดอกบัวขาวที่หักก้านออกแล้ว ๑ ดอกไปลอยลงในแม่พระคงคาเพื่อปล่อยเคราะห์เป็นอันเสร็จพิธี
    สำหรับวิทยาคมด้านอื่นๆ เนื่องจากท่านเป็นพระสมถะที่ไม่ค่อยแสดงออก จึงมักปรากฏผลและทราบก็แต่เฉพาะผู้ที่ท่านสงเคราะห์ไปให้เป็นรายๆ เท่านั้น นอกจากนี้ ท่านได้ใช้เวลาว่างทำผ้ายันต์แจกศิษย์ โดยเขียนลงบนผืนผ้าสี่เหลี่ยมจัตุรัสจารอักขระขอมและยันต์ต่างๆ ด้วยมือของท่านเองทุกๆ ผืน
    ส่วนวัตถุมงคลที่ท่านสร้างแจกแก่บรรดาศิษย์ทั่วไปในวาระต่างๆ มีพระสมเด็จ ปางสมาธิเนื้อผง พิมพ์ทรงฐาน ๕ชั้น, พระหลวงพ่อโตปางมารวิชัย เนื้อดินเผา พระนาคปรกเมล็ดข้าวเม่าหรือใบมะขามเนื้อทอง แดง-ทองเหลือง, พระเกศทองคำปางสมาธิ เนื้อเมฆพัด พระพิมพ์ขุนแผนปางมารวิชัย เนื้อผง และผ้ายันต์รูปสี่เหลี่ยม กว้างและยาวด้านละ ๙ นิ้ว เหรียญรูปเหมือน มีรูปแบบและขนาดแตกต่างกันไป เช่น เหรียญรูปไข่ เนื้อทองแดง, เนื้อทองแดงชุบนิกเกิล, เหรียญรูปใบเสมาเนื้อทองแดง, เหรียญรูปอาร์มเนื้อทองแดง เงิน และทองคำ (ฉลองอายุ ๘๐ ปี) เหรียญรูปไข่ (เหรียญ ๒หน้า) เนื้อทองแดงรมดำ ลักษณะคล้ายเหรียญเจ้าคุณพรหม
    วัตถุมงคลของ "หลวงปู่เส่ง โสภโณ" วัดกัลยาณมิตร กรุงเทพฯ เล่าขานกันว่า ทรงคุณวิเศษทางเมตตามหานิยม ค้าขาย แคล้วคลาดจากสรรพภัยทั้งปวง และเป็นที่หวงแหน-เสาะหาในหมู่ลูกศิษย์อยู่เสมอ
    เครดิตอ้างอิงข้อมูล itti-patihan.com
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญลป.เส่ง ปี๒๕๒๒ และ
    พระผงกลีบบัวเนื้อผงน้ำมัน ๒องค์คู่
    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    FB_IMG_1733818436008.jpg FB_IMG_1733818438793.jpg FB_IMG_1733818459729.jpg FB_IMG_1733818462486.jpg
     
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,754
    ค่าพลัง:
    +21,342
    FB_IMG_1733908064649.jpg

    หลวงปู่จันทร์หอม สุภาทโร เจ้าอาวาสวัดบุ่งขี้เหล็กต.นาแวง อ.เขมราฐ จ. อุบล ฯ
    พระอริยสงฆ์สาวก ศิษย์พระคุณเจ้าสมเด็จลุน นครจำปาสักและพระคุณเจ้าสมเด็จตัน ( ศิษย์เอกพระคุณเจ้าสมเด็จลุน) บางท่านอาจสงสัยว่าท่านทันได้เป็นศิษย์ของหลวงปู่สมเด็จลุน จริงหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ผมมั่นใจ เพราะผม มีหนังสือของท่านที่ท่านมอบให้น้องคนหนึ่งที่ผมรู้จัก ซึ่งเขาเคยบวชเณรอยู่กับท่าน หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า พระธรรมธาตุ ( พระอาจารย์สำเร็จลุน )ในหนังสือเล่มนี้หลวงปู่จันทร์หอมท่านได้ เผยแพร่ประวัติของท่านไว้ว่าท่านเป็นคนไทยเกิดที่เมืองไทยแต่ครอบครัวของท่านได้ย้ายไปทำไร่ทำนาทำสวนที่ทางฝั่งลาวเพราะมีความอุดมสมบูรณ์ดีพอท่านอายุได้ 12 ปี หลวงปู่สมเด็จตันท่านได้ขอกับพ่อแม่ของท่าน ขอตัวท่านไปเป็นศิษย์คอยอุปฐาก ตอนแรกสมเด็จตันท่านให้บวชเป็นผ้าขาวน้อยก่อน ให้ถือศีล 8 ต่อมาท่านก็บวชเณรให้ตอนนั้นท่านอยู่ภูเขาควาย ไม่นานสมเด็จตันก็พาท่านมากราบนมัสการสมเด็จลุน ที่ภูมะโรง และฝากให้เป็นศิษย์หลวงปู่สมเด็จลุน ท่านอยู่ปฎิบัติธรรมกับ สมเด็จลุน ในเรื่องธรรมธาตุจนแตกฉานภายใน 5 ปี สมเด็จจึงพากราบนมัสการลาสมเด็จลุนไปเดินวิเวกตามป่าเขาเพื่อหาประสบการณ์ ในสัจจธรรมเป็นเวลา 2 ปีกว่า ตอนนั้นท่านอายุ 20 เต็มย่างเข้า 21 ปี สมเด็จตันจึงพาท่านออกจากป่ามาบวชพระให้ เมื่อบวชพระแล้วหลวงปู่จันทร์หอมท่านคิดอยากเรียนปริยัติธรรม ท่านจึงขอแยกทางกับสำเร็จตัน ท่านเรียน
    จนจบ ป.ธ. 4 ประเทศลาว ท่านใช้เวลาเรียน 8 ปี หลังเรียนจบแทนที่
    หลวงปู่จะยินดีอยู่ในหมู่บ้านที่เจริญ หรืออยู่ในเมือง และ ยินดีในการปกครองคณะสงฆ์ เพื่อตำแหน่งทางคณะสงฆ์จะมอบให้ แต่ตรงกันข้ามท่านกลับยินดีอยู่ในป่าเหมือนเดิม ท่านจึงหันหลัง
    มุ่งหน้าเข้าป่าโดยไปยึดภูมะโรงเป็นที่พำนักบำเพ็ญธรรม ทั้งนี้เพราะจิตวิญญาณของท่าน ได้ฝึกอบรมทางด้าน
    วิปัสสนากรรมฐานมาตั้งแต่อายุ 12 – 21 ปีโลกต่างมิติท่านได้เห็น ได้พบตั้งแต่สมัยเดินวิเวกในป่ากับสมเด็จตันเพียงอยากรู้ปริยัติเท่านั้นท่านถึงเสียสละเวลาเรียน
    ในการไปอยู่ภูมะโรงครั้งที่ 2 นี้ ท่านอยู่ถ้ำแต่เพียงลำพังรูปเดียวจะถามว่าไม่มีพระรูปอื่นบ้างหรือไร ถึงได้อยู่เพียงลำพังรูปเดียวท่านว่า มีพระหลายรูปแต่อยู่กันรูปละถ้ำ บางครั้ง หรือบางรูปก็อยู่ภูละรูป ไม่เที่ยวไปหากัน หรือไม่คุยกัน ต่างรูปต่างทำหน้าที่ไปตามปกติของใครของมัน จะพบกันหรือมารวมกันก็ต่อเมื่อวันลง
    อุโบสถ มาลงรวมกันที่ภูมะโรงนั้น แต่มารวมกัน ณ ที่ ๆ พำนักของสมเด็จลุน ซึ่งท่านเป็นประธานสงฆ์ และแสดงธรรมปาฏิโมกข์ แจกพระธรรมวินัยและอบรมข้อวัตรปฏิบัติธรรมให้กับลูกพระที่มาลง
    พระอุโบสถ หลังจากนั้นแล้วท่านจะออกคำสั่งให้พระรูปใดแสดงธรรมเทศนาให้พวกบังบด หรือพวกลับแลฟัง เพราะในวันนั้นพวกบังบสหรือพวกลับแลก็จะมาจำศีลฟังธรรมเหมือนกันไม่ต่างอะไรกับโลกมนุษย์เรา ที่ต่างกันคือ เขาถือศีล 5 ไม่ให้บกพร่องและราคะอกุศล มูล 3 เขาละได้กว่ามนุษย์เราหลวงปู่จันทร์หอม ท่านพูดถึงพระที่มาลงอุโบสถในวันลงอุโบสถนั้น ท่านว่าน่าตื่นเต้นสำหรับคนไม่เคยเห็น เพราะพระที่มาแต่ละรูปนั้นไม่เหมือนกัน บางรูปเหาะมาทางอากาศ บางรูปไม่รู้ว่ามาทางไหน พอเห็นทีเขานั่งประจำที่เรียบร้อยแล้วรอกันก็รอไม่นาน เพียงแต่ที่ลงอุโบสถพร้อมเท่านั้น พระรูปที่เหลือ
    ก็มาถึงพอดี ๆ ไม่เคยได้นั่งรอกัน เวลาเลิกก็เหมือนกันเวลาพระจะกลับที่พัก พระนั้นก็ไปดังที่กล่าวมา บางรูปเดินไปยังไม่ไกลนักก็หายจากสายตาไปได้ง่าย ๆ หลวงปู่จันทร์หอม ท่านเป็นพระอริยสงฆ์ที่เป็นเลิศทางด้านฤทธิ์ซึ่งพระผู้ที่เป็นเลิศทางฤทธิ์ท่านจะเก่งในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะ
    เป็น มหาอุตต์ คงกระพัน แคล้วคลาด เมตตามหานิยมค้าขายดี นะจังงัง ป้องกันภัย ขับไล่ภูตผีปีศาจกันถอนคุณไสยคุณผีคุณคน ฯ ล ฯ เรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของ หลวงปู่จันทร์หอมมีพี่ท่านหนึ่งที่เป็นศิษย์ของ หลวงปู่พิศดู ธรรมจารีย์วัดเทพธารทอง จ.จันทบุรี ท่านกรุณาเล่าให้ผมฟังว่า ตอนที่ หลวงปู่ละมัย สำนักสงฆ์สวนป่าสมุนไพรจ. เพชรบูร์ พระอริยสงฆ์ผู้เปี่ยมไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งท่านเคยได้แนะนำพี่ท่านนี้ ให้ไปกราบ หลวงปู่จันทร์หอมวัดบุ่งขี้เหล็ก กับ หลวงปู่ฟัก วัดเขาวงพระจันทร์จ. ลพบุรี ตอนที่พี่คนนี้ถามหลวงปู่ละมัยท่านว่า " หลวงปู่เมตตา
    บอกผมด้วยครับว่าพระรูปใดที่ผมควรจะไปกราบ"หลวงปู่ละมัยท่านบอกว่า ตอนนี้ในไทย มี 2 องค์นี้เก่งจริง( ตอนนั้น หลวงปู่พิศดู วัดเทพธารทอง และ หลวงปู่หมุน
    วัดบ้านจาน ท่านละสังขารไปแล้วครับ)
    เว็บพลังจิต
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20241211_160038.jpg IMG_20241211_160104.jpg
     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,754
    ค่าพลัง:
    +21,342
    14528017-4.jpg
    FB_IMG_1733913524808.jpg


    ประวัติ พระครูโสภณธรรมรัต (หลวงปู่ถม ธัมมทีโป
    แม้ท่านจะมิใช่พระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ก็เป็นที่ล่วงรู้ในหมู่ชาวเมืองละโว้ว่า
    พระรูปนี้ไม่ธรรมดา ไม่ต้องโฆษณาประชาสัมพันธ์เพราะมีดีในตัวเอง แถมมีวัตถุมงคลขลังมากด้วยประสบการณ์
    ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2455 หลวงปู่ถมได้ถือกำเนิดขึ้นในครอบครัวของกำนันลอย และนางเนย แห่งตระกูลสงวนวงษ์ซึ่งเป็นชาวบ้านโพธิ์ผีไห้ (ปัจจุบันเป็นต.โพธิ์เก้าต้น) อ.เมือง จ.ลพบุรี
    ในวัยเด็กได้อาศัยหัดเรียนเขียนอ่านกับผู้เป็นบิดา จนถึงปีพ.ศ.2462 ได้ไปพักอาศัยกับสามเณรแถม ที่วัดเชิงท่า ซึ่งขณะนั้นพระครูโวทานสมณคุต (หลวงพ่อรุ่ง พรหมสโร) เจ้าอาวาส ท่านได้เปิดโรงเรียนทำการสอนลูกหลานของชาวบ้านท่าหิน
    ในช่วงนั้นจึงมีโอกาสเรียนหนังสือแบบเรียนเร็ว มูลบทบรรพกิจ รวมทั้งหัดอ่านเขียนหนังสือขอมด้วย และได้ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนประจำจังหวัด ตั้งอยู่ที่ตึกวิชาเยนทร์
    ปีพ.ศ.2465 พระครูธรรมรักขิต ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาได้บวชเรียนอยู่ที่วัดสุทัศน์ กทม. ได้รับตัวไปพักอาศัยด้วย เพื่อหวังให้หลานชายได้มีความรู้ภูมิปัญญาเท่าเทียมกับเด็กในกรุง
    การศึกษาในคราวนั้น สำเร็จชั้นประถมศึกษาและวิชาพิเศษที่ได้รับมาก็คือ วิชาช่างไม้
    ช่วงที่พำนักในวัดสุทัศน์นั้น ได้มีโอกาสรับใช้ใกล้ชิดสมเด็จพระสังราช(แพ) และพระมหาสนธิ์ (พระศรีสัจจญาณมุนี) โดยได้รับความเมตตาเอ็นดูจากท่านทั้งสองอย่างมาก
    หลังจบการศึกษาที่วัดสุทัศน์ก็กลับมาช่วยครอบครัวทำนา แต่หากมีเวลาเมื่อใด ก็จะเดินทางกลับมากราบสมเด็จพระสังราช(แพ) และพระมหาสนธิ์ (พระศรีสัจจญาณมุนี) อยู่เสมอๆ
    กระทั่งอายุ 20 ปี จึงเข้าอุปสมบทที่วัดโคกหม้อ โดยมีพระครูโวทานสมณคุต (หลวงพ่อรุ่ง) เจ้าอาวาสวัดเชิงท่า-วัดกวิศราราม เจ้าคณะจังหวัดลพบุรี เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการบุญ วัดโคกหม้อ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์เฉย วัดเชิงท่า เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    ความตั้งใจของท่านครั้งนั้น จะบวชเพื่อเอาดีทางด้านพระปริยัติและนักธรรม แต่การณ์กลับเป็นว่า ท่านต้องช่วยเหลือหลวงพ่อบุญในการซ่อมบำรุงเสนาสนะของวัดโคกหม้อ โดยอาศัยวิชาช่างไม้ที่ได้มาจากวัดสุทัศน์
    ต่อมาได้มีโอกาสพบกับหลวงพ่อรุ่งพระอุปัชฌาย์ จึงขออนุญาตหลวงพ่อบุญมาจำพรรษาที่วัดเชิงท่าเพื่อศึกษาพระธรรมวินัยในปีพ.ศ.2497 และสามารถสอบนักธรรมเอกได้ในปีพ.ศ.2481 หลังจากหลวงพ่อรุ่งมรณภาพได้ประมาณหนึ่งปี
    ภายหลังหลวงปู่ถมก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสสืบแทน แต่ท่านปฏิเสธไม่ขอรับตำแหน่ง โดยเอาใบตราตั้งไปคืนเจ้าคณะจังหวัด โดยยกเหตุผลว่าท่านนั้นมีคุณวุฒิและวัยวุฒิยังน้อยอยู่
    จนถึงสมัยของพระพุทธวรญาณ (ทองย้อย) ท่านได้ขอร้องแกมบังคับให้รับตำแหน่ง ดังนั้น ในปีพ.ศ.2504 เป็นปีที่ท่านไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ จึงปกครองดูแลวัดเชิงท่านตั้งแต่นั้นมาจนถึงทุกวันนี้
    ด้วยฝีมือในเชิงช่าง และความเป็นพระนักพัฒนาผู้เปี่ยมด้วยเมตตาธรรม เมื่อได้เป็นผู้นำแล้ว ท่านก็มุ่งมั่นสร้างสรรค์ความเจริญให้วัดเชิงท่า รวมทั้งสร้างสิ่งอันเป็นประโยชน์แก่ประชาชนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
    ผลงานล่าสุดก็คือ การสร้างพิพิธภัณฑ์หอโสภณศิลป์ สำหรับใช้เป็นสถานที่เก็บรักษาโบราณวัตถุที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ภูมิปัญญาของชาวบ้าน เพื่อไว้ให้ลูกหลานชาวเมืองลพบุรีและผู้ที่สนใจได้มีโอกาสเรียนรู้
    อาคารพิพิธภัณฑ์ซึ่งท่านเป็นแกนนำรวมกับคณะสงฆ์และฆราวาสที่มีจิตศรัทธา มีจุดมุ่งมั่นในทางเดียวกัน ทำให้เกิดสิ่งนั้นขึ้นมาเริ่มต้นเมื่อปีพ.ศ.2540 สำเร็จลงด้วยงบประมาณเกือบ 10 ล้านบาท
    สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนิน ทรงเป็นองค์ประธานในการเปิดอาคารเมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2545
    ทั้งนี้ ได้เปิดให้ผู้สนใจเข้าชม โดยไม่มีการเรียกเก็บเงินค่าผ่านประตูแต่อย่างใด
    ปัจจุบันในวัย 90 ปี แต่งานด้านการสงเคราะห์ต่อบรรดาญาติโยม มิได้ลดน้อยลงไป มีแต่จะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว แทบจะไม่มีเวลาพักผ่อน
    หากไม่รบกวนต่อสังขารเรื่องของการเจ็บป่วยแล้ว ท่านจะไม่เคยปฏิเสธกิจนิมนต์ใดๆไม่ว่าไกลหรือใกล้
    ในพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลหลายรุ่นย่อมจะขาดท่านไปไม่ได้ เพราะต่างเชื่อในความขลังอันเกิดจากพลังจิตของท่าน
    เท่าที่ได้รับการกล่าวขานก็คือ น้ำมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่ได้รับมักจะประสบกับความโชคดีมีลาภอย่างไม่คาดคิดมาก่อน
    ศาสตร์อีกแขนงหนึ่งที่ได้รับความเชื่อถือคือ การเจิมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ได้รับการเล่าสืบต่อๆกันมาว่า เมื่อครั้งที่หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์โก่งธนู ลพบุรี ยังมีชีวิตอยู่ มีผู้ไปขอให้ท่านเจิมรถยนต์ให้
    หลวงพ่อพริ้งได้กล่าวต่อเจ้าของรถว่า ตำราของฉันมันชอบลองของนะ
    ปรากฏว่าเป็นตามที่ท่านลั่นวาจาไว้ทุกครั้ง
    เมื่อเสร็จพิธีเจิมรถ เจ้าของนำรถออกนอกวัด มักจะพบประสบการณ์ตามที่หลวงพ่อพริ้งบอกไว้เป็นประจำ
    ภายหลังท่านได้บอกต่อผู้ที่จะนำรถไปให้ท่านเจิมว่า หากไม่ต้องการเจออุบัติเหตุประเภทปลอดภัยโดยตลอด ไปหาพระอาจารย์ถม วัดเชิงท่า ให้ท่านเจิมให้ ฉันรับรอง
    คำพูดของหลวงพ่อพริ้งเหมือนเป็นเครื่องการันตีในสรรพคุณ เพราะนับแต่นั้นเป็นต้นมา ได้ผู้นำรถมาให้ท่านเจิมมากขึ้นๆ
    ในส่วนของวัตถุมงคลนั้น ที่โด่งดังมีประสบการณ์ให้กล่าวขานถึงความขลังศักดิ์สิทธิ์ก็คือ เหรียญพระสมเด็จเกศทะลุซุ้ม ปี15,พระกริ่งธรรมรัตน์ พระสมเด็จเนื้อผง ,พระนาคปรก,พระย้อนยุคพระเครื่องเมืองลพบุรี,พระปิดตามหาลาภ พระร่วงโสภณญาณรังษี
    ส่วนล่าสุดคือรุ่น มหามงคล90สร้างในมงคลโอกาสอายุครบ 90 ปี เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2545
    ประสบการณ์ส่วนใหญ่จะเน้นไปทางด้านแคล้วคลาด ปกป้องคุ้มครอง เมตตามหานิยมเป็นเอก
    *********************
    ในส่วนของพุทธาคมนั้นเป็นที่แน่นอนว่าหลวงปู่ถมได้รับการถ่ายทอดวิชาจากหลวงพ่อรุ่ง ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์อย่างแน่นอนเพราะได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิด
    หลวงพ่อรุ่งนับเป็นเกจิอาจารย์เมืองละโว้ที่มีชื่อเสียงมากองค์หนึ่ง เก่งทางด้านการศึกษาและทำตะกรุด มีบารมีทางกระแสจิตแก่กล้ามาก
    ตะกรุดของท่านจะแจกเฉพาะผู้ใกล้ชิดเท่านั้น กล่าวกันว่าเวลาปลุกเสกตะกรุดจะร้อนและแดงเป็นไฟเลยทีเดียว
    นอกจากนี้ การได้เข้า-ออกวัดสุทัศน์เป็นประจำตั้งแต่สมัยเด็กจนกระทั่งบวชเรียน จึงทำให้ท่านได้วิชาจากสมเด็จพระสังฆราช(แพ) และเจ้าคุณศรีฯ(สนธิ์) มามิใช่น้อย
    ด้วยเหตุนี้ จึงปรากฏคุณวิเศษความเข้มขลังในวัตถุมงคลพระกริ่งที่ท่านได้สืบสานตำรับตำราการสร้างจากผู้เป็นพระอาจารย์ทั้งสอง
    ทั้งนี้นับว่าท่านเป็นศิษย์สายตรงวัดสุทัศน์เพียงหนึ่งเดียวในจังหวัดลพบุรี
    เกจิอาจารย์ดังของลพบุรีอีกองค์ที่ท่านได้รับถ่ายทอดวิทยาคมมาก็คือ หลวงปู่จัน วัดนางหนู เกจิยุคสงครามอินโดจีนที่เชื่อได้ในความคงกระพัน
    รวมทั้งได้รับการจารตะกรุดตามตำรับหลวงปู่ศุข เกสโร วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาทอีกด้วย
    นี่ย่อมแสดงถึงความเป็นศิษย์มีครูที่น่าสนใจยิ่ง!!!
    แม้จะเป็นศิษย์อาจารย์ดังในอดีตหลายต่อหลายท่าน แต่หลวงปู่ถมไม่เคยโอ้อวดให้ใครได้ยินสักครั้ง และไม่นิยมการโฆษณาชวนเชื่อแต่อย่างใดโดยให้เหตุและผลว่า
    จริงอยู่นิ่งๆก็ดัง ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ
    แต่ไม่ว่าท่านจะดังหรือไม่ นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ
    เพราะทุกวันนี้หลวงปู่ถมท่านคงมุ่งเน้นทางด้านปฏิบัติและบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อชุมชน ต่อญาติโยมในทุกสภาวะโดยไม่ทำให้ใครต้องเดือดร้อน
    วัตรปฏิบัติของท่านงดงาม เปี่ยมด้วยความจริงใจ
    รูปหล่อปั๊มรุ่นแรก ๗ รอบ อายุ ๘๔ ปี
    -ปลุกเสก ณ อุโบสถวัดเชิงท่า-
    ๑.หลวงพ่อถม ประธานจุดเทียนชัย
    ๒หลวงพ่อสำราญ วัดปากคลองมะขามเฒ่า ดับเทียนชัย
    ๓.หลวงพ่อเฮ็น วัดดอนทอง
    ๔.หลวงปู่ทิม วัดพระขาว
    ๕.หลวงพ่อเมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา
    ๖.หลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน
    ๗.หลวงพ่อเพี้ยน วัดเกริ่นกฐิน
    ๘.หลวงพ่ออำนวย วัดธรรมมิการาม
    ๙.หลวงพ่อสมพร วัดป่าธรรมโสภณ
    ๑๐.พระอาจารย์สมพิษ วัดเขาสมอคอน
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    รูปเหมือนปั๊มรุ่นแรกหลวงปู่ถม วัดเชิงท่า ลพบุรี พิมพ์เล็ก
    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20241211_174000.jpg IMG_20241211_174027.jpg
    IMG_20241211_173938.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2024 at 18:13
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,754
    ค่าพลัง:
    +21,342
    วันนี้จัดส่ง
    1733917157261.jpg
    ขอบคุณครับ
     
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,754
    ค่าพลัง:
    +21,342
    1733919836663.jpg
    หลวงพ่อกลั่น อัคคธัมโม
    วัดเขาอ้อ จังหวัดพัทลุง
    คอลัมน์ อริยะโลกที่ 6
    หลวงพ่อกลั่น – วัดเขาอ้อ เป็นวัดโบราณเก่าแก่แห่งหนึ่งของจังหวัดพัทลุง ตั้งอยู่หมู่ที่ 3 ต.มะกอกเหนือ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง
    วัดแห่งนี้มีชื่อเสียงโด่งดังด้านวิทยาคมมาตั้งแต่อดีต โดยเฉพาะเครื่องรางของขลังและพระเครื่องวัตถุมงคลที่มีพุทธคุณ เป็นสุดยอดปรารถนาของชาวพุทธทั่วไป ด้วยความรู้ด้านวิทยาคมแห่งสำนักวัดเขาอ้อ มีทั้งพระภิกษุและฆราวาส ในอดีตได้เล่าเรียนสืบต่อมาหลายชั่วอายุคนจนกลายเป็นตำนานสืบสายพุทธาคมมายาวนานต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
    รวมไปถึง หลวงพ่อกลั่น อัคคธัมโม หรือ พระครูอดุลธรรมกิตติ เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน ถือเป็นหนึ่งในผู้สืบทอดวิทยาคม สายวิชาสำนักวัดเขาอ้อ
    มีนามเดิมว่า กลั่น แก้วรักษา เกิดเมื่อ วันที่ 14 ธ.ค.2456 ที่บ้านไสคำ ต.โตนดด้วน อ.ควนขนุน จ.พัทลุง
    ช่วงวัยเยาว์มีแววความฉลาดปราดเปรียว เริ่มเข้าโรงเรียนประชาบาลตำบลละอาย อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช และเรียนจบชั้น ป.4 ในปี พ.ศ.2467 จากนั้นได้ลาออกมาช่วยบิดามารดาในการทำไร่ทำนา
    กระทั่งอายุ 17 ปี พ่อแม่เห็นสมควรที่บุตรชายจะได้ศึกษาพระธรรมวินัย ส่งเสริมให้เป็นบุคคลที่มีคุณธรรมสมบูรณ์ จึงได้เข้าพิธีบรรพชาที่วัดสวนขัน ต.ละอาย อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช โดยมีพระอาจารย์สังข์ วัดทุ่งไหม้ เป็นพระอุปัชฌาย์ และได้ไปศึกษาอยู่กับพ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน พร้อมกับพรสุดอันประเสริฐที่ได้รับก็คือ คำที่ว่า “ปรารถนาสิ่งใดก็ขอให้สมปรารถนาเถิด”
    หลังใช้ชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์เป็นเวลา 4 ปี จึงตัดสินใจลาสิกขา ตามความปรารถนา ของคนวัยหนุ่มและได้แต่งงานมีชีวิตครอบครัว
    หลังจากที่ได้อบรมเลี้ยงดูบุตรธิดา ทุกคนเติบใหญ่ สามารถช่วยเหลือตนเองได้แล้ว เกิดความเบื่อหน่ายชีวิตทางโลก จึงได้ตัดสินใจหันหน้าเข้าสู่เพศบรรพชิต อีกครั้ง เมื่อวันที่ 5 ก.ค.2514 ที่วัดบ้านสวน ต.มะกอกเหนือ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง โดยมีพระครูพิพัฒน์ศิริธร(หลวงพ่อคง) เจ้าอาวาสวัดบ้านสวน เป็นพระอุปัชฌาย์, หลวงพ่อคล้าย วัดสวนขัน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และหลวงพ่อหนานสูง เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    หลังจากที่ได้ศึกษาอยู่กับหลวงพ่อคงที่วัดบ้านสวน อ.ควนขนุน จ.พัทลุง นานพอสมควร ท่านได้รับมอบหมายให้ไปรักษาการบูรณะวัดเขาอ้อ พร้อมทั้งศึกษาพระธรรมวินัยควบคู่ไปกับการศึกษาวิทยาคมสายเขาอ้อกับพระอาจารย์ปาล ปาลธมโม ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเขาอ้อในขณะนั้น และเป็นผู้สืบทอดวิชาจากพระอาจารย์ทองเฒ่า
    พ.ศ.2518 พระอาจารย์ปาลไปจำพรรษาที่วัดดอนศาลาชั่วคราว พ.ศ.2519 หลวงพ่อกลั่นได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดเขาอ้อตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และได้รับการแต่งตั้งเป็นพระใบฎีกากลั่น รวมทั้งได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ชั้นโทที่พระครูอดุลธรรมกิตติ
    ตลอดเวลาหลวงพ่อกลั่นบูรณปฏิสังขรณ์ฟื้นฟูวัดเขาอ้อจนเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ พร้อมสร้างสาธารณประโยชน์มากมาย เป็นที่ศรัทธาของประชาชนทั่วไปทั้งชาวไทยและต่างประเทศ
    หลวงพ่อกลั่นได้ปฏิบัติงานศาสนกิจด้วยดี อบรมสั่งสอนพระธรรมวินัยแก่พระภิกษุ สามเณร และศิษย์วัดในการปกครอง อบรมสั่งสอนศีลธรรมจริยธรรมแก่พุทธบริษัทอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ยังเป็นกรรมการที่ปรึกษาหมู่บ้าน อพป.หมู่ที่ 3 บ้านเขาอ้อ โดยให้คำแนะนำปรึกษาและช่วยเหลือแก่คณะกรรมการหมู่บ้าน ร่วมปฏิบัติกิจทางศาสนาเป็นตัวอย่างแก่ภิกษุสามเณรและประชาชน
    ด้านงานสาธารณูปการ หลวงพ่อกลั่นสร้างกุฏิถาวรเป็นเรือนไม้ 1 หลัง สร้างพระประธานยืนหน้าอุโบสถ ถังน้ำประปาถาวร ห้องน้ำห้องส้วม กุฏิถาวรทรงไทย สร้างที่ประดิษฐาน รูปเหมือนพระอาจารย์ทองเฒ่า สร้างโรงครัวแบบถาวร เมรุเผาศพ แบบถาวร หอสมุดแบบถาวรลักษณะทรงไทย สร้างพระพุทธรูป และอื่นๆ อีกมากมาย
    ด้านสาธารณประโยชน์ หลวงพ่อกลั่นได้ชักชวนประชาชนช่วยกันสร้างถนนเข้าสู่วัดเขาอ้อ และทำถนนต่อจากวัดไปถึงบ้านเขากลาง พร้อมทั้งจัดสร้างสะพานข้ามคลอง ร่วมหาเงินและบริจาคเงินสมทบสร้างอาคารเรียนให้กับโรงเรียนวัดเขาอ้อ สร้างสะพานข้ามคลอง ถนนสายเขาอ้อ-ปากคลอง ร่วมกับประชาชนสร้างถนนสายเขาอ้อ-ดอนศาลา และสิ่งสาธารณประโยชน์อื่นๆ อีกหลายอย่าง
    ละสังขารอย่างสงบ เมื่อวันที่ 13 เม.ย.2549
    สิริอายุ 94 ปี พรรษา 36
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ นสพ.ข่าวสด
    เหรียญมหาอุตย์ พ่อท่านกลั่น วัดเขาอ้อ พัทลุง
    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20241211_184922.jpg IMG_20241211_184943.jpg
     
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,754
    ค่าพลัง:
    +21,342
    FB_IMG_1733821311401.jpg
    เหรียญพระแก้วมรกต รุ่นบุรณะฉัตร พ.ศ.2531 วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ประกอบพิธีพุทธาภิเษกอย่างยิ่งใหญ่ โดยใช้มวลสาร ยอดฉัตร ณ วัดพระแก้วมา ผสมมวลสาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงพระมหากรุณาธิคุณเสด็จมาประกอบพิธีพุทธาภิเษกด้วยพระองค์เอง และมีพระเกจิอาจารย์เก่งๆในขณะนั้นร่วมปลุกเสกหลายองค์ อาทิ หลวงปู่ดู่(ปลุกเสกในครั้งนี้เเล้วท่านยังได้รับเชิญให้ปลุกเสกเหรียญกรมหลวงชุมพรฯ วัดราชบพิธฯ กรุงเทพฯ ปี 2531อีกด้วย ) หลวงพ่อแพ ฯลฯ เนื้อทองคำเนื้อเงิน เเละเนื้อทองเหลือง
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ๒ เหรียญคู่
    ให้บูชา 320 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20241210_160421.jpg IMG_20241210_160452.jpg IMG_20241210_160515.jpg IMG_20241210_160538.jpg
    IMG_20241210_160557.jpg IMG_20241210_160617.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...