หลวงตามหาบัว อริยสงฆ์กู้ชาติ

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย aprin, 5 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    [​IMG]

    "…เวลามีชีวิตอยู่นี้ เราจะทำความดีให้โลกทั้งหลายได้เป็นคติตัวอย่างอันดีงาม และทำด้วยความเมตตาสงสาร เพราะหลังจากนี้แล้ว… เราตายแล้ว… เราจะไม่กลับมาเกิดในโลกนี้อีกต่อไป เป็นตลอดอนันตกาล…"

    นั่นคือปณิธานอันสูงส่ง และเต็มเปี่ยมไปด้วยความงามสง่าของพระธรรมวิสุทธิมงคล หรือ 'หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน' แห่งวัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี อริยสงฆ์ผู้มีเมตตาธรรมอันล้นเหลือต่อประเทศชาติและประชาชน ผู้อุทิศสังขารอันสูงวัยของตนที่สมควรจะต้องพักผ่อนในที่สัปปายะ แต่กลับมาเพียรเที่ยวเทศนาให้คนในชาติรู้สึกและสำนึกถึงการเสียสละเพื่อประเทศชาติในยามที่ประสบกับภาวะ 'วิกฤตเศรษฐกิจ' อย่างหนัก

    จากเหนือจรดใต้ จากตะวันออกจรดตะวันตก ทุกหนทุกแห่ง และทุกก้าวของท่านที่เหยียบย่างลงบนผืนแผ่นดินไทย เต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตาคุณอันยิ่งใหญ่ เพียงเพื่อหวังให้เราทุกคนสืบไปจนชั่วลูกชั่วหลานได้อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินไทยอย่างมีศักดิ์ศรี ไม่เป็นทาสและเสียเอกราชทางเศรษฐกิจให้แก่ระบบทุนนิยมสามานย์แห่งโลกสมัยใหม่...

    เหมือนดั่งที่ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระบุพพาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน และเป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ของหลวงตามหาบัว ได้กล่าวพยากรณ์ไว้เมื่อ พ.ศ. 2482 ว่า "ในอนาคตเบื้องหน้า พระมหาบัวผู้นี้จักทำประโยชน์ใหญ่ให้แก่ประเทศชาติและพระศาสนา..."

    เปิดตำนาน “พระป่ากู้ชาติ”

    ย้อนกลับไปเมื่อครั้งเกิดวิกฤตเศรษฐกิจทางการเงินครั้งร้ายแรงในปี พ.ศ.2540 โดยนโยบายเปิดตลาดเสรีทางการเงินของรัฐบาล พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ส่งผลให้บรรดา 'กองทุนเก็งกำไร' หรือ Hedge Fund ซึ่งเป็นบรรษัทข้ามชาติทางการเงินจากสหรัฐอเมริกา ใช้กลยุทธ์ที่เหนือกว่าโจมตีค่าเงินบาทเพื่อการเก็งกำไรค่าเงิน โดยธนาคารแห่งประเทศไทยได้นำเงินตราสำรองต่างประเทศออกมาต่อสู้ จนกระทั่งเงินตราสำรองของธนาคารแห่งประเทศไทยสูญหายไปเกือบหมดสิ้น จนรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ต้องประกาศลดค่าเงินบาท ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวอย่างต่อเนื่องจาก 25 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐ ไปอยู่ที่ 36 บาท จนประชาชนโกรธแค้นและขับไล่ และในที่สุดพล.อ.ชวลิตต้องลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2540 หลังจากบริหารประเทศเพียง 11 เดือน 9 วัน

    ผลจากวิกฤตเศรษฐกิจปี พ.ศ. 2540 ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยประสบภาวะขาดทุนจากการซื้อขายเงินตราต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ธนาคารและสถาบันการเงินถูกสั่งปิด หน่วยงานภาครัฐ เอกชน ตลอดจนประชาชนต่างประสบภาวะหนี้สินพะรุงพะรัง แม้แต่โรงพยาบาลต่างๆ ก็ถูกตัดงบประมาณจากรัฐ ข่าวฆ่าตัวตายเกิดขึ้นรายวันเพราะกิจการล้มละลาย ไม่มีเงินใช้หนี้ โรงงานและกิจการห้างร้านทยอยปิดตัวไป ตึกแถวอาคารพาณิชย์มีแต่ความรกร้างว่างเปล่าไม่มีผู้อยู่อาศัย โครงการก่อสร้างถนนหนทางกลายเป็นเศษอิฐเศษปูน ผู้คนต่างพากันตกงาน บัณฑิตจบการศึกษาก็ไม่มีงานทำ ทั่วทุกหัวระแหงมีแต่ภาพแห่งความสลดหดหู่ใจอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย

    อย่างไรก็ตาม ในท่ามกลางภาวะล้มละลายทางการเงินของประเทศ ซึ่งหลายคนเปรียบเปรยว่าเป็นการ 'เสียกรุงครั้งที่ 3' ได้มีพระภิกษุชรารูปหนึ่งซึ่งจำศีลภาวนาอยู่ในป่าเขา เมื่อได้ทราบถึงความเดือดร้อนของบ้านเมืองแล้วก็ไม่อาจนิ่งดูดาย ท่านได้ลุกขึ้นมาเรียกร้องให้ประชาชนออกมาช่วยกันกอบกู้บ้านเมือง เหมือนบรรพบุรุษที่ออกมาปกป้องและกอบกู้ชาติบ้านเมืองเมื่อคราวเสียกรุงครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2

    พระภิกษุชรารูปนั้นก็คือ 'หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน' โดยหลวงตาฯ ได้จัดตั้ง 'กองทุนผ้าป่าช่วยชาติ' ขึ้นเพื่อระดมทุนจากภาคประชาชนในรูปของทองคำและเงินตราต่างประเทศ โดยมีเจตนาที่จะนำไปใส่ไว้ใน 'คลังหลวง' เพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงทางการเงินของประเทศ

    จิตหลวงตาฯ นิมิตถึงชาติไทย

    ย้อนกลับไปเมื่อต้นปี พ.ศ. 2541 ก่อนที่จะเริ่มโครงการช่วยชาติ หลวงตามหาบัวได้เล่านิมิตถึงชาติไทยให้ลูกศิษย์ฟังว่า

    “...ปกติทุกๆ คืน เราเข้าสมาธิภาวนาเพื่อเป็นวิหารธรรม แผ่เมตตาจิตแก่สรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งมวล อำนาจของจิตนี้แผ่ไปไม่มีประมาณ ทะลุแผ่นดิน แผ่นฟ้าไปหมด ไม่มีอะไรมาขวางกั้น จิตที่บริสุทธิ์อิสระได้ในสามแดนโลกธาตุนี้

    “แต่คืนนั้นจิตนี้ก็ประหวัดถึงประเทศชาติบ้านเมืองที่อาศัยเกิดมาเป็นเวลานาน กำลังวิกฤตด้วยหนี้สินเป็นแสนล้าน เกิดความห่วงโลก ห่วงสงสาร ย่นเข้ามาถึงจุดเมืองไทย ติดหนี้ติดสินเมืองนอก เมืองไทยจะจม

    “ในนิมิตภาวนานั้นปรากฏว่า ประเทศชาติบ้านเมืองมืดครึ้ม ประหนึ่งว่า อุ้งหัตถ์แห่งพญามารที่กางเล็บไว้รอบปฐพีมณฑลไทย คอยแต่จะบีบรัดผู้อยู่ภายใต้ให้ตายได้ในเร็วพลัน ใช้จิตดวงอ่อนนิ่มพิจารณาภาวนาแผ่เมตตาไปทางใด มีแต่ความมืดดำปกคลุมหุ้มห่อประหนึ่งว่าจะหมดหวังในแสงสว่าง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ไม่มีอะไรมาขวางกั้นทางเดินแห่งวิหารธรรมแห่งจิตที่มีเมตตาครอบโลกนี้ได้เลย “พิจารณาแผ่เมตตาครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 พญามารตัวมืดบอดจ้องจะทำลายสรรพสัตว์บนพื้นโลกก็หายอมรับเมตตาและอรรถธรรมอันนั้นไม่ (ท่านเล่าในจิตภาวนา) กำหนดจิตพิจารณาหาใครหรือผู้ใด ที่จะมาช่วยแบ่งเบาภาระและจุดประกายให้แสงสว่างแก่ประเทศชาติที่ดำมืดครึ้มนั้นก็ไม่เห็นมี ประหนึ่งว่า “หมดหวังแล้วหนอ !! ชาติบ้านเมืองคราวนี้ ถึงคราวจะสูญสลายสิ้นชาติและศาสนาที่ให้ความร่มเย็นแก่โลกมาเป็นเวลานาน มองไปช่องทางใดก็มีแต่ความมืดมิดปิดตา

    “เมื่อไม่เห็นผู้ใดพอที่จะช่วยได้แล้ว จึงกำหนดจิตภาวนาย้อนเข้ามาภายในตน... ปรากฏว่าเห็นแสงสว่างเพียงหิ่งห้อยจึงกำหนดจิตเข้าไปตามลำแสงอันน้อยนิดนั้น ลำแสงนั้นรูเล็กคับแคบก็จริง แต่เมื่อกำหนดตามลำแสงนั้นออกไปจนสุดทางแห่งความมืดที่อุ้งหัตถ์แห่งมารปกคลุม ปรากฏว่ามีแสงสว่างจ้า โล่ง โปร่ง สดใสเบิกบาน เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจ”

    หลวงตาฯ ท่านเล่าต่อว่า “แสงเพียงหิ่งห้อยนั้น คือตัวท่านเอง” ท่านให้อุบายว่า งานช่วยชาติของท่านคราวนี้จะมีอยู่ 2 ทางคือ 1.จะเป็นทางบุญนำหมู่มหาชนเพิ่มพูนแนวทางไปสู่สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน และ2.จะเป็นทางบาปไปนรกสำหรับผู้ที่ไม่เห็นด้วย ไม่อนุโมทนา แต่คิดจ้องที่จะทำลาย ลบหลู่ดูหมิ่นเหยียบย่ำ ทำลายสกัดกั้นแนวทางเพิ่มพูนความดี

    “คิดว่าจะได้แบกหามโลกประเทศไทยทั้งชาติ มันก็คงเป็นนิสัยวาสนา... เวลานั้นเรากำลังป่วยหนักเกี่ยวกับโรคมะเร็งลำไส้ขั้นสุดท้าย ถ่ายท้องวันละ 10 กว่าครั้ง หมอบอกว่า หลวงตาฯ “ไม่รอด” จึงมีความปริวิตกว่า “เราตายเวลานี้จะทำอย่างไรชาติไทยของเรา” ถึงกับร้องโก้ว่า “ถ้าหลวงตาบัว ยังไม่ตาย เมืองเรายังจมไม่ได้ นี่คือกำลังใจของเรา มันจะพยายามแหวกว่ายเอาให้ได้ ส่วนร่างกายไม่ต้องพูดถึงเลย มันหมดสภาพแล้ว ที่อยู่ได้ก็เพราะกำลังใจ ใจมีวิหารธรรม อย่างเดียวเท่านั้น” หลวงตาฯ ปรารภ

    เคลื่อนทัพแห่งธรรมออกมาบิณฑบาตกู้ชาติ

    หลังจากนั้น, ด้วยเมตตาธรรมที่มีต่อชาติและพี่น้องชาวไทย หลวงตามหาบัวได้ทำการระดมความช่วยเหลือจากพุทธศาสนิกชนทุกหมู่เหล่าจากทั่วทุกสารทิศ เพื่อกอบกู้สถานการณ์บ้านเมือง โดยเปิดตัว “โครงการช่วยชาติ” อย่างเป็นทางการในวันที่ 12 เมษายน 2541 โดยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จเป็นองค์ประธาน ณ สวนแสงธรรม พุทธมณฑลสาย 3 กรุงเทพมหานคร เพื่อปลุกจิตสำนึกของชาวไทยในยามประสบทุกข์ ให้รู้จักน้อมนำหลักธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวในใจ และทางวัตถุ หลวงตาเมตตาออกมาเป็นผู้นำในการรับบริจาคเงินทองจากพี่น้องชาวไทยทุกภาคทั่วประเทศ เพื่อนำทองคำเข้าสู่ ‘คลังหลวง’ เป็นการรักษาเสถียรภาพทางการเงินให้มั่นคงปลอดภัยและเป็นหลักประกันชาติ

    และวันนั้น, หลวงตาได้เทศน์แก่ทุกคนที่สวนแสงธรรม ตอนหนึ่งว่า

    "...ดูสภาพของเมืองไทยแล้วพี่น้องชาวไทยทั้งหลายต่างคนต่างมีความทุกข์ร้อนทุกหย่อมหญ้ากันไปโดยลำดับลำดาไม่ว่าสถานที่ใด ก็ทนใจอยู่ไม่ได้ จึงต้องออกความคิด ความเห็นในแง่ต่างๆ ที่จะนำชาติไทยของเราให้เป็นไปด้วยความแคล้วคลาด ปลอดภัย หาทางใดก็ไม่เจอ ตามความสามารถความคิดอ่านของตัวเอง หาแล้วหาเล่า หาไม่เจอ สุดท้ายก็เลยต้องเอาหลวงตาบัวเป็นตัวประกัน นำพี่น้องทั้งหลายเพื่อจะบริจาคทรัพย์ที่มีอยู่ของตนเข้าช่วยชาติของเราด้วยความบริสุทธิ์ใจนี้แหละเริ่มต้นเหตุเป็นอย่างนี้จึงได้ออกประกาศตน"

    จากวันนั้น หลวงตาได้เคลื่อนทัพแห่งธรรมออกมาบิณฑบาตกู้ชาติ โดยหลวงตาปรารภว่า “จำเป็นต้องอาศัยความสามัคคีของพี่น้องไทยทุกคน ให้ต่างเสียสละช่วยกันอย่างจริงจัง” และเมื่อคำปรารภดังกล่าวกระจายออกสู่สังคมกว้างขวางขึ้น ผู้เคารพศรัทธาท่านและผู้มีความรักชาติเป็นพื้นฐานเดิมอยู่แล้วต่างออกมาแสดงน้ำใจสละเงินทองช่วยกัน เมื่อคณะบุคคลต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศรับรู้มากขึ้น น้ำใจแห่งความรักชาติก็เริ่มทยอยหลั่งไหลมากันอย่างไม่ขาดสาย...

    อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยความเมตตาสงสารของท่านต่อพี่น้องชาวไทย แม้จะชราภาพหรือเหน็ดเหนื่อยเพียงใด ท่านก็อุตส่าห์ฝืนสังขารไปแสดงธรรมเทศนาท่ามกลางความห่วงใยของลูกศิษย์พระเณรฆราวาสเกี่ยวกับสุขภาพของท่าน แต่ไม่มีใครสามารถทัดทานความเมตตาของท่านได้ เพราะการที่ประเทศชาติและประชาชนต้องประสบกับเคราะห์กรรมในครั้งนี้ ทำให้หลวงตาไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้ด้วยเมตตาธรรม แม้จะชราภาพด้วยวัยขณะนั้น 84 ปีแล้ว ทั้งธาตุขันธ์ร่างกายยังมีโรคภัยเข้าเบียดเบียน ต้องถ่ายท้องถึงวันละ 7-8 ครั้งต่อเนื่องกันเป็นเวลาถึง 8 เดือนเต็ม อาการถ่ายท้องของท่านก็ยังไม่ดีขึ้นแต่อย่างใด ระยะนั้นหลวงตาจึงดูซูบผอมหมดเรี่ยวแรง แม้จะเดินจากกุฏิไปศาลาเพียง 30-40 เมตร ก็ยังโซเซแทบจะเดินไม่ไหว ถึงกับทำให้หลวงตาตกลงปลงใจแล้วว่า จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ทันเข้าพรรษาปี พ.ศ. 2541 อย่างแน่นอน จากนั้นท่านสั่งให้พระทำ ‘เมรุ’ แบบเรียบง่ายเพื่อเตรียมไว้เผาศพองค์ท่านเอง

    อย่างไรก็ตาม อุปสรรคกีดขวางทางกู้ชาติของหลวงตามิได้มีเพียงเท่านั้น ในวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2541 หลังฉันภัตตาหารเช้า หลวงตาได้เดินทางโดยรถตู้ไปแจกจ่ายข้าวสาร อาหารแห้ง และบริจาคเงินช่วยเหลือโรงพยาบาลในอำเภอใกล้เคียง ระหว่างทางได้ประสบอุบัติเหตุกะทันหัน เป็นเหตุให้หลวงตาได้รับบาดเจ็บกระดูกแขนขวาแตก ต้องเยียวยารักษาอยู่หลายเดือนกว่าจะหายเป็นปกติ ซึ่งในระยะนั้น คณะศิษย์ได้กราบขอให้หลวงตายุติการช่วยชาติเพราะห่วงสุขภาพหลวงตา โดยเฉพาะเพิ่งประสบอุบัติเหตุมา แต่ด้วยความเมตตาต่อชาติบ้านเมืองมีน้ำหนักมากกว่า หลวงตาจึงยืนยันจะดำเนินต่อไปพร้อมให้เหตุผลว่า

    “...แม้หลวงตาจะประสบอุบัติเหตุ กระดูกแขนแตกพิกลพิการเช่นนี้ หลวงตายังไม่รู้สึกห่วงตัวเองยิ่งกว่าชาติไทยของเรา เราห่วงชาติไทยเราจริงๆ นะ... เราติดหนี้เขาจนถึงขนาดที่ว่าเมืองไทยเราจะจมในปี 40 เป็นปีที่ร้อนมากที่สุดสำหรับเมืองไทยเรา ร้อนเข้าไปถึงศาสนา ร้อนเข้ามาหาหลวงตาถึงขนาดร้องโก้กเลย หลวงตาบวชมาก็ไม่เคยร้องโก้กแบบสะเทือนมากทั่วประเทศไทยนี้...”

    ในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนั้น หลวงตามหาบัวได้ปลุกขวัญกำลังใจของคนไทย และร่วมสืบทอดเจตนารมณ์จากบรรพบุรุษในการระดมเงินบริจาคเพื่อเพิ่มทุนและปกป้องคลังหลวงไว้เท่าชีวิต ด้วยมุ่งหวังเพียงเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขอย่างสงบมั่นคงของสังคมไทย

    และไม่นานหลวงตามหาบัวก็สามารถรวบรวมทองคำและเงินสกุลต่างๆ เข้าคลังหลวงของประเทศมูลค่ามหาศาลอย่างที่ไม่เคยมีปรากฏในประวัติศาสตร์ชาติใดในโลก และด้วยความมุ่งมั่นจริงจังของหลวงตาฯ ส่งผลให้การช่วยชาติของท่านคิดมูลค่าเป็นตัวเงินจำนวนมากมายมหาศาลอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติชีวิตของบุคคลใดในประเทศ ขณะที่เงินดอลลาร์และทองคำบริจาคจำนวนนี้ มาจากน้ำใจชาวไทยทั้งชาติ นับตั้งแต่พระมหากษัตริย์ สมเด็จพระราชินี พระบรมวงศานุวงศ์ หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน พ่อค้า ประชาชน ตลอดจนพระสงฆ์ทั่วประเทศร่วมกันเสียสละเพื่อชาติ

    เฉพาะอย่างยิ่งการทำ ‘ผ้าป่าช่วยชาติ’ หรือ ‘กฐินเพื่อชาติ’ เป็นการนำจตุปัจจัยที่ประชาชนร่วมทำบุญยกถวายให้เป็นสมบัติของสงฆ์ และสงฆ์มีฉันทามติร่วมบริจาคเข้าสู่ ‘คลังหลวง’ เป็นจำนวนมากและหลายวาระ จึงกล่าวได้ว่า ‘โครงการช่วยชาติ โดยหลวงตามหาบัว’ นี้ เป็นการแสดงความรัก ความเสียสละ และความสามัคคีของคนไทยทุกระดับชั้นทุกภาคของประเทศ รวมน้ำใจอุ้มชูชาติขึ้นด้วยการบริจาคเงินทองเข้าสู่ ‘คลังหลวง’ หลอมรวมกับเงินที่เก็บสะสมมาตั้งแต่อดีต นับเป็นการสืบทอดหลักการและเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษอย่างเป็นรูปธรรมในอันที่จะเก็บรักษาและเพิ่มพูนสินทรัพย์ในคลังหลวงให้แน่นหนามั่นคงสถาพรยิ่งๆ ขึ้นไป

    ฉะนั้น, เงินทองบริจาคที่หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกับ ‘คลังหลวง’ ในครานี้ นอกจากจะมีมูลค่ามหาศาลทางด้านวัตถุแล้ว ยังทรงคุณค่าเหนือค่าเหนือราคาทางด้านจิตใจ เนื่องจากมีหลักธรรมในพระพุทธศาสนาพาก้าวเดิน เหตุการณ์อันทรงค่าเหล่านี้ จักเป็นประวัติศาสตร์ที่ภาคภูมิใจยิ่งของชาติไทยอีกครั้งหนึ่งเหมือนเมื่อครั้ง ‘เงินถุงแดง’ และเงินบริจาคในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่เสียสละช่วยกันจนไถ่บ้านไถ่เมืองไว้ได้

    นับจากวันที่หลวงตาได้เคลื่อนทัพแห่งธรรมออกมาบิณฑบาตกู้ชาติ เรื่อยมา... จนถึงวันนี้, ล่าสุด, ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ได้ออกมาเปิดเผยว่า ทองคำที่ได้รับบริจาคจากหลวงตามหาบัวมีทั้งสิ้น 12,079 กิโลกรัม เงินดอลลาร์ 10 ล้านเหรียญ คิดเป็นเงินบาทรวมทั้งสิ้น 1.6 หมื่นล้านบาท

    ”นี่ก็จวนแล้วนะ มันก็ได้ 96ปี”

    ทั้งหมดนี้คือความตั้งใจและเมตตาที่องค์พระชรารูปนี้มีต่อผู้คนในประเทศ เป็นเมตตาอย่างเดียวกับที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายมีให้แก่บุตรหลาน โดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง เพราะนี่คือความเสียสละอันยิ่งใหญ่ของพระป่า-พระชรารูปหนึ่ง “อริยสงฆ์” ผู้มีความห่วงใยต่อประเทศชาติและประชาชน แม้จะรู้ว่าวาระสุดท้ายของตนเองกำลังจะมาถึง ดั่งที่ท่านได้เทศน์เมื่อวันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2552 ณ วัดป่าบ้านตาด ว่า...

    “...นี่ก็จวนแล้วนะ มันก็ได้ 96 ปี ไม่นานละ อายุ 96 แต่จะเป็นอะไรก็ตามเถอะ เราพูดให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายฟังให้ชัดเจนเสียว่า เราไม่มีวิตกวิจารกับการเกิดการตายของเรา ตายแล้วจะไปเกิดที่ไหนไม่มี จะก้าวหน้าก็ไม่มีจะถอยหลังก็ไม่มี คงเส้นคงวาหนาแน่น ภายในใจกับธรรมเป็นอันเดียวกัน เป็นธรรมธาตุอยู่ในหัวใจพอ นี่ละ เราสร้างมากๆ แล้วกลั่นกรองกันไป กลั่นกรองกันไปก็กลายเป็นธรรมธาตุภายในใจดวงเดียว นั่นละพอ พออยู่ที่นั่น จึงไม่วิตกวิจารเรื่องการเป็นการตาย

    “เมื่อมันพอแล้วมันพอหมด ความพอมันอยู่ในใจดวงเดียวนะ สิ่งเหล่านี้ไม่พอ ยังบกพร่องขาดเขินอยู่ตลอดมา ไม่มีเวลาสม่ำเสมอ ส่วนใจนั้นเราอบรมให้ดีแล้วเสมออยู่ตลอดเวลาเลย จะเป็นจะตายอะไรไม่ได้วิตกวิจารละ เมื่อมันพอในใจแล้วไปรวมอยู่ที่ใจนะ ทุกข์ทั้งมวล สุขทั้งมวล มาอยู่ที่ใจหมด จะสร้างอะไรก็ตามๆ ใจเป็นคลังใหญ่สำหรับรับดีและชั่ว

    “ให้พากันระมัดระวัง ความชั่วอย่าทำ การทำความชั่วมากน้อยเท่ากับการทำลายตนเองมากน้อยเหมือนกัน ทำความดีมากน้อยเป็นการส่งเสริมตนเองให้ดีขึ้นโดยลำดับลำดา ไม่เช่นนั้นตายทิ้งเปล่าๆ นะ เราเกิดมานี้กี่วันกี่ปีกี่เดือน เราได้สร้างความดีมากน้อยเพียงไร แล้วสร้างความชั่วมากน้อยเพียงไร เอามาวัดมาตวงกันนะ... เริ่มคิดละคนเรา ถ้าไม่ได้คิดตอนนี้แล้วหมดโอกาส ให้คิดเสียตอนนี้ละ...”

    อาลัยหลวงตาฯ

    และทั้งหมดนั้นก็คือการออกมา “กู้ชาติ” ของหลวงตามหาบัวแห่งวัดป่าบ้านตาด จนวาระสุดท้ายที่ท่านละสังขาร ปล่อยวางธาตุขันธ์อย่างสมบูรณ์ เมื่อเวลา 03.53 น.ของวันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม 2554 ยังความโศกาอาดูรมาสู่พุทธศาสนิกชน-คนไทยทั้งประเทศ ที่ได้สูญเสียพระอริยสงฆ์ผู้ทรงคุณูปการต่อประเทศชาติและประชาชน พระผู้เป็นตัวอย่างของผู้เสียสละ ผู้นำในการช่วยชาติบ้านเมืองให้พ้นจากวิกฤต หลุดพ้นจากการเป็นทาส และการสูญเสียเอกราชทางเศรษฐกิจครั้งร้ายแรงของประเทศไทย

    และถึงแม้ละสังขารไปแล้วท่านก็ยังเป็นห่วงประเทศชาติและประชาชน โดยท่านได้ระบุในพินัยกรรม ว่า

    "พินัยกรรมฉบับนี้ ข้าพเจ้าไม่มีเจตนาที่ใช้บุคคลใด หรือคณะบุคคลใดนำไปใช้ในการอันใด นอกจากใช้เป็นเงินทุนสำรองของประเทศ และให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นจัดงานศพและจัดการดูแลทรัพย์สินทั้งปวงที่มีอยู่ในขณะมรณภาพ ส่วนเงินที่จะได้รับบริจาคในงานศพของข้าพเจ้า ให้ดำเนินการอย่างเปิดเผย และดำเนินการตามเจตนาของข้าพเจ้า"

    ดั่งปณิธานอันสูงส่ง และเต็มเปี่ยมไปด้วยความงามสง่าที่หลวงตาฯ เคยประกาศว่า "…เวลามีชีวิตอยู่นี้ เราจะทำความดีให้โลกทั้งหลายได้เป็นคติตัวอย่างอันดีงาม และทำด้วยความเมตตาสงสาร เพราะหลังจากนี้แล้ว… เราตายแล้ว… เราจะไม่กลับมาเกิดในโลกนี้อีกต่อไป เป็นตลอดอนันตกาล…"

    หยดน้ำย่อมไม่ติดในใบบัว วารีย่อมไม่ติดในดอกบัวฉันใด พระอรหันต์ผู้มีปัญญาเป็นเครื่องกำจัด ย่อมไม่สำคัญในรูปที่เป็น เสียงที่ได้ยิน และอารมณ์ที่ทราบฉันนั้น

    กราบแทบเท้าหลวงตาฯ... สาธุ

    *********************
    พ่อแม่ครูอาจารย์
    กับหลวงตามหาบัว

    มีข้อมูลอันเกี่ยวเนื่องด้วยอัจฉริยคุณของท่านหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ที่มีผู้บันทึกไว้ โดยได้เคยล่วงรู้มาแต่ต้นจาก "พ่อแม่ครูอาจารย์" ตลอดจนพระบุพพาจารย์ใหญ่หลายท่าน ได้กล่าวถึงหลวงตามหาบัว ไว้ดังนี้...

    "ในอนาคตเบื้องหน้า พระมหาบัวผู้นี้จักทำประโยชน์ใหญ่ให้แก่ประเทศชาติและพระศาสนา..." (พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ พระบุพพาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานกล่าวพยากรณ์ไว้เมื่อพ.ศ. 2482)

    "ท่านมหา...ท่านมหา...ขอใส่บาตรหน่อย" (พระอาจารย์มั่น กล่าวพร้อมกับลุกขึ้นมาใส่บาตรให้หลวงตามหาบัวสมัยอยู่ที่บ้านหนองผือด้วยมือของท่านเอง หรือที่สุดบางคราวท่านพระอาจารย์มั่นก็กรุณาเอา 'ผ้าที่ท่านห่มพร้อมดอกไม้ธูปเทียน'ไปทอดผ้าบังสุกุลให้ถึงที่จำวัดของหลวงตามหาบัวด้วยเมตตาอันหาที่เปรียบมิได้เลยทีเดียว)

    "ท่านมหาบัวนี่แหละ ที่จะเป็นที่พึ่งของหมู่คณะในวันข้างหน้านะ.." (พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ)
    "ในยุคบ้านหนองผือ พระอาจารย์มหาบัวลึกซึ้งมากทุกวิถีทาง ท่านพระอาจารย์มั่นไว้ใจมากกว่าองค์อื่นๆ ในกรณีทุกๆ ด้าน.." (หลวงปู่หล้า เขมปัตโต วัดภูจ้อก้อ มุกดาหาร)

    "หลวงตามหาบัวเป็นพระอรหันต์ร้อยเปอร์เซ็นต์ พันเปอร์เซ็นต์..." (หลวงพ่อสังวาลย์ เขมโก วัดทุ่งสามัคคีธรรม สุพรรณบุรี)

    "หลวงตามหาบัวเป็นพระอรหันต์อันดับหนึ่งของประเทศไทย เพราะมีบารมีมากเหนือใครๆ ฤทธิ์ก็เยอะนะ..." (หลวงพ่อสังวาลย์ เขมโก วัดทุ่งสามัคคีธรรม สุพรรณบุรี)

    "บุญอะไร ก็ไม่เท่าบุญที่ทำกับหลวงตามหาบัว...

    "เสียดายที่โยมพ่อโยมแม่ของอาตมาตายไปเสียก่อน หาไม่แล้ว จะต้องให้มาทำบุญกับหลวงตาเสียเลยทีเดียว..." (หลวงพ่อสังวาลย์ เขมโก วัดทุ่งสามัคคีธรรม สุพรรณบุรี)

    "สิ่งที่หลวงตามหาบัวทำ ถูกต้องทุกอย่าง อาตมาไม่มีข้อสงสัย..ให้ทำตามหลวงตาให้หมด" (หลวงพ่อสังวาลย์ เขมโก วัดทุ่งสามัคคีธรรม สุพรรณบุรี)

    "ในยุคนี้ ไม่มีใครเกินหลวงตามหาบัว..." (หลวงพ่อแนน สุภัทโท วัดซำขาวถ้ำยาว จ.ขอนแก่น)
    "พระนักเทศน์ ใครๆ ก็รู้จัก..." (หลวงปู่สาม อกิญจโน วัดป่าไตรวิเวก สุรินทร์)

    "ผมยอมท่านอาจารย์(หลวงตามหาบัว) ดูลักษณะท่าทางนี่ไม่ผิดกับท่านอาจารย์มั่น ผมจับได้หมดเลย ผมเคารพสุดยอด" (หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท วัดป่าภูริทัตปฏิปทาราม ปทุมธานี)

    "ให้รีบไปกราบหลวงตามหาบัวเสียไวๆ ที่สุดเถิด เพราะหลวงตาท่านเข็นสังขาร (ต่ออายุ) มาให้นานถึง 10 กว่าปีนี่แล้วนะ!" ( พระอาจารย์แบน วัดดอยธรรมเจดีย์ สกลนคร (กล่าวกับศิษย์ตอนหลวงตามหาบัวเจริญอายุได้ 90 ปี)

    "เมตตาของหลวงตามหาบัวที่ได้ออกมาทำโครงการผ้าป่าช่วยชาตินั้น เปรียบเสมือนกับผืนแผ่นฟ้าที่ห่มคลุม(ปกป้อง)แผ่นดินไทยไว้ทั้งหมดเลยทีเดียว..." (สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร)

    "ถ้าไม่(ทรงคุณธรรม)"ถึงขั้น"จริงๆแล้วละก็ จะถามปัญหาแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ..." (หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ กล่าวชมหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนในการสนทนาถามปัญหาธรรมครั้งหนึ่ง)

    และหลวงพ่อพุธ ฐานิโย ได้สรุปในตอนสุดท้ายว่า "นี่แหละ ท่านผู้เป็นพระอรหันต์ หมดอาสวกิเลสแล้วอย่างแท้จริง ย่อมเป็นอย่างนี้นี่แล..."

    http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000015657<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2011

แชร์หน้านี้

Loading...