หลวงตามหาบัวฯ : นิสัยวาสนาทางธรรมกับทางโลก

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย pump - อภิเตโช, 9 กรกฎาคม 2008.

  1. pump - อภิเตโช

    pump - อภิเตโช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,202
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,803
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top noWrap align=middle bgColor=#a6c298>9 ก.ค. 2551</TD><TD vAlign=top bgColor=#faf3c9>14:00</TD><TD vAlign=top bgColor=#faf3c9>ห้องประชุมชั้น 10 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบฯ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เขตราชเทวี กรุงเทพฯ</TD><TD vAlign=top bgColor=#faf3c9>แสดงพระธรรมเทศนาให้กับแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ตลอดจนผู้สนใจ เรื่องธรรมะเพื่อส่งเสริมจริยธรรมสำหรับแพทย์และบุคคลากรทางการแพทย์ และรับผ้าป่าสงเคราะห์</TD></TR></TBODY></TABLE>


    เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓​
    นิสัยวาสนาทางธรรมกับทางโลก​

    นี่ใครก็ทราบแล้วเรื่องการเข้าพรรษา กำหนดเขตก็คือกำแพงสำหรับวัดนี้ วัดไหนเช่นอย่างวัดใหม่ก็กำแพงเป็นสำคัญ ก็รู้กันทุกองค์ ๆ แล้วจึงไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ฟังมากมาย ในพรรษานี้ไม่ท่องเที่ยวไปที่ไหน กิจการงานที่มาเกี่ยวข้องก็รู้สึกจะน้อยกว่าเวลาธรรมดา ให้หมู่เพื่อนตั้งอกตั้งใจตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัตินะ ดูโลกเกิดกับโลกกองทุกข์นี้เกิดมานานแล้วนะกี่กัปกี่กัลป์ในใจดวงหนึ่ง ใจของเราทุกคนนี้คือนักท่องเที่ยว เกิดตายไม่มีวันหยุดวันหย่อนไม่มีต้นมีปลาย กิเลสวางสายยาวเหยียดตลอดเวลาพาให้สัตวโลกเกิดตายไม่มีที่สิ้นสุด
    เวลานี้เรากำลังจะตัดทอนวัฏวนความพาเกิดพาตายจากกิเลส เราจะตัดกิเลสตัวเป็นสาเหตุให้พาเกิดพาตายนี้ให้ลดลงเป็นลำดับลำดา กิเลสทุกประเภทเป็นตัวให้พาเกิดพาตายทั้งนั้น ให้สัตวโลกมืดบอดมาตลอด สิ่งใดจะมีอยู่เต็มท้องฟ้ามหาสมุทรทั่วแดนโลกธาตุมันก็ปิดไว้เสียหมด แล้วจับสัตว์ทั้งหลายเอาหัวชนไปแบบไม่ลืมหูลืมตา จึงโดนตั้งแต่กองทุกข์ ๆ มันไม่ให้มองเห็นสิ่งที่เป็นโทษเป็นกรรม มีแต่ความอยากความทะเยอทะยานความดีดความดิ้น ออกจากภายในใจซึ่งเป็นตัวทะเยอทะยาน ตัวดีดตัวดิ้นผลักดันออกมาไม่มีวันอิ่มพอ หมุนออกมาตลอด สัตวโลกจึงไม่มีวันอิ่มพอในความอยากความทะเยอทะยาน ความทุกข์ก็ติดตามไปตามความอยาก คือกิเลสเป็นตัวเหตุสร้างกองทุกข์แก่สัตว์ มันหมุนของมันไปอย่างนั้น ให้สัตว์ทั้งหลายเกิดตาย ๆ อยู่อย่างนี้ตลอดมานี่ก็ได้พยายามปฏิบัติมา ที่ได้มาเป็นครูเป็นอาจารย์สอนหมู่สอนเพื่อน ตลอดถึงสอนโลกทั่วๆไป เฉพาะอย่างยิ่งในเมืองไทยเราเรียกว่าสอนทั่วประเทศไทยเลย ในเบื้องต้นเราก็ไม่เคยสนใจว่าจะได้ทำหน้าที่อย่างนี้มาจนถึงขนาดนี้นะ มีความมุ่งมั่นต่อแดนพ้นทุกข์โดยถ่ายเดียวเท่านั้น เพราะนิสัยฝังมาเป็นประจำตั้งแต่เริ่มบวช ได้อ่านประวัติพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลาย ตลอดถึงบาป บุญ นรก สวรรค์ นิพพาน เกิดความเชื่อความเลื่อมใสซึ้งภายในใจ จนกระทั่งถึงหมุนออกไปเพื่อความพ้นทุกข์
    ได้ยินได้ฟังอรรถธรรมจากพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นแล้วยิ่งถึงใจ เรียกว่าเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ จิตใจที่มุ่งต่อแดนพ้นทุกข์ ก็ได้ปฏิบัติตนเต็มกำลังความสามารถ พูดถึงเรื่องความพากเพียรนี้พูดให้ใครฟัง คนไม่อาจจะเชื่อได้ในความเพียรของเรา เพราะเราเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ทำอย่างนั้นจริง ๆ ไม่เคยได้รับความสุขความสบายเลย ตั้งแต่วันออกประกอบความพากเพียร จากการได้ยินได้ฟังอรรถธรรมอย่างถึงใจของพ่อแม่ครูจารย์มั่นแล้ว เอาเต็มเม็ดเต็มหน่วย
    การปฏิบัติเริ่มต้นตั้งแต่จิตเป็นสมาธิขึ้นมา การตะเกียกตะกายที่จะทำจิตให้เป็นสมาธิแทบล้มแทบตาย เป็นความทรมานมากที่สุดในการตั้งรากตั้งฐานเบื้องต้น ตะเกียกตะกาย มีอันหนึ่งที่เป็นเชื้อสำคัญไม่ท้อถอยน้อยใจ ก็คือความมุ่งมั่นต่อแดนพ้นทุกข์นี้รุนแรงมากทีเดียว คือขอให้พ้นทุกข์ในชาตินี้ ไม่ต้องการจะมาเกิดมาตายอีกแล้ว ทั้ง ๆ ที่กิเลสยังมีเต็มหัวใจ จิตใจก็ล้มลุกคลุกคลาน แต่ความมุ่งมั่นความปรารถนานี้รุนแรงมากมาตลอด นี่ละพาฉุดพาลากความพากเพียรทั้งหลาย ได้รับความทุกข์ความลำบากขนาดไหนก็ มีแต่บึกบึนให้พ้น ๆ ความทุกข์ทั้งหลายจึงไม่เป็นอุปสรรคได้จากการประกอบความพากเพียร มีแต่ความบึกบึน ๆ ตลอด ได้ปฏิบัติเต็มเม็ดเต็มหน่วย
    จนกระทั่งจิตตั้งรากตั้งฐานเป็นสมาธิขึ้นมาได้ เป็นที่อบอุ่นภายในตัวเอง ความพากเพียรก็หนุนไปเรื่อย ๆ แต่ความพากเพียรในขั้นสมาธินี้รู้สึกจะเป็นความตายใจโดยไม่รู้ตัว เพราะมีเรือนอยู่มีธรรมคือความสงบเรือนใจเป็นเครื่องอยู่ ก็หมุนอยู่กับความสงบเย็นใจ ทำสมาธิให้แน่นหนามั่นคงขึ้นไป ๆ ทั้ง ๆ ที่มันแน่นหนามั่นคงแล้วก็เหมือนน้ำเต็มแก้ว มันก็เพลินอยู่ในน้ำเต็มแก้วนั้นอีก คือสมาธิเต็มภูมิ จนถึงขนาดที่คิดว่าจิตในภูมิสมาธิที่เป็นอยู่ในเวลานั้นแลจะเป็นนิพพาน ๆ จึงได้เพลินอยู่ในสมาธิ พอพ่อแม่ครูอาจารย์มาฉุดลากขึ้นจากสมาธิแล้วก็ก้าวเดินทางด้านปัญญา นี่ละตอนปัญญาออก ผิดคาดผิดหมายผิดความด้นเดาคะเนใด ๆ ทั้งนั้น เพราะเกิดขึ้นจากหลักปัจจุบันของปัญญาล้วน ๆ นี่ละจิตถึงขั้นเป็นธรรมโดยลำดับแล้ว จะแสดงความเป็นธรรมให้เด่นชัดภายในตัว
    ถึงขั้นปัญญาจะแสดงตั้งแต่ความเฉลียวฉลาด เพื่อแก้กิเลสเป็นลำดับลำดาไม่ได้หยุดได้ถอย ไม่คาดไม่คิดเรื่องปัญญาที่จะเกิดขึ้นแบบใดแง่ใด นั้นเป็นขึ้นในหลักธรรมชาติ ๆ โดยอัตโนมัติ เรียกว่าสติปัญญาทำหน้าที่โดยอัตโนมัติ หักหรือลบล้างกิเลสที่เคยสร้างตัวเป็นวัฏวนในหัวใจสัตว์ เป็นอัตโนมัติเหมือนกัน เมื่อถึงขั้นสติปัญญาออกเป็นอัตโนมัติแล้ว ไม่ได้ผิดกันเลยกับกิเลสทำหน้าที่บนหัวใจสัตว์โดยอัตโนมัติของมัน สติปัญญาเกิดแล้วหักกัน ๆ พลิกกลับ ๆ กิเลสมัดเข้า พอสติปัญญามีกำลังมากแล้วหมุนกลับ ๆ นี่เป็นอัตโนมัติ ๆ
    ความรู้ความฉลาดที่เกิดขึ้นภายในจิตใจนี้คาดไม่ได้นะ ผมพูดตามนิสัยของผมเอง อันนี้มันอาจจะขึ้นอยู่ตามนิสัยวาสนาก็ได้ แต่สำหรับนิสัยวาสนาหรือการบำเพ็ญของเรานี้ ปัญญานี้เลยคาดเลยคิด ความหมุนของปัญญาคาดคิดไม่ได้ เป็นขึ้นตลอดเวลาหมุนติ้ว ๆ ออกทุกแง่ทุกมุม เรียกว่าออกรอบตัวเลยในจิตดวงนี้ ทั้ง ๆ ที่กิเลสก็ยังมีอยู่ ออกรอบตัว หมุนรอบตัว ฆ่ากิเลสรอบตัวเป็นลำดับลำดาไปเลย นี่เรียกว่าสติปัญญาขั้นอัตโนมัติ เป็นตัวของตัวขึ้นมาแล้วในขั้นนี้โดยไม่อาจสงสัยเลย ไอ้เรื่องมรรคผลนิพพานไม่ได้สงสัยแล้ว ประหนึ่งว่าอยู่ชั่วเอื้อม ๆ
    เพราะฉะนั้นความพากเพียรในสติปัญญาประเภทนี้ จึงไม่มีวันมีคืนยืนเดินนั่งนอนเว้นแต่หลับเท่านั้น จะทำหน้าที่ของสติปัญญาเพื่อสังหารกิเลสไปโดยลำดับลำดาตลอดเวลา ๆ ตั้งแต่เริ่มตื่นนอนจนกระทั่งหลับ หลับก็ยังไม่อยากหลับ ไม่หลับบางคืนตลอดรุ่งเลยก็มี นี่คือสติปัญญาทำงาน หมุนเป็นธรรมจักรตลอดเลย ถ้าผู้เป็นแบบเดียวกันแล้วก็เข้าใจทันที ถ้าไม่เป็นด้นเดายังไงก็ไม่ถูกทั้งนั้นแหละ หากผู้มีนิสัยวาสนาเกี่ยวโยงกันเป็นคล้ายคลึงกันนี้ จะเข้าใจกันได้ทันทีในสติปัญญาขั้นนี้ สำหรับผมเองเป็นอย่างนั้น มันหมุนรอบตัว ๆ ตลอดเวลา
    ถึงเวลาจะหลับจะนอน นอนไม่หลับ สติปัญญาทำงานตลอดเวลาด้วยความหมุนเพื่อความพ้นทุกข์ หมุนตลอดเวลา เพลินแก้กิเลสฆ่ากิเลส เหมือนเรียกว่าตะลุมบอนกันตลอดเวลาเลย ถ้าเป็นมวยก็เข้าวงในตลอดเลย จนกระทั่งนอนไม่หลับ กลางคืนนอนไม่หลับ คือนอนเพื่อจะหลับ แต่จิตมันไม่ได้ถอยงาน สติปัญญาทำงานตลอดเวลา เหนื่อยจากนอนขึ้นมานั่ง นั่งก็นั่งภาวนา นอนก็นอนภาวนา ลงไปเดินจงกรมก็มีแต่เรื่องภาวนา สุดท้ายก็แจ้งไม่หลับเลย เอ้า กลางวันยังจะไม่นอนอีก ยังหมุนตลอดเวลาจนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า สังขารร่างกายอ่อนเพลียในหมากหัวใจภายในนี้ก็อ่อน
    เมื่อมันไปไม่ไหวจริง ๆ มันจะเอาให้ตายจริง ๆ ความเพียรนี้ไม่รู้จักเป็นจักตาย ต้องได้ยับยั้งเข้าสู่สมาธิ หักเข้ามาบังคับเข้ามา สมาธิก็เก่งกล้าเต็มภูมิทีเดียว เรียกว่าน้ำเต็มแก้ว แต่เมื่อเวลาปัญญาออกก้าวเดินแล้ว ปัญญามีน้ำหนักมากกว่า มีอานุภาพมากกว่า เกินกว่าที่จะมาสนใจกับสมาธิ ประหนึ่งว่าสมาธินี้ไม่มีเลย มีแต่ปัญญาล้วน ๆ หักจิตเข้ามาสู่สมาธิไม่ยอมเข้านะ เพลินในทางปัญญา ต้องได้เอาอย่างหนักแน่นถึงขนาดที่ว่า ได้นำธรรมคำบริกรรมมากำกับ เช่นสำหรับผมเองนิสัยติดพุทโธมาตลอด ต้องเอาพุทโธเข้ามาบริกรรม
    คือให้สติที่หมุนตัวเป็นเกลียวด้วยปัญญาฆ่ากิเลสนั้น ให้เป็นสติอยู่ในคำบริกรรม ไม่ให้ไปวินิจฉัยใคร่ครวญทางด้านปัญญา มัดจิตไว้กับพุทโธ ๆ มัดจิตนี้ก็ต้องบีบบังคับนะ ถ้ารามือ.. ไอ้เรื่องเผลอนั้นมันพูดไม่ได้ละ มันไม่เผลอนี่ มันเพียงแต่ว่าถ้ารามือนิดหน่อยมันจะโดดออกทางด้านปัญญาเลย จึงต้องบังคับด้วยคำบริกรรม พุทโธ ๆ ถี่ยิบ ไม่ให้เคลื่อนคลาดไปไหน สติจ่ออยู่ตรงนี้ไม่ให้ไปจ่อทางด้านปัญญา หมุนจากปัญญาเข้ามาสู่คำบริกรรม เป็นสติอยู่กับคำบริกรรมถี่ยิบลงไป เมื่อไม่ยอมให้มันออกแล้วมันก็สงบ สงบจากการพิจารณาทางด้านปัญญา หมุนเข้ามาสงบแน่วเลย
    โถ ทีนี้เหมือนถอดเสี้ยนถอดหนามนะ พอจิตเข้าสู่สมาธิแน่นปึ๋งทันทีละ ทีนี้เมื่อมันเข้าถึงที่แล้วมันเหมือนถอดเสี้ยนถอดหนาม ความสุขความสบายเบาไปหมด ร่างกายจิตใจเบาไปตาม ๆ กันหมด บังคับไว้นะนั่น จิตที่ลงสู่สมาธิแล้วยังต้องบังคับ ถ้ารามือไม่ได้ดีดออกหาปัญญา เพราะปัญญามีกำลังรุนแรงมากทีเดียว ต้องบังคับเอาไว้ จนกว่าเห็นสมควรแก่เวล่ำเวลาและกำลังวังชาว่ามีความสงบเย็นใจ มีกำลังวังชาทางด้านจิตใจแล้วก็ปล่อย พอปล่อยก็ดีดผึงเลยละ เพราะมันจะออกอยู่แล้ว นี่ละถึงขั้นได้รั้ง รั้งอย่างนั้น รั้งเข้าสู่สมาธิ ปัญญานี้หมุนตลอดเวลา เพราะฉะนั้นจึงไปกับใครอยู่กับใครไม่ได้เลย ต้องอยู่คนเดียวไปคนเดียว
    ในอิริยาบถทั้งสี่ไม่ปรากฏเลยว่าได้เผลอขณะไหน นี่เรียกว่าสติปัญญาอัตโนมัติ ละเอียดเข้าไปก็เป็นมหาสติมหาปัญญา เป็นสติปัญญาในหลักธรรมชาติอยู่ตลอดเวลา ๆ เรื่องกิเลสตั้งแต่กิเลสที่หยาบ เฉพาะอย่างยิ่งคือกามกิเลส ปัญญาต้องผาดโผนโจนทะยานมากทีเดียวกับกิเลสประเภทนี้ มันหากเป็นเองสำหรับผู้ปฏิบัติ ประหนึ่งว่าน้ำนี่ไหลโจนลงจากภูเขาเสียงดังซ่า ๆ เลย นี่สติปัญญาขั้นนี้ทำงานเกี่ยวกับเรื่องราคะตัณหา พอสภาพนี้ผ่านไปได้แล้วหมดไปแล้ว ปัญญาขั้นกลางละที่นี่ ไม่ผาดโผนเหมือนขั้นปัญญาเกี่ยวกับเรื่องราคะตัณหา นั่นละจากนั้นเป็นสติปัญญาอัตโนมัติที่นี่ หมุนไปเรื่อย ๆ เลย แล้วเรื่องของกิเลสก็อ่อนลงไป ๆ เมื่อราคะตัณหามันสิ้นไปจากใจ สิ้นได้ระดับนะ
    เพราะฉะนั้นผู้สำเร็จเป็นพระอนาคามีจึงมีสถานที่รับรองต่างกัน ได้ระดับก็ อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา นี่เป็นที่อยู่ของพระอนาคาทั้งนั้น ได้ระดับแรกหากตายก็เข้าสู่อตัปปา แล้วก็ค่อยเลื่อนตัวไปเองโดยลำดับลำดา นี่ถ้าเรียกว่าสอบก็ว่าสอบได้ในขั้นอวิหา ระดับนี้เป็นระดับถ้าเป็นสอบก็สอบได้ จากนั้นก็ค่อยเลื่อนระดับไป ละเอียดไป ๆ ขึ้นไป ไม่ใช่ว่าได้แล้วขาดหมดจริง ๆ นะ ตัวสำคัญขาดไปแล้ว กิ่งก้านสาขาของมันยังมี มันก็ตัดเข้าไป ๆ ละเอียดเข้าไป ๆ จนกระทั่งถึงขั้นอกนิฏฐา เต็มภูมิอกนิฏฐาแล้วก็นิพพาน ให้มันเห็นประจักษ์อย่างนั้นซิการปฏิบัติ
    นี่ไม่ถามใครนะ มันหากเป็นหากรู้ภายในใจตัวเอง ที่ทรงสั่งสอนไว้แล้วอย่างไรไม่มีเคลื่อนคลาดนะ มันเคลื่อนคลาดมันถูไถตั้งแต่พวกเราที่ไม่รู้ไม่เห็น จนกระทั่งที่ว่าเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง และไม่เชื่อเพราะความมืดบอดของกิเลส ทีนี้จิตเวลามันเข้าถึงขั้นที่มันควรจะรู้แล้ว ธรรมเหล่านี้ปิดไม่อยู่เลย ประจักษ์กับใจ ๆ ตลอด ๆ พอถึงขั้นอกนิฏฐา พ้นจากนั้นแล้วก็ดีดผึงเลย ท่านว่านิพพาน คือสิ้นแล้วเรื่องสมมุติโดยประการทั้งปวง อวิชชาขั้นสุดยอดของอวิชชาก็ไปสุดยอดที่ตรงอกนิฏฐา เต็มยอดตรงนั้น จากนั้นก็เรียกว่าอวิชชาดับ ก็เป็นนิพพานขึ้นมา นี่การปฏิบัติเห็นได้อย่างชัดเจนอย่างนั้นเอง นี่การปฏิบัติของเราเป็นอย่างนั้น
    ที่พูดนี้พูดเอาย่อ ๆ นะ เราพูดสรุปความลงมาย่อ ๆ ในภาคปฏิบัติที่ประจักษ์กับใจ ไม่ได้ถามใคร รู้ที่ตรงไหนแม่นยำ ๆ หายสงสัย เรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก ติดแนบ ๆ ไปเลยทุกขั้นทุกภูมิของธรรม จนกระทั่งถึงขั้นที่ว่าขาดสะบั้นไปหมด บรรดาสมมุติ อวิชฺชาปจฺจยา ขาดต่อหน้าต่อตาประจักษ์ในหัวใจ จึงได้พูดในเวลาเทศน์เป็นบางกัณฑ์เป็นบางเวลา ประหนึ่งว่าฟ้าดินถล่ม ระหว่างอวิชชากับจิตขาดสะบั้นจากกันลงไปนั้น เหมือนฟ้าดินถล่มเลย ร่างกายนี้ไหวปึ๋งเลยทันที รุนแรงขนาดนั้น ถึงฟ้าดินถล่มทีเดียว นี่ละมันรุนแรง พร้อมกับอุทานที่ขึ้นมาในขณะนั้นทันที ขึ้นมา ๆ อุทานขึ้นมาด้วยความอัศจรรย์ที่ได้รู้ได้เห็นธรรมประเภทที่ไม่เคยคาดเคยคิด
    ในขั้นกามราคะสิ้นไปถึงขั้นควรกันกับขั้นอกนิฏฐานี้ จะไปคาดนิพพานไม่ได้นะ เพราะนี้เป็นขั้นกิเลสอยู่ พอกิเลสเหล่านี้ขาดสะบั้นลงไปหมดแล้ว ไม่ต้องคาดก็ประจักษ์กับตัวเองโดยสิ้นเชิงไม่ต้องถามหานิพพาน ไม่ต้องทูลถามพระพุทธเจ้าให้พระองค์ทรงตำหนิติเตียนอย่างแรงว่า สนฺทิฏฺฐิโก เราตถาคตประกาศให้แล้ว เอาไปทิ้งลงทะเลทวีปไหน นี่ละประกาศขึ้นด้วย สนฺทิฏฺฐิโก จึงไม่มีใครถามใคร เมื่อถึงขั้นที่สุดขีดสุดแดนแล้ว สนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดท้ายก็ประกาศขึ้นพร้อมกันเลย นี่ละที่ว่าเป็นเรื่องแดนอัศจรรย์
    สำหรับเป็นในจิตของผมเองนี้เป็นอย่างสะเทือนสะท้าน ประหนึ่งว่าโลกธาตุกระเทือนไปหมด เราก็ไม่อยากจะพูดถึงเรื่องเทวบุตรเทวดา ใครว่าเทวดาไม่มีเทวบุตรไม่มี พวกตาบอดว่าอย่างนั้นเลย มันจ้าขึ้นพร้อมกันไปหมด ดังที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร อยญฺจ ทสสหสฺสี โลกธาตุ สงฺกมฺปิ สมฺปกมฺปิ สมฺปเวธิ นั่นละเป็นเครื่องยืนยันกันได้เลยกับหัวใจดวงที่เป็นอย่างนั้น ไม่ได้วัดรอย หากเป็นธรรมชาติอันเดียวกันเลย ถึงธรรมชาตินี้แล้วไม่มีใครสูงใครต่ำ นับแต่พระพุทธเจ้าลงมาถึงสาวกองค์สุดท้าย เป็นธรรมชาติอันเดียวกัน
    เพราะฉะนั้นธรรมชาตินี้จึงกลมกลืนเป็นอันเดียวกันได้ ดังที่เป็นในคืนวันที่เป็นอยู่บนหลังวัดดอยธรรมเจดีย์ เราไม่เคยคาดเคยคิดเรื่องพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ จะมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ ติดหัวใจมาตลอดจนกระทั่งถึงขณะนั้น พุทโธเป็นพุทโธ ธัมโมเป็นธัมโม สังโฆเป็นสังโฆ เป็น ๓ พระรัตนตรัยอยู่อย่างนั้น แต่พอจิตได้ขาดสะบั้นจากสมมุติโดยประการทั้งปวงแล้ว เป็นอันเดียวกันกับพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย ว่า พุทธก็ดี ธรรมก็ดี สงฆ์ก็ดี มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง นั่นละเพราะฉะนั้นท่านจึงว่า นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย เมื่อถึงขั้นบริสุทธิ์เต็มสัดเต็มส่วนแล้วนั้น ไม่มีใครยิ่งใครหย่อนต่างกันเลย เหมือนกันหมด นี่ละจึงว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นั่นหมายถึงว่าเป็นธรรมธาตุแล้ว
    นี่ละธรรมธาตุ รวมทั้งพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ลงเป็นธรรมชาติเดียวกันนี้ เรียกชื่ออันหนึ่งว่าเป็นธรรมธาตุ หรือว่าถึงนิพพานแล้ว ก็เป็นไวพจน์ใช้แทนกันได้ ถ้าว่าเป็นธรรมธาตุนี้สนิทใจมากในสมมุติคำนี้นะ รวมทั้งพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ลงในอันเดียว นี้ละที่ว่า หือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง เราเคยคิดที่ไหนแต่ก่อน ก็ว่าพุทโธ ธัมโม สังโฆ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ตลอดมาจนฝังใจไม่เคยคิดเคยอ่านเลยนะ แต่เวลาสะเทือนขึ้นในคืนวันนั้นมันก็เป็นอย่างนั้นขึ้นมาจริง ๆ ถึงได้อุทานขึ้นมา โอ้โห พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง
    นี่คือเป็นแล้วนะ นั่นละเราไม่ได้ถามใคร เจอเข้าไปอย่างนั้น มันเป็นอย่างนั้นก็จะให้พูดว่ายังไง โถ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง เป็นอย่างนี้เอง เรียกว่าธรรมธาตุ เมื่อเป็นขึ้นแล้วไม่ต้องถามใครประจักษ์ในหัวใจ สะเทือนสะท้าน เทวดา อินทร์ พรหม ประสานเสียงถึงกันหมดเลย นั่นเป็นยังไง เทวดาอินทร์พรหมมีหรือไม่มี พวกตาบอดมันลบล้างศาสนาเวลานี้ว่าเทวดาไม่มี ๆ มันตาบอด ยิ่งประกาศความเลวของตัวเองให้แจ้งขึ้นมาด้วยความเลวของมัน พระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวกผู้มีความเชี่ยวชาญเฉลียวฉลาด ท่านทรงรู้ทรงเห็นท่านเป็นมาอย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน ตาของท่านเห็นอย่างเดียวกัน ไม่เหมือนคนตาบอดอวดรู้อวดฉลาด ลบล้างคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าเทวบุตรเทวดาไม่มี พวกนี้พวกทำลายศาสนาไม่มีชิ้นดีเลย นี่คือพวกทำลายศาสนาโดยแท้
    ใครเป็นคนสอนไว้เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมทั้งหลาย ยกตัวอย่างเป็นเอกเทศอย่างเด่นชัดก็คือ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงในมหาสมัยสูตรนั่นเป็นยังไง พระองค์ทรงรับสั่งกับสาวกทั้งหลาย บรรดาสาวกคราวนั้นมี ๕๐๐ องค์ อยู่ในป่ามหาวัน ทรงรับสั่งว่า วันนี้ให้พากันภาวนาดูพวกเทวดาทั้งหลายประเภทต่าง ๆ พวกนาค พวกครุฑ สุบรรณ ประเภทต่าง ๆ ตั้งแต่ท้าวมหาพรหมลงมา เทวดาในแดนสมมุตินี้ เอ้า ให้พากันพิจารณา ใครจะรู้เห็นมากน้อยเพียงไร กว้างแคบขนาดไหนแล้วค่อยมาพูดกัน พระองค์ก็จะทรงพิจารณา จะเทศนาว่าการสอนพวกทวยเทพทั้งหลายเช่นเดียวกัน
    หลังจากนั้นแล้วบรรดาสาวกทั้งหลายก็มาทูลพระพุทธเจ้า องค์นั้นเห็นอย่างนั้น ๆ จำนวนเท่านั้น จำนวนเท่านี้ ตามกำลังความสามารถของแต่ละท่าน ๆ เวลาพระพุทธเจ้าทรงแสดงสรุปแล้ว พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นจนกระทั่งถึงโคตรถึงแซ่นู่นน่ะฟังซิ ชื่อว่ายังไง ๆ ออกหมดในมหาสมัยสูตร นั่นพิจารณาซิ นี่ละสูตรนี้เป็นสูตรที่ใหญ่โตมากเกี่ยวกับพวกเทพทั้งหลายในมหาสมัยสูตร แล้วมาปฏิเสธอย่างหน้าด้านว่าเทวดาไม่มี นี้คือพวกทำลายศาสนาอย่างแหลกเหลวไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย พวกที่ปฏิเสธเทวบุตรเทวดาไม่มี ก็อยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้า อยู่ในวงศาสนาที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเช่นเดียวกันกับสอนมนุษย์
    อย่างที่ท่านแสดงเป็นพุทธกิจ ๕ ก็เห็นอยู่แล้วนั่น เทศน์สอนประชาชนตอนเย็นตอนค่ำ เทศน์สอนพระ ตอน ๖ ทุ่มก็แก้ปัญหาและเทศนาอบรมเทวดาทั้งหลาย ตอนปัจฉิมยามก็ทรงเล็งญาณดูสัตวโลก สุดท้ายก็เสด็จออกบิณฑบาต นี่พุทธกิจ ๕ คืองานของพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ เทวดาลบได้ไหม อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหากํ นั่น ตั้งแต่หกทุ่มล่วงไปแล้วแก้ปัญหาและอบรมพวกเทวบุตรเทวดาตั้งแต่ท้าวมหาพรหมลงมา นี่ก็อยู่ในหลักของพุทธศาสนาเรา เหตุใดจึงหน้าด้านมาลบล้างว่าเทวดาไม่มี ๆ โห อวดความเลวของตัว ผู้ท่านรู้ท่านเห็นเห็นอยู่ ท่านคนตาดี ไอ้คนตาบอดมาพูดโอ้อวดให้คนตาดีฟังมันฟังได้ไหมล่ะ พิจารณาซิ
    ผู้ท่านรู้ท่านเห็นท่านรู้อยู่เห็นอยู่ประจักษ์ ไอ้เราไม่รู้ไม่เห็นก็บอกไม่รู้ไม่เห็น ถ้าว่าตาบอดก็ว่าตาบอดเสีย ก็เป็นที่น่าให้อภัยสำหรับคนตาบอด แต่ส่วนมากคนตาบอดชอบโม้ชอบคุย อวดดิบอวดดีทุกอย่าง อยู่กับคนตาบอดทั้งหมด คนที่ใจบอดใจหนาใจแน่นมันก็แบบเดียวกัน ชอบโม้ชอบคุยชอบโอ้ชอบอวด ชอบลบล้างความจริงทั้งหลายให้เป็นของจอมปลอมไป โดยถือว่าเป็นความจริงสำหรับคนโง่คนนั้น
    นี่ละเราพูดถึงเรื่องเทวบุตรเทวดา สิ่งเหล่านี้ผมเองผมไม่พูดนะ เพราะไม่ใช่วิสัยที่จะนำมาพูดเรื่องของสิ่งเหล่านี้ เป็นอริยสัจต่างหากที่จะนำมาสั่งสอนสัตวโลกตลอดพระผู้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ อันนั้นเป็นสิ่งปลีกย่อยที่เกิดขึ้นตามนิสัยวาสนา ควรจะเป็นประโยชน์แก่พวกเหล่านั้นยังไงก็ต้อนรับกันเองแสดงกันเอง ไม่เกี่ยวกับมนุษย์ นำมาพูดคละเคล้ากับมนุษย์ทำไม เดี๋ยวพวกเทวทัตมันจะมาตีหน้าผากเข้าอีกว่าเทวดามีที่ไหน ก็จะว่าอย่างนั้น
    นี่ละเรื่องเทวบุตรเทวดา ก็เหมือนกันกับสัตวโลกทั่ว ๆ ไปมี ลบล้างกันได้ยังไง อันนั้นพวกกายทิพย์ อันนี้พวกกายหยาบ แม้แต่กายหยาบ สิ่งที่ละเอียดกว่าตาเนื้อของเราจะมองเห็นก็ยังมี เช่นเชื้อโรคอย่างนี้ ตาเนื้อธรรมดาดูเห็นเมื่อไร ต้องเอาเครื่องจุลทรรศน์กล้องจุลทรรศน์จับลงไปถึงได้เห็นเชื้อโรค นั่นตั้งแต่ด้านวัตถุมันยังมีลี้ลับในสายตาของเราได้ ด้านนามธรรมก็มีอย่างนั้นเหมือนกัน เราไม่เห็นเราไปลบล้างได้ยังไง
    นี่ละการปฏิบัติศาสนาในชาตินี้ผมพูดจริง ๆ ผมได้ปฏิบัติเต็มกำลังความสามารถไม่มีสงสัย การประกอบความพากเพียรไม่ได้ตำหนิตนเองเลยว่า ในจุดนั้นเวลานั้นระยะนั้นมีท้อถอยอ่อนแอ ไม่มี มีแต่ให้เกิดความขยะ ๆ คือน่ากลัวความเพียรของเราที่บำเพ็ญมา ส่วนที่จะได้ตำหนิความเพียรว่าย่อหย่อนอ่อนกำลัง ท้อถอยอ่อนแอหรือท้อแท้เหลวไหลอย่างนี้ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นความเพียรมันถึงเด็ดทุกเวลา ๆ เพราะความมุ่งมั่นต่อแดนพ้นทุกข์นั้นเต็มหัวใจตลอดเวลา ความพากเพียรจึงอ่อนไม่ได้ ความเพียรประเภทไหนมันผาดโผนโจนทะยานจริง ๆ สำหรับผมเองนะ
    เพราะนิสัยผาดโผน ก็คิดดูซิอย่างว่านั่งหามรุ่งหามค่ำ ใครนั่งได้เอามาอวดดูซิน่ะ นี่นั่งได้จะว่าไง ๙ คืน ๑๐ คืนนะ นั่งตลอดรุ่ง ๆ เป็นแต่เพียงว่าไม่ติดกันทุกคืน คือ เว้นสองคืนบ้างสามคืนบ้าง บางทีนาน ๆ ถึงอาทิตย์หนึ่งนั่งตลอดรุ่งทีหนึ่งก็มี ส่วนมากมักจะอยู่เว้นสองคืนสามคืน จนขนาดก้นแตก นั่งเบื้องต้นก็ออกร้อนเป็นฟืนเป็นไฟหมดทั้งก้น ยังไม่แตก ครั้นนั่งย้ำเข้าไป ๆ จากออกร้อนในก้นแล้วก็พอง จากพองก็แตก จากแตกก็เลอะ นั่นฟังซิ นี่ละเรื่องความพากเพียร มันไม่ได้สนใจกับสิ่งเหล่านี้นะ สนใจตั้งแต่อรรถแต่ธรรมที่ได้ปรากฏขึ้นแบบอัศจรรย์ ในวันที่นั่งตลอดรุ่งทุกคืนไม่มีพลาดเลย นั่งที่ว่าตลอดรุ่งคืนไหนเป็นความอัศจรรย์ที่ได้รับอย่างถึงใจ ๆ ทุกคืนเลย ด้วยเหตุนี้จิตใจมันถึงผาดโผนโจนทะยาน
    ร่างกายถึงขนาดก้นแตกมันยังไม่สนใจ นี่ถ้าพ่อแม่ครูจารย์ไม่มากระตุกหรือไม่มารั้งเอาไว้นี้มันยังจะเอาอีกอยู่นะ จนกระทั่งท่านขนาบเอา พอขึ้นไปนั่งปั๊บยังไม่ได้พูดคำไหน กิเลสมันไม่ได้อยู่ที่กายนะ มันอยู่ที่ใจ นั่นท่านว่า ม้าตัวใดที่มันผาดโผนโจนทะยานพยศมากอย่างนี้ สารถีฝึกม้าเขาจะทรมานอย่างหนัก ไม่ควรกินหญ้าไม่ให้กิน ไม่ควรกินน้ำไม่ให้กิน เอาจนเต็มเหนี่ยว จนกระทั่งมันลดพยศลงมา ๆ การทรมานเขาก็ค่อยลดลงไป จนกระทั่งมันใช้งานใช้การได้เรียบร้อยแล้ว การฝึกทรมานอย่างนั้นเขาก็หมดปัญหาไป ท่านพูดเพียงเท่านี้
    ท่านไม่ได้ย้อนมาว่าหมาตัวนี้มันเลยม้าแล้วนะ ท่านไม่ได้ว่าให้เราอย่างนั้น คือว่าหมาตัวนี้แล้วเหมาะ มันถึงใจเรานะ นี่ละธรรมะไม่มีหยาบ คือให้มันถึงใจ เป็นธรรมด้วยกันทั้งนั้นแหละ ท่านไม่ได้ว่าเท่านั้นแหละว่าหมาตัวนี้มันไม่รู้จักประมาณ ท่านพูดเท่านั้นเราก็จับได้เพราะนี้มีแล้วในบาลีเราเรียนผ่านมาแล้ว นี่ละถึงขั้นที่ว่านิสัยมันผาดโผนเอาอย่างนั้น ทำอะไรมันผาดโผนมากจริง ๆ เวลาท่านสอนเราท่านจึงไม่ได้สอนธรรมดา คุยกันธรรมดาอย่างนี้เหมือนพ่อกับลูกนะคุยกันธรรมดา พอหมุนเข้าสู่ธรรมนี้เปรี้ยงเลยกับเรานะ เพราะท่านรู้นิสัยอันนี้ผาดโผนโจนทะยานเอาจริงเอาจัง พูดเบา ๆ อย่างนี้มันไม่ถึงใจของคนนิสัยอย่างนี้ พอหันทางธรรมะเท่านั้น เสียงท่านจะเปรี้ยง ๆ ขึ้นเลยทีเดียว เพราะรู้นิสัย ท่านวางธรรมะให้เหมาะเจาะกับนิสัยของเราเหลือเกินสำหรับพ่อแม่ครูจารย์มั่น นี่เราก็ได้ปฏิบัติ
    นี่ละทีนี้จากนั้นมาแล้วผมก็ไม่เคยได้คิด ที่ว่าจะทำประโยชน์แก่โลกสงสารนี่นะ แต่อำนาจแห่งความเมตตามันเหลือล้นในหัวใจ เราจึงได้ทำประโยชน์ให้โลกตั้งแต่เริ่มมาสร้างวัดป่าบ้านตาด มีเท่าไรเป็นไม่เหลือเลย ๆ เพราะอำนาจแห่งความเมตตามีกำลังมาก กวาดออกหมด ๆ สงเคราะห์สงหาทุกประเภทของบุคคลที่ควรจะได้รับการสงเคราะห์ จากนั้นก็สร้างโรงร่ำโรงเรียน สถานสงเคราะห์ ที่ราชการต่าง ๆ ดังที่เห็นนี่แหละ จนกระทั่งโรงพยาบาล เวลานี้ดูเหมือนจะได้ร้อยกว่าโรงแล้วมัง มีอะไรติดเนื้อติดตัว นี่ละอำนาจแห่งความเมตตาต่อโลกต่อสงสาร จึงไม่มีอะไรที่จะมาติด ที่จะมาคิดว่าเก็บเงินไว้เพื่อเรา ผมไม่เห็นปรากฏในหัวใจผมเลย มีตั้งแต่คิดเพื่อโลก ๆ
    แม้ไม่มีมันก็ยังคิดสงสารอยากจะให้ตลอดเวลา แล้วจะเอาอะไรมาเก็บสมบัติทั้งหลาย นี้ยิ่งได้ออกช่วยโลกช่วยสงสารดังที่เหตุการณ์ปรากฏขึ้นมา บ้านเมืองเรามันเอนมันเอียงจะถล่มล่มจมลงไปแล้ว ด้วยความสงสารก็ได้ช่วย หาอุบายต่าง ๆ ช่วยพี่น้องชาวไทย ดังที่ได้เป็นผู้นำอยู่เวลานี้ นี่ออกด้วยความเมตตาสงสารล้วน ๆ นะ
    เราไม่เคยมีไอ้ที่ว่าอยากมีชื่อมีเสียงโด่ง ๆ ดัง ๆ อะไรอย่างโลกกิเลสมันมี เราไม่มี เราพอทุกอย่างแล้ว มีแต่ความเมตตาสงสาร การนำพี่น้องชาวไทยเราตั้งแต่เริ่มแรกมาจนกระทั่งบัดนี้ นำด้วยความเมตตาสงสาร ทางด้านวัตถุก็เป็นผู้ขอบิณฑบาตเชื้อเชิญพี่น้องทั้งหลาย ให้ร่วมมือร่วมใจด้วยความรักชาติของตนเสมอกัน แล้วมีเท่าไรก็รวมกันเข้ามา ๆ ดังที่ได้นำเข้าสู่คลังหลวงเวลานี้ ทองคำก็ได้ ๒,๐๖๘ กิโลแล้วเวลานี้ ได้มาแล้วนะ ส่วนดอลลาร์ได้เข้าแล้วนั้น ๔ ล้านกว่า เวลานี้ก็จะถึงล้านอยู่ แต่เวลานี้ยังไม่ถึงก็ขาดไม่กี่ดอลล์ละ อันนี้ที่เก็บไว้ก็มี ที่เข้าสู่คลังหลวงแล้วก็มี
    สำหรับเงินสดนั้นเวลานี้ก็ได้ถึง ๘๕๐ กว่าล้าน ใน ๘๐๐ ล้านนี้ผมจะหักเอาไว้ คือเงินสดนี้ได้พูดมาตั้งแต่ต้นแล้ว ต้นโครงการช่วยชาติ เงินสดเราจะไม่นำเข้าสู่คลังหลวง เราจะให้เป็นเงินหมุนเวียนช่วยทั่วประเทศไทย ตรงไหนมีความบกพร่อง ขาดเขินตรงไหนก็จะส่งเป็นเงินก้อนไปให้จังหวัดนั้น ๆ แต่เมื่อมาพิจารณาแล้ว การส่งเงินก้อนให้เขามารับไปทำหน้าที่เองนี้เราไม่ได้แน่ใจ เพราะโลกมันสกปรก เวลามารับเขาจะบอกว่าเขาบริสุทธิ์พุทโธเต็มที่อย่างนี้ก็พูดได้ แต่เอาไปแล้วเอาไปถลุงเสียหมดเราก็ไม่รู้ เพราะเราไม่ได้ติดตามดู เลยต้องหักเงินสดเหล่านี้ทั้ง ๆ ที่เราจะนำไปทำอย่างที่ว่าหักกลับมา เพราะเราไม่ไว้ใจสำหรับผู้รับไป ย้อนเข้ามาเป็นเราเป็นผู้ทำหน้าที่เสียเอง
    เงินจำนวนเหล่านี้เราจะนำออกมาช่วยโลกด้วยเราเป็นผู้จัดผู้ทำ เป็นผู้เก็บผู้รักษาเป็นผู้จ่ายเสียเอง จะเป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ผุดผ่องเต็มหัวใจเราผู้เดียวกับการแสดงออกจะเป็นอันเดียวกัน เราจึงได้พักอันนั้นไว้ไม่เข้าโครงการมากเหมือนแต่ก่อน หมุนเข้ามาโครงการที่เป็นพื้นฐานซึ่งเราได้ทำอยู่แล้วนี้ ออกช่วยโลกช่วยสงสารโดยตัวของเราเป็นผู้จัดทำเอง ส่วน ๘๐๐ ล้านนั้นเราได้ประกาศแล้วว่า เราจะนำเงิน ๘๐๐ ล้านนี้เข้าซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวง เพราะถึงจะบอกว่าจะไม่ให้เข้าสู่คลังหลวง แต่อดห่วงใยในคลังหลวงไม่ได้ เพราะบกพร่องทองคำมาก เราจึงต้องหักเงิน ๘๐๐ ล้านนี้ จะซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวง
    อันนี้เราประกาศแล้ว แม้เราตายไปแล้วก็จะต้องก้าวเดิน ตามที่เราสั่งไว้เรียบร้อยแล้วนี้ ส่วน ๕๐ ล้านกว่านั้นเราอาจจะแยกมาเป็นเงินหมุนเวียน ดังที่ประกาศตั้งแต่ต้นก็ได้ หากว่าจำเป็น ถ้าไม่จำเป็นเราก็ไม่ออก ดีไม่ดีอาจจะหมุนเข้าไปหาเงิน ๘๐๐ ล้านนั้นอีกก็ได้ เพราะเราเป็นห่วงคลังหลวงมากทีเดียว
    เราก็ได้ปฏิบัติเต็มกำลังความสามารถ ทางด้านวัตถุเราก็เข้มแข็งทุกด้านทุกทาง บริสุทธิ์ผุดผ่องไม่มีมลทินติดหัวใจเราเลยว่า เราได้คิดเป็นอกุศลที่ตรงไหน ต่อเงินจำนวนมากที่พี่น้องชาวไทยบริจาคมานี้ เราไม่ปรากฏในหัวใจเราเลย เพราะอำนาจแห่งความเมตตานี้ล้างเกลี้ยงหมดเลย สะอาดสะอ้านเต็มเหนี่ยว ๆ เราก็ทำเต็มกำลัง ไม่ว่าทองคำ ไม่ว่าดอลลาร์ ไม่ว่าเงินสด มีเท่าไรเข้าธนาคาร ๆ เราเป็นผู้ถือบัญชีเอง เพราะเราไม่เชื่อใครง่าย ๆ โลกนี้โลกสกปรกมากที่สุด จนขนาดที่ว่าจะเข้าไปแตะไม่ได้นะ แต่เพราะอำนาจแห่งความเมตตาสงสารโลกผมก็เลยทนเอา กองมูตรกองคูถเหล่านี้ก็ต้องได้ไปแตะไปต้องมันจนได้นั่นแหละ เมื่อไปแตะไปต้องแล้วก็ต้องมีกลิ่นมีอะไรมาตำจมูกจนได้แหละ
    โลกสงสารมันสกปรก ธรรมเป็นของสะอาด ถ้าธรรมดาแล้วเรียกว่าเข้ากันไม่ได้เลย ถึงเช่นนั้นผมยังถูไถเข้าไปช่วยโลกสงสารที่สกปรกที่สุดนี้ ดังที่นำมาปฏิบัติอยู่ทุกวันนี้ มันสกปรกสุดยอดนะโลกเรานี้ สกปรกขนาดนั้น เรียกว่าไม่ควรเข้าไปแตะต้องเลย เหมือนกองมูตรกองคูถนั่นแหละ ถึงเช่นนั้นก็ยังต้องได้เกี่ยวข้องอยู่โดยดีเพราะอำนาจแห่งความเมตตาโลก จึงได้ทำเต็มเม็ดเต็มหน่วยตลอดมา นี่ผมก็ไม่เคยได้คิดนะว่าจะได้ช่วยโลกขนาดนี้ ตลอดถึงการเทศนาว่าการ
    เทศนาว่าการก็ฟังซิ เทศน์เกือบทั่วประเทศไทยแล้วเวลานี้มันกี่กัณฑ์ที่เทศน์ หากว่าจะเทศน์ตามตำรับตำรานั้นพลิกตำราไม่ทัน เพราะเทศน์วันหนึ่งสองกัณฑ์สามกัณฑ์ เทศน์ตลอดมาสองปีกว่าแล้ว แต่นี้ขอพูดอย่างอาจหาญชาญชัยที่ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วนี้ จึงพูดให้เต็มยศก็คือว่าไม่อัดไม่อั้นในการเทศนาว่าการ แล้วแต่ผู้มาเกี่ยวข้องจะรับได้หนักเบามากน้อยเพียงไร ธรรมนี้จะออกเอง ๆ รอบด้านรอบหัวใจ ไม่มีคำว่าจะตีบตันอั้นตู้ในช่องใดมุมใด ในบรรดาเรื่องราวอะไรมาเกี่ยวข้อง ที่ธรรมจะตอบไม่ได้รับไม่ได้ รู้ไม่ได้ แก้ไม่ได้ไม่มี เต็มหัวใจนี้ไปหมดเพราะใจนี้เป็นธรรมทั้งแท่ง ออกมาแง่ไหนออกรับแง่นั้น ๆ นี้เราพูดให้เต็มหัวใจ
    เพราะฉะนั้นการเทศนาว่าการจึงเทศน์ได้มาตลอด เทศน์ไปอีกก็ได้ถ้ากำลังวังชาพอ เพราะธรรมมีอัดมีอั้นมีจนตรอกจนมุมที่ไหน ไม่มีสมมุติเขตแดนพอจะมาบีบบังคับไว้ว่ามีเท่านั้นเท่านี้ ธรรมชาตินี้เหนือโลกหมดแล้วในหัวใจดวงนี้ เหนือเสียทุกสิ่งทุกอย่าง การเทศนาว่าการสอนโลกสมมุติก็เพียงเท่ากำปั้นทำไมจะเทศน์ไม่ได้ ธรรมครอบโลกธาตุ เอามาสอนโลกเพียงเท่ากำปั้นสอนไม่ได้มันหมดภูมิอย่างนั้นมีอย่างเหรอ นี้พูดให้ท่านทั้งหลายฟังให้ชัดเจน การเทศนาว่าการของผมผมเอาดวงใจดวงนี้ออกเลยทีเดียว อยากจะบอกว่าไม่อัดไม่อั้นว่างั้นเลย เอ้า ใครจะถามมาแง่ไหนออกรับทันที ๆ การเทศนาว่าการควรแก่ภูมิใดที่จะได้รับ มันจะออกรับกันทันที ๆ จนกระทั่งสูงสุดวิมุตติพระนิพพาน
    ฟาดเทวบุตรเทวดาก็เอามา ถ้ามันจะเป็นประโยชน์ที่ควรจะสนทนา บอกว่าไม่อัดไม่อั้นว่างั้นเลย พวกเปรตพวกผีมันจะไม่รู้ยังไง มันเต็มอยู่ในหัวใจนี้หมดแล้ว สิ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นจึงนำมาแสดง หัวใจซึ่งเป็นนักรู้ด้วยกันแล้วทำไมจะรู้ไม่ได้เห็นไม่ได้ ปิดบังกันได้ยังไง นอกจากนำมาพูดหรือไม่พูดตามที่เห็นว่าเป็นประโยชน์มากน้อยเพียงไรเท่านั้น ไม่ใช่วิสัยที่จะนำมาพูดพล่ามไปทุกสิ่งทุกอย่างทุกเวล่ำเวลา จึงไม่จำเป็น ด้วยเหตุนี้เรื่องสิ่งเหล่านี้ผมไม่เคยพูดผมว่าจริง ๆ เพราะมันไม่เป็นเครื่องหนักเครื่องหน่วงถ่วงหัวใจที่อยากจะให้พูดให้คุยทั้งนั้น
    ธรรมในหัวใจนี้มีเหมือนไม่มี รู้เหมือนไม่รู้ เพราะไม่มีเครื่องกดดัน ไม่มีสิ่งผลักดันที่จะให้อยากพูดอยากคุยอยากโม้อยากอวด มันไม่มี ธรรมแท้เป็นอย่างนั้น พอดีตลอดเวลา ควรจะออกหนักเบามากน้อยเพียงไรแก่ผู้ที่จะรับประโยชน์ก็ออกตามนั้น ๆ เพราะฉะนั้นการเทศนาว่าการจึงเอาแน่นอนไม่ได้ เทศน์เป็นแกงหม้อใหญ่ก็มี แกงหม้อเล็กก็มี แกงหม้อจิ๋วก็มี มันอยู่ในหัวใจนี้ทั้งหมดแล้ว จนตรอกจนมุมที่ไหนสอนโลก ผมจึงได้พูดเต็มเหนี่ยวว่า ผมไม่อั้นนะการสอนโลกผมพูดจริง ๆ ถ้าโลกจะรับได้ขนาดไหน ธรรมนี้พร้อมแล้วครอบโลกธาตุ จะมาว่าอะไรโลกเท่ากำปั้นนี่วะ ถ้าควรจะได้รับนี้จะออกทันที ๆ เลย เปิดโล่งตลอดว่างั้นเถอะ จะว่ามีจุดใดที่ปิดที่บังไว้ไม่มี มันโล่งไปหมดในหัวใจดวงนี้ นี่ฟังซิท่านทั้งหลายฟังซิ นี่ละการปฏิบัติธรรม
    อันนี้ผมก็แน่ใจว่ามันจะขึ้นอยู่กับนิสัยวาสนาของแต่ละท่านละองค์ที่รู้อย่างนี้ไม่เหมือนกัน ที่จะนำมาทำประโยชน์แก่โลก จึงมีกว้างมีแคบต่างกัน สำหรับเราเองเราพูดเราจะมีวาสนามากน้อยเพียงไรก็ตาม เราเต็มอยู่ในหัวใจเรานี้ที่จะนำออกแสดงแก่โลกที่ควรจะได้รับประโยชน์ ไม่อัดไม่อั้นเลย เปิดโล่งหมดครอบแดนโลกธาตุ นั่นฟังซิน่ะ นี่ละใจดวงนี้ละเห็นไหมเวลากิเลสบีบหัวมัน ไปนั่งภาวนาอยู่บนภูเขาน้ำตาร่วง ๆ สู้กิเลสไม่ได้ ผมก็เอามาพูดให้หมู่เพื่อนฟัง ซัดกันเสียจนเต็มเหนี่ยว ๆ พอได้หลักได้เกณฑ์ก็ฟาดใหญ่จนกระทั่งถึงนั่งตลอดรุ่ง ก้นแตกก้นพองเลอะไปหมดก็ไม่ถอยกัน ๆ นี่เวลารบก็รบอย่างนั้นจริง ๆ เอาจริง ๆ พอได้ที่ได้ฐานก็ฟัดจนถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ หมุนตัวเป็นเกลียว ก็มาเล่าให้ฟัง
    มันเป็นในหัวใจเจ้าของเองไม่ต้องไปถามใคร มันรู้จริง ๆ เห็นจริง ๆ พูดไม่ได้มีอย่างเหรอ จนกระทั่งเชื่อมโยงเข้าถึงมหาสติมหาปัญญา มหาสติมหาปัญญานี่เป็นขั้นซึมซาบนะ สติปัญญาอัตโนมัติเป็นขั้นที่หยาบกว่านั้นลงมา ทำงานเหมือนว่าเป็นระยะเป็นอะไรพูดไม่ถูกแหละ หากไม่ใช่ซึมซาบนะ อันนี้เป็นวรรคเป็นตอน ถ้าเป็นมีดก็เรียกว่าสับฟันปั๊ก ๆ เป็นบทเป็นบาท ส่วนมหาสติมหาปัญญานี้ซึมไปเลย ซึมซาบไปเลยทีเดียว มันรอบตลอดทั่วถึง ๆ ไปเลย นี่เรียกมหาสติมหาปัญญาถ้าจะตั้งให้เป็นชื่อนะ มันก็เป็นอยู่ในหัวใจนี้หมดแล้ว
    การมาสอนโลกผมไม่มีอัดมีอั้นว่างั้นเลย ที่จะสอนแบบใดมุมใด เพราะมันเป็นอยู่ที่หัวใจนี้ทั้งหมด สอนโลกก็สอนด้วยธรรมล้วน ๆ ไม่มีกิเลสแม้เม็ดหินเม็ดทรายที่จะไปแทรกในกิริยาอาการสุ้มเสียงในการสอนโลกเลย มีแต่กิริยาของธรรมล้วน ๆ เด็ดก็เด็ดเป็นธรรม ดุก็ดุเป็นธรรม ดีก็ดีเป็นธรรม เผ็ดร้อนขนาดไหนเป็นธรรมล้วน ๆ กิเลสไม่เข้ามาแทรกเลย จึงเรียกว่ากำลังของธรรม พลังของธรรมก็มีกำลังเช่นเดียวกับพลังของกิเลส กิเลสถ้าลงได้ออกเต็มเหนี่ยวของมันตามพลังของมันแล้ว โลกพินาศนะ แต่พลังของธรรมนี้ออกไปเท่าไรเป็นน้ำดับไฟ ๆ เพราะมีแต่ธรรมล้วน ๆ นั่นละพลังของธรรมต้องมี ไม่มีแก้กิเลสไม่ตก พลังของกิเลสมี ไม่มีทำโลกให้พินาศไม่ได้ นี่พลังของธรรมก็มี ไม่มีปราบกิเลสไม่ได้
    เมื่อเวลากิเลสสิ้นจากหัวใจแล้วเราจะไปหามาจากที่ไหนกิเลส ดุด้วยกิเลส ๆ อย่างนี้ดุที่ไหน ไม่งั้นจะเรียกว่ามันสิ้นเหรอ กิเลสถ้าว่าสิ้นแล้วหายังไงก็ไม่เจอ แต่ท่านจะไปหาอะไรท่านรู้อยู่แล้วนี่ นั่นละทีนี้ก็มีแต่ธรรมทั้งแท่ง ๆ พุ่ง ๆ เต็มเม็ดเต็มหน่วย เรื่องของกิเลสท่านไม่ได้นึกถึงมันแหละ มีแต่พลังของธรรมออก กิริยาท่าทางสุ้มเสียงออก พลังของธรรมเป็นเหมือนกับพลังของกิเลสออกแสดงตัว เพราะร่างกายสุ้มเสียงกิริยาเหล่านี้ เป็นเครื่องมือของธรรมด้วย เป็นเครื่องมือของกิเลสด้วย เวลากิเลสครองตัวแสดงออกก็เป็นพิษเป็นภัยไปหมด เวลาธรรมเข้าครองแล้วธรรมออกแสดงอะไรเป็นธรรมไปหมด
    แต่ธรรมท่านไม่ยึดนะ กิเลสมันยึด ธรรมท่านแสดงออกอย่างนั้นละ สุ้มเสียงกิริยาท่าทางเด็ดเดี่ยวเฉียบขาด เป็นเหมือนกันหมด เป็นแต่เพียงว่าไม่มีกิเลสเข้ามาแทรกเท่านั้นเอง เป็นพลังของธรรมล้วน ๆ นี้มันก็ปรากฏในหัวใจแล้วจะให้ว่าไงสอนหมู่สอนเพื่อน เราจะหามาจากไหนกิเลส ถ้าว่ายังหาเจออยู่จะเรียกมันสิ้นไปยังไง แล้วก็ประจักษ์อยู่นั้นตลอดเวลา อกาลิโก อีกด้วยว่า ไม่มีอะไรสำหรับสมมุติที่จะเข้ามาสัมผัสสัมพันธ์ในหัวใจนี้ให้ถึงใจไม่มี เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ท่านที่สิ้นกิเลสแล้วท่านจึงไม่มีทุกข์ทางใจ ทุกข์ทางใจไม่มีเลยตั้งแต่ขณะที่กิเลสซึ่งเป็นตัวเหตุสร้างทุกข์ขึ้นมาในหัวใจขาดสะบั้นลงไป ทุกข์ก็ไปพร้อม ๆ กันเลย
    ทุกข์ก็มีแต่เรื่องของธาตุของขันธ์อันเป็นสมมุติด้วยกัน ธาตุขันธ์เหล่านี้เป็นสมมุติ ทุกขเวทนาจึงมี สุขเวทนา ทุกขเวทนา อุเปกขาเวทนา มีอยู่ในร่างกายนี้ทั้งนั้น ในหัวใจท่านไม่มี อุเปกขาก็ไม่ใช่อุเปกขาแบบนี้ พูดไม่ถูก ในเวทนาทั้งสามไม่ได้เข้าถึงหัวใจของท่านผู้สิ้นกิเลสแล้วได้เลย มีอยู่ในธาตุในขันธ์ เจ็บไข้ได้ป่วยปวดหัวตัวร้อน ก็รู้อยู่ว่ามันเป็น แต่ยังไงจะให้มันเข้าซึมซาบถึงจิตนั้นเป็นไปไม่ได้ เป็นคนละฝั่งไปแล้ว เป็นอฐานะ เป็นไปไม่ได้เลย นี่ละจิตที่บริสุทธิ์เต็มเหนี่ยวแล้วเป็นอย่างนั้น
    เราก็ได้มาสอนโลกเต็มกำลังความสามารถ จะเป็นวาสนาอันหนึ่งก็ถูก หรือบุญกรรมของผมก็ถูกนะ ที่ผมได้มาช่วยโลกช่วยสงสารนี้ ช่วยเต็มเม็ดเต็มหน่วยจริง ๆ จนเต็มความสามารถทุกอย่าง การเป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลายชาติไทยของเรานี้ นำสุดขีดสุดแดนทุกอย่าง ไม่มีความท้อถอยอ่อนแอ นำอย่างกล้าหาญชาญชัยด้วยอรรถด้วยธรรม มีความเมตตาครอบตลอดเวลาด้วย การเทศนาว่าการก็เหมือนกัน ไม่มีคำว่าสะทกสะท้าน หรือว่ากล้าว่ากลัวกับสิ่งใดในสามแดนโลกธาตุนี้ ซึ่งเทียบแล้วเหมือนกับถังขยะ จะไปกล้ากับมันอะไรประสาถังขยะ แล้วกลัวมันอะไรประสาถังขยะ
    โลกสมมุตินี้คือโลกถังขยะทั้งนั้นแหละ ธรรมประเภทที่เป็นในพระพุทธเจ้าหรือเป็นธรรมธาตุไม่ใช่ถังขยะ เข้ากันได้ยังไง พิจารณาซิ แล้วจะไปกลัวกับอะไร ไปกล้ากับอะไร จึงว่า โลกุตรธรรม แปลว่า ธรรมเหนือโลก เหนือตลอดเวลาโดยหลักธรรมชาติของตัวเอง การแนะนำสั่งสอนดุด่าว่ากล่าว จะหนักจะเบาก็เป็นไปตามเหตุการณ์เท่านั้น พอเทศน์จบลงแล้วก็หายเงียบ ๆ ท่านไม่ได้เป็นอารมณ์เหมือนสมมุติทั้งหลาย และท่านไม่ได้ถือใครว่าเป็นกรรมเป็นเวรต่อท่าน ไม่ได้ถืออะไร
    อย่างที่ผมแสดงอยู่เวลานี้สอนทั่วประเทศไทย ช่วยประเทศไทย กิริยาท่าทางออกทุกด้านทุกทางที่ควรจะออก ๆ แต่ไม่มีกิเลสตัวใดจะมาแฝง และไม่เคยถือใครว่าเป็นข้าศึกศัตรูต่อเรา เราไม่เคยมีในหัวใจ ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูกไปธรรมดา ตามเรื่องของธรรมต้องเป็นอย่างนั้น จะลูบหน้าปะจมูกสูง ๆ ต่ำ ๆ อย่างนั้นไม่ใช่ธรรม เรานำมาสอนโลกไม่ได้ เราต้องเอาธรรมมาสอนโลก สอนโลกผิดต้องบอกว่าผิด ถูกต้องบอกว่าถูก เต็มเม็ดเต็มหน่วย จึงเรียกว่าธรรม
    การนำพี่น้องชาวไทยเราตลอดพระเณรทั้งหลายในที่ต่าง ๆ ผมก็สอนแบบนี้ทำแบบนี้ ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก ไม่เคยที่ว่าจะไปกลัวคนนั้นไปกล้าคนนั้น จุดนั้นสูงจุดนี้ต่ำไม่มีในธรรมทั้งหลาย ราบไปหมดเลย เพราะเหนือหมดแล้ว เราก็ได้ทำเต็มกำลังความสามารถของเรา ในการช่วยโลกคราวนี้ผมเรียกว่าหมดกำลังความสามารถของผม จะเป็นว่านิสัยวาสนาของเจ้าของก็น่าจะเป็นไปได้ เพราะผมไม่เคยมีความดำริว่าจะช่วยโลกแบบนี้มาแต่ก่อนเลย
    ปกตินิสัยของผมเป็นคนนิสัยวาสนาอาภัพ ไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกับใคร แม้ตั้งแต่ออกปฏิบัติก็ใครติดตามไม่ได้นะ ผมต้องไปคนเดียว ภาวนาคนเดียว ๆ ใครจะเขียนประวัติของผมนี้เขียนไม่ได้นะ นอกจากผมเล่าให้ฟังเป็นบางกาลสถานที่เวล่ำเวลาเท่านั้น ก็หยิบอันนั้นมาเขียนพอจะเขียนได้ ที่จะให้ติดให้ต่อกันจริง ๆ นี้จากผู้ใดก็ตามที่ติดตามเราไปนั้น พอที่จะเอามาติดมาต่อนี้ไม่มี คราวนี้ไปกับองค์นั้น คราวนั้นไปกับองค์นั้น องค์นั้นกับองค์นี้อาจจะเอาเรื่องราวมาติดมาต่อเป็นประวัติของผมขึ้นมาก็ได้ แต่นี้ผมไปองค์เดียว นอกจากจะได้รับคำบอกเล่าจากผมแล้วก็มาเขียนไป ๆ เท่านั้น เพราะผมเป็นอย่างนั้น นิสัยอันนี้เป็นนิสัยอาภัพวาสนา
    ตั้งแต่วันออกปฏิบัติไม่ให้ใครมายุ่งด้วยเลย ไปที่ไหนองค์เดียว ๆ ตลอดเวลา แล้วเหตุใดจึงได้มาช่วยโลกสอนโลกถึงขนาดนี้ก็น่าคิดอยู่นะ หากว่าเราตั้งความดำริไว้แต่ต้นก็ค่อยยังชั่ว เราไม่มี แต่ความเมตตานี้เป็นพื้นฐานมาตลอด อันนี้ยอมรับเลย นี่ละอำนาจแห่งความเมตตานี้ละที่ให้ช่วยโลกเวลานี้ ช่วยเต็มเม็ดเต็มหน่วยเต็มกำลังความสามารถ
    เวลานี้ธาตุขันธ์ก็อ่อนลง ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างผมก็สอนไว้เต็มเม็ดเต็มหน่วย วิธีการพาพี่น้องชาวไทยเรานำนี้ ก็บริสุทธิ์ผุดผ่องทุกอย่าง ไม่มีที่ต้องติในหัวใจตนเองว่า มีเจตนาลามกต่อพี่น้องชาวไทยอะไรบ้างไม่มี เรียกว่าทุ่มลงหมด ๆ บริสุทธิ์เต็มสัดเต็มส่วน และการแนะนำสั่งสอนก็เหมือนกัน สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทั้งเด็ดทั้งเดี่ยว ทั้งดุทั้งด่าทั้งว่าทุกแบบทุกฉบับที่ควรแก่อรรถแก่ธรรม ที่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ได้ยินได้ฟังนั้น ผมเทศน์ออกหมดไม่มีอะไรเหลือ จึงเรียกว่าเทศน์เต็มภูมิ
    การเทศนาว่าการ คิดดูซิอายุปีนี้ก็ถึง ๘๗ แล้ว เทศน์มาสักเท่าไร ๒ ปีกว่านี้เรียกว่าเทศน์มากที่สุด เทศน์หมดไม่ว่าสมาคมใดผมเทศน์ให้ฟังเต็มเม็ดเต็มหน่วยทุกแห่งทุกหนไปเลย นี่เวลานี้ก็กำลังอ่อนลงไปแล้ว ๆ การเทศนาว่าการควรจะเป็นคติตัวอย่างแก่โลกที่จะไปปฏิบัติตาม ทั้งฝ่ายละและทั้งฝ่ายบำเพ็ญ ก็ควรจะได้เป็นหลักเป็นเกณฑ์พอสมควรแล้ว ทีนี้ต่อไปผมก็จะปล่อยของผมไปเรื่อย ๆ ตามธาตุขันธ์ของผมนี้แหละ นี่ก็ได้เคยพูดแล้วว่า การเทศนาว่าการในที่ทุกแห่งดังที่เขานิมนต์มานั้น ต่อไปนี้จะเป็นไปไม่ได้แล้ว เราจะเทศน์ให้เฉพาะที่งานจำเป็น ๆ จริง ๆ เพื่อช่วยโลกสงสาร ดังที่เคยปฏิบัติมาทั่ว ๆ ไปเราจะไม่รับแล้ว เดี๋ยวนี้อ่อนไปหมด ไปที่ไหนก็ไม่ไหวแล้ว มันค่อยลดลงไป ๆ ปล่อยลงไป วางลงไป ต่อไปทีนี้ก็ปล่อยเลย
    มันหากเป็นอยู่ในหลักธรรมชาตินี่นะ ไม่มีใครรู้ยิ่งกว่าเรารู้เรา เรารู้เราทุกสิ่งทุกอย่างในตัวของเราเอง นี่เราก็ได้ช่วยเต็มความสามารถ เฉพาะเมืองไทยเรานี้เทศน์ไปหมด ๆ ทางภาคใต้ก็นิมนต์ เราก็เห็นใจจะทำยังไง อันนั้นมันไกลหน่อย แล้วก็เป็นเวลาที่เฒ่าแก่ชรามาแล้ว นิมนต์มาก็ขอความเห็นใจจากพี่น้องชาวภาคใต้ของเรา เพราะเรากำลังมันหมดแล้วเดี๋ยวนี้ แม้ตั้งแต่อยู่ในภาคใกล้ ๆ ที่ไปมาหาสู่ได้อย่างสะดวกสบายมันยังรับไม่ได้หมดคิดดูซิ เราก็ปล่อยไป ๆ จึงไม่ค่อยทั่วถึง กำลังวังชาไม่อำนวย ทางภาคใต้ก็แทบทุกจังหวัดเลยนิมนต์เรา แต่ก็ไปไม่ได้จะทำยังไง คนคนเดียวทำหน้าที่ทั่วแผ่นดินมันก็หมดกำลัง ๆ แล้วเวลานี้ยิ่งหมดกำลังด้วยแล้วจะไปที่ไหนก็ไม่ได้แล้ว ก็มีแต่จะปล่อยวางเท่านั้นเอง
    เรื่องราวมันก็เป็นอย่างนี้ธาตุขันธ์ เราทำงานคนเดียว คนอื่นไปทำแทนไม่ได้ซิ ถ้าทำแทนได้ก็ค่อยยังชั่ว อันนี้มันคงขึ้นอยู่กับนิสัยวาสนา ถ้าเขาไม่ยอมรับเสียอย่างเดียวเท่านั้น มีกี่หมื่นกี่แสนพระก็ตามเถอะก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร สำคัญอยู่ที่ว่ายอมรับกันหรือไม่ยอมรับ นี่มันก็หากจะเป็นนิสัยวาสนาเกี่ยวโยงกัน ไปที่ไหนประชาชนก็อนุโมทนาสาธุการ รุม ๆ เทศน์ที่ไหนไม่มีคำว่าคนจำนวนน้อยนะ แน่น อัดแน่น ๆ ทุกแห่งทุกหนไม่ว่ากรุงเทพฯ ต่างจังหวัด ไปเทศน์ที่ไหนคนไม่เคยบกบางเลย แน่น ๆ ด้วยกันทั้งนั้นแหละ นี่ก็แสดงว่ายอมรับนั่นเอง ถ้าเขาไม่ยอมรับเขาก็ไม่ไปฟัง
    ยกตัวอย่างเช่น กระทรวงสาธารณสุข นี้ปลัดกระทรวงพูดเอง เพราะคนไปฟังเทศน์ที่กระทรวงสาธารณสุขนั้นมากจริง ๆ ก็มากเหมือนทุกแห่งนั้นแหละ แต่กระทรวงสาธารณสุขเขาไม่เคยเห็น เขาว่า โอ๊ย นี่มันพิลึกพิลั่น คนผิดคาดผิดหมาย ไม่ได้คิดว่าคนจะมามากขนาดนี้ เพราะที่กระทรวงนี้ก็เคยนิมนต์พระเถระผู้ใหญ่ ๆ มาเทศน์ ประกาศลั่นก่อนที่จะเทศน์นี้ ครั้นเวลามาแล้วก็หยอมแหยม ๆ ว่างั้นนะ แต่นี่หลวงตามานี้ไม่เคยคาดเคยคิดว่าจะมีคนมากขนาดนี้ แน่นไปหมด ว่างั้น ก็อย่างนั้นแล้ว ทั้ง ๆ ที่เราไปเทศน์ที่ไหนก็แน่นไปหมดเหมือนกัน แต่ท่านเหล่านี้ไม่เคยเห็นสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งเราไปเทศน์ อัดแน่นด้วยผู้คนฟังทุกแห่ง ไม่ว่าภาคไหนเหมือนกันหมด นี่ละถ้าพูดถึงว่าเขายอมรับนั่นเอง ถ้าเขาไม่ยอมรับให้จ้างไปเขาก็ไม่ไปนะ
    แต่นี่ไม่ได้จ้าง ไปเทศน์ที่ไหนติดตามฟัง แม้แต่พวกกรุงเทพฯ นี่สำคัญมากนะ ไปเทศน์ที่จังหวัดไหน ๆ ติดตามไปฟังตลอด ๆ ไม่ใช่ไปน้อย ๆ นะพวกกรุงเทพฯ ไปมากต่อมากนะ นี่ก็คือความยอมรับ มันคงเป็นนิสัยวาสนาเกี่ยวโยงกัน เราก็ได้พยายามเต็มกำลังความสามารถของเรา จนหมดกำลังวังชาแล้ว ทีนี้มีตั้งแต่จะหดย่นเข้ามา ๆ อะไรก็สอนหมดแล้วการพาดำเนิน เช่น การบริจาคทาน โครงการก็มีอยู่ ใครจะอยากช่วยมากน้อยเพียงไรก็โอนเข้าในโครงการ ๆ ตามธนาคารต่าง ๆ ก็ประกาศไว้เรียบร้อยแล้วดังที่เห็นหลังศาลาเรานี้แหละ ใครจะหมุนเข้ามานั้นก็ได้ แล้วการเทศนาว่าการจะให้ผมไปเทศน์ทุกแห่งทุกหนอย่างที่เคยเป็นมานี้ เรียกว่าเป็นไปไม่ได้แล้วเวลานี้ มีตั้งแต่อ่อนลง ๆ แล้วก็ปล่อยไปตามเรื่องของมันเท่านั้นเอง
    เราก็ทำแล้วนี่ โครงการนี้ใครก็บริจาคมาได้ การเทศนาว่าการเราไปไม่ได้เขาบริจาคมาก็ยังได้อยู่จะเป็นไร แล้วสำนวนเทศน์ของผมนี้ทั่วประเทศไทย มีทุกภาคเต็มไปหมด ทางเทปละสำคัญ วิทยุก็ออก ทางเทปก็ออก ฟังได้ทั่วไป หนังสือก็ออก ก็เรียกว่ามากที่สุดบรรดาพระในกรุงสยามเรานี้ว่างั้นเลย เราอยากจะพูดว่าหลวงตาบัวนี้รู้สึกจะเป็นที่หนึ่ง การเทศนาว่าการก็ดี พวกเทปก็ดี ออกทางวิทยุก็ดี เพื่อเป็นประโยชน์แก่โลก นี่เรียกว่าเราทำเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว ใครจะยึดถือไปเป็นคติเครื่องเตือนใจเป็นประโยชน์แก่ตนเองก็ควรจะได้อยู่แล้ว นี่การเทศนาว่าการมันก็หมดกำลัง ๆ ต่อนี้ไปจะเป็นไปอย่างนั้นไม่ได้แล้ว อ่อนลง ๆ นี่เราเทศน์เต็มกำลังความสามารถด้วยความเมตตานั่นแหละ
    ทีนี้บรรดาพระเราที่มาอยู่สถานที่นี่ ให้พากันตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัตินะ เรื่องมรรคผลนิพพานอย่าไปให้กิเลสมาลูบจมูกนะ พระพุทธเจ้าแสดงไว้แล้วว่า อกาลิโก ๆ ธรรมไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติ นี่อยู่ตรงนี้นะ สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ๆ อะไรว่ามียังไงเป็นอย่างนั้น ๆ ไม่อย่างนั้นจะเรียกตรัสชอบได้ยังไง บาปมี บุญมี นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพานมี เปรตผีประเภทต่าง ๆ ทั่วแดนโลกธาตุมี เห็นแล้วรู้แล้วจึงมาสั่งสอนโลก แล้วใครจะไปลบล้างว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มี นอกจากคนตาบอดที่เรียกว่าปทปรมะ มืดเป็นเศษมนุษย์ค้างแผ่นดินของมนุษย์อยู่เท่านั้นเอง จึงจะไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มี
    ผู้ที่รู้ที่เห็นก็เป็นองค์วิเศษเสียด้วย ศาสดาเอกเสียด้วย แล้วนำมาแสดงตามที่รู้ที่เห็น ผู้ปฏิบัติตามรู้ตามเห็นตามยังมี แม้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนศาสดาองค์เอกก็ตาม แต่ก็เป็นสักขีพยานกันได้โดยไม่ต้องสงสัย จึงเรียกว่าธรรมเป็นอกาลิโก ขอให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ กิเลสก็เป็นอกาลิโกเหมือนกัน ทำให้เกิดกิเลสเมื่อไรเป็นได้ทุกเวลา มันมีกาลสถานที่เวล่ำเวลาที่ไหนกิเลส ธรรมทำไมจึงว่าเวลานี้สิ้นเขตสิ้นสมัย ศาสนาเสื่อมเรียวแหลมไปแล้วอย่างนั้น กิเลสมันหลอกต่างหาก ศาสนาเรียวแหลมที่ไหน ขอให้ปฏิบัติซิ ธรรมคงเส้นคงวาหนาแน่นตลอดเวลา พร้อมที่จะให้ผลกับผู้ปฏิบัติ เช่นเดียวกับกิเลสมันก็พร้อมที่จะให้ผลแก่ผู้หลงตามมันอยู่ตลอดเวลาเช่นเดียวกันนั่นแหละ ให้พากันตั้งอกตั้งใจตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ
    ธรรมนี่สด ๆ ร้อน ๆ ตลอดเวลานะ ขอให้ตั้งใจปฏิบัติ อันเรื่องโลกสกปรกโสมมนี้อย่าไปสนใจกับมันให้เสียขณะจิต ได้รับความลำบากลำบน ถ้าคิดเรื่องกิเลสจะแทงหัวใจทันที ๆ คิดเรื่องอรรถเรื่องธรรมมีความสงบร่มเย็นแก่จิตใจของเราทุกคนนั้นแหละ ให้คิดเรื่องอรรถเรื่องธรรม ตั้งแต่คำบริกรรม เอาสงบ เอาคำบริกรรมติดกับจิตลงไป นี้เรียกว่าหล่อเลี้ยงจิตใจด้วยธรรมคำบริกรรม ต่อไปเมื่อเราบังคับไว้เสมอไม่ให้มันส่งออกไปข้างนอก จิตของเราจะมีความอบอุ่นแน่นหนามั่นคงขึ้นเป็นลำดับ จนกลายเป็นสมาธิขึ้นมาได้ด้วยคำบริกรรม
    ใครอย่าไปนึกเอาเฉย ๆ นะว่าจะกำหนดความรู้เฉย ๆ อย่า เราทำมาแล้ว ผมทำมาแล้วนะ จนกระทั่งได้เอาคำบริกรรม คือ พุทโธติดแนบกับใจ แต่นิสัยผมมันจริงจังนี่นะ จริงจังมากทีเดียว ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปเราจะเอาคำบริกรรมนี้ติดแนบกับหัวใจไม่ยอมให้เผลอเลย เพราะกำหนดแต่จิตเฉย ๆ นี้ จิตมันเสื่อมแล้วก็เจริญ เจริญแล้วก็เสื่อม ทำยังไงก็ห้ามไม่อยู่ มันจะเป็นเพราะเหตุนี้กระมัง เพราะเหตุที่เราไม่มีคำบริกรรมนี้กระมัง จึงจับคำบริกรรม แล้วจับจริงด้วยนะ ตั้งแต่นี้ต่อไปเราจะเอาคำบริกรรมเป็นเครื่องกำกับจิตตลอดไป จะไม่ยอมให้เผลอ ฟังซิน่ะ
    ตื่นนอนปั๊บจับพุทโธตลอดเวลา กิริยาเคลื่อนไหวไปไหน ๆ ในเวลาที่ตั้งจิต จิตยังหารากฐานไม่ได้ เอาขนาดนั้นเทียวนะ ตั้งใจลงกับคำบริกรรม ไปไหนไม่ให้เคลื่อนคลาดไปเลยทีเดียว ตื่นนอนปั๊บ พุทโธ ติดเลย จนกระทั่งได้เห็นชัดเจนว่าจิตของเรานี้ เวลามันละเอียดจริง ๆ นี้คำบริกรรมไม่ปรากฏนะ นั่นมันเกิดขึ้นแล้วในตัวของเรา เวลามันยุ่งเหยิงวุ่นวายเอาคำบริกรรมติดแนบไว้เลย ไม่ยอมให้มันคิด ไม่เสียดายความคิดใด ๆ ทั้งนั้น ให้มีแต่ความคิดคือว่า พุทโธ ๆ ซึ่งเป็นความคิดทางด้านธรรมะอยู่กับใจ มีสติติดแนบกับนี้แล้วใจยังไงต้องตั้งได้คนเรา ตั้งได้ ผมนี่ตั้งมาแล้วนี่ ผมก็ได้เขียนแล้วในหนังสือก็มี เทปก็มี
    เราปล่อยหมดจริง ๆ เรื่องเสียดายในเรื่องความเสื่อมความเจริญเราก็เคยเป็นมาแล้ว ไม่เห็นเกิดผลประโยชน์อะไร คราวนี้เราจะไม่เสียดาย เอ้า เจริญก็เจริญไป เสื่อมก็เสื่อมไป แต่กับ พุทโธ เราจะไม่ปล่อย เอาตรงนี้เท่านั้น ทีนี้หายกังวลทั้งหมด เอ้า เสื่อมก็เสื่อมไป เราเคยเสียดายมันพอแล้ว สร้างกองทุกข์ให้เรามากมายก่ายกอง ไม่เสียดายมันทั้งความเสื่อมความเจริญ ไม่ให้เป็นอารมณ์กับมัน แต่กับ พุทโธ นี้จะไม่ยอมปล่อย จับพุทโธตลอดเลยที่นี่ เอา มันจะไปไหนเป็นยังไงก็ตาม พุทโธ ๆ ติดแนบเลย
    นี่เราจึงได้เห็น พุทโธ นี้เข้ากลมกลืนกับใจแล้วนี้ คำบริกรรม พุทโธ ๆ ที่เราเคยบริกรรมมานี้ไม่มีนะ พอถึงขั้นที่ละเอียดลออเต็มเหนี่ยวแล้วกำหนด พุทโธ ไม่ปรากฏเลย เหลือแต่ความรู้ที่เด่น จนกระทั่งงง เอ๊ ทำไมแต่ก่อนเราบริกรรมได้ ทำไมคราวนี้มันบริกรรมไม่ได้ แล้วเหลือแต่ความรู้ที่เด่น ๆ เอ้า บริกรรมไม่ได้มันรู้สึกสงสัยสนเท่ห์นะ เราหวังจะตายอยู่กับคำบริกรรม ทีนี้คำบริกรรมก็หายแล้ว อ้าว อันที่ไม่หายคือความรู้มันเด่น
    เอ้า ถ้าหากว่าคำบริกรรมหายก็หายไป แต่เอาสติเปลี่ยนจากคำบริกรรมมาอยู่กับความรู้อันนี้ เอาสติจับกับความรู้ที่ละเอียดลออแต่บริกรรมไม่ได้นั้น ให้อยู่นั้น มันก็ไม่นานของมัน พอได้จังหวะแล้วจิตมันก็ค่อยคลี่คลายออกมา เอาคำบริกรรมอัดปั๊บเข้าไปได้เอง ทีนี้บริกรรมได้ เวลามันเข้าละเอียดจริง ๆ บริกรรมไม่ได้นะ ผมเป็นแล้วนะ จนกระทั่งเจ้าของงง ไม่งงว่างั้นเลย เอา ให้อยู่กับความรู้นี้ เอาสติจับตรงนี้แทนกับคำบริกรรม
    ไม่นานมันก็ค่อยคลี่คลายออกมา พอคลี่คลายออกมาคำบริกรรมติด ๆ จนกระทั่งถึงขั้นที่มันเจริญขึ้นไปแล้วมันจะเสื่อม มันรู้ขนาดนั้นนะ พอเจริญขึ้นไปถึงขั้นนี้แล้วมันเสื่อม เอ้า เสื่อมก็เสื่อมไม่เสียดายมัน คำบริกรรมไม่ปล่อย ๆ เอาไปเรื่อย ๆ สุดท้ายเวลาถึงขั้นนั้นแล้วควรจะเสื่อมไม่เสื่อมนะ คือเสื่อมเราก็ไม่เสียดาย เพราะจิตนี้มันเด็ดมากนะ เหมือนหินหัก ถ้าว่ายังไงแล้ว ว่าไม่เสียดายไม่เสียดายจริง ๆ เอ้า เสื่อมไปแต่กับพุทโธจะไม่ยอมปล่อย พอถึงขั้นนี้แล้วควรจะเสื่อม มันอยู่ได้สองวันสามวันแล้วมันก็เสื่อมต่อหน้าต่อตาเรา ทีนี้พอถึงขั้นนี้แล้วควรจะเสื่อม เอ้า เสื่อมก็เสื่อมไป ปล่อย แต่พุทโธไม่ปล่อย สุดท้ายมันก็ไม่เสื่อม ค่อยหนาแน่นมั่นคงขึ้นไป ๆ จนกระทั่งจิตใจเป็นหลักขึ้นมา เป็นสมาธิขึ้นมา แน่วแน่ขึ้นมา
    จึงได้รู้สึกตัวว่า อ๋อ ที่จิตเราเจริญแล้วเสื่อม ๆ เพราะขาดคำบริกรรมนี้แล สติอาจเผลอไปตรงนี้ก็ได้ เวลาสติติดกันกับคำบริกรรมอยู่ตลอดเวลาแล้วไม่เห็นเสื่อมนี่นะ นั่นละถึงได้เอามาพูดให้หมู่เพื่อนฟัง เราทำมาแล้วทุกอย่างนะ จนกระทั่งจิตตั้งรากตั้งฐานจิตเป็นสมาธิเด่นแน่วอยู่นั้น เอ้า ทีนี้ไม่บริกรรมก็ได้ คือจุดของผู้รู้นี้เด่น สติจับอยู่กับความรู้ที่เด่น ๆ นั้นแทนคำบริกรรม ตั้งได้ทุกคนถ้าหากว่าได้ทำอย่างนี้นะ ไอ้เหลาะ ๆ แหละ ๆ เผลอ ๆ ไผล ๆ นั่นซิใช้ไม่ได้นะ ให้เอาจริงเอาจังทุกอย่าง นี่ได้ทำมาแล้วนะมาสอนหมู่เพื่อน สอนแบบที่แน่ใจทุกอย่าง ให้พากันตั้งใจปฏิบัติ
    พระเราบวชมาไม่มีสมาธิสมบัติ ศีลสมบัตินี้ก็ให้มีเต็มตัวอยู่แล้ว รู้จักทุกคน เรารักษาศีลของเราด้วยความเป็นผู้มีหิริโอตตัปปะแล้วศีลของเราก็เต็มตัวของเรา แล้วสมาธิมีความสงบใจ เอาให้ได้ คำภาวนาเช่นคำบริกรรมนี้สำคัญมากนะ อย่าลืม ไปที่ไหนให้ติด จนกระทั่งเมื่อเวลาคำบริกรรมนานเข้า ๆ นี้มันไปหล่อเลี้ยงจิต เป็นจุดผู้รู้เด่นขึ้นมา ๆ ต่อจากนั้นก็มีฐานขึ้นมาเป็นสมาธิแหละที่นี่ พอเป็นสมาธิแล้ว สติกับคำว่าบริกรรม ๆ มันค่อยหมดความหมายไปเอง มันไปเด่นอยู่กับจุดผู้รู้ มันก็จับผู้รู้นั้นด้วยการตั้งสติอยู่กับนั้นตลอดไปเลย นี่ละวิธีการบำเพ็ญให้ทำอย่างนั้น นี่ได้ทำมาแล้วนะ ที่สอนเหล่านี้ทำมาแล้วทั้งนั้น ๆ
    จนกระทั่งก้าวเข้าสู่ปัญญา เป็นสมาธิเต็มเหนี่ยวก็เป็นแล้ว เหมือนน้ำเต็มแก้วที่ว่า ออกทางด้านปัญญาก็เห็นประจักษ์ ๆ ฟาดจนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นลงจากหัวใจ หายสงสัย ไม่มีอะไรเหลือแล้ว ในสามแดนโลกธาตุจิตครอบโลกธาตุ สว่างจ้าหมดเลย โถ ทำไมจิตถึงเป็นไปได้ขนาดนี้นะ ตื่นเต้นตัวเอง มันเป็นในขันธ์ของมันเองนะ ขันธ์นี่ตื่นเต้นตัวเอง น้ำตานี่พราก ๆ เลยเทียวด้วยความอัศจรรย์ธรรมของพระพุทธเจ้า อัศจรรย์พระพุทธเจ้าว่าตรัสรู้ขึ้นมาได้อย่างไรไม่มีใครบอกใครสอน เรานี่ท่านสอนแทบเป็นแทบตายถึงได้มารู้อย่างนี้ แล้วก็อัศจรรย์ในธรรม น้ำตานี้ โหย ไม่ได้บอกนะ ออกเอง ๆ พราก ๆ
    ดูโลกธาตุนี้ แหม อ่อนใจนะ เวลาจิตนี้ได้ถึงขั้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...