หลวงตามหาบัวรับรองใคร รับรองเรื่องอะไร??? ติดตามกันได้ในนี้ครับ

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย มังกี้, 25 กรกฎาคม 2010.

  1. มังกี้

    มังกี้ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +66
    รับรองเรื่องอะไร
    พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

    ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๓
    ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี



    มันมีประเด็นที่เขาบอกว่า เขาโทรศัพท์มาบอกไงว่ามีการปล่อยข่าว เขาพูดว่าปล่อยข่าว มันก็คือข่าวลือนั่นแหละ มันมีการปล่อยข่าวว่า ที่สำนักปฏิบัตินั้นเขาบอกว่ามีพระหลวงพ่อองค์หนึ่งไปหาหลวงตามาแล้ว แล้วหลวงตานี่รับรองรับประกัน แล้วห้ามผู้ใดไปยุ่งกับพระที่ท่านรับประกันองค์นี้ มีแต่พระสงบองค์เดียวที่ยังด่าท่านอยู่ เขาว่าอย่างนั้นนะ

    ถ้าพูดประสาเรา เราว่าไม่ใช่ เพราะว่าการรับประกันกันนี้มันก็พูดกันไปใช่ไหม แล้วก็มีความเชื่อถือเพราะว่าเอาครูบาอาจารย์มา แล้วก็ว่ากันไปตามประสาของเขา แต่ถ้าอย่างเรา ในวงปฏิบัติของเรานี้ ในการประกันหรือไม่ก็แล้วแต่ หลวงตาท่านจะพูดว่า ท่านจะชมมาก ท่านจะชมหลวงปู่ลีว่า “เศรษฐีธรรม” เพราะว่าหลวงปู่ลีนี้หลวงตาท่านสร้างของท่านมา

    การสร้างมานี่นะ เวลาเราปฏิบัติขึ้นมานี้เหมือนพ่อแม่ พ่อแม่เลี้ยงลูกมาแต่ละคน กว่าลูกจะโตขึ้นมา ลูกต้องผ่านอุปสรรค การศึกษา คบเพื่อนอะไรต่างๆ มันจะมีอุปสรรคมาหมดแหละ แล้วพอมันโตขึ้นมา มันก็ต้องมีปัญหาเดือดร้อน มีปัญหาที่ว่าตัวเองแก้ไขไม่ได้ก็ไปหาพ่อแม่ พ่อแม่ก็จะดูแลมาเห็นไหม ดูแลแก้ไขมาดัดแปลงมา พอถึงที่สุด ถ้าลูกเราจบการศึกษา มีหน้าที่การงานทำ ประสบความสำเร็จนั่นเห็นไหม สิ่งนั้น เนื้อหาสาระมันเป็นข้อเท็จจริง แต่ข้อเท็จจริงอย่างนี้

    ระหว่างพ่อแม่ในครอบครัวหนึ่ง มันก็เป็นเรื่องในครอบครัวนั้น ครอบครัวอื่นเขาจะมารู้จักเราได้อย่างไร ฉะนั้นครอบครัวอื่นยังไม่รู้จักขึ้นมานะ แต่มันเพื่อประโยชน์กับสังคมใช่ไหม หลวงตาท่านบอกเลยนี่ “เศรษฐีธรรม เศรษฐีธรรม” เพราะว่าท่านได้ดูแลมา อย่างกรณีของตัวท่านเอง ท่านจะบอกเลยว่า “หลวงปู่มั่นเป่ากระหม่อมท่านมา หลวงปู่มั่นเป่ากระหม่อมท่านมา”

    คนเรานะ ถ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันจะมีที่มาที่ไป

    ฉะนั้นที่ว่าการรับรองนี้มันรับรองอะไร ทีนี้การรับรองที่ท่านรับรองนี้มันก็ต้องมีเหตุมีผล มีที่มาที่ไป ไม่มีอะไรแล้วจะมารับรองๆ กันนี่ มันเลื่อนลอยไง เพราะข่าวเขาก็บอกกันว่า เป็นข่าวลืออยู่แล้ว แต่นี้พอข่าวลือแล้วมันเพราะว่าเขาลือกันไปไง ลือกันไปแล้วเราเป็นคนที่โต้แย้งอยู่

    เขาเลยบอกว่า “มีแต่พระสงบเท่านั้นที่ยังต่อต้านเขาอยู่”

    เราไม่ได้ต่อต้าน เราไม่สามารถต่อต้านลมฟ้าอากาศได้ เวลาลมพายุต่างๆ มันแปรปรวนมา เราไม่สามารถต่อต้านได้หรอก มันเป็นกระแสลมใครจะไปต่อต้านมันได้

    นี่ก็เหมือนกัน สัจจะความจริงมันยิ่งกว่าธาตุ ๔ ยิ่งกว่ากระแสลม ยิ่งกว่าทุกๆอย่าง เพราะมันเป็นสัจธรรม เราจะไม่สามารถต่อต้านใครได้หรอก ทีนี้คำพูดนี่มันเป็นคำพูด พอมีคำพูดกันไปแล้วมันมีผลต่อสังคม ที่เขาบอกว่าหลวงตารับรองแล้ว แล้วเขาก็มาเล่าให้เราฟัง เขาถกขึ้นมา

    หลวงตารับรอง รับรองเรื่องอะไร

    อย่างเช่นพวกเรานี่นะ พวกเรามีสินค้า ถ้าเราจะจดลิขสิทธิ์ เราต้องเสนอผลงานใช่ไหมว่าสิ่งนี้มันเป็นอะไร มีส่วนผสมอะไร แล้วเทคนิคเทคโนโลยีเป็นอย่างไร สิ่งที่ทำมาแล้วนี้ เราจะจดลิขสิทธิ์ของเรา ลิขสิทธิ์นี้เราเป็นผู้คิดค้นขึ้นมา กรมทรัพย์สินทางปัญญาเขารับแล้ว เขาต้องวินิจฉัยว่ามันถูกต้องไหม มันไปทับซ้อนกับผลประโยชน์ของใครไหม มันลอกเลียนแบบใครมาไหม ทุกอย่างเขาต้องมีขั้นตอนของเขาใช่ไหม เขาถึงจะให้จดทะเบียน

    แล้วบอกว่ารับรอง รับรองอะไรล่ะ

    ถ้าการรับรองนะ ที่เราเห็นว่าสิ่งนี้มัน... เวลาฝนตกแดดออก เห็นไหม เวลาหน้าแล้งหน้าฝน เวลาฝนพายุมันมา มันมีเหตุมีผลของมัน เห็นไหม อากาศร้อน หน้าฤดูฝน ฤดูมรสุมต่างๆ มันมีเหตุมีผลของมัน ถ้าไม่มีเหตุมีผลของมัน จะรับรองอะไร รับรองสิ่งที่ไม่เป็นจริง มันรับรองไม่ได้หรอก อย่างเช่น สติไม่ต้องฝึก สติไม่ต้องฝึกมันจะเกิดได้อย่างไร เห็นไหมนี่พูดถึงเป็นข้อๆ เลยนะ นี่รับรองอย่างนี้เหรอ รับรอง

    ๑.สติไม่ต้องฝึก

    ๒.เผลอปั๊บสติมาเอง

    ๓.ถ้าตั้งใจจะเป็นสติตัวปลอม

    ๔.ถ้าตั้งใจฝึกสตินี่เป็นสติตัวปลอม แต่ถ้าเผลอ จะเป็นสติตัวจริง เผลอสติมานี่เป็นตัวจริง


    นี่พูดถึงสตินะ ๑ ๒ ๓ ๔ นี่เรื่องของสติ สติที่มา มันก็เหมือนทรัพย์สินทางปัญญา สิ่งที่เราไปจดลิขสิทธิ์ มันพิสูจน์แล้ว มันเป็นไปได้ไหม ถ้ามันเป็นไปไม่ได้ ใครจะไปจดให้ล่ะ มันเลื่อนลอยมันไม่มีที่มาที่ไป

    สติไม่ต้องทำอะไรเลย มันจะมีมาของมัน

    แล้วถ้าเป็นเรื่องของสมาธินะ สมาธิไม่ต้องทำ สมาธิมีอยู่แล้ว

    ๕.“ขณิกสมาธิ” คืออ่านหนังสือหรือรู้ตัวนี่แหละ คือขณิกสมาธิ

    ขณิกสมาธิ คือปกตินี่คือขณิกสมาธิ มันจะย้อนกลับมาที่ว่าสมาธิมีอยู่แล้วไง ขณิกสมาธิคือ เขาว่ากันนะว่าอยู่ปกตินี่คือได้ขณิกสมาธิแล้ว

    ถึงบอกว่า ถ้าหลวงตา หลวงปู่มั่นท่านเป่ากระหม่อมมา เวลาหลวงตาท่านติดสมาธินะ

    เวลาติดสมาธิเห็นไหม ว่างเลย เข้าใจว่านี่เป็นนิพพานเลย ท่านก็ถาม “มหาจิตเป็นอย่างไร ดีไหม” “ดีครับ” “ดีไหม” “ดีครับ” ถึงที่สุดนะเพราะท่านจะแก้ไง “มันจะดีบ้าอะไร นี่สุขอย่างนี้สุขในสมาธินี่ มันติดสมาธินี่สุขในสมาธิ มันเป็นสุขเศษเนื้อติดฟันนะ” ไอ้คนนั้นก็บอกว่า “เอ้า.. สุขแบบนี้ แล้วสัมมาสมาธิ” สัมมาสมาธิในมรรค ๘ เพราะเราเรียนมาเห็นไหม “แล้วเป็นอย่างไรล่ะ” “อ้าว..สัมมาสมาธิขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันไม่มีสมุทัยเว้ย สัมมาสมาธิของท่าน เวลาท่านติดสุขท่านมีสมุทัยไง เพราะมีตัณหาความทะยานอยาก ติดสมาธิคือตัวตัณหานะ”

    งงนะ แล้วนั่นคือตัวสมาธิ แล้วขณิกสมาธิ การอ่านหนังสือ ชีวิตปกตินี่เป็นขณิกสมาธิ ขณิกสมาธินี่เขาไม่ได้เรียกขณิกสมาธิ เพราะว่า ดูสิ ดูอย่างสติสามัญสำนึกของมนุษย์นี่มันก็มีสติอยู่แล้ว สมาธิสั้นสมาธิยาวของเด็ก สมาธิสั้นสมาธิยาวคือสมาธิของปุถุชน

    แต่ถ้าสมาธิในอริยมรรค นี่ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ขณิกสมาธินี่พอจิตมันลงนะ พอจิตมันเป็นสมาธิ มันรู้อะไรของมัน เห็นไหม ถ้าอุปจาระแล้ว มันมีหลักของมัน มันออกมาดูกาย เวทนา จิต ธรรม มันจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลย

    แต่นี้อ่านหนังสือเป็นสมาธินี่ คอมพิวเตอร์มันก็อ่านหนังสือได้ มันเป็นไปไม่ได้ นี่คือเรื่องการทำสมาธินะ

    อันนี้ยิ่งน่าเกลียด เผลอๆ ลงสมาธินี่ว่างหมดเลยนะ เวลาเผลอ ลงสมาธินี่ สมาธิว่างมีสุขมาก

    ไอ้นี่มันไม่ใช่สมาธิหรอก มันไม่ได้เลยไง มันเผลอๆ จะลงวูบ วูบ วูบ หายหมดเลยนะ ว่าง มีความสุขมาก

    มันเป็นสัญญาอารมณ์ สัญญาอารมณ์ตรงไหน ตรงที่ว่างนั่นใครรู้ว่าว่าง ถ้าเป็นสมาธินะ มันพูดว่าว่างไม่ได้ “อื๊อ! อื๊อ!” ตัวมันว่าง นี่แล้วบอกว่าว่างหมดเลยนะ โอ๋ยเผลอๆ นี่มันลงวูบไปเลยสมาธิ นั่นเป็นสมาธิของเขา แล้วบอกเผลอปั๊บสติมาเอง เผลอปั๊บสมาธิลงมาเอง เผลอทุกอย่าง

    นี่เราพูดถึงว่ารับรองอะไร หลวงตานี่รับรอง รับรองเรื่องอะไรล่ะ

    ๖.ว่างๆ สมาธิมาเอง

    ๗.รู้ตัวทั่วพร้อมจนลงอัปปนาสมาธิ แล้วปัญญาจะเกิดโดยอัตโนมัติ แล้วสมาธิ สมาธิเกิดอย่างไรล่ะ ว่างๆ นี่ ว่างๆ สติมันไม่มี ว่างปั๊บไปเลยปัญญาจะเกิดเอง


    ๘.ปัญญาต่อเนื่องกับความคิดนี้หยุดไม่ได้ เพราะอะไร เพราะเป็นปัญญาไปเลย ปัญญาต่อเนื่อง คำว่า “ปัญญาต่อเนื่อง” จำดวงหนึ่งเป็นดวงหนึ่ง ดวงหนึ่งเป็นดวงหนึ่ง นี่ปัญญาของเขา

    ๙.ปัญญาเลยเป็นเอง เป็นเองมาเอง โดยอัตโนมัติ

    สติมันก็ผิด สมาธิก็ผิด เผลอก็ผิดอีก ยิ่ง ๑๐ นี่ยิ่งน่าเกลียด

    ๑๐.จิตส่งออกไม่ได้ สิ่งที่ส่งออกคือสัญญาอารมณ์ ตัวจิตส่งออกไม่ได้ มันเหมือนเราไปไหนไม่ได้ เสื้อผ้าเรานี่ลอยไปเหมือนผีเลย เสื้อผ้ามันลอยไปได้ เสื้อผ้ามันไปได้เพราะอะไร เพราะมนุษย์ใส่มันถึงไปได้ จิตก็เหมือนตัวมนุษย์ เสื้อผ้าคือสัญญาอารมณ์ คือความคิด เขาบอกว่าสัญญาอารมณ์ส่งออก จิตส่งออกไม่ได้ สัญญาอารมณ์ส่งออกเท่านั้น

    รับรองเรื่องอะไร เพราะเขาส่งข่าวมาว่าหลวงตารับรอง แล้วรับรองนี่ก็ในวงในเขา แต่วงนอกมันก็ไม่มีปัญหาแล้วล่ะ แต่นี่เพียงแต่ว่ารับรองนี่ เราจะบอกว่ารับรองอะไร ตั้งแต่ปัญหา ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ นี่หรือรับรอง สติไม่ต้องฝึก ถ้ารับรองอย่างนี้เหรอ

    นี่ไงมันเหมือนกับเราจดลิขสิทธิ์ ถ้าเราจดลิขสิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญญา เราต้องพิสูจน์ได้ เราต้องพิสูจน์ว่า สิ่งนี้เราเป็นคนคิดค้นขึ้นมา

    เรื่องการปฏิบัติ มันเป็นอย่างนี้ มันเหมือนกับการคิดค้นขึ้นมา ทั้งๆ ที่เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เวลาใครปฏิบัตินี่มันเป็นสันทิฏฐิโก เป็นปัจจัตตัง มันจะเป็นเหมือนกับคิดค้นขึ้นมาเอง แต่มันมีตำรับตำรามีทฤษฏีแล้ว อย่างเช่น ทฤษฎีเห็นไหม คือธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นทฤษฎี แล้วเราปฏิบัตินี่มันจะเหมือนลิขสิทธิ์ทางปัญญา

    คือเราจะทำของเราขึ้นมา ทำของเราขึ้นมา ใครจะรับรองใครหรือจะไม่รับรองนั้นมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เรื่องจริงมันต้องมีข้อเท็จจริงอย่างนี้ขึ้นมา มันถึงจะมีคนรับรองได้ แล้วถ้าคนรับรองได้ รับรองในเรื่องอะไร เหมือนช่างทองเลย ช่างทองเห็นไหมเขาทำทองคุณภาพอะไร ส่วนผสมทองกี่เปอร์เซ็นต์ ถ้าส่วนผสมทองกี่เปอร์เซ็นต์นะ ทองมีความแข็งขนาดไหน มันมีส่วนผสมอะไร มันขึ้นรูปอย่างไร ต้องการทอง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ทองที่มีคุณภาพของ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ มันนิ่มมันอ่อนมันไม่แข็ง จะทำวัสดุสิ่งใด ช่างทองเขาจะรู้ของเขาหมดเลย

    คำว่า “ช่างทอง” นี่ก็เหมือนกัน นักปฏิบัตินี่เหมือนช่างทอง นักปฏิบัติเหมือนกัน ประพฤติปฏิบัติใจนี่มันต้องควบคุม มันต้องแก้ไขของนักปฏิบัตินั้นเอง เจ้าของร้านทองนั้นเขาก็จ้างช่างทองนั้นมาทำ เราเป็นช่างทอง เราเป็นผู้กระทำ เราจะบอกให้ร้านรับประกันว่ากี่เปอร์เซ็นต์ ไอ้ช่างทองนั้นมันเป็นคนผสมเอง ช่างทองนั้นมันอาจจะพลิกแพลงของมันเอง มันทำอะไรตามใจมันได้ทั้งนั้นแหละ

    นี่พูดถึงช่างทอง แล้วถ้าช่างทอง เขาก็ต้องรู้ว่าคุณภาพของทองมันคืออย่างไร ทองคำเป็นทองคำนะ เงินคือเงินนะ ตะกั่วคือตะกั่วนะ แล้วสิ่งที่ทำมา สิ่งที่พูดมานี่มันมีส่วนผสมของอะไรบ้าง ที่ว่าหลวงตารับรองนี่ มันรับรองอะไร ตั้งแต่ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ เลย ๑. สติไม่ต้องฝึก ๒. เผลอปั๊บสติมาเอง ๓. ตั้งใจสติตัวปลอม เผลอๆ สติตัวจริง นี่ขั้นของสติ

    ขั้นของสมาธิ สมาธิไม่ต้องทำ สมาธิมีอยู่แล้ว มันมีอยู่แล้ว นี่ไงเพราะสมาธิมีอยู่แล้วมันถึงมาลงข้อที่ ๕ ขณิกสมาธิคืออ่านหนังสือ คือรู้ตัวนี่แหละคือขณิกสมาธิ อย่างนั้นแล้วไม่ต้องฝึกสมาธิ สมาธิมีอยู่แล้ว มันก็เหมือนกับพวกเรานี่เป็นคนดีอยู่แล้ว พวกเรามีเงินทุนอยู่แล้ว ทุกคนเป็นเศรษฐีอยู่แล้ว ไม่ต้องทำอะไรนะ กลับบ้านแล้วนอน นอนแล้วกิน กินแล้วนอนนี่เป็นเศรษฐีอยู่แล้ว ไม่ต้องทำงานเลยมันจะเป็นเศรษฐีเอง

    ที่เป็นอย่างนี้นี่เราพูดตอนเช้าไง ตอนเช้าเราบอกว่า สิ่งที่เราเป็นกันอยู่นี่มันเป็นบุญเก่า กินของเก่า มนุษย์ที่เกิดมาเป็นมนุษย์เพราะบุญกุศล มนุษย์สมบัติถึงมาเกิดเป็นเรา เพราะมนุษย์สมบัติมันมีสถานะอย่างนี้ มันเป็นโลกียปัญญา เป็นเรื่องของโลก เป็นเรื่องสามัญสำนึก เป็นเรื่องของมนุษย์ มนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ฉะนั้นไอ้เรื่องสติระลึกรู้นี่มันเป็นเรื่องสามัญสำนึกโลก แต่มันไม่ใช่อริยมรรค มันเข้ามรรคไม่ได้หรอก

    ถ้าสมาธินี่เห็นไหม มิจฉาสมาธิ สัมมาสมาธิ สมาธิในมรรค ๘ มันสมาธิอีกเรื่องหนึ่ง อีกเรื่องหนึ่งเลย อีกเรื่องหนึ่งเพราะมันเป็นโลกียปัญญากับโลกุตตรปัญญา ถ้ามันเป็นสมาธิ แม้แต่ไอน์สไตน์นะ ไอน์สไตน์นี่เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ เขาพิจารณาขนาดนั้น เขาพิสูจน์ในห้องแล็บของเขา เขาเพ่งอยู่อย่างนั้นแหละ เขาได้สมาธิหรือยัง

    สมาธิของโลก นักวิทยาศาสตร์นะนักวิจัย เขาจะวิจัยงานของเขา เขาจะเคร่งเครียดอยู่นี่ นี่โลกียปัญญา เพราะเขาต้องการผลงานอันนั้น แต่สมาธิในสัมมาสมาธินี่มันมีสติ มันกำหนดพุทโธ หรือมันใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าเป็นสมาธิขึ้นมานี่มันปล่อยวาง นักวิจัยเห็นไหม เขาเคร่งเครียดอยู่กับสิ่งที่เขาวิจัย เขาเพ่งอยู่กับสิ่งที่เขาวิจัย เขาทดสอบเขาวิจัย พุทโธ พุทโธ พุทโธจนจิตสงบ คนวิจัยถ้าไม่มีสายตา ไม่มีสติพร้อม มันจะวิจัยสิ่งใดได้ไหม

    สัมมาสมาธิ จิตมันหดเข้ามาหมด มันหดเข้ามาหมด มันไม่ได้เพ่งออกไป เพ่งไปดูไปวิจัย นั่นมันเป็นเรื่องของโลก เพราะมันเป็นเรื่องของโลก แต่ถ้ามันเป็นสมาธินี่มันหลับตาใช่ไหม แล้วมันเข้ามาในตัวมันเอง มันจะไปวิจัยสิ่งใด นี่โลกุตตรปัญญา สัมมาสมาธิ สมาธิในอริยมรรค มันไม่ใช่สมาธิอย่างที่ว่าอ่านหนังสือก็เป็นสมาธิ นักวิจัยยังไม่เป็นสมาธิเลย แล้วมึงอ่านหนังสืออยู่นี่แล้วบอกว่าเป็นขณิกสมาธิ

    กูจะดูว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญามันจะจดลิขสิทธิ์ให้หรือเปล่า มันเป็นไปไม่ได้ ขณิกสมาธิคืออ่านหนังสือ นี่ข้อ ๕.

    ๕.เผลอๆ ลงสมาธิแล้วว่าง เพราะเขาพูดกันบ่อย เขาบอกว่าเขากำหนดดูนะ พอเผลอปั๊บมันลงวูบ โอ้โฮ ว่างโล่งไปหมดเลย

    คำพูดนี่มันขัดแย้งกันไปหมดเลย มันเป็นไปไม่ได้

    นี่ขั้นของสมาธิ พอขั้นของปัญญาก็ไปอีกเรื่องหนึ่งเลย ขั้นของปัญญานะ รู้ตัวทั่วพร้อม ลงอัปปนาสมาธิเป็นปัญญาอัตโนมัติ ปัญญามันจะต่อเนื่อง เห็นไหม จากจิตดวงหนึ่งจำจิตอีกดวงหนึ่ง เห็นไหม จิตดวงหนึ่งจิตจำจนเป็นปัญญาขึ้นมา แล้วปัญญามันจะต่อเนื่องกัน ปัญญามันเป็นเองโดยอัตโนมัติ

    อย่างนี้นี่พูดถึง ถ้าหลวงตารับรอง รับรองเรื่องอะไร รับรองในเหตุผลอย่างนี้ไหม ถ้าหลวงตารับรองในเหตุผลนี้ ต้องเอาเหตุผลนี้มาเป็นตัวตั้ง

    คำว่า “รับรอง” นี่ อย่าดึงฟ้าต่ำ พยายามจะไปดึงมา จะไปดึงครูบาอาจารย์มาเป็นผู้ที่รับรองตน ช่างทองไม่ต้องให้ใครมารับรองนะ ช่างทองมีฝีมือ ช่างทองเป็นคนทำ ช่างทองต้องรู้ว่าอะไรเป็นทองคำ แล้วช่างทองถ้ามีฝีมือ ช่างทองก็ยังมีคนละระดับเห็นไหม ช่างเจียระไน ช่างเพชร ช่างต่างๆ ถ้าฝีมือเขาสุดยอด โอ้โฮ ผลงานของเขาจะเยี่ยมมากเลย แต่ฝีมือของเด็กหัดใหม่ มันก็เป็นช่างเจียระไนเหมือนกัน แต่ฝีมือเขายังไม่เข้าระดับใช่ไหม ไอ้อย่างพวกเรานี่พวกฝึกหัด เราก็มีครูบาอาจารย์ของเราไป

    ฉะนั้นอยู่ที่ข้อเท็จจริงอยู่ที่ฝีมืออยู่ที่การกระทำ ฝีมือของเรานี้ไม่เข้าระดับเลย แต่เราบอกว่า เราเป็นช่างเจียระไน ช่างทองที่สุดยอด อย่างนี้มันเป็นไปไม่ได้หรอก ถ้าเราจะเป็นช่างทองที่สุดยอด จะเป็นช่างเจียระไนที่ดี เราเอาผลงานอันนั้นมาวางไว้ เขามาดูผลงานนี่เขาจะหาคนทำเลย ถ้าเขาเพชรหรือเห็นทองคำ เห็นสิ่งต่างๆ ที่มันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ เขาจะสืบหาคนทำนั้นว่าใครเป็นคนทำ เขาอยากหาคนทำ

    ไอ้นี่ผลงานตัวไม่มีเลยนะ องค์นั้นก็รับรอง องค์นี้ก็รับรอง เราถึงบอกว่ารับรองเรื่องอะไร เราอยากรู้ว่ารับรองเรื่องอะไร

    เราถึงบอกว่านี่คือผลงานไง ผลงาน ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ นี่ผลงานอะไร ถ้าผลงานอย่างนี้ ถ้ามีครูบาอาจารย์รับรอง อย่างว่าแหละนี่เขาพูดถึงครูบาอาจารย์นะ เราก็ยกไว้ สาธุ ถ้าไม่อย่างนั้นจะถามว่าอาจารย์องค์ไหนรับรอง

    เหมือนกับว่าในสังคม สิ่งที่เป็นแก้วแหวนเงินทอง แล้วมันไม่ใช่มันเป็นตรงข้าม แล้วสังคมนั้นจะยอมรับไหม สังคมรับไม่ได้นะ สังคมนั้นต้องการสิ่งที่มีคุณค่า ต้องการคุณงามความดี แล้วเราไปเอาแต่ความเห็นของตัว แล้วบอกครูบาอาจารย์รับรอง เพื่อให้สังคมยอมรับนี้ มันขัดแย้งกัน

    แต่ถ้าเป็นของดีนะ เห็นไหม หลวงตาท่านจะพูดอยู่ ไปอยู่ในเหลือบอยู่ในเหว อยู่ในถ้ำไหนก็แล้วแต่ คนเขาจะเสาะแสวงหา เขารู้ของเขาเอง เขาจะเสาะแสวงหา ไม่ต้องมาว่า ใครรับรอง ใครรับรองหรอก ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกนี่รับรอง

    ถึงบอกว่าหลวงตารับรอง แล้วบอกด้วยว่าไม่ให้ใครมายุ่งกับพระองค์นี้ เว้นไว้แต่ไอ้บ้าหงบนี่ยังกัดเขาไม่เลิก ไม่ได้ว่าอะไรเลย เรื่องส่วนบุคคล จะพูดแต่ข้อเท็จจริง เพราะสังคมเขาไม่มีวุฒิภาวะที่เขาจะแยกถูกแยกผิดได้ เราก็แยกถูกแยกผิดตามความเป็นจริงเท่านั้นแหละ นี่พูดถึง ที่เขาบอกว่ามีการรับรอง เราไม่เชื่อด้วยจิตใต้สำนึก ไม่เชื่อด้วยความไม่เชื่อตั้งแต่ต้น เพียงแต่มันมีกระแสมา มันมีการแอบอ้างมา


    เราถึงพูดไงว่า “รับรองเรื่องอะไร"
     
  2. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,023
    เยอะมาก อ่านแล้วมึน ขอผ่าน
     
  3. น้ำดี1

    น้ำดี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    13,402
    ค่าพลัง:
    +43,432
    แล้วผลสุดท้ายเป็นอย่างไรค่ะ
     
  4. นายตถาตา

    นายตถาตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    829
    ค่าพลัง:
    +705
    อืมนั่นสิรับรองเรื่องอะไร พระอาจารย์ท่านพูดมีเหตุมีผล
     
  5. GUYTHUM

    GUYTHUM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    1,354
    ค่าพลัง:
    +1,088
    ตูอ่านมามึนงงตั้งนาน นึกว่ารองรับเรื่องอะไรกัน ที่แท้ก็ทนรองรับอารมณ์พวกสูนี่เอง (ปิกมี่มั้งคี่)....4444
     
  6. GUYTHUM

    GUYTHUM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    1,354
    ค่าพลัง:
    +1,088
    เดวมีเอาลมมมมมมมมมมมมมมมร์
     
  7. YUT_KOP

    YUT_KOP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,033
    ขอผ่าน อ่านแล้ว

    งง จริงๆ

    จิตไม่ถึงจิต ในสภาวะที่จะเข้าใจได้เลย

    ไม่ถึงเลย ไม่เข้าใจจริงๆว่า กล่าว เรื่องรับรอง อะไร
     

แชร์หน้านี้

Loading...